พิสูจน์ใจ พิสูจน์ตำรา พิสูจน์อักษร?
“ความเย่อหยิ่ง ต่อการศึกษาเรียนรู้ ย่อมมีมาได้ทุกแง่ และการสยบหรือยอมตน
ก็มีได้ทุกแง่เหมือนกัน เพราะประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับวิชาความรู้
หรือความรู้สึก ที่มีต่อสัญญะ ตามความหมายอย่างไร นั้น ๆ ถ้ารับรู้
เราก็ย่อมรับรู้ แลคิดคืบไปในความเปลี่ยนผันของ ๒ ประเด็น คือ ย่อมรู้สึกว่า
ถูกสถาปนายิ่งขึ้น เพราะการตรา และการสถิต หรือให้อรรถาธิบายอย่างนั้น
และอีกประเด็นหนึ่ง ในแง่หนึ่ง ก็คือ รู้สึก เหมือนกับว่า ถูกแบล็กเมล์
จากความหมาย หรืออาณัติแห่งสัญญะ อย่างนั้น ๆ นั่นเอง,
ซึ่งเราจะได้ทำใจยอมรับก็ดี หรือไม่ทำใจยอมรับก็ดี แต่ที่จริง
เรื่องแห่งความจริง ย่อมที่จะต้องหมายความว่า โลก เจริญอยู่ ได้ ด้วยภาษา,
ซึ่งภาษา ก็มีทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน
แล้วก็นิยามกันตลอดไปอย่างนั้น ว่า‘เสียงออกมาจากที่ชุ่ม รูปออกมาจากที่แห้ง‘
แต่ก็ย่อมอยู่ในรูปความดั่งเดิม นั่นเอง แด่การรับรู้ คือย่อมให้รู้สึกว่า
ได้ถูกสถาปนายิ่งขึ้น หรือว่า ถูกแบล็กเมล์ ซ้ำ ๆ ด้วยการทำความยักเยื้อง
และให้กระทำความแยบคาย แบบต่าง ๆ หรือ ที่ อาจจะบอกว่า ‘เราได้พัฒนากันไป
เพราะย่อมได้เห็นอยู่แล้ว ชัด ๆ ว่า เราได้สร้างคำที่มีความหมายใหม่ ๆ’ ,
ดังนี้แล้ว ก็ย่อมลูปคือวนไปเหมือนเดิมอย่างนั้น นั่นแหละ ทุก ๆ ความประหวัด
และความคนึงถึง คือ ย่อมคิด และรู้สึกว่า สถาปนายิ่งขึ้น หรือ?
ยิ่งถูกแบล็กเมล์กันแน่ ในการที่ได้มีการเกิด หรือกำหนด แก่
การสร้างคำที่มีความหมายใหม่ ๆ หรือภาษาใหม่ ๆ, ดังนี้
ก็น่าที่จะชี้แจงให้ดีเสียก่อน ต่อการที่จะให้ผู้คนประหวัดใจ หรือกระหวัดใจ
แด่การประกาศซึ่ง สิ่งอัน เป็น วาระ หรือประวัติการ เช่นนั้น
ฉะนั้น ดังกล่าวนั้น เห็นจะเป็นประเด็นที่กล่าว ว่า พึงจะยอมสยบ
หรือจะมิยอมสยบ เพราะว่า ‘กรรมอันมีลิขิต แล้วในโลก’ ไม่ว่า จะเรื่องภาษาพูด
หรือภาษาเขียน แด่อาทิ สัมภาวะ ฉะนั้น แด่เรื่อง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ให้ได้มีการตรา การสถิต แลการประกาศ ไว้ ด้วยความหมายที่เรียกว่า คงความ
มีปาฏิหาริย์ อัศจรรย์ และความวิตถาร พิสดาร อย่างที่ กล่าวได้ว่า
ไม่มีกรรมลิขิต อะไร ๆ ใด ๆ ในโลกนี้ ที่จะให้แสดง หรือแถลง ความ มีปาฏิหาริย์
อัศจรรย์ และความวิตถาร พิสดาร ได้มากเท่า ทั้ง ๆ ที่
ได้มีความพยายามที่จะทิ้ง สิ่งความ ที่เรียกว่า มีปาฏิหาริย์ อัศจรรย์
และความวิตถาร พิสดาร นั้น, อยู่ทุก ๆ นิทาน ทุก ๆ ปุจฉา-วิสัชนา และทุก ๆ
พระสูตร แต่ก็ไม่อาจที่จะทิ้ง การสถาปนา ที่จะให้โลกมนุษย์นี้
ได้ความสมบูรณ์บริบูรณ์ ในนัย อย่าง นั้น ๆ ได้, หากว่า เมื่อใด มนุษย์
หรือบุคคลผู้หนึ่ง นั้น มีความพร้อม เพียงพอ ต่อการที่จะพึงสยบ และสมยอม
แก่การปฏิญาณสัจจะ
ซึ่งเรื่องว่า หากใครยัง แค่ปฏิญาณ ต่อมายาอยู่ แค่นั้น ฉะนั้น
ก็จำพึงจะต้องบอกแค่ว่า ‘มีความเย่อหยิ่ง’, แต่ความมีปาฏิหาริย์ อัศจรรย์
และความให้ได้ มีความวิเศษเหนือมนุษย์ หรือจรดให้มีความวิตถารพิสดารได้ ก็ยัง
จำความแต่ การมี ‘กรรมอันมีลิขิต แล้วในโลก’ เช่นนี้อยู่ดี แต่นั้น
ไม่ได้ว่าอย่างไร อย่างไหน หากใครจะอยู่อย่างสัตว์
แด่เพราะสัตย์ที่จะเกาะอยู่กับที่ชุ่ม ก็จำมิอาจจะต้องต่อว่า หรือแม้น
พึงบอกว่า เพราะโลกที่ให้เหือดแห้งจากกิเลส นี้ เช่นไรนั้น
ไม่ใช่ได้ด้วยการปฏิญาณมายา ก็ดี, และเพราะการกระทำตามเอกสาร หรือทำตามที่พูด
มันมีความหลอนหลอกอยู่อย่างเดียว ที่ไม่ใช่เรื่อง ของประวัติ
หรือการทำความหมายตามความหมาย, แต่เรื่อง จริง เป็นเพราะว่า มันยังไม่ถึงเวลา
ที่ทุก ๆ ส่วน ทุก ๆ กอง จะต้องมายกประกาศ ให้ตรงกันว่า
‘พระพุทธเจ้าตรัสภาษาเขียน และให้สถาปนาแล้วซึ่งพระอักษร คือพระอักษรอริยกะ’
แด่ พุทธจักร พุทธเขต และพุทธอาณา แห่งการงาน และทุกสิ่งสารพัด
แห่งชาติพระพุทธศาสนาดินแดนสุวรรณภูมิ’”
พิสูจน์ใจ พิสูจน์ตำรา พิสูจน์อักษร?
“ต้องกลับมาที่ความรู้ ภพ ภวภพ สภาพ สภาวะ ด้านขาว ที่มีอยู่ รวม ๗ แถบสี
โดยมิต้องเถียง, จรดกับ ด้านมืด ด้านดำ หรือหลับตา สำหรับความให้คืบหน้าไปนั้น
หากสิ่งใด เป็นไป เพราะไม่สัมผัสสัมพันธ์กันกับโจท แล้วก็ ย่อมมิได้ถือว่า
เป็นความวัฒนา คืบหน้า, ดังนี้แล้ว ก็เหมือนเคย คือการจะต้องตอบ
หรือให้ระบุความหมาย จรดลงไปในส่วนประกอบ ที่สัมผัสสัมพันธ์ไปด้วยกันกับโจท
ในทางใดทางหนึ่ง หรือส่องให้เห็นให้รู้ส่วนใดส่วนหนึ่ง,
แลเพราะในการส่องความนั้น เป็นเรื่อง ของมืดกับแจ้ง หลับตาหรือลืมตา แด่เรื่อง
ชื่อ บัญญัติ และภาษา ที่ทอดเรื่องออกไป โดยที่จะต้องไม่ทิ้งสาระสำคัญ
ของสัญญา หรืออาณัติสัญญา ดังกล่าว ฉะนั้น, ด้วยประมาณ อันเรื่องคง
ที่จะเป็นความท้อใจแล้ว ที่จะ อยากสวด อยากท่อง อยากจำได้
หรืออยากที่จะเพิ่มเมมโมรี งานข้อมูลให้ไปถึงขีดขั้น ของทัพสัมภาระ
ที่ควรบรรทุก, ซึ่งด้วยถ้าคิดอย่างนั้น มุ่งอย่างนั้น ก็คงจะต้องมีแต่หน้าที่
ร้องเพลงสวด หรืออยู่ที่โรงสวด เพื่อสอบทาน หรือตรวจทาน ทวนทาน
เพลงสวดเหล่านั้น บทนั้น ในโรงปะรำพิธี, แล้วเช่นนั้น
ก็คงจะไม่ได้เป็นผู้สร้าง หรือผู้ผลิต แต่ว่าจะต้องเป็นผู้เล่น หรือผู้แสดง
ร้อยแก้ว หรือบทกวีเช่นดังกล่าว
ด้วยเรื่อง ของ การเล่น การแสดงดังกล่าว สำหรับบาทพระคาถา บทพระคาถา
ที่ท่านมีไว้ให้ อัน ย่อมกระทำขึ้น
แด่ความมุ่งมาดปรารถนาที่จะเคลื่อนย้ายทางสังคม ไปด้วยกัน หรือมุ่งมาดปรารถนา
ที่จะได้เคลื่อนย้ายในทางจิตวิญญาณ ไปด้วยกัน ดังกล่าว เช่นนั้น ที่สวด
ที่ร้อง ที่รำพัน อธิษฐาน กันอยู่ทั้งวัน ทั้งคืน ในโลกที่มืด และสว่าง
เช่นนี้ เมื่อเวลาได้ กระทำความพร้อมสรรพกำลัง
แก่การที่จะเคลื่อนย้ายกันไปสู่กลางวัน ดังนั้น ก็บริกรรมมนต์ หรืออธิษฐานมนต์
จำพวก หรือแบบ หรือบท อย่างที่จะเชิญเทวดามา แล้วเมื่อเวลาใด
กระทำความพร้อมแห่งสรรพกำลัง แด่การที่จะพึงต้องเคลื่อนย้าย พลพรรค วรรค
และพลความ จะย้ายไปสู่ห้วงกลางคืน ก็จำต้อง บริกรรมมนต์ หรืออธิษฐานมนต์
หรือประกาศ บท ที่จะต้องเชิญเทวดากลับ จึงให้เคลื่อนย้าย สรรพกำลัง
แห่งการศึกษา โดยที่ยังต้องศึกษา นั้น ได้ย้ายไปอยู่ ณ ยามราตรี,
แล้วแก่ความหมาย ของการแสดงมนตร์ ที่แท้จริงนั่นเอง ที่ว่า จะประกาศ
หรือท่องเป็น ตัว ๆ หรือจะแสดงเป็น คำ เป็น ประโยค จึงถูกยกขึ้น
สู่ส่วนที่เรียกว่า ความรู้ หรือความสำเหนียก ในทางหนังสือ
ดังกล่าว เช่นนั้น หรือที่ถามนั้น แสดงว่า การที่ให้ได้อยู่กับบริกรรมนั้น
เป็นการที่ได้ใช้สมประดี หรือสัมปชัญญะ ไปเกาะอยู่กับเสียง หรือรูปความ,
แลโดยที่เกิดขึ้นเพราะสรรพกำลัง หรือเกิดกำลัง (สวดองค์เดียว),
ด้วยกระแสของความเคลื่อนย้ายทางความสัมผัสสัมพันธ์เช่นนั้น มันย่อมจะเกิด
การทัดทาน ทวนทาน การกด หรือการช้อนขึ้น หรือชู ถ้อยความหรือสิ่งความนั้นอยู่
ซึ่งถ้าหลงอยู่กับเสียง ก็ย่อมได้สัตย์สัญญาในทางเสียง เป็นการเคลื่อนย้าย
แต่ถ้าหลงไปกับรูปความ ที่เป็นอักขรนิมิต ก็ย่อมได้สัตย์สัญญา ในทางรูป
เป็นการเคลื่อนย้าย, แล้วนั้น ชาติไทย หรือชาติสุวรรณภูมิเรา
มิใช่แค่จะกำหนดให้รู้ แต่แค่ ๑ ชั้นความ หรือแค่ ๒ ชั้นความภาษา
แต่โดยภาษาที่แท้ หรือกำหนดจิต ไปถึงบัญญัติที่แท้ โดยการไม่รู้การกำหนด
แห่งชั้นความ ดังนั้น, เมื่อสวด เมื่อสาธยาย ก็จึงเป็นการรู้น้อย
หรือได้ประโยชน์น้อย แห่งการสวดการสาธยาย เพราะที่จริง
จะต้องให้ได้สัมผัสสัมพันธ์ กันไป หรือเคลื่อนย้าย สรรพกำลังกันไป ตลอด ๓
ชั้นความ หรือ ๕ ชั้นความ จึงจะได้ความหมายของการสวด
หรือการให้สาธยายมนตร์บทนั้น”
🌠💻 พระตถาคตลิขิต 📄💼 🔥
“ถ้าจะให้สอนให้อธิบาย เด็กหญิง หรือลูกหญิง, ข้าพเจ้า จะบอกว่า ส่วนใหญ่
คนแถวพิษณุโลก พิจิตร และอุตรดิตถ์, มักที่จะเข้าใจดี และสอนกันว่า ‘พระเณร
ท่านสละสิทธิ์ ที่จะได้ ๓ ไปเอาแค่ ๑ (ส่วนในอาหาร และทรัพยากร)’ ฉะนั้น
พวกเรา ก็จำต้อง ตามไป เอา ๒ ส่วนที่ท่านไม่เอา หรือ สละแล้วนั้น ไปให้ท่าน
เพราะว่า เราก็ต้องแสดงว่า เราก็เสียสละเหมือนกัน ไม่ใช่สำคัญว่า ท่านสละแล้ว
ตนเองต้องได้ ทั้งหมด ๕ ส่วน (พระเณร สละ ไป ๒ มื้อ ๒ ส่วน ชาวบ้าน
หรือคนทั่วไป จึงได้ มื้ออาหาร หรือทรัพยากรทั้งปวง นั้น เพิ่มขึ้น เป็น ๕
มื้อ หรือ ๕ ส่วน), ดังนั้น คน พิษณุโลก พิจิตร และอุตรดิตถ์
จึงมักที่จะเผลอตัว และคิดตลอดว่า ‘เราควรจะต้องบำรุงและดูแลพระเณร’ ผู้คน
พิษณุโลก พิจิตร และอุตรดิตถ์ สมัยที่ ลูกชาย ลูกหญิง ของ ข้าพเจ้า ถือกำเนิด
(ประมาณ พ.ศ. 2519-2520) ฉะนั้น จึงย่อมไม่พบ ว่า ผู้คน
ได้มีความคิดต่อพระเณรดั่ง ที่ปรากฏนั้น, แต่นี้ คง เป็นความ หรือเป็น
ประมาณความ เมื่อสมัยนั้น หรือสมัยเก่า เท่านั้น ต่อความรู้
หรือการแบ่งส่วนของทรัพยากร ว่าควรทำอย่างไร ด้วยเกณฑ์อะไร ในปัจจุบัน
ข้าพเจ้า ไม่ทราบข้อมูล และยังคงไม่ได้รับทราบถึงแนวทาง
และวิธีที่จะพึงระลึกนึกถึง หรือคิด และรู้สึกต่อพระเณรอย่างยุติธรรม ประชาชน
หรืออิสสรชนอย่างพวกเรา พึงจะคิดอย่างไร ในเมื่อ สิ่งที่ควร ก็คือ ทุก ๆ คน
ตามปกติ นั้น ย่อมพึงที่จะต้องมีส่วนในทรัพยากรทั้งปวง ต่าง ๆ อย่าง เท่า ๆ
กัน ในขณะที่ ทรัพยากร นั้น ๆ อาจให้กันได้ หรือแจกจ่ายแบ่งกันได้”
ขอแสดงความนับถือ
Phra Yantasilo |
wa...@googlegroups.com