“วิธีการดูพระ น่าที่จะต้องดูว่า พระองค์นั้น มีโอกาส มีสิทธิ์
หรือมีความเป็นไปได้ หรือไม่ ที่จะเป็นพระของพ่อของแม่ ของบ้านหนึ่ง หรือ
เป็นพระของคนใดคนหนึ่ง หรือเป็นพระของสัตตะ หรือสัตว์ ได้หรือไม่,
ถ้าพิจารณาว่า มีโอกาส มีความเป็นไปได้ ก็สามารถ ระลึกถึงคุณ
หรือไหว้ความเป็นพระในตัวคนนั้นได้, เพราะความเป็นจริงของความเป็นอยู่
และโดยความเป็นนักบวช จริง หรือเป็นพระ โดยความสันโดษ
และความไม่เกี่ยวข้องกับใครหรือสิ่งใด อย่างน้อย
ก็จะต้องเป็นพระของคนใดคนหนึ่ง หรือบ้านใดบ้านหนึ่ง ได้ เป็นอย่างน้อย,
อย่างนี้ คือกรณี ที่ เรียกว่า เขาเป็นพระ เขาเป็นเทวดา ของบ้านใดบ้านหนึ่ง
หรือคนใดคนหนึ่ง, ซึ่งจริง ๆ ตัวอย่างที่พบในพระไตรปิฎก ก็เป็นอย่างนั้น
ซึ่งที่จะบิณฑบาต บ้านหลังเดียว แล้วก็จะทำความดีให้ คืออาจให้อรหัตผล
แก่บ้านนั้น หรือบิณฑบาตนั้น เลยทีเดียว
ทีนี้ ถามว่า พระอยู่ตรงไหน? ซึ่งความสามัญ หรือความปกติ ซึ่งก็จะต้อง
มีความสามัญธรรมดา อยู่ในพระไตรปิฎก นั่นเอง เพราะบอกอยู่แล้ว ว่า พระ!ไตรปิฎก
ซึ่งการสำเหนียกโดยทุกครั้ง ว่าเรากราบไหว้พระธรรม
ก็จำเป็นที่จะต้องมาอยู่จุดนี้ คือมาตรงจุดที่พินิจพิจารณาว่า
พระอยู่ตรงจุดไหน ส่วนไหน หรืออาจจะบอกว่า อยู่ แท็ก!ไหน? ก็นิยามหรืออนุมาน
ก็ต้องนิยาม หรือประมาณส่วนที่เพิ่มเติม หรือที่ยังขาดตกบกพร่อง นั้น ๆ อยู่,
ซึ่งว่า ความเป็นพระฉะนั้น ควรที่จะสถิตอยู่ ฉบับอะไร? เล่มอะไร? ข้ออะไร?
หน้าอะไร? บรรทัดเท่าไหร่? อักขระรวมเว้นวรรคเท่าไหร่?
อักขระไม่รวมเว้นวรรคเท่าไหร่? ห้วงขณะ เวลา หรือองค์ความนั้น ๆ ส่วนไหน
ควรอยู่ในความที่ต้องควรได้ความเคารพกราบไหว้ ซึ่งว่า ในทางพระธรรมยุต
ก็ย่อมกล่าวว่า ฉบับ พระธรรมเมธาภรณ์ เป็นพระไตรปิฎก ที่จัดเป็นหนังสือพระ
เป็นต้น เพราะพระธรรมเมธาภรณ์ ระแบบ ฐิตญาโณ เป็นแบบอย่างให้อุตสาหะในการบวช
ส่วน ฉบับ ของ สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นหนังสือ ฆราวาส เพราะ พระสุชีโวภิกฺขุ
เป็นตัวแทนของผู้อุตสาหะ ในการสึก หรือในการลาสิกขาไปครองโลก, เช่นนี้
คือการดูว่า หนังสือไหน (พระไตรปิฎกฉบับ?) เป็นหนังสือพระ หรือพระไตรปิฎก
แล้วนี้ แล้วก็พึงย้อนกลับคืนมา เทียบกันกับการสมาคมกันของมนุษย์เรานี้
ว่าใครเป็นหนังสืออะไร? หรือทำงานให้กับหนังสือ (ฉบับ?) อะไร?, แต่
ก็ต้องมาดูว่า ความผันแปร ความเปลี่ยนผัน หรือข้อสังเกต ตามจริง ตามภาวะ นั้น
เพราะ มันไม่แน่ ว่า วันนี้ ตอนนี้ มีเล่มเป็นพระ! มีข้อเป็นพระ!
มีหน้าเป็นพระ! มีบรรทัดเป็นพระ! หรือมีอักขระเป็นพระ! หรือว่ามีวรรค
หรือเว้นวรรค คือไม่มีในระหว่างนั้น ที่พึงได้เป็นพระ!, แล้วนั้น เราจึงรู้
จึงเคารพกราบไหว้ และทำความสนิทใจ ไปยังส่วนนั้น ๆ, เพราะ ส่วน
ที่จะต้องเป็นพระของบ้านเดียว หรือเป็นเทวดาของบ้านเดียว
เป็นส่วนแห่งความเป็นจริงในเชิงประจักษ์ ที่ทุกคน จะอาจสามารถ กระทำ
ให้แก่โลกนี้ได้, แต่! ที่เป็นปัญหาอยู่บ้าง ก็คงจะมี, เพราะอาตมา
ก็พบตัวอย่างมาแล้วว่า มีหลวงตาท่านหนึ่ง มาบวชอยู่ด้วยกัน พรรษาเดียวกัน นั้น
พระเราพูดคุยถามกันแล้ว ท่านบอกว่า มีบุตร แต่ท่านบอกว่า ถ้าบุตรของตนบวช
ก็จะไม่ใส่บาตร หรือไหว้บุตร ของตน เช่นนั้นได้เลย, อันนี้คือเรื่อง
ที่หลวงตาท่านนั้นกล่าว เล่าบอกออกจากความจริงใจแท้จริง, ซึ่ง
ก็พึงย่อมจะหมายความว่า บุคคลคนนั้น คงที่จะ ไม่อาจ ไม่สามารถ
มีความเป็นพระในตนเอง แก่ตัวเองได้เลย แม้แต่นิดแต่น้อย ก็คงไม่มี
ไม่ว่าจะแง่มุมใด, ถึงขนาดที่ว่า แม้นกระทั่งบวชแล้ว บิดามารดา ก็จะไม่ไหว้
และก็จะไม่ใส่บาตร”
https://tabphasathai.wordpress.com/wp-content/uploads/2017/01/theravada-227.pdf
https://pantip.com/topic/43792933/comment10
https://groups.google.com/g/reggolb/c/YGndAOE-8UI/m/m_R7owuMBAAJ
“มันเป็นเรื่อง ของการ ที่เราไม่อยากสร้างคำที่มีความหมายใหม่ ๆ เช่นนั้น
ศัพท์บัญญัติเหล่านั้น หรือญัตติเหล่านั้น จึงคงรูป อย่างนั้นเรื่อยมา แม้นว่า
จะมีใครคนใดคนหนึ่ง ได้แต่งจิตให้วิจิตร เช่นนั้น ในสมัยใดได้ก็ตาม
แต่ก็ไม่มีใครแต่งบัญญัติ เสริมบัญญัติ หรือทำลายจินตนาการเช่นนั้น เช่นว่า
จงแต่งจิตร แล้วยกสิ่งนั้นมาแต่งคำพูด เป็นต้น, อย่างนี้เป็นต้น เรื่องจึงย่อม
ไม่อาจเกิดคำถามอย่างอภิปัญญา ได้ว่า ญาณ หรือรูปความ นั้น
ที่ปัญญาสามารถหยั่งถึง เช่นนั้น ทำไมจึงไม่แต่งคำพูด หรือตราความนั้นว่า
อันซึ่ง ความนั้น ให้เกิดจากการทำจิตวิจิตร ได้ แล้ว ที่ควร
ก็น่าจะตราความได้ว่า ‘ปัญญุคคนิมิต’ กล่าวอย่างยิ่งไปอย่างนี้ จึงได้,
แต่เช่นนั้น มิได้มีใคร คิดที่จะแต่งคำพูด ยิ่งขึ้น หรือตราบัญญัติขึ้น
เช่นนั้น เพราะใจหลงชอบใจ สิ่งที่พึงอาจจะให้ได้สุขุมารมณ์ หรือได้ห้วงอารมณ์
อย่างพราหมณ์แบบเก่า ๆ เช่นนั้น นั่นเอง, การแต่งคำใหม่เช่นนั้น
จึงไม่มีการพูดถึง หรือทำให้มากยิ่งขึ้น, แลหรืออีกประการหนึ่ง
ก็อาจจะเป็นเพราะว่า การที่จะแสดงว่า เนื้อความ หรือรูปความทางตำรา เป็น
‘ปัญญุคคนิมิต’ ฉะนั้น เป็นอะไร ไม่มี หรือเป็นอย่างไร? ไม่ได้ เพราะนิสัย
ของการที่เรียกว่า จะสงวนไว้ หรือจะขอผูกขาดงานตำรา นั้น ๆ นั่นเอง
ด้วยจะต้องให้หลงอยู่แค่นั้น เท่านั้น, ตำราแบบพราหมณ์ เก่า ๆ ฉะนั้น
จึงสะท้อนแต่เรื่อง ห้ามสร้างคำ หรือแต่งคำ
หากยังมิได้เข้ามาถือโองการอย่างใดอย่างหนึ่ง แบบพราหมณ์ แล้วผู้นั้น
ย่อมไม่อาจจะผูกความได้เลย
หรือสามารถตราบัญญัติอย่างไรอย่างอื่นกว่านั้นได้เลย, ด้วยการที่จะใช้ประโยชน์
หรือการให้ตามประกอบความ
ดังนั้น ก็จะขอให้คำอธิบายอีกสักเล็กน้อย เพื่อที่จะเป็นประโยชน์
ในทางหนังสือตำรา, ว่าด้วยการ ตั้งอารักขา ตั้งโคจร แล้วตั้งทำความคืบหน้า
สำหรับส่วน ที่จะนำพาส่วนแห่งงานหนังสือนั้น ๆ ที่ซึ่ง ย่อมพึงควร ที่จะต่อยอด
ต่อไปยิ่งขึ้น ให้ได้, ด้วยซึ่งความใคร่ ที่อยากจะให้พราหมณ์
หรือพรหมมาแทรกแซง หรือด้วยใคร่ ที่อยากจะให้เทวามาแทรกแซง วาระแห่งจิตวิญญา
หรือมโนปณิธิ เช่นนั้น, ฉะนั้น หากเมื่อปรารถนาเช่นนั้นจริงแล้ว
ก็จำพึงควรจะต้องมีทาง ด้วย การ ตั้งอารักขา ตั้งโคจร แล้วตั้งทำความคืบหน้า
ไปให้ถึงยังส่วนนั้น โดยที่ยังสามารถ จะได้กลับคืนมาสู่มนุษยพิภพนี้ ดังเดิม
ได้ด้วย, เมื่อสงสัย และใคร่อย่างหนัก ที่จะพึงพิจารณาแล้วใคร่ครวญ แล้วว่า
จะพึงถึง พึงได้ แต่ ‘ปัญญุคคนิมิต’ อย่างแน่แท้แล้ว ก็ต้อง เริ่มต้น จรดที่
การอารักขา ธัญญบูชาให้ถูกตรงเสียก่อน, ก็ต้อง เริ่มต้น จรดที่ การอารักขา
ยัญญบูชาให้ถูกตรงเสียก่อน, ก็ต้อง เริ่มต้น จรดที่ การอารักขา
อัญญบูชาให้ถูกตรงเสียก่อน, และก็ต้อง เริ่มต้น จรดที่ การอารักขา
สัญญบูชาให้ถูกตรงเสียก่อน, โดยที่จะต้อง ทำความกำหนด ภูมิภาคเช่นนั้น
หรือแผนภูมิ ของถิ่นนั้น ว่า คือบริเวณ แก่ตน ของตน อย่างไร?, ว่าคือบริวาร
แก่ตน ของตน อย่างไร?, ว่าคือบริขาร แก่ตน ของตน อย่างไร?, และว่า คือบริกรรม
แก่ตน ของตน อย่างไร?, จึงจะสามารถสืบสนธิกำลังปัญญา ออกว่ากล่าวยิ่งขึ้นได้
โดยที่ไม่กลัวการแต่งจิตให้วิจิตร และก็ไม่กลัวที่จะต้องแต่งคำพูด
ตามจิตวิจิตร ที่ให้อาจสามารถ กระทำให้ได้
แล้วนั้น เมื่อ อุตริ! ย่อมที่จะต้องเป็นปัญหาถูกห้าม ด้วยเช่นนั้น เมื่อนั้น
ย่อมพึงอ้างให้หนัก โดยเมื่อนั้น ว่าตนเองกระทำความแต่งต่อ หรือเพิ่มตอน
แก่วรรณคดีเรื่องนั้น หรือว่าตนเองกระทำความแต่งต่อ
หรือเพิ่มตอนแก่ชาดกตอนนั้นๆ, แล้วย่อม ไม่ให้ใครมากล่าวได้ว่า ได้มีจิตวิจิตร
ได้วิเศษอย่างพรหม หรือพราหมณ์ หรือเทพดาอย่างไร? อย่างหนึ่ง
ทำจิตวิจิตรอย่างนั้นได้แล้ว จงอย่าโคจรวาจากล่าวเปิดช่องให้ใครเอาผิด ความ
อุตริ! ที่ทำได้ อย่างนั้นได้, เพราะก็จะเป็นการเสียประโยชน์ ในการที่จะเสริม
หรือเพิ่มสิ่งดี ซึ่งมียอดดี กว่าพราหมณ์แบบเก่า อย่างนั้น มากกว่า เป็นไหน ๆ,
เพราะเมื่อว่า ทำได้จริงแท้ แบบพระพุทธธรรมคำสอน แบบพระพุทธศาสนา
แล้วเมื่อนั้น ย่อมให้กลับคืนมาสู่มนุษยพิภพ แห่งมนุษย์นี้ตามเดิมได้ด้วย
มิให้เสียการเกิดขึ้นเป็นโมฆะกรรมเปล่า ๆ ไป, แลส่วนขยาย หรือขนาด
ของการขยายฉะนั้น จะย่นนิมิต จะทำอภิจิตฤทธา แต่แค่นิมิต!
จะย่นเข้าจนไม่เหลือเลยก็ได้ หรือจะให้สร้างส่วนขยาย หรือขนาดมากเช่นนั้น
ไปเท่า พระธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็ย่อมจะยิ่งคงกระทำไว้ต่อไปได้,
เพราะเมื่อได้ตั้งอารักขา ตั้งโคจร เริ่มต้น ไปจาก พุทธศาสนา พุทธศาตร์ตำรา
อยู่โดยตลอดโดยดี แล้ว, เมื่อไหร่ เมื่อนั้น ย่อมที่จะต้อง ให้ได้ ความ
แต่พุทธจักร พุทธเขต พุทธอาณา อย่างพระพุทธศาสนาสุวรรณภูมิ เป็นสีมานิมิต
เช่นนั้น ๆ ไว้เป็นการ แน่แท้”