Fwd: [PHISUT AKSON] ได้รับข้อความใหม่

57 views
Skip to first unread message

Phra Chittasangwaro

unread,
Oct 2, 2025, 3:13:25 AMOct 2
to reg...@googlegroups.com
คณะทำงาน ร่าง และเริ่มต้นโครงงาน พระไตรปิฎกฉบับสมบูรณ์ โดย พระสงฆ์ ๑๕ รูป และ นักธรรม หรือบัณฑิตธรรม ที่ทำการแทนสงฆ์ ๒๖ นักธรรม

FfzmP_5acAAs_Wn.jpg

---------- ข้อความที่ส่งต่อ ---------
จาก ฟอร์มสำหรับติดต่อ Blogger <no-r...@blogger.com>
วันที่ วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 2025 เวลา 13 นาฬิกา 22 นาที 03 วินาที UTC+7
เรื่อง: [PHISUT AKSON] ได้รับข้อความใหม่

Chue Chaya Phra Song Mae Kong Ngan Phra Tari Pidok Chabap Sombun Boribun
ชื่อ ฉายา พระ สงฆ์ แม่ กอง งาน พระ ไตร ปิฎก ฉบับ สมบูรณ์ บริบูรณ์

Phra Chotiko
พระโชติโก
 Phra Likhito
พระลิขิโต  
 Phra Vallabho
พระวลฺลโภ  
 Phra Thawaro
พระถาวโร
Phra Chuntho
พระจุนโท
Phra Yanasampanno
พระญาณสมฺปนฺโน
Phra Thaniyo
พระฐานิโย
Phra Thiraphattho
พระธีรภทฺโท
Phra Aphayo
พระอภโย
Phra Accadaro
พระอจฺจาธโร
Phra Chittasangwaro
พระจิตฺตสํวโร
Phra Ratanawanno
พระรตนวณฺโณ
Phra Thammakamo
พระธมฺมกาโม
Phra Mahanamo
พระมหานาโม
Phra Cetanasubho
พระเจตนาสุโภ

แกดเจ็ต แบบฟอร์มสำหรับติดต่อ นี้ เชื่อมต่อกันกับโพสต์ ใน Googlegroups
ได้อย่างไร?, ฉันอยากทราบว่า มันเป็นอย่างนี้เสมอ หรือว่ามีอะไรผิดพลาด
หรือว่าระบบ ได้ทำการเชื่อมโยงกันอย่างไร?

ขอแสดงความนับถือ
Phra Nirut Cittasamvaro Jotilipikara | dats...@outlook.co.th

Phra Chotiko <iah...@gmail.com>, imail...@gmail.com <imail...@gmail.com>, h.ope...@gmail.com <h.ope...@gmail.com>, 0123....@gmail.com <0123....@gmail.com>, qmail...@gmail.com <qmail...@gmail.com>, Phra Likhito <box.s...@gmail.com>, Phra Vallabho <n.ope...@gmail.com>, Phra Thawaro <t...@nw-map.in>, Phra Chuntho <pa...@nw-map.in>, asuo.asuo...@gmail.com <asuo.asuo...@gmail.com>, 91ca...@gmail.com <91ca...@gmail.com>, xan.xan....@gmail.com <xan.xan....@gmail.com>, Phra Yanasampanno <ph...@nw-map.in>, pla.pla....@gmail.com <pla.pla....@gmail.com>, 89.o...@gmail.com <89.o...@gmail.com>, news.kwunk.b...@gmail.com <news.kwunk.b...@gmail.com>, Phra Thaniyo <i...@nw-map.in>, ahov.ye...@gmail.com <ahov.ye...@gmail.com>, tipit...@gmail.com <tipit...@gmail.com>, moc.c...@gmail.com <moc.c...@gmail.com>, eight.s...@gmail.com <eight.s...@gmail.com>, Phra Thiraphattho <ceti...@gmail.com>, 47.o...@gmail.com <47.o...@gmail.com>, Phra Aphayo <x.ope...@gmail.com>, Phra Accadaro <tel.665...@gmail.com>, wa...@googlegroups.com <wa...@googlegroups.com>, Phra Chittasangwaro <tipit...@gmail.com>, 91sia...@gmail.com <91sia...@gmail.com>, Phra Ratanawanno <thai.national.i...@gmail.com>, Phra Thammakamo <n...@nw-map.in>, 217.market...@gmail.com <217.market...@gmail.com>, Phra Mahanamo <bh...@nw-map.in>, Phra Cetanasubho <koong...@gmail.com>, cabin...@gmail.com <cabin...@gmail.com>, 56.o...@gmail.com <56.o...@gmail.com>, mate...@gmail.com <mate...@gmail.com>, pan....@gmail.com <pan....@gmail.com>, wikii...@gmail.com <wikii...@gmail.com>, ata.ata....@gmail.com <ata.ata....@gmail.com>, 206m.2t.n...@gmail.com <206m.2t.n...@gmail.com>

หมายเหตุ: อีเมลนี้ถูกส่งผ่านทางแกดเจ็ต “ฟอร์มรายชื่อติดต่อ” บน
https://tripitaka91.blogspot.com

Phra Candasuvanno

unread,
Oct 6, 2025, 1:03:01 AMOct 6
to reg...@googlegroups.com
a.png
Ban Kao Thi Yu Lek Thi 206.jpg

การศึกษาคำ และความหมาย ศัพท์ อนตฺตา (อะนัตตา)

“เรื่อง ศัพท์ ที่สูญเสียความหมายเดิมไปแล้ว สิ้นเชิงบ้าง
หรือเกือบจะสิ้นเชิงบ้าง เป็นประเด็นที่มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ไปเรื่อย
ที่ซึ่งย่อมจะเป็นปัญหาร่วมกัน ในการที่จะสร้างบริบท กรอบเกณฑ์ หรือขอบข่าย
อย่างใด อย่างหนึ่ง ในเรื่องของ สัญญา หรือสัญญาญาณ ที่พึงมีร่วมกัน ซึ่งศัพท์
ดังข้อที่แสดงนั้น ก็อาจที่จะนับว่า มีความหมายเบี่ยงเบนไปแล้ว
ก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะบริบท และเพราะวัตถุประสงค์ทางการใช้งาน ที่มีต่างกัน,
เพราะข้อเทียบนั้น ไปเทียบว่า อัตตา เทียบกับ อนัตตา ไปแล้ว ซึ่งที่จริง
มิได้เท่ากับส่วนเปรียบ หรือมุมสะท้อนตรงกันข้ามอย่างนั้น ซึ่งที่จริง
การถือความหมาย ตามต้นเค้าเดิม ย่อมถืออย่างนี้ ว่า

สารัตถะ เป็นเปรียบ กับ นิรัตถะ
อัตถะ เป็นเปรียบ กับ อนัตถะ ฉะนั้น เช่นกัน

ซึ่งคำว่า

อาณัติตรา จึงมีเปรียบกับ อนัตตา
อัตรา (ความจริงแบบหลายจำนวน) มีเปรียบกับ อัตตา (ความจริงแบบจำนวนเดี่ยว)

ด้วยเรื่อง ที่จะถือความหมาย หรือการแต่งคำ หรือถือเอาปัจจัยแห่งการแต่งคำ
ที่ซึ่ง อาจให้เห็นว่ามีส่วนเปรียบอยู่คนละอย่าง คนละเรื่อง
ที่ซึ่งจะถือไม่ได้ว่า เป็นปริยายเดียวกัน เพราะจะเอาส่วนที่เป็นความโดยอ้อม
ให้มาเปรียบแทนความโดยตรง ย่อมจะเปรียบกันไม่ได้ เช่นเดียว กับการอธิบาย
หรือให้อรรถาธิบายเรื่อง รูป กับ อรูป นั่นเอง ซึ่งโดยที่สุด
ย่อมให้อรรถาธิบายว่า อรูป คือ รูปชนิดหนึ่ง เหมือนกับ คำตั้ง บทหลักที่ว่า
อธรรม ก็คือ ธรรมชนิดหนึ่ง, ซึ่งในกรณีนี้ ก็ย่อมจะเช่นเดียวกัน
คือจะให้อธิบาย อนัตตา เป็นความที่ตราแล้ว เป็น อัตตา
ไปอย่างไรย่อมจะไม่ได้เลย, เพราะจริง ๆ ย่อมอธิบาย ได้เพียงแค่ว่า อนัตตา
ก็คือ อาณัติตราชนิดหนึ่ง หรือ กลับกันก็คือ อาณัติตรา ก็คือ
อนัตตาในอย่างหนึ่งอย่างไรเช่นกัน, เพราะกล่าวต่อส่วนที่ประมาณไม่ได้
กำหนดไม่ได้ หรือกล่าวแก่ ปาฏิหาริย์ อัศจรรย์
หรือได้วิตถารพิสดารอย่างบอกไม่ถูก ฉะนั้น กล่าวเป็นเปรียบกัน ย่อมว่า ไปอีกว่า

นิรัตตา จึงเป็นเปรียบ อาณัติตรา (คือ นิรุตติ)

ดั่งนั้น ด้วยเหมือนกัน ซึ่งในความมีความเท่ากับ จึงพึงควรย่อมจะต้องจัดว่า

อนัตตา แท้ จึงให้พึงมีความหมายเท่ากันกับ คำว่า นิรัตตา โดยความเป็นไวพจน์
(เป็น อัตถะ ไม่ใช่ นิรัตถะ)

เพราะว่า จะให้อธิบาย หรืออรรถาธิบายไม่ได้เลยว่า อนัตตา ก็คือ
อัตตาอย่างหนึ่ง ทั้งที่ก็พึงเป็นความอย่างเดียวกันกับคำว่า นิมิต หรือ อนิมิต”

ดูข้อคำถามและอธิบายเพิ่มเติม ที่ : https://pantip.com/tag/พระไตรปิฎก,
https://pantip.com/profile/4470857

ขอแสดงความนับถือ
Phra Nirut Cittasamvaro Jotilipikara | nirutt...@googlegroups.com

Phra Jotiviriyo

unread,
Oct 12, 2025, 11:47:22 AMOct 12
to reg...@googlegroups.com

Screenshot 2025-09-23 213951.jpg

พิสูจน์ใจ พิสูจน์ตำรา พิสูจน์อักษร?

“ด้วยซึ่ง รายละเอียดที่ควรพิเคราะห์ต่อไป ด้วย หลัก ๆ ในรูป
(ถ่ายหมู่รูปนักเรียน ตอนชั้นมัธยม) ฉะนั้น ก็คือ เมื่อ นับ ๑-๓
เรียงตามการเขียนหนังสือไทย แด่ คนที่ทอดสายตาลงต่ำ หรือก้มหน้า อยู่ ฉะนั้น
นักเรียน ๓ คนดังกล่าวนั้น มีชื่อตัวว่า ‘นิตย์ ๑, อานุภาพ ๑ และนิรุตติ์ ๑,’,
แก่อาตมา ซึ่งแต่งกลอน หรือกลบท แด่บทที่ พึงกล่าวว่าไปดั่งนั้น อาตมา
นึกอรรถาธิบาย หรือมุ่งจะให้ร้อยแก้วอย่างไรได้ต่อไปนั้น ยังนึกไม่ออก
แต่แค่ได้ดูรูปภาพ พิจารณา แล้วแต่งไป อย่างจินตกวี ที่ซึ่งให้ผูกโยง
กับเรื่องเครื่องหมาย ว่ารู้สึกนึกคิด อย่างไร? สำหรับ สัญญะ ทางศาสนาต่าง ๆ
ฉะนั้น ว่า พึง ให้เห็น ด้วย ไทยอย่าง ๑, เห็นฝรั่งอย่าง ๑, และเห็นแขกอย่าง
๑, แต่ทั้งที่จริง เห็นเป็นเรื่อง ของแขก โดยทั้งหมดทั้งนั้น
ด้วยที่ชาติสุวรรณภูมิเรา ทัดทาน โน้มน้อม หรือตริตรองตามและพิจารณาตามกันอยู่
อย่างมิเสื่อมถอย ที่ซึ่ง ก็ให้โน้มน้อม อยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ ไปได้
แก่ความตริตรึก ว่า ที่จริง เราควรระลึกถึง เครื่องหมายไหน อาณัติแบบไหน
ในทางสัญญะ ที่เราจะถือเอา เข้าส่วน กับความเป็นพื้นที่ ที่แท้จริง
ในทางจิตวิญญาณ ของเรา เพราะ อย่างน้อย วัตรพรต ไร ๆ ย่อมให้ คิดให้ประกาศ
ไปประการในใจ เพราะ ๔ อย่างนี้ เป็นอย่างน้อย ในเรื่อง ของความมี โอปนยิโก
แล้วน้อมจิตลง ต่อการที่จะต้องรุดหน้าต่อไป โดยไม่ระย่อ, เพราะ พอแต่ความสัจ
โดยปรากฏการ ของโลก ย่อมระลึก ถึง สัญญะ หรือประกาศทางสัญลักษณ์ ไปดั่งนี้ คือ

๑. ธัญญบูชา ระลึกถึง ลักษณ์ แห่งต้นไม้
๒. ยัญญบูชา ระลึกถึง ลักษณ์ แห่งสัตว์ คือคน หรือมนุษย์
๓. อัญญบูชา ระลึกถึง ความรู้ รายละเอียดข้อมูลผลสรุป และประกาศงานวิจัย
(รูปเนื้อหา)
๔. สัญญบูชา ระลึกถึง เครื่องหมาย และ ลักษณ์ ที่ให้ประกาศ ตามกำหนด ของมติ
นั้น ๆ (รูปหน้าปก)

ซึ่ง ที่ก็จะต้องสรุปว่า รูปหน้าปก ของหนังสือ ๕ เล่ม ที่ปรากฏ นี้
(ตราสัญลักษณ์ ทั้ง ๕ ศาสนา) ที่ย่อมถูกยกขึ้นว่า เป็นประเด็น ลักษณ์ หรือ
สัญญะ ในระดับประเทศ หรือในระดับสากล ซึ่งเป็นเรื่อง ชัด ๆ เลยทีเดียวว่า
ตรารูป ตราเสียง ให้ปรากฏ อยู่แต่ ความ เป็น ‘แขก หรือ สระ แอก’ นั่นเอง
โดยทั้งหมดทั้งนั้น ซึ่ง พวกเราทุกคนก็น่าจะทราบว่า แอก แปลว่า อะไร?
กะการที่ต้องพ่วงตนเองไปกับลักษณ์ นั้น ฉะนั้น อาตมา ซึ่งเป็นผู้ที่ มิพึง
สามารถเข้าใจความหมายอะไร อย่างที่ไม่ต้องพ่วงตนเองกับสัญลักษณ์ ดังนั้น ก็จึง
ขอฝากความหมาย ตามประเด็นคำถาม นี้ ไว้ดังนี้ด้วย ว่าโลกเราปัจจุบันนี้
ทราบว่า มีคนเจ็บป่วย ด้วยโรคที่เรียกว่า ‘โรคกลัวอิสลาม’ ซึ่ง ผู้คน ได้
เจ็บป่วยไปอย่างนั้น ก็มี, ฉะนั้น อาตมา ก็จึงจะขอให้รายละเอียด
และขอปลอบใจด้วยสักหน่อยว่า ที่แท้ ป่วย! ด้วยโรค กลัวแขก กันทั้งหมด
ทั้งโลกนี้ นั่นแหละ, และทุกท่านว่า ตรา ทั้งหมด ๕ อย่าง นั้น จะ
ไม่ใช่แขกไปได้อย่างไร? ทุกท่าน ก็พึงเพ่งดูความหมาย ของตราสัญลักษณ์ ฉะนั้น
ทั้ง ๕ ตราสัญลักษณ์ สัก ตรา ละ ๑๕ นาที ดูเถิด จึงจะเห็นชัด
แก่คลองแห่งมโนทวาร ว่า เป็นเรื่อง ของแขก หรือ เรื่องของ แอก! นั่นเอง
อยู่ทั้งหมดทั้งนั้น นั่นเอง, ซึ่ง เป็นธรรมดา ว่า บรรดา
ประดาผู้ที่เป็นอิสระชน อยู่ตามปกติธรรมดา ย่อมที่จะต้องมีความหวาดกลัว
เป็นธรรมดา เพราะว่า ไม่มีอิสระชน ที่ไหน ที่ใด หรือคนใด ต้องการที่จะเทียมตน
หรืออิสระของตน ไว้กับ แอก อันใด อันไหนอีก, ฉะนั้น เมื่อเห็นสัญญะ
ด้วยตราลักษณ์ ๕ อย่างนั้น แทนที่ จะยิ่งได้นึกรักหน้าที่
หรือเข้ารักษาหน้าที่ แต่อาจกลับกลายเป็นว่า กลัว ที่จะได้ทำตามหน้าที่
จึงต้องให้ ทิ้งภาระหน้าที่ไปเลย ก็มี, หรือย่อมให้เกิดคำถาม
แก่การไม่ต้องการแอก (แขก) เช่นนั้นว่า เราจะมิพึง คิดค้นตริตรอง
คืนกลับมานิยมตะวันออก คือตะวันออกของเราเอง หรือนิยมตัวเอง
จะมิมีดีกว่าบ้างหรือ ถ้าหากจำพึงจะต้องมีแอก (แขก) หรือ จำพึงควร จำเป็น
แก่ความ ที่เราควรจะต้องเป็นไปตามกำลังแห่งดวงอาทิตย์
ด้วยชีวิตอันทำตามความเป็นธรรม ที่เป็นธรรมดา เป็นปกติ”

…อาตมา ขอแนะนำเพื่อน ๆ ว่า ดู หรือรับทราบ สื่อสำเร็จรูป
หรือรูปธรรมสำเร็จรูป ทางสารคดี หรือบันเทิงคดี ดังกล่าว ที่เป็นคนแสดงจริง ๆ
ไปเลย ดีกว่า, จึงดีกว่า แก่แค่การ ที่จะต้องมาคิดนึก ตรึกตรอง หรือ
มานั่งแกะความหมาย จาการแทนค่า จากการอ่านหนังสือ
หรือการที่ต้องให้กำหนดความหมายทางสัญลักษณ์ ที่ซึ่ง อย่างไร ก็จะต้องไปสู่จุด
ที่พึงต้องทำเป็นสิ่งสำเร็จรูป ให้อย่างนั้น เป็นลำดับต่อ ๆ ไปนั่นเอง
ในความที่ทุกคนควรจะต้องทำความชอบใจ หรือทำความที่ไม่ต้องขัดใจ…

https://www.youtube.com/watch?v=VXGRZ6O38ec&pp=ugUEEgJlbg%3D%3D
https://youtu.be/xB4iFysPm9Q
https://youtu.be/IyVicu3UrXs
https://youtu.be/4SjQ-E2UnMc
https://pantip.com/topic/43782956

…แล้วการเสพสื่อบันเทิง หรือสื่อสารคดี ก็จึงต้องดั่งนั้น คือ จึงควรต้อง ชัด!
และไม่ตีขลุม คือต้องจำแนกได้ว่า จะต้องให้อาตมา ที่ยังอยู่ในวงจร
ของการเป็นพระ พึง ต้องทำความคืบหน้าอะไร หรือจะพัฒนา ให้สมบูรณ์บริบูรณ์
เรียบร้อย แก่อะไร? ที่เกี่ยวข้องกันกับพระไตรปิฎก หรือสิ่งความ อันที่ควรเป็น
ความหมายในทางศาสนา ต่อความปรากฏ แห่งอะไร ในเรื่องประดา ต่าง ๆ เหล่านี้ อาทิ

๑. แสดงอุปกรณ์และเทคนิคอุปกรณ์ (อะไร?)
๒. งานหนังหรือวิธีทางการละคร (อะไร?)
๓. งานดนตรีเพลงและบทกวี (อะไร?)
๔. งานเกมและกีฬา (อะไร?)
๕. วรรณคดีและศิลปะ (อะไร?)
๖. รูปธรรม ทางวิทยาศาสตร์ หรือมาตร การ ‘ชั่ง ตวง วัด’ (อะไร?)

นัย เพราะอาตมา ยังคงเป็นมนุษย์ ประเภทที่ มิได้ขอพร จาก ๖ สิ่ง ประดานี้
เช่นนั้น, แต่ความอยากที่จะได้พร สำหรับความที่อาจ
ที่พึงจะกระทำได้สมกับมโนรถแห่งตน แล้ว ก็ มี ก็เป็น เหมือนกันกะ
อย่างที่เพื่อน ๆ ทุกคน เป็น นั่นเอง คือกลัวว่า จะทำความดีที่ทำมาทั้งหมด
ดังกล่าวนั้น กลัวว่า จะทำเสีย หรือกลัวว่าจะทำการให้เป็นโมฆะ
คือทำให้เป็นจริง ไม่สำเร็จ, แต่ ซึ่ง โมฆะไป นั้น ก็เป็นเพราะ ด้วยเหตุที่ว่า
โลกสมัยปัจจุบัน นี้ ได้ถือแล้วว่า ‘วัตถุข้อมูล วัตถุธรรม คือพระไตรปิฎก’
มิได้มีค่าไปกว่าหนังสืออื่น ซึ่งสิ่งที่อาตมา ตรวจทำสมบูรณ์
และตรวจทานไปให้แล้วนั้น ก็จึงยังคงเป็นแค่เรื่องเปล่า ๆ อยู่
หรือเป็นดั่งกรรมที่เป็นการโมฆะไปแล้ว หรืออย่างไร ก็ไม่อาจจะหยั่งจิต
ให้ได้รู้ได้ทราบได้ ถึงผลานิสงส์สิ่งวิเศษ ปวงประการทุกสิ่งพึงจะได้
ความสมบูรณ์บริบูรณ์คืนกลับมาให้ทุกคนนั้น พระไตรปิฎกสำหรับสารบบอันนี้
ในสารบบ อันนี้ ยังคงกระทำให้สมบูรณ์บริบูรณ์ดี ยังทำไม่ได้
ทั้งที่พึงอาจสามารถทำได้แท้ ๆ แต่โลกปัจจุบัน กลับมิได้มีสิ่งใดอำนวย
หรือเร้าใจ ให้ต้องกระทำให้ได้…

ขอแสดงความนับถือ
Phra Nirut Cittasamvaro Jotilipikara | roto...@gmail.com

หมายเหตุ: อีเมลนี้ถูกส่งผ่านทางแกดเจ็ต “ฟอร์มรายชื่อติดต่อ” บน
https://tripitaka91.blogspot.com

เครื่องหมาย สำคัญ แห่งกองตราอาลักษณ์ พระอาณาจักร พระจักรพรรดิ์สิทธัตถะ แบบพื้นสีเข้ม.png

Phra Chittasangwaro

unread,
Oct 14, 2025, 10:34:46 AM (12 days ago) Oct 14
to reg...@googlegroups.com

เครื่องหมาย สำคัญ แห่งกองตราอาลักษณ์ พระอาณาจักร พระจักรพรรดิ์สิทธัตถะ แบบพื้นสีขาว.png

พิสูจน์ใจ พิสูจน์ตำรา พิสูจน์อักษร?

“กล่าวแก่ ความติดต่อกัน ของความเป็นจริง แห่งสิ่งที่เป็นจริง ฉะนั้น
ใครจะมาถ่วง เราก็ไม่ว่ากัน, เพราะมันเป็นไปได้ทั้งหมด เหมือนกัน
กับที่ใครจะปักหลัก หรือให้รอนแรมเดินทางตลอดไป จึงไม่ต้องถือว่า ใครต้องถ่วง
เพราะความเป็นห่วง เพราะพื้นที่ทางความติดต่อ ฉะนั้น แม้นมากประเด็น
หรือความต่าง แต่ย่อมรู้อย่างแน่นอนทีเดียวว่า ‘ใช้น้ำจากบ่อเดียวกัน’,
ซึ่งที่จะสูบไปใช้เยอะบ้าง หรือใช้น้อยบ้าง แต่ยังมิได้ประสบพบเจอปัญหาที่ว่า
‘น้ำบ่อ บ่อกลาง’ ที่มิได้หวงนี้ มิได้พบว่า มีปัญหาแห้งขอด
หรือแห้งเหือดหมดสิ้นไป แต่อย่างใด ประการใด ฉะนั้น จะสัญจรรอนแรมไปด้วย
กับการแก้ปัญหา หรือปักหลักที่จะแก้ปัญหา ก็ย่อมที่จะไม่พ้นปัญญา บริหารบริษัท
ไปตามปัญหาเหล่านี้ อันคือ เรื่อง

บริเวณ ๑
บริวาร ๑
บริขาร ๑
และบริกรรม ๑

ด้วยซึ่ง การกำหนดบริกรรม ฉะนั้น จะว่า กำหนดให้อยู่ฐานศีรษะ มิกำหนดโคจร
และมิทำความเพ่ง ฉะนั้น แม้นจรดถึงแต่อารมณ์เล็กน้อย ก็ตามที
แต่น้อมโน้มการปักหลัก มากกว่าที่จะคล้อยต่อการสัญจรรอนแรมไป, แลคำว่า
การปักหลัก นั่นเอง คงจะพึงให้กล่าวแก่ความ มีสถาบัน, เพราะว่า เมื่อมีสถาบัน
จึงได้หลักคิด จึงต้องหาความต้องกันแก่หลักการ คือสถาบัน, ที่ซึ่งคำ
แห่งความกำกวม ฉะนั้น คงจะต้องยกกล่าวแด่ประเด็นบริวาร เพราะคำว่า บริวาร
ย่อมแยกนัยไปได้ อยู่ ๒ อย่าง โดยธรรมดาปกติเสมอ ว่า คือ ปริวาระ มหาวาระ
หรือหมายถึงผู้คนแวดล้อม หรืออุปัฏฐากรับใช้ ที่มีอยู่นั้น จะพึงถือเอา
บริวารภายนอก หรือพึงถึงสัจ ที่เป็นบริวารภายใน ที่เป็นนัย ที่พอความแก่

ธรรมสถาน
อรรถประโยชน์
ชื่อ บัญญัติ และภาษา
หรือไอเดียที่ผุดมาทางคลองแห่งมโนทวาร ฉะนั้น

ถ้าใคร่แสดง ความติดต่อ ที่เป็นจริงแล้ว จะกล่าว ว่า ‘เป็นเรื่องภายใน’
เท่านั้น ใครจะกล่าวได้, ฉะนั้น หากกล่าวว่า เป็นปัญหาภายในสถาบัน
ย่อมที่จะไม่ใช่อย่างนั้น และกล่าวว่า เป็นปัญหา คือ
เป็นเพราะความไม่บริสุทธิ์ของหลักการ ก็พึงคงจะไม่ใช่อย่างนั้น, เพราะทุกกลุ่ม
ทุกหมู่ ทุกเหล่า ใช้น้ำบ่อ บ่อกลาง บ่อเดียวกัน อยู่โดยสันติ แลมิได้มีปัญหา
ว่าใครจะสูบไปใช้มาก, ฉะนั้น เมื่อพิจารณาแล้ว พวกนักบวช แบบธุดงค์
เห็นจะมีปัญหาไปเพราะ คติแห่งการสัญจรรอนแรมนั่นเอง ที่ต้องการจะรอนแรมสัญจร
ด้วยการที่จะต่อท่อน้ำจากบ่อน้ำ นี้ ให้พ่วงติดต่อ การเดินทางไปด้วย
จึงหาวิธีเช่นอธิบายดังกล่าว, แล้วจึงให้โน้มความพิสดารวิตถาร
ไปด้วยความยักเยื้องมากเกิน ด้วยว่า จะให้จำเพาะว่า

บ่อน้ำ คือบริเวณ
บ่อน้ำ คือมหาวาระ เวลา
บ่อน้ำ คือบริขาร เครื่องมือ
บ่อน้ำ คือชื่อ บัญญัติ และภาษา เช่นนั้น

ว่าคือ บ่อน้ำ ไปทุกเรื่อง, แต่ทั้งที่จริง ศาสนบริษัท ย่อมแต่จะต้องหมาย
หรือพึง ถือเอา อัฐบริขาร หรือ บริขารปัจจัย นั่นแหละ ว่าคือ ‘บ่อน้ำ บ่อกลาง’
ที่ใช้ร่วมกัน อยู่ สำหรับ ศาสนบริษัท, ซึ่งย่อม บันดาลสุข
ให้พอพ้นจากความกันดารได้ ไม่ต้องกลัว ว่าจะ ไม่พึง มีน้ำใช้ น้ำฉัน
ในระหว่างทาง ที่แท้ย่อมจะไม่ใช่เลย เพราะปัญหามิใช่การปักหลัก
หรือการต้องรอนแรมสัญจร เดินทางไป ว่าจะใช้น้ำ บ่อเดียวกัน นี้อย่างไร?,
เพราะที่จริง การมีบ่อน้ำไม่ใช่เรื่องของสถานที่ ภูมิความรู้
หรือการมีพลังจิตสูงในการบริกรรม, แต่ มีบ่อน้ำเดียวกัน หมายถึง การ นุ่งสบง
ทรงจีวร คล้องบาตร ไม่ขาดผ้าสังฆาฏิ และอดิเรกแห่งบริขารเหล่านั้น จึงเรียกว่า
ใช้อำนาจศรัทธา หรือให้ดำเนินการแก่อำนาจศรัทธา ให้เป็นอยู่และเป็นไปในพุทธเขต
ฉะนั้น เรื่องการกำหนด ฐานศีรษะ อย่างไรไปนั้น เลยไม่เข้าใจเรื่องนี้ ดังนั้น
จึงมักจะหาว่า หรือเข้าใจว่า พระเรา เมื่อไม่มีหมวก หรือชฎาพิเศษ
จะเรี่ยไรไม่ได้ จะไม่ได้ของถวาย หรือจะต้องอดตาย กลางคัน แห่งการสัญจร, เพราะ
คงจะยังไม่รู้ว่า ฐานศีรษะ ของพุทธอาณา และพุทธเขต ก็คือเรื่อง ของ ’หมวกโกน
หรือชฎาโกน’ นั่นเอง ที่รวมอยู่ในความหมายของ คำว่า บริขาร และเรื่องก็คือ
‘รองเท้า เท้าเปล่า’ ก็ด้วย ที่พึงเรียกว่า การกำหนด พุทธจักร ให้ดำเนินไปอยู่
ในสิ่งที่เรียกว่า ชุดบริขาร”

https://www.facebook.com/LOIKNT
https://pantip.com/topic/43786016/comment10
https://x.com/Ariyaka_script
https://youtu.be/4SjQ-E2UnMc

“การเปลี่ยนแปรไปหนึ่งเดียว โดยรวบความ คงต้องเรียกว่า การไป ยังที่สัมปรายภพ
หรือให้ตั้งต่อกัน กะทิศที่มีนิพพาน ฉะนั้น ก็คือ จำจะ ต้องให้น้ำหนัก
หรือก็คือ ต้องการกรรม หรือต้องทำกรรม นั่นเอง, ส่วนหนึ่ง หรือส่วนใหญ่
จึงมักจะกล่าวแค่ นิพพานในปัจจุบัน เพื่อการจำแนก
หรือให้รู้เห็นส่วนที่ประมาณได้, เพราะในที่สัมปรายภพ
ย่อมหมายถึงการดับสิ้นเชิงโดยไม่เหลือเลย, ซึ่ง โดยนัย ก็คือ
เมื่อดับสิ้นเชิงโดยไม่เหลือเลย ย่อมเรียกได้ว่า
ขาดกันสิ้นเชิงด้วยกันกับแดนมนุษย์ ซึ่ง ถ้าหากที่จะกล่าวไปถึง
ความเนื่องกันไปตลอดอย่างนั้น, ก็จะต้อง มาทำความเข้าใจ ธรรม เข้าใจ เหตุ
เข้าใจ คติ แล้วก็ให้ปรารภไปใน ประการอย่างนี้ ฉะนั้น คือ ‘ปรารภธรรม
ปรารภเหตุ ปรารภคติ’ อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วเรียกว่า ได้ตั้งปรารภความเพียร
หรือได้เริ่ม มีปฏิญาณ หรือมโนปณิธาน, มี การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ในลำดับที่
ไม่เป็นโมฆะ หรือไม่ทำให้การเกิดมาได้อัตภาพนี้ให้สูญเปล่า, ที่ซึ่ง มิใช่ว่า
ใคร ท่านไหน ที่มุ่งการมีสติ ถึงสิ่งฉับพลัน จรดแต่ในความเฉพาะหน้า
หรือกล่าวแต่ การกระทำแต่ ความดำเนินไปในความที่ มีความตาย หรือติสุขทุกชนิด
หรือมุ่งการได้แต่การมีนิพพานในปัจจุบัน จะหาว่า ท่านเหล่านั้น
ทำกรรมให้เป็นโมฆะ หาได้ไม่ หรือทำการเกิดมาให้เป็นเปล่า ๆ เท่านั้น
ย่อมไม่ใช่,

ดังนี้แล้ว หากจะกล่าวเรื่อง กรรม ก็จะไม่ตรงนัก สำหรับความต้องการ
ในการที่จะได้บ่มเพาะ หรือสั่มสมปัญญาในทางมรรคผล, เพราะความสังวรระวัง
ในการที่เรียกว่า ‘เก็บจิตของตน แล้วเป็นไปตามจิตท่าน’ ก็ย่อมเรียกว่า
ได้ผนึกตนเองกับทางมรรคผลด้วยเช่นกัน เพราะในเรื่องมโนสัญเจตนาหารฉะนั้น
ไม่ใช่ จะถูกตรงแก่สารูป แห่งอรรถาธิบาย เช่นที่บอกว่า ‘กายก็ไม่ใช่ของเรา
จิตก็ไม่ใช่ของเรา’ แต่ท่านกล่าวกัน แด่ประการที่เรียกว่า นิพพานในปัจจุบัน
หรือการดับสิ้นเชิงอย่างสัมปรายภพ ซึ่งคำกล่าวอย่างง่าย ๆ ฉะนั้น
ในการแสดงเจตนาใหญ่อย่างนั้น (ดั่งบุรุษมีกำลัง ฉุดแขนทั้งสองข้าง
ลงยังหลุมถ่านเพลิง อาทิ ดังกล่าวนี้ หมายความว่า โลก และดวงจันทร์
เป็นไปตามกำลัง ของดวงอาทิตย์) ก็อย่างที่พระป่า หรือพระธรรมยุต นักธุดงค์
ที่ท่านคุยกันด้วยคำง่าย ๆ หรือถามกันด้วยคำง่าย ๆ ที่ว่า
‘หลวงปู่ท่านเป็นอย่างไร? หรือพระอรหันต์ท่านเป็นอย่างไร?’ แล้วก็ให้ตอบกันว่า
‘พระอรหันต์ท่านอยู่ฟากตาย หลวงปู่ท่านอยู่ฟากตาย‘ คือหมายความว่า
ท่านอยู่ในนัย อาทิ สัมภาวะ แด่ที่ไม่ใช่ แดนมนุษย์อย่างของเรา เช่นนี้ ซึ่ง
ก็คือ หมายความว่า ท่านมีความติดต่อ กะความดับสิ้นเชิง ที่เรียกว่า
ในที่สัมปรายภพ, เช่นนั้น จึงเกิดข้อคิด หรือข้อสังเกตว่า อะไรกันหนอ?
ให้มีความติดต่อ ไปสู่ สิ่งที่เรียกว่า เกี่ยวแก่เจตนา หรือกรรมอะไร, ฉะนั้น
การกล่าวอะไรสอนอะไร ก็จึงต้องมุ่งกล่าวความ กันตรงที่เจตนา

แต่การนั้น กรณี หรือ อกรณี อย่างไรก็ตาม มันย่อมมีการณ์ มีกรณี ที่เรียกว่า
‘หาตัวการไม่พบ’ ก็เป็นเรื่อง ที่ มีอยู่ ซึ่ง ดังนั้น ตรงส่วนเช่นกล่าวนี้
นั่นเอง ย่อมที่จะต้องกล่าวได้ว่า ทำกรรม หรือเป็นกรรม ย่อมกล่าวไม่ได้,
เพราะย่อมที่จะกล่าวได้แค่ว่า ‘พระธรรมจักร พระพุทธเจ้ากระทำให้เป็นไปแล้ว
ทรงหมุนธรรมจักรแล้ว‘ , เช่นนี้ เมื่อความจริงอีกระดับหนึ่ง (มีที่สัมปรายภพ
และมีทิศที่มีนิพพาน) เป็นเช่นนี้ คือเป็นเรื่องธรรมจักร แลพระธรรมจักรนั้น
เป็นเพราะพระทศพล คือพระตถาคตเป็นผู้ลิขิต ให้ดำเนินไป ฉะนั้น
สิ่งที่สัมพันธ์กัน โดยที่ ไม่อาจที่จะมีการกำหนด ความมุ่งหมาย
ที่ใหญ่กว่านี้ไม่มี ฉะนั้น จะกล่าวอะไรว่าเป็นเจตนา
และจะกล่าวว่าอะไรเป็นกรรม ดังนี้ จึงเป็นปัญหาแก่การอนุมาน คือการชั่ง ตวง
วัด นั่นเอง ทำไม่ได้, และเพราะ เรื่องอาหาร ๔ พึงจะเป็นหลัก
หรือเป็นกำหนดไปซึ่งอรรถาธิบายอย่างนี้ได้, ดังนั้น ซึ่งพวกนักคิดในปัจจุบัน
หรือนักศึกษาพุทธศาสนาในปัจจุบัน ย่อมเข้าใจอยู่เองว่า ‘การเสพกรณี และอกรณี
ที่เรียกว่า มโนสัญเจตนาหาร’ ย่อมจะต้องเป็นประการที่จะให้ได้วิเศษอย่างที่สุด
คือย่อมจะให้ได้ที่ ที่เรียกว่า ในที่แห่งสัมปรายภพ อย่างนั้น เช่นนั้น
เป็นที่โน้มลง ของการทำกรรม คือให้ หรือกำหนดให้กระทำ โดยใช้เจตนา”

ขอแสดงความนับถือ
Phra Cittasamvaro | blog...@outlook.co.th

PASSWORD2.jpg

Phra Chotiko

unread,
Oct 16, 2025, 10:33:48 AM (10 days ago) Oct 16
to reg...@googlegroups.com
Nirut_Jotilipikara (1).jpg


พิสูจน์ใจ พิสูจน์ตำรา พิสูจน์อักษร?

“ความเย่อหยิ่ง ต่อการศึกษาเรียนรู้ ย่อมมีมาได้ทุกแง่ และการสยบหรือยอมตน
ก็มีได้ทุกแง่เหมือนกัน เพราะประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับวิชาความรู้
หรือความรู้สึก ที่มีต่อสัญญะ ตามความหมายอย่างไร นั้น ๆ ถ้ารับรู้
เราก็ย่อมรับรู้ แลคิดคืบไปในความเปลี่ยนผันของ ๒ ประเด็น คือ ย่อมรู้สึกว่า
ถูกสถาปนายิ่งขึ้น เพราะการตรา และการสถิต หรือให้อรรถาธิบายอย่างนั้น
และอีกประเด็นหนึ่ง ในแง่หนึ่ง ก็คือ รู้สึก เหมือนกับว่า ถูกแบล็กเมล์
จากความหมาย หรืออาณัติแห่งสัญญะ อย่างนั้น ๆ นั่นเอง,
ซึ่งเราจะได้ทำใจยอมรับก็ดี หรือไม่ทำใจยอมรับก็ดี แต่ที่จริง
เรื่องแห่งความจริง ย่อมที่จะต้องหมายความว่า โลก เจริญอยู่ ได้ ด้วยภาษา,
ซึ่งภาษา ก็มีทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน

แล้วก็นิยามกันตลอดไปอย่างนั้น ว่า‘เสียงออกมาจากที่ชุ่ม รูปออกมาจากที่แห้ง‘
แต่ก็ย่อมอยู่ในรูปความดั่งเดิม นั่นเอง แด่การรับรู้ คือย่อมให้รู้สึกว่า
ได้ถูกสถาปนายิ่งขึ้น หรือว่า ถูกแบล็กเมล์ ซ้ำ ๆ ด้วยการทำความยักเยื้อง
และให้กระทำความแยบคาย แบบต่าง ๆ หรือ ที่ อาจจะบอกว่า ‘เราได้พัฒนากันไป
เพราะย่อมได้เห็นอยู่แล้ว ชัด ๆ ว่า เราได้สร้างคำที่มีความหมายใหม่ ๆ’ ,
ดังนี้แล้ว ก็ย่อมลูปคือวนไปเหมือนเดิมอย่างนั้น นั่นแหละ ทุก ๆ ความประหวัด
และความคนึงถึง คือ ย่อมคิด และรู้สึกว่า สถาปนายิ่งขึ้น หรือ?
ยิ่งถูกแบล็กเมล์กันแน่ ในการที่ได้มีการเกิด หรือกำหนด แก่
การสร้างคำที่มีความหมายใหม่ ๆ หรือภาษาใหม่ ๆ, ดังนี้
ก็น่าที่จะชี้แจงให้ดีเสียก่อน ต่อการที่จะให้ผู้คนประหวัดใจ หรือกระหวัดใจ
แด่การประกาศซึ่ง สิ่งอัน เป็น วาระ หรือประวัติการ เช่นนั้น

ฉะนั้น ดังกล่าวนั้น เห็นจะเป็นประเด็นที่กล่าว ว่า พึงจะยอมสยบ
หรือจะมิยอมสยบ เพราะว่า ‘กรรมอันมีลิขิต แล้วในโลก’ ไม่ว่า จะเรื่องภาษาพูด
หรือภาษาเขียน แด่อาทิ สัมภาวะ ฉะนั้น แด่เรื่อง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ให้ได้มีการตรา การสถิต แลการประกาศ ไว้ ด้วยความหมายที่เรียกว่า คงความ
มีปาฏิหาริย์ อัศจรรย์ และความวิตถาร พิสดาร อย่างที่ กล่าวได้ว่า
ไม่มีกรรมลิขิต อะไร ๆ ใด ๆ ในโลกนี้ ที่จะให้แสดง หรือแถลง ความ มีปาฏิหาริย์
อัศจรรย์ และความวิตถาร พิสดาร ได้มากเท่า ทั้ง ๆ ที่
ได้มีความพยายามที่จะทิ้ง สิ่งความ ที่เรียกว่า มีปาฏิหาริย์ อัศจรรย์
และความวิตถาร พิสดาร นั้น, อยู่ทุก ๆ นิทาน ทุก ๆ ปุจฉา-วิสัชนา และทุก ๆ
พระสูตร แต่ก็ไม่อาจที่จะทิ้ง การสถาปนา ที่จะให้โลกมนุษย์นี้
ได้ความสมบูรณ์บริบูรณ์ ในนัย อย่าง นั้น ๆ ได้, หากว่า เมื่อใด มนุษย์
หรือบุคคลผู้หนึ่ง นั้น มีความพร้อม เพียงพอ ต่อการที่จะพึงสยบ และสมยอม
แก่การปฏิญาณสัจจะ

ซึ่งเรื่องว่า หากใครยัง แค่ปฏิญาณ ต่อมายาอยู่ แค่นั้น ฉะนั้น
ก็จำพึงจะต้องบอกแค่ว่า ‘มีความเย่อหยิ่ง’, แต่ความมีปาฏิหาริย์ อัศจรรย์
และความให้ได้ มีความวิเศษเหนือมนุษย์ หรือจรดให้มีความวิตถารพิสดารได้ ก็ยัง
จำความแต่ การมี ‘กรรมอันมีลิขิต แล้วในโลก’ เช่นนี้อยู่ดี แต่นั้น
ไม่ได้ว่าอย่างไร อย่างไหน หากใครจะอยู่อย่างสัตว์
แด่เพราะสัตย์ที่จะเกาะอยู่กับที่ชุ่ม ก็จำมิอาจจะต้องต่อว่า หรือแม้น
พึงบอกว่า เพราะโลกที่ให้เหือดแห้งจากกิเลส นี้ เช่นไรนั้น
ไม่ใช่ได้ด้วยการปฏิญาณมายา ก็ดี, และเพราะการกระทำตามเอกสาร หรือทำตามที่พูด
มันมีความหลอนหลอกอยู่อย่างเดียว ที่ไม่ใช่เรื่อง ของประวัติ
หรือการทำความหมายตามความหมาย, แต่เรื่อง จริง เป็นเพราะว่า มันยังไม่ถึงเวลา
ที่ทุก ๆ ส่วน ทุก ๆ กอง จะต้องมายกประกาศ ให้ตรงกันว่า
‘พระพุทธเจ้าตรัสภาษาเขียน และให้สถาปนาแล้วซึ่งพระอักษร คือพระอักษรอริยกะ’
แด่ พุทธจักร พุทธเขต และพุทธอาณา แห่งการงาน และทุกสิ่งสารพัด
แห่งชาติพระพุทธศาสนาดินแดนสุวรรณภูมิ’”

พิสูจน์ใจ พิสูจน์ตำรา พิสูจน์อักษร?

“ต้องกลับมาที่ความรู้ ภพ ภวภพ สภาพ สภาวะ ด้านขาว ที่มีอยู่ รวม ๗ แถบสี
โดยมิต้องเถียง, จรดกับ ด้านมืด ด้านดำ หรือหลับตา สำหรับความให้คืบหน้าไปนั้น
หากสิ่งใด เป็นไป เพราะไม่สัมผัสสัมพันธ์กันกับโจท แล้วก็ ย่อมมิได้ถือว่า
เป็นความวัฒนา คืบหน้า, ดังนี้แล้ว ก็เหมือนเคย คือการจะต้องตอบ
หรือให้ระบุความหมาย จรดลงไปในส่วนประกอบ ที่สัมผัสสัมพันธ์ไปด้วยกันกับโจท
ในทางใดทางหนึ่ง หรือส่องให้เห็นให้รู้ส่วนใดส่วนหนึ่ง,
แลเพราะในการส่องความนั้น เป็นเรื่อง ของมืดกับแจ้ง หลับตาหรือลืมตา แด่เรื่อง
ชื่อ บัญญัติ และภาษา ที่ทอดเรื่องออกไป โดยที่จะต้องไม่ทิ้งสาระสำคัญ
ของสัญญา หรืออาณัติสัญญา ดังกล่าว ฉะนั้น, ด้วยประมาณ อันเรื่องคง
ที่จะเป็นความท้อใจแล้ว ที่จะ อยากสวด อยากท่อง อยากจำได้
หรืออยากที่จะเพิ่มเมมโมรี งานข้อมูลให้ไปถึงขีดขั้น ของทัพสัมภาระ
ที่ควรบรรทุก, ซึ่งด้วยถ้าคิดอย่างนั้น มุ่งอย่างนั้น ก็คงจะต้องมีแต่หน้าที่
ร้องเพลงสวด หรืออยู่ที่โรงสวด เพื่อสอบทาน หรือตรวจทาน ทวนทาน
เพลงสวดเหล่านั้น บทนั้น ในโรงปะรำพิธี, แล้วเช่นนั้น
ก็คงจะไม่ได้เป็นผู้สร้าง หรือผู้ผลิต แต่ว่าจะต้องเป็นผู้เล่น หรือผู้แสดง
ร้อยแก้ว หรือบทกวีเช่นดังกล่าว

ด้วยเรื่อง ของ การเล่น การแสดงดังกล่าว สำหรับบาทพระคาถา บทพระคาถา
ที่ท่านมีไว้ให้ อัน ย่อมกระทำขึ้น
แด่ความมุ่งมาดปรารถนาที่จะเคลื่อนย้ายทางสังคม ไปด้วยกัน หรือมุ่งมาดปรารถนา
ที่จะได้เคลื่อนย้ายในทางจิตวิญญาณ ไปด้วยกัน ดังกล่าว เช่นนั้น ที่สวด
ที่ร้อง ที่รำพัน อธิษฐาน กันอยู่ทั้งวัน ทั้งคืน ในโลกที่มืด และสว่าง
เช่นนี้ เมื่อเวลาได้ กระทำความพร้อมสรรพกำลัง
แก่การที่จะเคลื่อนย้ายกันไปสู่กลางวัน ดังนั้น ก็บริกรรมมนต์ หรืออธิษฐานมนต์
จำพวก หรือแบบ หรือบท อย่างที่จะเชิญเทวดามา แล้วเมื่อเวลาใด
กระทำความพร้อมแห่งสรรพกำลัง แด่การที่จะพึงต้องเคลื่อนย้าย พลพรรค วรรค
และพลความ จะย้ายไปสู่ห้วงกลางคืน ก็จำต้อง บริกรรมมนต์ หรืออธิษฐานมนต์
หรือประกาศ บท ที่จะต้องเชิญเทวดากลับ จึงให้เคลื่อนย้าย สรรพกำลัง
แห่งการศึกษา โดยที่ยังต้องศึกษา นั้น ได้ย้ายไปอยู่ ณ ยามราตรี,
แล้วแก่ความหมาย ของการแสดงมนตร์ ที่แท้จริงนั่นเอง ที่ว่า จะประกาศ
หรือท่องเป็น ตัว ๆ หรือจะแสดงเป็น คำ เป็น ประโยค จึงถูกยกขึ้น
สู่ส่วนที่เรียกว่า ความรู้ หรือความสำเหนียก ในทางหนังสือ

ดังกล่าว เช่นนั้น หรือที่ถามนั้น แสดงว่า การที่ให้ได้อยู่กับบริกรรมนั้น
เป็นการที่ได้ใช้สมประดี หรือสัมปชัญญะ ไปเกาะอยู่กับเสียง หรือรูปความ,
แลโดยที่เกิดขึ้นเพราะสรรพกำลัง หรือเกิดกำลัง (สวดองค์เดียว),
ด้วยกระแสของความเคลื่อนย้ายทางความสัมผัสสัมพันธ์เช่นนั้น มันย่อมจะเกิด
การทัดทาน ทวนทาน การกด หรือการช้อนขึ้น หรือชู ถ้อยความหรือสิ่งความนั้นอยู่
ซึ่งถ้าหลงอยู่กับเสียง ก็ย่อมได้สัตย์สัญญาในทางเสียง เป็นการเคลื่อนย้าย
แต่ถ้าหลงไปกับรูปความ ที่เป็นอักขรนิมิต ก็ย่อมได้สัตย์สัญญา ในทางรูป
เป็นการเคลื่อนย้าย, แล้วนั้น ชาติไทย หรือชาติสุวรรณภูมิเรา
มิใช่แค่จะกำหนดให้รู้ แต่แค่ ๑ ชั้นความ หรือแค่ ๒ ชั้นความภาษา
แต่โดยภาษาที่แท้ หรือกำหนดจิต ไปถึงบัญญัติที่แท้ โดยการไม่รู้การกำหนด
แห่งชั้นความ ดังนั้น, เมื่อสวด เมื่อสาธยาย ก็จึงเป็นการรู้น้อย
หรือได้ประโยชน์น้อย แห่งการสวดการสาธยาย เพราะที่จริง
จะต้องให้ได้สัมผัสสัมพันธ์ กันไป หรือเคลื่อนย้าย สรรพกำลังกันไป ตลอด ๓
ชั้นความ หรือ ๕ ชั้นความ จึงจะได้ความหมายของการสวด
หรือการให้สาธยายมนตร์บทนั้น”

🌠💻 พระตถาคตลิขิต 📄💼 🔥

“ถ้าจะให้สอนให้อธิบาย เด็กหญิง หรือลูกหญิง, ข้าพเจ้า จะบอกว่า ส่วนใหญ่
คนแถวพิษณุโลก พิจิตร และอุตรดิตถ์, มักที่จะเข้าใจดี และสอนกันว่า ‘พระเณร
ท่านสละสิทธิ์ ที่จะได้ ๓ ไปเอาแค่ ๑ (ส่วนในอาหาร และทรัพยากร)’ ฉะนั้น
พวกเรา ก็จำต้อง ตามไป เอา ๒ ส่วนที่ท่านไม่เอา หรือ สละแล้วนั้น ไปให้ท่าน
เพราะว่า เราก็ต้องแสดงว่า เราก็เสียสละเหมือนกัน ไม่ใช่สำคัญว่า ท่านสละแล้ว
ตนเองต้องได้ ทั้งหมด ๕ ส่วน (พระเณร สละ ไป ๒ มื้อ ๒ ส่วน ชาวบ้าน
หรือคนทั่วไป จึงได้ มื้ออาหาร หรือทรัพยากรทั้งปวง นั้น เพิ่มขึ้น เป็น ๕
มื้อ หรือ ๕ ส่วน), ดังนั้น คน พิษณุโลก พิจิตร และอุตรดิตถ์
จึงมักที่จะเผลอตัว และคิดตลอดว่า ‘เราควรจะต้องบำรุงและดูแลพระเณร’ ผู้คน
พิษณุโลก พิจิตร และอุตรดิตถ์ สมัยที่ ลูกชาย ลูกหญิง ของ ข้าพเจ้า ถือกำเนิด
(ประมาณ พ.ศ. 2519-2520) ฉะนั้น จึงย่อมไม่พบ ว่า ผู้คน
ได้มีความคิดต่อพระเณรดั่ง ที่ปรากฏนั้น, แต่นี้ คง เป็นความ หรือเป็น
ประมาณความ เมื่อสมัยนั้น หรือสมัยเก่า เท่านั้น ต่อความรู้
หรือการแบ่งส่วนของทรัพยากร ว่าควรทำอย่างไร ด้วยเกณฑ์อะไร ในปัจจุบัน
ข้าพเจ้า ไม่ทราบข้อมูล และยังคงไม่ได้รับทราบถึงแนวทาง
และวิธีที่จะพึงระลึกนึกถึง หรือคิด และรู้สึกต่อพระเณรอย่างยุติธรรม ประชาชน
หรืออิสสรชนอย่างพวกเรา พึงจะคิดอย่างไร ในเมื่อ สิ่งที่ควร ก็คือ ทุก ๆ คน
ตามปกติ นั้น ย่อมพึงที่จะต้องมีส่วนในทรัพยากรทั้งปวง ต่าง ๆ อย่าง เท่า ๆ
กัน ในขณะที่ ทรัพยากร นั้น ๆ อาจให้กันได้ หรือแจกจ่ายแบ่งกันได้”

ขอแสดงความนับถือ
Phra Yantasilo | wa...@googlegroups.com

Phra Chittasangwaro

unread,
Oct 18, 2025, 12:38:03 PM (8 days ago) Oct 18
to reg...@googlegroups.com, Phra Civaravamso
Screenshot 2025-10-18 162707.jpg

พิสูจน์ใจ พิสูจน์ตำรา พิสูจน์อักษร?

“วิธีการดูพระ น่าที่จะต้องดูว่า พระองค์นั้น มีโอกาส มีสิทธิ์
หรือมีความเป็นไปได้ หรือไม่ ที่จะเป็นพระของพ่อของแม่ ของบ้านหนึ่ง หรือ
เป็นพระของคนใดคนหนึ่ง หรือเป็นพระของสัตตะ หรือสัตว์ ได้หรือไม่,
ถ้าพิจารณาว่า มีโอกาส มีความเป็นไปได้ ก็สามารถ ระลึกถึงคุณ
หรือไหว้ความเป็นพระในตัวคนนั้นได้, เพราะความเป็นจริงของความเป็นอยู่
และโดยความเป็นนักบวช จริง หรือเป็นพระ โดยความสันโดษ
และความไม่เกี่ยวข้องกับใครหรือสิ่งใด อย่างน้อย
ก็จะต้องเป็นพระของคนใดคนหนึ่ง หรือบ้านใดบ้านหนึ่ง ได้ เป็นอย่างน้อย,
อย่างนี้ คือกรณี ที่ เรียกว่า เขาเป็นพระ เขาเป็นเทวดา ของบ้านใดบ้านหนึ่ง
หรือคนใดคนหนึ่ง, ซึ่งจริง ๆ ตัวอย่างที่พบในพระไตรปิฎก ก็เป็นอย่างนั้น
ซึ่งที่จะบิณฑบาต บ้านหลังเดียว แล้วก็จะทำความดีให้ คืออาจให้อรหัตผล
แก่บ้านนั้น หรือบิณฑบาตนั้น เลยทีเดียว

ทีนี้ ถามว่า พระอยู่ตรงไหน? ซึ่งความสามัญ หรือความปกติ ซึ่งก็จะต้อง
มีความสามัญธรรมดา อยู่ในพระไตรปิฎก นั่นเอง เพราะบอกอยู่แล้ว ว่า พระ!ไตรปิฎก
ซึ่งการสำเหนียกโดยทุกครั้ง ว่าเรากราบไหว้พระธรรม
ก็จำเป็นที่จะต้องมาอยู่จุดนี้ คือมาตรงจุดที่พินิจพิจารณาว่า
พระอยู่ตรงจุดไหน ส่วนไหน หรืออาจจะบอกว่า อยู่ แท็ก!ไหน? ก็นิยามหรืออนุมาน
ก็ต้องนิยาม หรือประมาณส่วนที่เพิ่มเติม หรือที่ยังขาดตกบกพร่อง นั้น ๆ อยู่,
ซึ่งว่า ความเป็นพระฉะนั้น ควรที่จะสถิตอยู่ ฉบับอะไร? เล่มอะไร? ข้ออะไร?
หน้าอะไร? บรรทัดเท่าไหร่? อักขระรวมเว้นวรรคเท่าไหร่?
อักขระไม่รวมเว้นวรรคเท่าไหร่? ห้วงขณะ เวลา หรือองค์ความนั้น ๆ ส่วนไหน
ควรอยู่ในความที่ต้องควรได้ความเคารพกราบไหว้ ซึ่งว่า ในทางพระธรรมยุต
ก็ย่อมกล่าวว่า ฉบับ พระธรรมเมธาภรณ์ เป็นพระไตรปิฎก ที่จัดเป็นหนังสือพระ
เป็นต้น เพราะพระธรรมเมธาภรณ์ ระแบบ ฐิตญาโณ เป็นแบบอย่างให้อุตสาหะในการบวช
ส่วน ฉบับ ของ สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นหนังสือ ฆราวาส เพราะ พระสุชีโวภิกฺขุ
เป็นตัวแทนของผู้อุตสาหะ ในการสึก หรือในการลาสิกขาไปครองโลก, เช่นนี้
คือการดูว่า หนังสือไหน (พระไตรปิฎกฉบับ?) เป็นหนังสือพระ หรือพระไตรปิฎก

แล้วนี้ แล้วก็พึงย้อนกลับคืนมา เทียบกันกับการสมาคมกันของมนุษย์เรานี้
ว่าใครเป็นหนังสืออะไร? หรือทำงานให้กับหนังสือ (ฉบับ?) อะไร?, แต่
ก็ต้องมาดูว่า ความผันแปร ความเปลี่ยนผัน หรือข้อสังเกต ตามจริง ตามภาวะ นั้น
เพราะ มันไม่แน่ ว่า วันนี้ ตอนนี้ มีเล่มเป็นพระ! มีข้อเป็นพระ!
มีหน้าเป็นพระ! มีบรรทัดเป็นพระ! หรือมีอักขระเป็นพระ! หรือว่ามีวรรค
หรือเว้นวรรค คือไม่มีในระหว่างนั้น ที่พึงได้เป็นพระ!, แล้วนั้น เราจึงรู้
จึงเคารพกราบไหว้ และทำความสนิทใจ ไปยังส่วนนั้น ๆ, เพราะ ส่วน
ที่จะต้องเป็นพระของบ้านเดียว หรือเป็นเทวดาของบ้านเดียว
เป็นส่วนแห่งความเป็นจริงในเชิงประจักษ์ ที่ทุกคน จะอาจสามารถ กระทำ
ให้แก่โลกนี้ได้, แต่! ที่เป็นปัญหาอยู่บ้าง ก็คงจะมี, เพราะอาตมา
ก็พบตัวอย่างมาแล้วว่า มีหลวงตาท่านหนึ่ง มาบวชอยู่ด้วยกัน พรรษาเดียวกัน นั้น
พระเราพูดคุยถามกันแล้ว ท่านบอกว่า มีบุตร แต่ท่านบอกว่า ถ้าบุตรของตนบวช
ก็จะไม่ใส่บาตร หรือไหว้บุตร ของตน เช่นนั้นได้เลย, อันนี้คือเรื่อง
ที่หลวงตาท่านนั้นกล่าว เล่าบอกออกจากความจริงใจแท้จริง, ซึ่ง
ก็พึงย่อมจะหมายความว่า บุคคลคนนั้น คงที่จะ ไม่อาจ ไม่สามารถ
มีความเป็นพระในตนเอง แก่ตัวเองได้เลย แม้แต่นิดแต่น้อย ก็คงไม่มี
ไม่ว่าจะแง่มุมใด, ถึงขนาดที่ว่า แม้นกระทั่งบวชแล้ว บิดามารดา ก็จะไม่ไหว้
และก็จะไม่ใส่บาตร”

https://tabphasathai.wordpress.com/wp-content/uploads/2017/01/theravada-227.pdf
https://pantip.com/topic/43792933/comment10
https://groups.google.com/g/reggolb/c/YGndAOE-8UI/m/m_R7owuMBAAJ

“มันเป็นเรื่อง ของการ ที่เราไม่อยากสร้างคำที่มีความหมายใหม่ ๆ เช่นนั้น
ศัพท์บัญญัติเหล่านั้น หรือญัตติเหล่านั้น จึงคงรูป อย่างนั้นเรื่อยมา แม้นว่า
จะมีใครคนใดคนหนึ่ง ได้แต่งจิตให้วิจิตร เช่นนั้น ในสมัยใดได้ก็ตาม
แต่ก็ไม่มีใครแต่งบัญญัติ เสริมบัญญัติ หรือทำลายจินตนาการเช่นนั้น เช่นว่า
จงแต่งจิตร แล้วยกสิ่งนั้นมาแต่งคำพูด เป็นต้น, อย่างนี้เป็นต้น เรื่องจึงย่อม
ไม่อาจเกิดคำถามอย่างอภิปัญญา ได้ว่า ญาณ หรือรูปความ นั้น
ที่ปัญญาสามารถหยั่งถึง เช่นนั้น ทำไมจึงไม่แต่งคำพูด หรือตราความนั้นว่า
อันซึ่ง ความนั้น ให้เกิดจากการทำจิตวิจิตร ได้ แล้ว ที่ควร
ก็น่าจะตราความได้ว่า ‘ปัญญุคคนิมิต’ กล่าวอย่างยิ่งไปอย่างนี้ จึงได้,
แต่เช่นนั้น มิได้มีใคร คิดที่จะแต่งคำพูด ยิ่งขึ้น หรือตราบัญญัติขึ้น
เช่นนั้น เพราะใจหลงชอบใจ สิ่งที่พึงอาจจะให้ได้สุขุมารมณ์ หรือได้ห้วงอารมณ์
อย่างพราหมณ์แบบเก่า ๆ เช่นนั้น นั่นเอง, การแต่งคำใหม่เช่นนั้น
จึงไม่มีการพูดถึง หรือทำให้มากยิ่งขึ้น, แลหรืออีกประการหนึ่ง
ก็อาจจะเป็นเพราะว่า การที่จะแสดงว่า เนื้อความ หรือรูปความทางตำรา เป็น
‘ปัญญุคคนิมิต’ ฉะนั้น เป็นอะไร ไม่มี หรือเป็นอย่างไร? ไม่ได้ เพราะนิสัย
ของการที่เรียกว่า จะสงวนไว้ หรือจะขอผูกขาดงานตำรา นั้น ๆ นั่นเอง
ด้วยจะต้องให้หลงอยู่แค่นั้น เท่านั้น, ตำราแบบพราหมณ์ เก่า ๆ ฉะนั้น
จึงสะท้อนแต่เรื่อง ห้ามสร้างคำ หรือแต่งคำ
หากยังมิได้เข้ามาถือโองการอย่างใดอย่างหนึ่ง แบบพราหมณ์ แล้วผู้นั้น
ย่อมไม่อาจจะผูกความได้เลย
หรือสามารถตราบัญญัติอย่างไรอย่างอื่นกว่านั้นได้เลย, ด้วยการที่จะใช้ประโยชน์
หรือการให้ตามประกอบความ

ดังนั้น ก็จะขอให้คำอธิบายอีกสักเล็กน้อย เพื่อที่จะเป็นประโยชน์
ในทางหนังสือตำรา, ว่าด้วยการ ตั้งอารักขา ตั้งโคจร แล้วตั้งทำความคืบหน้า
สำหรับส่วน ที่จะนำพาส่วนแห่งงานหนังสือนั้น ๆ ที่ซึ่ง ย่อมพึงควร ที่จะต่อยอด
ต่อไปยิ่งขึ้น ให้ได้, ด้วยซึ่งความใคร่ ที่อยากจะให้พราหมณ์
หรือพรหมมาแทรกแซง หรือด้วยใคร่ ที่อยากจะให้เทวามาแทรกแซง วาระแห่งจิตวิญญา
หรือมโนปณิธิ เช่นนั้น, ฉะนั้น หากเมื่อปรารถนาเช่นนั้นจริงแล้ว
ก็จำพึงควรจะต้องมีทาง ด้วย การ ตั้งอารักขา ตั้งโคจร แล้วตั้งทำความคืบหน้า
ไปให้ถึงยังส่วนนั้น โดยที่ยังสามารถ จะได้กลับคืนมาสู่มนุษยพิภพนี้ ดังเดิม
ได้ด้วย, เมื่อสงสัย และใคร่อย่างหนัก ที่จะพึงพิจารณาแล้วใคร่ครวญ แล้วว่า
จะพึงถึง พึงได้ แต่ ‘ปัญญุคคนิมิต’ อย่างแน่แท้แล้ว ก็ต้อง เริ่มต้น จรดที่
การอารักขา ธัญญบูชาให้ถูกตรงเสียก่อน, ก็ต้อง เริ่มต้น จรดที่ การอารักขา
ยัญญบูชาให้ถูกตรงเสียก่อน, ก็ต้อง เริ่มต้น จรดที่ การอารักขา
อัญญบูชาให้ถูกตรงเสียก่อน, และก็ต้อง เริ่มต้น จรดที่ การอารักขา
สัญญบูชาให้ถูกตรงเสียก่อน, โดยที่จะต้อง ทำความกำหนด ภูมิภาคเช่นนั้น
หรือแผนภูมิ ของถิ่นนั้น ว่า คือบริเวณ แก่ตน ของตน อย่างไร?, ว่าคือบริวาร
แก่ตน ของตน อย่างไร?, ว่าคือบริขาร แก่ตน ของตน อย่างไร?, และว่า คือบริกรรม
แก่ตน ของตน อย่างไร?, จึงจะสามารถสืบสนธิกำลังปัญญา ออกว่ากล่าวยิ่งขึ้นได้
โดยที่ไม่กลัวการแต่งจิตให้วิจิตร และก็ไม่กลัวที่จะต้องแต่งคำพูด
ตามจิตวิจิตร ที่ให้อาจสามารถ กระทำให้ได้

แล้วนั้น เมื่อ อุตริ! ย่อมที่จะต้องเป็นปัญหาถูกห้าม ด้วยเช่นนั้น เมื่อนั้น
ย่อมพึงอ้างให้หนัก โดยเมื่อนั้น ว่าตนเองกระทำความแต่งต่อ หรือเพิ่มตอน
แก่วรรณคดีเรื่องนั้น หรือว่าตนเองกระทำความแต่งต่อ
หรือเพิ่มตอนแก่ชาดกตอนนั้นๆ, แล้วย่อม ไม่ให้ใครมากล่าวได้ว่า ได้มีจิตวิจิตร
ได้วิเศษอย่างพรหม หรือพราหมณ์ หรือเทพดาอย่างไร? อย่างหนึ่ง
ทำจิตวิจิตรอย่างนั้นได้แล้ว จงอย่าโคจรวาจากล่าวเปิดช่องให้ใครเอาผิด ความ
อุตริ! ที่ทำได้ อย่างนั้นได้, เพราะก็จะเป็นการเสียประโยชน์ ในการที่จะเสริม
หรือเพิ่มสิ่งดี ซึ่งมียอดดี กว่าพราหมณ์แบบเก่า อย่างนั้น มากกว่า เป็นไหน ๆ,
เพราะเมื่อว่า ทำได้จริงแท้ แบบพระพุทธธรรมคำสอน แบบพระพุทธศาสนา
แล้วเมื่อนั้น ย่อมให้กลับคืนมาสู่มนุษยพิภพ แห่งมนุษย์นี้ตามเดิมได้ด้วย
มิให้เสียการเกิดขึ้นเป็นโมฆะกรรมเปล่า ๆ ไป, แลส่วนขยาย หรือขนาด
ของการขยายฉะนั้น จะย่นนิมิต จะทำอภิจิตฤทธา แต่แค่นิมิต!
จะย่นเข้าจนไม่เหลือเลยก็ได้ หรือจะให้สร้างส่วนขยาย หรือขนาดมากเช่นนั้น
ไปเท่า พระธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็ย่อมจะยิ่งคงกระทำไว้ต่อไปได้,
เพราะเมื่อได้ตั้งอารักขา ตั้งโคจร เริ่มต้น ไปจาก พุทธศาสนา พุทธศาตร์ตำรา
อยู่โดยตลอดโดยดี แล้ว, เมื่อไหร่ เมื่อนั้น ย่อมที่จะต้อง ให้ได้ ความ
แต่พุทธจักร พุทธเขต พุทธอาณา อย่างพระพุทธศาสนาสุวรรณภูมิ เป็นสีมานิมิต
เช่นนั้น ๆ ไว้เป็นการ แน่แท้”

ขอแสดงความนับถือ
Phra Nirut Cittasamvaro Jotilipikara | roto...@gmail.com

หมายเหตุ: อีเมลนี้ถูกส่งผ่านทางแกดเจ็ต “ฟอร์มรายชื่อติดต่อ” บน
https://tripitaka91.blogspot.com

4bf6bd25b131d.jpg

Phra Chittasangwaro

unread,
Oct 22, 2025, 9:06:00 AM (4 days ago) Oct 22
to roto...@gmail.com, reg...@googlegroups.com, roto...@gmail.com
540024391_1603598920754885_8781375357940873547_n-vert.jpg

☺ สภาการศึกษา พระไตรปิฎก ระบบเทคโนโลยีการศึกษา
แสดงเครื่องมือการค้นหา และการอภิปราย ศัพท์ ‘นิรุตติวิพากษ์’

“คำว่า ทิสวัตร ทิสวัตรสมาทาน หรือ ทิศวัตร ฉะนั้น ในพระไตรปิฎก
สำหรับอินเทอร์เน็ต เห็น หรือพบว่า มี อยู่ ๔ แห่งที่ หรือ ๔ รายการ,
แต่รายละเอียด หรือรูปความอย่างไรนั้น จะพึง จะยังคงไม่มีใคร สามารถ
หรืออาจที่จะสามารถ กำหนด หรือพัฒนา บทสนทนา หรือทิศทางของการสนทนา
หรือมุ่งตรง ไปยังส่วน ที่พึงจะน่าวิเคราะห์วิจัย จาก ความในพระไตรปิฎก
หรือพระคัมภีร์เอง นั่นเอง ที่กล่าวไว้ จรดถึง รูปความ (แต่ไม่ได้กำหนดสัญญะ)
ที่กล่าวว่า มีทิศที่มีนิพพาน หรือปฏิบัติ เพื่อที่จะได้ไปยังทิศที่มีนิพพาน,
ดังนั้น การกล่าว ถึง ทิศวัตร ในข้อนี้ ก็พึง
เป็นข้อที่น่าจะจุดประกายความน่าสนใจได้ดีเลยทีเดียว, ด้วยการที่
พระสารีบุตรเถระ ฉะนั้น ได้เป็นตัวอย่าง แห่งการประพฤติทิศวัตร
สำหรับพระภิกษุสงฆ์ ด้วยว่า พระสารีบุตรเถระ ย่อมที่จะเคารพ นบน้อมกราบไหว้
ทำอภิวันท์ ไปยังทิศที่ พระอัสสชิเถระ พระอาจารย์ของตน นั้นสถิตอยู่
แล้วพระสารีบุตร ย่อมทำทิศวัตร คือการน้อมการบูชาไปยังทิศนั้น ซึ่งย่อม
เข้ากับความหมาย ที่กล่าวว่า น้อมไปยังทิศที่มีนิพพาน
หรือทิศที่พึงปรากฏนิพพาน (อายตนะมีอยู่),

แล้วนี้ ความจาก ข้อพระธรรม นั้น นั่นเอง ที่บอกว่า หรือกล่าวว่า มีทิฏฐิรกชัฏ
เพราะทิศวัตร ฉะนั้น, จึงจุดประกายความน่าสนใจ ได้เลยอย่างดีทีเดียว ว่า เรา
หรือประดาพวกนักศึกษา นักวิจัย จะพึงศึกษา พึงวิจัย เพื่อที่จะเลี่ยง ทิศนั้น
จะเลี่ยงได้อย่างไร? (สำหรับทิศทางที่ให้มุ่งไปสู่ทิฏฐิที่รกชัฏ), ด้วยซึ่ง
ก็น่าสงสัย หรือน่าสนใจเช่นเดียวกันว่า ทำไม? พระสารีบุตรเถระ ไม่น้อมกราบไหว้
ทิศที่พระสัมพุทธเจ้าโคตมะ ทรงประทับ หรือสถิตอยู่ ซึ่งให้เหมือนดั่งกะว่า
พระสารีบุตรเถระ ยึดมั่น อยู่ในทิศธรรมเนียม หรือทิศวัตรของตนอยู่เช่นนั้น
นั่นเอง ด้วยที่ให้ต้องแปร หรือสงสัยสืบไป ต่อไปอีกว่า หากน้อมไปผิดทิศ
หรือทิศอื่น ๆ (นอกจาก พระอัสสชิเถระ) แล้ว ก็จะไม่ได้ทิศที่ให้ได้นิพพาน
จะคงอย่างนั้นเลยเชียวหรือ, ซึ่ง ความละเอียดลออ ที่กล่าว ไปถึงทิศ ที่เป็น
ทิฏฐิรกชัฏ เป็นอย่างไร? และนัยว่า ทิศที่มีนิพพาน เป็นอย่างไร? จะทำอย่างไร?
จึงจะได้ไปยังทิศที่มีนิพพาน, สำหรับ นักศึกษา หรือนักวิจัย ฉะนั้น
ความเช่นนี้ น่าพิเคราะห์ สังเคราะห์มากเลยทีเดียว, เพราะ นักปฏิบัติ ทุกแห่ง
ทุกที่ ย่อมที่จะบอกอยู่แล้วว่า ทิศ คือ ทิฏฐิ คือ ฐานกาย นั่นแหละ
ที่คือทิฏฐิ และบ้างก็ว่า ทิศ คือฐานจิต คือใจ นั่นแหละ คือทิฏฐิ,
อันย่อมส่องแสดง แต่แค่ความเรรวน และความไม่สอดสัมพันธ์กัน แก่ความที่กล่าวมาก
เช่นนั้นมีมากอยู่, ด้วยที่ซึ่ง การจะได้กำหนดทิศทางและที่ตั้ง แก่ภารกิจอะไร
ฉะนั้น ย่อมจะยังให้ได้พบแต่อุปสรรค, ดังนั้น จึงควรจะต้องสืบสนธิ
หรือสืบทราบรับฟังเรื่อง ด้วยกระบวน ความ ดั่งกล่าวเช่นนี้กันต่อไป, อาทิว่า
จะเลี่ยง ทิศ ที่คือ ทิฏฐิที่รกชัฏ ฉะนั้น จะเลี่ยงอย่างไร?, แล้ว
จะพึงต้องจรด และตั้งต่อ ทิศที่ให้ได้พระนิพพาน หรือทิศที่มีนิพพาน
จะตั้งต่อคืบหน้าไป หรือให้สืบต่อไปถึง จะต้องทำอย่างไร?,”

https://drive.google.com/file/d/19meh50yOhzIdSUMoAiHnH0Vrgaae5njM/view?pli=1
https://www.facebook.com/phutthanachak
https://pantip.com/tag/พระไตรปิฎก

“แนวคิด เพื่อการค้นคว้าวิจัย เพื่อไปสู่อนาคต แรก ๆ ดูว่า น่าที่จะพบว่า
เรื่องพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ฉะนั้น ส่วนหนึ่ง ตีความ
หรือส่องสารูปความกันไว้แล้วบ้างว่า หมายถึง พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า
ที่มีบุญญาบารมี และฤทธานุภาพมาก จรดแก่ความที่จะแปรผัน
ที่จะพึงอาจกำหนดตนเองให้ไปสู่พระสัพพัญญุตญาณได้ ก็จึงโน้มปฏิบัติไปดั่งนั้น
แล้วจึงได้ประกาศศาสนา เป็นอาทิพรหมจรรย์ บรรลือสีหนาทใหญ่
ประกาศพระสัพพัญญุตญาณ ฉะนั้น, ซึ่งโดยสมัยแรก โดยยุคแรก ๆ นั่นเอง
จากสมัยที่โลกมีแต่พระปัจเจกพระพุทธเจ้าโดยทั้งหมด และยังไม่มี พราหมณ์ คณะใด
คณะไหน รับรู้ และขอจารึก เรื่องราว พระสยัมภู และพระสัพพัญญูไปเผยแพร่,
ฉะนั้น คติกำหนดโดยสูงสุด แห่งพุทธปฐมวงศ์ นั่นเอง, นักศึกษา และนักวิจัยศาสนา
ที่มีความสุจริต จึงมักที่จะแสดง หรือส่องความแด่งานศึกษาเช่นนั้น ว่า ชะรอย
คติสูงสุด ในขณะ ห้วงเวลา ที่โลกยังไม่มีพราหมณ์คณะต่าง ๆ นั้น เดิม คติสูงสุด
เห็นจะเป็นคติ พระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นภราดรภาพ แห่งสูงสุดคติ ที่เป็นใหญ่สูงสุด

ดังนี้ คือเรื่อง การกล่าวเรื่อง ความเป็นปฐมวงศ์ ตามสมุฏฐาน
หรือองค์ความที่เป็นปัจจัยมูลฐาน ทางการศึกษา และวิจัยกันในปัจจุบัน,
ซึ่งเชื่อกันบ้างแล้วว่า ความรู้โดยทั่วไป มีความเพี้ยนไป จากการประกาศ
และการเผยแพร่ของพราหมณ์ ซึ่งได้ ให้อาจสามารถ ดัดแปรความนั้น
เพื่อสนองความแก่เรื่องสมบัติจักรพรรดิ์ และความกลัวสิ้นเผ่าพันธุ์
คือพรหมพันธุ์ หรือพรหมเผ่าของตน จึงดัดแปรคติ แก่การเผยแพร่ไปหมดเสียว่า
คติสูงสุด คือคติพระสัพพัญญู มิใช่คติพระสยัมภู, เช่นนี้ นั่นเอง
เรื่องพุทธปฐมวงศ์ จึงมีความกระโดด มีการข้าม มีการคลุมเครือ และมีความสับสน
เพราะมีความสนองความเป็นหมู่ และความสนองสิ่งที่ไม่ใช่ปัจเจก คือความเฉพาะตน
แต่มีลักษณะรับใช้อำนาจ หรือสถาปนาอำนาจ ในลักษณะที่จะให้สร้าง
หรือสถิตความเสมอภาคอย่างแท้จริงไม่ได้, เรื่องจึง ยังคงต้องออกมา ในลักษณะ
ที่เรียกว่า พระพุทธเจ้าองค์ใหญ่ คือพระสัพพัญญูองค์ใหญ่ เป็น ต้นปฐมวงศ์
แห่งพุทธกระแส แห่งอริยกระแส แห่งความวิวัฏ, แต่นั้น
ก็มิได้เป็นประเด็นที่ละเลย หรือมองข้ามไป สำหรับนักศึกษา
และนักวิจัยศาสนาในยุคปัจจุบัน ในโลก ที่ทุกฝ่าย
พยายามที่จะสรรสร้างความเท่าเทียม และความเสมอภาคที่แท้จริง
ให้ได้มีเกิดขึ้นสำหรับอนาคต, ดังนั้น จึงมีความสนใจ หรือค้นคว้า ไปด้วยกัน
กับแนวคิดที่ว่า พระพุทธเจ้าองค์ปฐมวงศ์ ฉะนั้น ที่แท้ อาจหมายถึง หัวหน้า
พระพุทธปัจเจกสัมพุทธเจ้า ซึ่งคือ เมื่อกลุ่มพระปัจเจกพุทธเจ้า
ที่ได้ตรัสรู้ด้วยกันทั้งหมดอย่างเสมอภาค จะแสดงเรื่องเล่า
หรือแสดงเรื่องแทนความหมายหัวหน้ากลุ่มนั่นเอง แถลงแก่พราหมณ์ และพระมนู
แห่งโลกมนุษย์ยุคแรก สมัยนั้น ๆ ไม่รู้จะเรียกจะแทนคำไปอย่างไร จึงเรียก
พระปัจเจกองค์หัวหน้า ฉะนั้น เรียกโดย อัพพะ ศัพท์ หรืออารัพภะศัพท์
หรือศัพท์ที่มีราก เป็น อารัพภธาตุ แล้วเรียก พระปัจเจกด้วยกันทั้งหมดนั้น
ที่ไม่ได้เป็นหัวหน้า จรดความให้แสดงแก่พราหมณ์ และพระมนู นั้น ด้วย อัมพะ
หรือ อัมภะ ศัพท์ ซึ่งคำศัพท์นิกกมศัพท์ หรือศัพท์ ที่มีราก เป็นนิกกมธาตุ,
เพื่อว่าจะแสดงความต่าง

แล้วนั้น พราหมณ์ และพระมนู ทั้งนั้น ซึ่งพวก ให้แค่แต่
มีพื้นเพความเข้าใจแบบศักดินา
หรือรู้จักโลกแต่ของการตอบสนองต่ออำนาจตามชั้นลำดับ, จึงเข้าใจไปว่า
พระสัพพัญญูใหญ่กว่าพระปัจเจกฯ, ซึ่งโดยความที่ไม่ได้เข้าใจเลยว่า ที่แท้
พระสัพพัญญู เป็นแต่เพียง หัวหน้าพระอรหันต์ เท่านั้น ถ้าพูดเรื่องลัทธิอำนาจ,
แต่เรื่องศักดินาย่อมจะไม่ใช่ แต่ความที่จะสื่อความนั้น ที่ส่งสาร ที่จริง
เป็นสารัตถะที่ยังไม่เคลื่อน คงความแต่จะกล่าวแค่ว่า อัพพะ ศัพท์
ให้รู้ความต่างคือ มุ่งจะให้รู้ว่า ต้นธาตุต้นธรรม พระปฐมวงศ์
แห่งผู้บรรลุญาณคือความรู้
ที่แท้จะหมายเอาคติพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าเป็นคติสูงสุดต่างหาก
แต่พระมนูและพราหมณ์ เหล่านั้น รับสาส์นมาเคลื่อนคลาดไป แล้วจึงกลายเป็นว่า
เรื่องพระสัพพัญญู เป็นคติสูงสุด ตามบันทึก ตามความหมายที่รับทราบมาอย่างนั้น,
ดังนั้น เรื่องพระสัพพัญญู จึงเป็นดั่งเรื่องชั้นและลำดับ และกำหนดศักดินา
เหมือนอย่างเก่า นั่นเอง ไม่ได้สะท้อน หรือแสดง
ซึ่งธรรมอันเป็นความให้ได้ถึงยอดของความเสมอภาค
ที่เป็นเรื่องจริงของพระสัมพุทธเจ้า
พระองค์ที่เป็นต้นปฐมวงศ์แท้จริงทรงแสดงไว้ จรดกระทั่ง เป็นปัญหาแก่วงวิชาการ
และวงงานศึกษา และสถาปนาความ ตามหนังสือตำรา จึงมีปัญหาเรื่อยมา
จนถึงสมัยปัจจุบัน ที่ว่า ในนัยที่จะแถลงถึงคติชั้นสูงสุด แห่งความเสมอภาค
ก็เลยไม่รู้จะแถลงว่าอย่างไร?, เพราะความ ดันไปชูเรื่อง หัวหน้าพระอรหันต์
แลมิได้ชูความชูประเด็น ที่จริง ที่ ชูเรื่อง หัวหน้าพระพุทธปัจเจกฯ
ตามความดั้งเดิม ที่มิได้คลาดเคลื่อนไป เพราะพวกพราหมณ์ และพระมนู”

Phra Chittasangwaro

unread,
Oct 24, 2025, 4:14:57 AM (3 days ago) Oct 24
to reg...@googlegroups.com

NIR-TRA.png


ประณามบท ประณาคาถา ดังกล่าว

กระทำไปตามส่วน แห่งระบบ และปฏิบัติการ แด่ความกระทำความสมบูรณ์บริบูรณ์ศัพท์
และข้อพิรุธ ให้ทำดี ทำกลับคืนมาได้ จากส่วนความรับผิดชอบ ของ ท่าน พระ
ชาตสุทธิเถระ ได้ตั้งต่อ และกระทำความเชื่อมโยงไปสู่ความสมบูรณ์บริบูรณ์
แห่งธรรม หรือนิรุตติธรรม เช่นนั้น แล้ว

ขอแสดงความนับถือ
พระ นิรุตติ จิตฺตสํวโร | wa...@dr.com

หมายเหตุ: อีเมลนี้ถูกส่งผ่านทางแกดเจ็ต “ฟอร์มรายชื่อติดต่อ” บน

Phra Atulo

unread,
Oct 24, 2025, 6:33:05 AM (3 days ago) Oct 24
to reg...@googlegroups.com

NIR-TRA.png

ประณามบท ประณามคาถา ดังกล่าว :

กระทำไปตามส่วน แห่งระบบ และปฏิบัติการ แด่ความกระทำความสมบูรณ์บริบูรณ์ศัพท์
และข้อพิรุธ ให้ทำดี ทำกลับคืนมาได้ จากส่วนความรับผิดชอบ ของ ท่าน พระ
ญาณธีโรเถระ ได้ตั้งต่อ และกระทำความเชื่อมโยงไปสู่ความสมบูรณ์บริบูรณ์

Phra Thaniyo

unread,
Oct 24, 2025, 7:42:19 AM (2 days ago) Oct 24
to reg...@googlegroups.com
NIR-TRA.png

ประณามบท ประณามคาถา ดังกล่าว :

กระทำไปตามส่วน แห่งระบบ และปฏิบัติการ แด่ความกระทำความสมบูรณ์บริบูรณ์ศัพท์
และข้อพิรุธ ให้ทำดี ทำกลับคืนมาได้ จากส่วนความรับผิดชอบ ของ ท่าน พระ
สุวิชโชเถระ ได้ตั้งต่อ และกระทำความเชื่อมโยงไปสู่ความสมบูรณ์บริบูรณ์

Phra Likhito

unread,
Oct 24, 2025, 9:29:57 AM (2 days ago) Oct 24
to reg...@googlegroups.com
NIR-TRA.png
#เรื่อง การมุ่งหวัง ในการทำงานให้กับส่วนรวม ☺

“ความว่า ใจคิดหวัง อยากให้คนได้เข้ามาตรวจ มาดูความสมบูรณ์
และไม่สมบูรณ์ของพระไตรปิฎก ซึ่งเห็นว่าตนเอง มองเห็นอย่างคนภายนอก
และมองอย่างคนภายนอก อยากหาคน ที่ยินดีเข้ามาร่วมงาน
เพราะเล็งเห็นถึงทิฐิคติธรรม ที่จะกระทำงาน กระทำภาระของพระสมณะโคดมพุทธเจ้
ให้อลังการสมบูรณ์

มาแลเห็น โปรไฟล์ ผู้เป็นหน้า เป็นตาของงาน หน้าเรื่อง เจ้าของผู้จัด
ดูน่าเป็นห่วงนะขอรับ ทุกท่านเอ๋ย เหมือนจะไม่เอาบุญพระพุทธเจ้าโคดมเลย
หน้าโปรไฟล์ ไม่น่าร่วมงานด้วยเลยนะครับ ทั้งท่านชาญชัย และท่านสาธิต
ยิ่งถ้ากระผมมองอย่างคนภายนอก ยิ่งดูน่ากลัว และน่าผวา
ว่าน่าจะเป็นโรคจิตซะด้วยซ้ำ กว่าที่จะทำดี
หรือมาอาสาทำงานประเสริฐให้กับส่วนรวม อันดังนี้ มองอย่างคนภายนอก
และหากล่าวอย่างไพเราะที่สุด ที่จะให้ท่านคิดเห็น และอยากหาตรวจเอาความรู้
จากบทพระปริยัติ ไปได้ในทำนองนี้

ด้วยตัวเอง ผมเองนี้ จะว่าเผลอผิด สมัครมา ก็น่าจะถูก
แต่ก็อย่าคิดว่าเป็นโทษเลย เพราะคิดว่าจะเป็นประโยชน์ เพียรตนไปสู่ส่วนกลาง
เพราะที่มีควรปฏิญาณ เพราะต้องสมัครด้วยบัตรประจำตัวประชาชน
ก็จึงสมัครเข้ามาแล้ว ประกอบกับเวลาที่ เกิดความน่าสงสาร
หรือตัวบทโศกนาฏกรรมของวัดแห่งนี้ นั้นเกิดเรื่องขึ้น ก็คงไม่ถอนตนเอง
อย่างใดแล้ว เพราะหวังประโยชน์ส่วนกลาง และเพราะคิดว่า จะควรเมตตาสงสาร
เรื่องเหล่านี้ ให้ได้ดำเนินได้ไปตลอด

เพราะตนเข้ามาสมัครงานของพระสมณโคดมพุทธเจ้า ไม่ใช่ใครคนอื่น แล้วว่า
ด้วยปฏิญาณ คนก็ควรรับทุกข์ รับสุข ได้ ถึงให้ควรคิดทบทวน แก้ไขปัญหากันต่อไป
แล้วก็ผ่านเวลามานานแล้ว หลายปี หวังอยากจะได้ดีทางวงการปริยัติ
จะหัดเป็นบัณฑิต ก็น่าควรได้ และธรรมดี หรือความดีอื่นๆ เราก็ได้ประพฤติอยู่

ยิ่งนานวัน ก็เห็นว่า คนดี ๆ ที่ดูน่าหวังว่า น่าจะมีความรับผิดชอบ แท้ ๆ จริง
ๆ กลับไม่มี เพราะโปรไฟล์ที่จะเสนอตนแก่งาน ฉะนั้น ก็นับว่า
ท่านไม่จริงใจต่อการจะพัฒนางาน แล้ว ๆ ก็จึงยิ่งดูน่าเป็นห่วง และเห็นว่า
น่าจะมาถ่วง หรือมาทำให้งานที่อาจจะดี ต้องได้พังพินาศหรือได้ล่าช้าไปมากกว่า
และก็ดูเหมือนท่านได้เอาเปรียบผู้สมัคร เพราะท่านจะต้องได้ข้อมูลเขา
และต้องได้เขาไว้ด้วยในบังคับแล้ว เพราะเป็นฐานที่รวม แต่ตนเองไม่พัฒนางาน
หรือมาแสดงอาการตอบรับในทางที่ถูก แบบไร ๆ เลย

ดั่งนี้ ผมก็ขอแนะนำ และขอระบายสักหน่อย เพราะโชคร้ายตกกระไดพลอยโจน
แต่หาทางให้ได้ประโยชน์ ให้ได้สติปัญญา เป็นเฉพาะทางหรือแค่แต่ แผนก ๆ เดียว
ไปนี้เท่านั้น ก็ยังดี ซึ่งเห็นว่า ท่านผู้จัดน่าจะจริงใจ
และคุยเรื่องงานกันได้มาก แต่ทำไม?ถึงไม่พัฒนา หรือไม่พูด หรือทำอะไร
ให้โปรไฟล์ได้ดูปรกติน่าร่วมงานกว่านี้ อย่างไร?
หรือท่านเห็นแต่ปัญหาของเจ้าสำนักที่ลาสิกขาไป เป็นหลักเท่านั้น
ว่าต้องเป็นปัญหาแก่บุคคลรายอื่น ๆ ที่เขาเข้ามาสมัครทำประโยชน์แบบนี้
ก็จะต้องมาแย่ไปด้วย หรือ?

ทั้ง ๆ ที่สำนักอันเหม็นฉุ่ย อันอย่างนี้ นั้น จะควรได้คนมาเสริมบทพระปริยัติ
ก็กลับกลายเป็นว่า ท่านไม่ยอมร่วมการทำดีกับใคร หาว่าไม่มีใคร
มาอยากช่วยทำความดี ชนิดนี้ได้ เพราะเขาดู เห็นโปรไฟล์ เจ้าตัวผู้จัด ผู้ทำ
เขาก็ย่อมรู้สึกว่าแย่แล้ว เหมือนแต่แค่คนภายนอก ที่ไม่มีเรื่องงาน ที่แง่งอน
จริงใจที่จะทำ ก็เหมือนมีแต่ข้าพเจ้าคนเดียว
อันที่สงสารพวกท่านอย่างมากเหลือเกิน เพราะว่า แต่ละท่าน ๆ อยากจะรักษาตน

แต่ว่า ขาดการรักษาคนอื่น ครั้งแรกคงคิดว่า ได้พบคนอริยะวิเศษ หัวก้าวหน้า
แต่เหตุการพลิกผันกลับตาลปัตร หมดแล้ว แล้วที่จะทำดีไปเอง ด้วยตัวเอง ทำเอง
พวกท่านก็ไม่คิดบ้างเลยเชียวหรือ ข้าพเจ้าคนภายนอก เวียนมานี้ กระทำต่าง ๆ
ทั้งไม่ได้นับถือศาสนาเลยด้วยซ้ำ แต่อาศัยแต่อยากจะรักตำรา เลยมาดูมาทำ
มาใคร่ครวญด้วยงานนี้หลายอย่าง หลายเวลา มาเกี่ยวด้วย มาอยู่กับพวกท่านทั้งปวง
หลายปี น้ำสักแก้วเดียวก็ไม่ได้ดื่ม ซ้ำยังต้องเหม็นเน่า ไปกับมิจฉาวิมุตติ
โดยไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน เลย แม้แต่วินาทีเดียว

เพราะแต่ว่าจะมาถอนตัวกลางคัน ย่อมไม่ได้ เพราะงานถึงขั้นต้องชีวิต
ถึงแลกชีวิต ก็ต้องทำไปถึงตายโน่น แต่นี้ อยากบอกว่า การทำประโยชน์ส่วนกลาง
อย่างไรนั้น จะต้องคิด อย่างร้านค้าโรงธรรม ให้บรรยากาศได้
ซึ่งการทำงานทางตำรา และการเชื้อเชิญเป็นดีอย่างเป็นมิตร
คืออยากขอให้ท่านผู้จัด จัดบ้าน จัดแบบบ้านของพระพุทธเจ้า ทำหน้าต่าง
ประตูหน้าตา ของเรื่อง อย่างบ้านของนักปราชญ์ บัณฑิต หรือนักมัณฑนาการ
จะได้พักสักหน่อยเถิด ท่านอย่าห่วงโชว์หรา แต่โปรไฟล์ อันซึ่งดูบ้า
หรือดูมีเงื่อน หรือมีแง่ แบบนั้น”

ขอแสดงความนับถือ
ท่านพระโชติโก | wa...@dr.com

Phra Chinawaro

unread,
Oct 24, 2025, 6:20:44 PM (2 days ago) Oct 24
to reg...@googlegroups.com
ME1AFOES_t.png

การกระทำความคืบหน้างานปฏิบัติการระบบ ☺

เมื่อนั้น แสดง กำหนด การตัดสัญญาณ ระบบหลัก เมื่อประมาณ ๕ นาฬิกา, ให้ใช้
สัญญาณ ในระบบสำรอง, ที่ยังไม่ ทำให้อัตรา โดยมาตรทางเวลา เปลี่ยน
และทำความผันแปร ไปที่ การหน่วงกำหนดให้ช้า โดยกำหนดทางสัญญะ, ซึ่ง
ถ้าเปรียบกับการใช้รถ ก็ดั่งที่เราต้องลดเกียร์ต่ำ เวลาลงเขา นั่นเอง
ซึ่งจากรอบที่สูง จะใช้ไม่ได้ ต้องใช้รอบต่ำ อย่างรู้สึกได้ ฉะนั้น,
จึงควรพิจารณา แล้วกระทำการ เปลี่ยนช่องสัญญาณ ไปสู่รอบที่เร็ว
คือแชนเกียร์สูงอีกครั้ง ถ้าทำได้ เพื่อจังหวะที่เร็วพอดี
แก่การทำตามกำหนดแผนการ, คือไม่พึงต้องใช้รอบการหน่วงที่ต้องทำความเร็วต่ำ
ในถนน หรือทางที่เป็นพื้นที่ราบ อันไม่ใช่เวลาที่ต้องหน่วงไว้ด้วยการกำหนดรอบ
อย่างการทดรอบเกียร์ ในขณะขึ้นเขา หรือลงเขา หรือภูมิประเทศ ที่เป็นที่ เอียง
หรือลาดชัน

ขอแสดงความนับถือ
การบำเรออยู่ ของอุบาสิกาแก้ว โอลิเวีย ในเวลาตอนเช้า | ni...@dr.com

หมายเหตุ: อีเมลนี้ถูกส่งผ่านทางแกดเจ็ต “ฟอร์มรายชื่อติดต่อ” บน

Sadhu Sadhu Sadhu.
Royal Thai General System :
Khontho

Phra Chinawaro

unread,
Oct 24, 2025, 11:28:52 PM (2 days ago) Oct 24
to reg...@googlegroups.com
NIR-TRA.png

ประณามบท ประณามคาถา ดังกล่าว :

กระทำไปตามส่วน แห่งระบบ และปฏิบัติการ แด่ความกระทำความสมบูรณ์บริบูรณ์ศัพท์
และข้อพิรุธ ให้ทำดี ทำกลับคืนมาได้ จากส่วนความรับผิดชอบ ของ ท่าน พระ
พุทธวังโสเถระ ได้ตั้งต่อ และกระทำความเชื่อมโยงไปสู่ความสมบูรณ์บริบูรณ์
แห่งธรรม หรือนิรุตติธรรม เช่นนั้น แล้ว

ขอแสดงความนับถือ
พระ นิรุตติ์ จิตตะสังวะโร | ni...@dr.com

Phra Cetanasubho

unread,
Oct 25, 2025, 6:26:11 PM (yesterday) Oct 25
to reg...@googlegroups.com
download.jpg

☺ รายงานเรื่อง ขนม และอาหารทำบุญ

ช็อกโกแลตเค้กทุบรูปหัวใจจาก 7-Eleven มีราคาเพียง 39 บาทต่อชิ้น เท่านั้น
ครับ, น่าที่จะจัดถวาย ให้ได้ฉันครบทุกองค์ได้ ครับ ☺

ขอแสดงความนับถือ
พระสิทธัตถกุมาร | chittas...@usa.com
Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages