“มือฉมัง ในการร้อย ปาฏิหาริย์ ร้อยความอัศจรรย์ ร้อยความวิตถาร หรือร้อยความพิสดาร ที่จะตอบปิดโพสต์ หรือเปิดโพสต์ หรือปิดท้ายโพสต์ เพื่อเข้าสู่เวลาพักผ่อน, ใคร? ควรที่จะเป็นมือฉมัง หรือมือ ๑ ในเรื่องนี้, ในนัย อาทิว่า ‘ลีลา’ ของแท็กพระไตรปิฎก นี่หน่ะ จะพึงควร จบด้วยเรื่อง นี้! เช่นว่า ดังนี้ คือเรื่อง ของ ‘บาลีอักษรอะไร? ๑, ฉบับอะไร? ๑, เล่มอะไร? ๑, ข้ออะไร? ๑, หน้าอะไร? ๑, อักขระรวมเว้นวรรคเท่าไหร่ ๑, อักขระไม่รวมเว้นวรรคเท่าไหร่ ๑’, ที่พึงร้อยขึ้น หรือเรียงไว้ แด่ร้อยแก้ว และร้อยกรอง อันสุดจะพรรณนาทั้งสิ้น นั้น, ดังนี้ พวกเรายังไม่พบมือฉมัง หรือใคร? คนไหน? คนใด คนนั้น, แล้วก็หลับไม่ค่อยจะลง หรือต้องฟุ้งซ่านกำเริบเกิน, แล้วภารกิจ ที่ไม่ควรสูงต่ำ ขาดเกิน ก็เลยไปถึงความคงที่ ที่เป็นประจำสม่ำเสมอไม่ได้ จึงต้องยกปัญญางานสำรอง หรือปัญญาสำรองภาวะฉุกเฉิน ขึ้นมา ดั่งที่ได้อธิบาย เรื่อง สัจ ๔ ประการ แล้วนั่นเอง
นำความ นำข้อบทดังกล่าว มาสืบ! มาสาน มาสื่อ, เพราะมีความ เป็น หัวโจก ประเภทมือรอง อยู่บ้าง ก็จำเป็นที่จะต้องทำงาน เช่นนี้ แทนไปก่อน, คือย่อมปิดแท็ก หรือปิดท้ายกระทู้นี้ให้ได้, เพื่อจะได้พักผ่อน, โดยดี โดยที่ จะไม่ให้เสียจิตใจ หรือเสียเรี่ยวแรงไปเกิน ที่จะพึงเข้ากระทำภารกิจ ให้พอเหมาะพอดี ในวันพรุ่งนี้, ซึ่งคำตอบปิดท้าย ฉะนั้น หรือเปิดเรื่อง เช่นนี้นั้น ก็อาจจะเหมือนเดิม ๆ ทุกวัน ก็ได้, หากว่า โลกมนุษย์ หรือมนุษยพิภพเรา ณ ที่แห่งนี้ จะยังคง ใช้ระบบปฏิทินเหมือนกัน เหมือนเดิมทุก ๆ วัน, เพราะ ว่า แต่เพียง จะยกร้อยแก้ว แลร้อยกรอง มาจากพระคัมภีร์พระไตรปิฎก ไป ทุก ๆ วัน จนจวบเวลาตลอดสิ้นชีวิต ก็คงยกไม่หมด ไม่จบ
ฉะนั้น ถ้าจะแต่งประณามคาถา หรือถ้าจะประณามบท ยกเถลิง ให้วัฒนา หรือจะพึงสถาปนายิ่ง ขึ้นไป นั้น แก่ตัวบท ตัวกระทู้, แด่ตัวบท ฉะนั้น ‘จรดลงแก่ความเป็นสามัคคีกัน’ คือหมายความว่า ย่อมให้ นักภาวนา แลนักศึกษา ประเภทที่ยังมิได้ เป็น ภาวนิก หรือยังมิได้มีอุปนิสัยที่จะพึงเป็นภาวนิก ได้, ท่านนักศึกษา หรือนักภาวนาเหล่านั้น จึงจะพึงควร เพ่งจรดเล็งความสนใจ ลงไปแต่ส่วนแห่งข้อมูล ที่พึงควรจะต้องตกผลึก, แล้วนี้ ในส่วนงานทางการศึกษา เช่นนี้ ก็พึงต้องระลึกนึกไปถึง บาทพระคาถา ระลึกไปถึง บทพระคาถา ดังต่อไปนี้, เพราะที่ใด มิได้มี การแสดงคุณแห่งวิชาประพันธ์ คือพระพุทธคุณเป็นต้น ก็ย่อมไม่มีทางที่จะอุ่นใจได้เลย ฉะนั้น
ด้วยเพราะ ที่จะต้อง กระทำ ความไม่ฟุ้งซ่าน แล้ว ทำความสนิทดี กับ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ที่เป็นประโยชน์ ดังนี้แล้ว สำหรับนักภาวนา ที่ยังคงคิด ถามหา บทบริกรรม, แล้วจะพึงบริกรรม! ให้ได้ ฉะนั้น ท่าน ก็จง บริกรรม คาถา คือ‘อริยธนคาถา’ แต่โดยดี เถิด, รำพึงอยู่แต่ความโดยชอบเถิด หรือท่านเล็งแลไปแต่ความพ้นไปโดยชอบก็ตามที ก็จงพึงบริกรรม สรวมชีพ! แต่ พระคาถา คือ‘พระอริยธนคาถา’ นั้นเถิด, เพราะ แต่ความ ชั้นกลาง ชั้นล่าง ชั้นสูง จะได้มิได้ มีสิ่งขัดสน นำมาให้, แลลง ความสะดวก และความที่เที่ยวสบาย อันได้เที่ยวประกันอยู่ นับสิ่งที่จะพรรณนานั้น ๆ ได้ทั้งสิ้น, แลลงที่ ความเมตตา ย่อมเป็นสิ่งประกัน ด้วยเพราะว่า มีสติดี ย่อมทำบาปได้, ผิดอันไร? ไม่เหมือนบท เหมือนบาท แห่งความเมตตา ได้เลย ซึ่ง‘บทอริยธนคาถา’ ซึ่งสำคัญการผนวกความเมตตาให้ได้ ไม่ใช่เป็นมหัคคตจิต ที่ซึ่งย่อมจะยังทำบาปอยู่เท่านั้น มิใช่ว่าจะทำบุญได้อะไร?”
Sadhu.
Pali Ariyakaーscript :
Tejapanno