|
Vijja Bhagi
“ต้องอนุโลมจิต อนุโลมประพฤติ ตามธรรมชาติ และสิ่งที่เข้ามา, คือย่อมไม่ทิ้งความ หรือไม่ทิ้งสิ่งความ นั่นแหละ จึงจะเรียกว่า คล้อยตามธรรม ไม่ขวางธรรม, โดยธรรมของพระสัมพุทธเจ้า นั่นเอง นั่นแหละ ที่โดยความ โดยปริยายเป็นอันมาก หมายถึงสุญญตา, ที่ซึ่งการ หมายเอาสุญญตา ฉะนั้น เรียกว่า ประพฤติ ใน อธิศีล ได้ต่อไป คือพึงจะได้ ถึง อภิธรรม อภิวินัย ที่พอควรแก่การปฏิบัติ ต่อไป
ที่ ว่า สุญญะ หรือ สุญญตา โดยปริยายเป็นอันมาก อันหมายถึงธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า, โดยนัย! ทางตำรา ท่าน ให้หมาย ถึง สิยา (รูปสมํสิยา) ซึ่งหากคล้อยตามธรรม คล้อยตามการปฏิบัติ ก็จะได้ ในอธิศีล อภิธรรม อภิวินัย ได้ต่อไป ไม่ได้หมายถึง สิลา, ซึ่ง สิลา ก็ย่อม กล่าวต่อไป ถึงแต่การ มี ศีล คือ มหาศีล นั่นเอง ซึ่งเป็น มหกรรม มหประพฤติ ที่ เป็นอัตรา ในทางตัวตน อย่างที่เรียกว่า ระเบียบ หรือวิธีปฏิบัติ ในทางศีล
แต่ที่ จริง เมื่อ อนุโลม ตามสุญญตาธรรม ย่อม มิใช่ กล่าว สิลา แต่เท่านั้น, ซึ่งที่จริง ท่าน กล่าว หรือแถลง ถึง สิยา (รูปสมํสิยา) อันหมายถึง ปริยายเป็นอันมาก อันธรรมของพระสัมพุทธเจ้า ที่คือ สุญญตะ, เพราะ ให้ถึง หรือคงความ มี‘ปาฏิหารย์ อัศจรรย์ วิตถาร และพิสดาร’ อันมิได้มีมาจาก วินัยทางศาสนา หรือลัทธิธรรม ลัทธิอื่น ๆ, ซึ่ง ปาฏิหาริย์ อัศจรรย์ วิตถาร และพิสดาร จง ให้เข้าใจอย่างนี้, ซึ่ง เรื่อง ก็คือ นิรุตติ ที่ กล่าวว่า ‘สุญญะ, สุนนะ, สุงงะ, สุมมะ, สุยยะ’ หรือคือ สิยา (รูปสมํสิยา) นั่นแหละ นั่นเอง ที่เรียกรวมว่า โดยปริยาย นี้เป็นปริยาย เป็นอันมาก ในธรรมของพระพุทธเจ้า
ซึ่ง ความ แต่ อัตรา ทาง อัตตาธรรม ฉะนั้น ย่อม คุยลง หรือ แต่การกล่าวลง แด่ สีละ หรือ สีระ, ดังนี้ จึงจะต้องแยกแยะด้วย จงว่า ด้วยธรรมอันยิ่ง ตามตรง ของพระมหาสมณะ พระสัมพุทธเจ้า ว่าจะต้องอย่างไร? และกล่าวโดยธรรม ตามธรรม โดยทั่วไป ของพระสาวก และพระมหาสาวก ได้ คือรู้ว่า พึง กล่าว แบบไหน อย่างไร?, ซึ่ง โดยมาก ผู้คน โดยทั่วไป ยังแต่จะมิได้แยกแยะ จรดลงถึงการประพฤติ โดยความแปลกกัน หรือยิ่งหย่อนกว่ากันโดยความมีหลัก, ทั้งนี้ ก็โดยความอนุโลม ต่อเหตุปัจจัย และอนุโลมต่อสิ่งที่เกิดขึ้น นั่นแหละ เหมือนกัน
และโดยอีกประการ ฉะนั้น โดยเรื่องที่จริง ของการ ได้จิตญาณ หรือความรู้ หรือความกระจ่าง ประเภทต่าง ตามความแห่งญาณ หรือความตามประกอบ, ‘ฌาน ญาณ หรือจิตญาณ’ อย่างไร ก็ตาม โดยความ แห่ง ‘ปัญญา ญาณ และนิรุตติ’ หรือ จะโดย ความ แห่ง ‘ปัญญา ญาณ และวิมุตติ’ ย่อม แต่ มิใช่ จะกล่าวความต่อกันไป อย่างขั้น บันได หรือ กล่าวอย่างพระไตรปิฎก หรือภาคปริยัติ ซึ่งกล่าวความจริง ดั่งวิชากฎหมาย หรือวิชาระเบียบราชการเท่านั้น ถ้าจะถือการถอดความ
แต่เรื่องจิตญาณ หรือปัญญามรรคผล ประเภทต่าง ๆ ฉะนั้น อัน มี คุณวิเศษ และคุณประโยชน์ ลึกสูง กว้างแคบ ต่างกันไปทั้งหมด, ตาม หลักวิชา คือ มรรควิธี ที่พึงได้ ความประณีต ได้จิตวิจิตร ได้ความสงัดจากอธรรม สงัดจากอกุศล, ท่าน หมาย ลง ที่การ ประกอบ องค์ความ หรือองค์ธรรม ถูกองค์ความ ถูกองค์ธรรม ได้ จึงได้จิตญาณ หรือได้จิตประณีต หรือ ได้สุขุมารมณ์วิเศษ ตามประเภท ของกิจ ของภาระ นั้น ๆ, มิใช่หมายเอาการเพ่งเอาความเป็น หรือไม่เป็น แห่งรูป แห่งเสียง หรือบัญญัตินั้น เท่านั้น ที่จะพึงถือว่า เป็นความอุบัติสำเร็จ ในที่แห่งภพนั้น ๆ”
|