ตอบโพสต์ ที่ ๑
“เรื่องสมาธิ ถ้า อยากที่จะให้ได้วงงาน หรือการพูดคุย แบบที่มีประเด็น ก็ต้องเปรียบเทียบเป็น หรือเปรียบเทียบไปที่งานไปเลย, เพราะสมาธิ ก็เป็นงานองค์ความ หรือองค์ธรรม คือการประกอบถูก จึงจะได้ ไม่ใช่งาน ทำไป ๆ ต่อคืบไป อย่างการบวกเลข หรือขึ้นบันได, ดังนี้ จึงน่าที่จะกล่าววงงาน หรือกล่าวลงที่งานได้เลย, เพราะว่า มีความเข้าใจเรื่องสมาธิกันในระดับดีแล้ว, ซึ่งก็เหมือนกับงานเทคโนโลยีการศึกษา หรือ งานเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตนี้เหมือนกัน, ว่าเขาไถ เขาหว่าน เขาเก็บเกี่ยวอย่างไร? หลังจากประดาแพลตฟอร์มต่าง ๆ รันข้อมูลแล้ว, อุปมาก็เหมือน จิต ว่า องค์ธรรมอย่างนี้ ประกอบอย่างนี้ ประกอบจิตดังนี้ แล้วทำงาน ประกอบจิตดั่งนี้แล้วก็พักสงบ หรือพักผ่อน
ซึ่งสมัยนี้ การตั้งพิจารณา หรือวินิจฉัย เกี่ยวกับงานสมาธิ ฉะนั้น ก็ยังต้องอาศัยการสอบสวน การตีความอยู่ เพราะมิได้มีพระพุทธเจ้าปรากฏพระองค์จริงอยู่ให้ใครได้ซักถาม, เช่นว่า ยังคงศึกษากันว่า สมาธิมีนิมิต อาศัยนิมิต เป็นสมาธิสำหรับสร้างงาน เรียกว่าภาวนาลักษณะ แล้วทำตามโคลงสร้างหรือเป้าหมาย, และอีกประการคือ สมาธิไม่สร้างงาน ไม่ทำงาน เรียกว่าสมาธิไม่มีนิมิต ไม่อาศัยนิมิต เพราะมุ่งความที่ต้องปลอดจากงาน หรือปลอดจากภพมนุษย์ เรียกว่า การภาวนาอารมณ์, ดังนี้ คือเรื่อง การศึกษา และพิจารณา และวินิจฉัย งานสมาธิ กัน หรือทั่วไป ในปัจจุบัน โดย มิได้มุ่งโวหาร หรือการเชือดเฉือนกันในทางวาทะ ว่าจะยกย่องสมาธิ หรือจะไม่เอาสมาธิแบบขั้นบันได
ดังนี้ ก็เช่นกัน ถ้ากล่าวถึงการตรัสรู้ธรรม ก็ต้องอาศัยการประกอบถูก คือถูกองค์ธรรม หรือถูกองค์ความต่าง ๆ ด้วย ที่ประกอบ มันถูก มันก็ได้จิตญาณ ประเภทนั้น มันก็ได้สติสมาธิประเภทนั้น มิใช่ ว่า เป็น การดำเนินไปอย่างกะบวกเลข หรือไต่ขึ้นขั้นบันได, ลงในเรื่อง ของการได้ประสบความรู้แจ้ง หรือรู้แจ้งในส่วนนั้น ๆ, และด้วยเรื่องการประกอบนั่นเอง ด้วยเรื่ององค์ธรรม องค์ความ และวัตถุธรรม ที่เริ่มมาจาก พระอรหันต์ท่านทำมานั้น ยังไม่ได้ไปถึงจุดที่แสดงปรากฏการณ์ ตามสมควร ที่จะเป็นความรู้, คือ เรื่องสมาธิงานพระไตรปิฎก สมาธินิมิตพระไตรปิฎก นั้น หรือสมาธิสีมานิมิตสุวรรณภูมิฉะนั้น ยังประกอบกันได้ไม่สมบูรณ์ ยังไม่ถูกองค์ความองค์ธรรม, ก็จึงเป็นปัญญา และปัญหาของสมาธิ สำหรับงานศาสนาพุทธ
ด้วยที่จริง ข้ออรรถ ข้อธรรม ทางสมาธิ หรือ สมาธิกำหนดนิมิต คือพระไตรปิฎก นี้, ส่วนใหญ่ ในยุคข้อมูลข่าวสาร และอินเทอร์เน็ต สมัยนี้ ได้ยก ข้อ อรรถ สมาธิ เป็น ข้อเดียวกันกับ ข้อ พยัญชนะ สมาธิ ไปแล้วดังนั้น, คือ ในยุค ทำงานด้วย การ ดำริ!คิด แล้ว ให้ ทำ!ลิขิต ไปดั่งนี้ ข้ออรรถ ของทุกสิ่งสารพัด ที่จะต้องสถาปนา มันหมายความว่า ต้องสมบูรณ์และบริบูรณ์ด้วยพยัญชนะ จึงจะให้ นิมิต แห่งการสถาปนาทุกสิ่งสารพัดนี้ เป็นจริง, ฉะนั้น สมาธินิมิตพระไตรปิฎก เรา จึงมีการกล่าวถึงการกระทำพระไตรปิฎกฉบับสมบูรณ์กันมากยิ่งขึ้น ซึ่งหมายถึงการประกอบกรรม กันทางฉบับดิจิทัล หรือฉบับสำหรับอินเทอร์เน็ตนี้ นั่นเอง ที่ควรสมบูรณ์บริบูรณ์ ถึงที่ความเป้นคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง, เป็นเรื่อง ที่ คนรุ่นนี้ หรือยุคนี้ ตั้งจิตสมาธิ ว่าจะทำ”
ตอบโพสต์ ที่ ๑
“ที่อ่านอยู่นั่นหน่ะมันไม่ใช่คำสอนของพุทธเจ้า จะคงเรียกว่าพระไตรปิฎกฉบับปัญญาประดิษฐ์ก็ยังได้ เพราะฉบับแท้จริงนั้นจะต้องสมบูรณ์, ซึ่ง วิธีสอบสวน ที่ครูบาอาจารย์ และพระพุทธเจ้าประทานเองฉะนั้น เป็นอย่างนั้น, คือที่เขียนผิดเขียนถูก ฉะนั้น หน่ะ อาจจะ สมบูรณ์ โดยอรรถ บ้าง ก็อาจเป็นได้ แต่มันไม่สมบูรณ์ โดยพยัญชนะ, ซึ่งความไม่สมบูรณ์ โดยพยัญชนะ นั่นแหละ เรียกว่า ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า,
แล้วยิ่งแล้ว ยุคข้อมูลข่าวสาร ยุคสร้างความเจริญ โดยการตรากฎ ตราหนังสือ เป็นยุคที่ถือ ความสมบูรณ์บริบูรณ์ โดยพยัญชนะ ว่าเป็น อรรถะ, ดังนั้น หลัก ที่จะ แสวงหาคติ หลัก ที่จะ ปรารภธรรม ปรารภเหตุ จึงต้องเป็นเรื่องนี้ สำหรับผู้ที่อาจสามารถ, คือ มนุษย์เรา จึงพยายาม ในการที่จะสร้างความร่วมมือ หรือหาความร่วมมือ ในการที่จะสร้างจะทำ พระไตรปิฎก ฉบับสมบูรณ์ ให้มีขึ้น, คือ ให้สมบูรณ์ เฉพาะชาติสยามเราก็ยังดี เพราะว่าเราอาจสามารถ, ในการที่จะทำพระไตรปิฎก คือคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เกิดขึ้นจริง
ไม่ใช่มัวบ้าสรรเสริญพระไตรปิฎก ทั้งที่ มันเป็นเพียงหนังสือห่วย ๆ ที่มีข้อพิรุธ มีข้อชำรุด บกพร่อง ตกหล่น วรรคตอนผิดพลาด และมีคำเขียนผิดพิมพ์ผิด อยู่อย่างมากมาย, ฉะนั้นแล้ว หลวงพ่อ ไม่อยากให้เพลินหลง ผิดพลาด ผิดทางไปจากสารธรรมที่ควร ซึ่งโดย ที่ สุด เมื่ออ่านมากแล้ว อ่านจบแล้ว ก็จะต้องพบว่า แม้นการตรา หรือพิมพ์พระไตรปิฎก ไว้ด้วยอักษรไทย ที่จริงก็ไม่สมควร, เพราะว่า เป็นการทำให้พระไตรปิฎก กลายเป็นหนังสือประโลมโลก มากกว่า ที่จะเป็นสิ่งมีค่า”
ตอบโพสต์ ที่ ๑
“ศาสนบริษัท ที่เหมาะควรกับ พุทธจักร พุทธเขต พุทธอาณา แบบสายอื่น พึงควรไปศึกษาสายอื่น หรือสายที่อ่อนคำสัจปฏิญาณ ฉะนั้น และเก่งในการดัดแปลง เก่งในการปฏิรูป นั้น ท่านเหล่านั้น มิได้มีใด จำเป็น ที่ต้องมาก่อกวน หรือถ่วง ศาสนาพุทธสายสุวรรณภูมิ, เพราะ ศาสนาพุทธเปิดกว้าง มีได้มากถึง ๑๘ นิกาย ท่านใดที่ยังมีศรัทธาอ่อน ก็จึงไม่จำเป็นที่จะต้องศึกษา แบบเถรวาท หรือหินยานก็ได้ เพราะมาเป็นตัวถ่วง, และเพราะว่าศึกษาไป ก็จะแต่แค่เพียงนำไปดัดแปลง หรือนำไปปฏิรูป มิใช่ว่าจะมาปฏิบัติธรรมจริง”
ตอบโพสต์ ที่ ๑
“อย่าไปดูเปะปะไป ไม่มีประโยชน์ จะเป็นแต่เพียงผู้ดูเบาจากสาระ หรือขาดสาระ, เพราะการ ดูพระไตรปิฎก ถ้ามิใช่เป็นพระ หรือเป็นนักบวชเอง ก็ไม่ต้องไปดูให้เสียเวลา เพราะในโลกที่เป็นมายาและเป็นแต่สิ่งบันเทิงตีกันยุ่งไปหมด เช่นนี้ หากเราจะมัวไปอ่านแบบเก็บความหรืออ่านเอาความ มันเป็นไปไม่ได้แล้ว มันปนกับคลิปสั้น มันปนกับหนัง ปนกับเพลง ปนกับเกม อะไรเต็มไปหมด รวมถึงสื่ออนาจาร ที่โถมกระแสไม่หยุดอีกด้วย, ดังนี้ ไม่ต้องไปอ่านเอาความ ดั่งนั้น แล้ว เว้นแต่ นอกจากเราจะไปอยู่ในวงการนั้น ๆ ได้จริง คือเราบวชเข้าไปศึกษาเอง แล้วหาเวลาว่าง ๆ ตาม สิ่งแวดล้อมและบรรยากาศ กำหนด ถึง ที่สมบูรณ์พร้อมพอสมควร แล้วจึงศึกษาวิจัยเองเลย, ดังนี้ ขอแนะนำว่า ไม่ต้องไปสนแบบเก็บความ หรือเอาความ
แต่อ่านแบบแยกศัพท์ แยกเป็นตัว ๆ ไปเลย ดูข้อชำรุด! ข้อพิรุธ ยกขึ้นพิจารณาคติ พิจารณาทำความสมบูรณ์ไปเลย, แล้วตั้งใจว่า จะสร้างคำอย่างไร? จะลดความแสลง หรือสแลง เช่นนี้ เช่นนั้นอย่างไร? ที่เป็นส่วนทำให้ อรรถ ของพระคำในพระคัมภีร์เกิดความเสียหาย แล้วนั้น จะบรรเทืองความเพื่อ จะวิวัฒพัฒนาโลกมนุษย์เราอย่างไร? แล้ว ก็กำหนดการกระทำไปจากความสามารถของตนเองได้เลย, ประโยชน์ในการเพ่งภาวนาจึงจะเกิดกับตัว เกิดกับเจ้าของเอง, ให้นึกถึงคำสอนครูบาอาจารย์ ว่า ให้ภาวนาคำเดียวพอ! ถ้ามันจะได้วิเศษ อย่างไรมันก็ได้วิเศษ แต่ถ้ามันไม่ได้วิเศษ ก็แปลว่าเราไม่มีภาระหน้าที่ ที่จะต้องสานต่อ หรือบันดาลความวิเศษให้
ซึ่ง ที่จริง สมัยนี้ เดี๋ยวนี้ ก็เริ่ม ก็เอะใจ ก็รับทราบ ก็ตระหนักกันดี กันบ้างแล้วว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เป็นการเขียน หรืองานเขียน นั้นหน่ะ ที่จริงไม่มี! หรือยังไม่มี ไม่พบ, เพราะพระพุทธเจ้า แสดงเองตรัสเองว่า คำสอนของพระองค์ เป็นคำสอนที่สมบูรณ์บริบูรณ์ ในทั้ง อรรถะ และพยัญชนะ, แต่ทีนี้ ความจริง! พบว่า พระไตรปิฎก ฉบับ ที่สมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยพยัญชนะ ยังไม่มีในโลก ยังไม่สามารถทำได้ ซึ่ง แต่ที่จริงก็อาจจะสามารถทำได้, ดังนั้น ตามความจริง เราพึง ต้องยอมรับก่อนว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นลายลักษณ์อักษร ที่จริง! ยังไม่มี หรือก็คือยังไม่ได้ทำการประกอบ, แต่ที่นี้ เราจะต้องหาทางภาวนา บริกรรม! ฉะนั้น เราจึงพึงยก บทตั้ง หรือตัดมาเป็นส่วน ๆ หรือยกมาแค่ศัพท์เดียว คำเดียว จึงจะมีหวัง คือย่อมหวังได้ว่า เช่นนี้คือ พุทธพจน์แท้ ๆ”
|