Fwd: รสนิยมของคุณล้ำเลิศ

1 view
Skip to first unread message

Phra Chittasangwaro

unread,
Nov 4, 2025, 8:26:05 AM (14 days ago) Nov 4
to wa...@googlegroups.com, nirutt...@googlegroups.com, nirutt...@googlegroups.com
คำตอบแท็กพระไตรปิฎก ๑

“หลักปัจจัย ว่ากันโดยความที่เป็น นิรุตติ หรือความที่เป็นภาคี คือสภาพ, หลักหมาย คือธรรมบัญญัติ ย่อมปักอยู่ที่เรื่อง ปัจจัย ๔, เช่น กล่าวได้ นั้น เพราะเนื่องไปจาก เรื่อง ให้ทำคำพากย์ จึงได้ปัจจัยเพราะคำพากย์ หรืออธิบาย เพราะเนื่องไปจากให้ ทำคำถาม จึงได้ปัจจัยเพราะคำถาม  หรือเนื่องไปจาก เพราะให้ทำคำสอน คำตอบ จึงเกิดปัจจัยเพราะการสั่งสอนชักพา บังคับ แล้วนั้น ปัจจัยอีกประการหนึ่ง คือปัจจัยความเรืองปัญญา หรือให้ได้ปฏิภาณ หรือเกิดไอเดียในทางความหมาย เกิดปัจจัยต่อกัน ก็เพราะ เอื้ออำนวยไปแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ฉะนั้น

เรื่องของการใช้ปัจจัย เป็นเรื่องของการไม่สงวนไว้ หรือให้สงวนไว้ คือ ได้เป็น นิรุตติ หรือได้ความเป็นภาคี คือสภาพ, ก็พึงน่าที่จะพิจารณาให้รู้ให้ทราบ, ดังนั้น ปัจจัย ว่า เพราะ ที่ไม่ได้กำหนดไว้ก่อน ก็ยังจัดว่า เป็นสภาพ เลยทีเดียว มิใช่เป็นแต่นิรุตติ, ดังนี้ จึงต้องว่าลงในหลัก คือธรรมบัญญัติ ตามเดิม, ลงแต่ทว่า จะให้สงวนไว้ หรือพึงต้องสงวนไว้เท่านั้น ศัพท์ว่า วิญญาณ ก็ย่อมจะต้องว่า แต่แค่ วิญญา ศัพท์ เพราะสงวนไว้ หรือที่แท้ ก็เพราะ มิได้มีความเป็นภาคี คือสภาพ, ด้วยเรื่อง การทำปัจจัย ย่อมย่นย่อเข้ามาดังนี้หมด, แล้ว เข้าใจ ตามสมมติ เช่น ความที่ว่า ‘ขึ้นศาลา ลงศาลา’ อาทิคือสภาพ ทว่า การ‘ขึ้นศาลา แต่ลงกุฎี’ นั้น จึงชื่อว่า เป็นแต่การสงวนไว้ เป็นปัจจัย”

คำตอบแท็กพระไตรปิฎก ๒

“คำตอบ ในทางพระไตรปิฎก จะไปอธิบายเรื่องอย่างนั้นได้ไหม?, ฉะนั้น ก็คงมีสูตรเดียว ที่จะอธิบายได้ ก็คือ นิรุตติปถสูตร, เพราะคำตอบ ทางพระปิฎกธรรม คือ เรื่อง ‘ชื่อ บัญญัติ และภาษา’ ซึ่งเรื่อง เช่นนั้น ก็อาจจะ หมายความว่า มีความไม่เสมอกันในทางบัญญัติ หรือ ก็คือ มิได้ เป็นศัพท์ หรือ คุณศัพท์ ที่เป็นไวพจน์กัน ไม่มี หรืออย่างไร? หรือหมายความว่า ไม่เป็นพลความแก่กันและกัน, ซึ่ง ถ้าพูด แบบหนังแบบละคร ก็น่าที่จะหมายความว่า ‘คุณพ่อของฉันจะชนะคุณได้แน่ ๆ ถ้าคุณยังทำได้แค่นี้’ ตามแบบหนัง แบบละคร ที่เรื่องมันจะต้อง เป็นแบบ เส้นตัด เส้นบรรจบ หรือเส้นขนาน, ไปอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมิใช่การอธิบายความ อย่างธรรมบัญญัติ ที่มี ในตำรา หรือคัมภีร์ ที่ย่อมหมายถึง ชั้น หรือลำดับชั้น ที่เป็นศัพท์ คุณศัพท์ หรือวิเศษคุณศัพท์, แล้วว่า จรด ไปตัดสินชี้ขาดตรงความที่ ทำโดยฐานที่บวชแล้ว หรือโดยฐานที่ยังมิได้บวช

ลงทว่า คงเพราะคาดหวังถึงเรื่องลำดับชั้น อยู่จริง ดังนั้น แต่ แท็กบังคับ เพราะแท็กพระไตรปิฎก เข้ามา ฉะนั้น ก็อาจที่จะได้คำพากย์ หรือให้คำพากย์ เป็นอธิบายได้บ้าง ซึ่งคงไม่ใช่การเอื้ออำนวยประโยชน์โดยตรง ไปเพื่อการงานอย่างนั้นได้ หรือเพื่อการงาน ตามกระบวนที่ต้องกล่าวได้อย่างระเบียบราชการ, เพราะที่ได้ชักมาแต่เรื่องของระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือระบบสำหรับการสื่อสารกันด้วยอุปกรณ์แบบนี้ ฉะนั้น สถานภาพ อะไร จึงมิต้อง นำเข้ามาสู่ เรื่อง อย่างวิชาระเบียบราชการ แต่พึงว่ากันลงที่ ระบบ ซึ่งตัวคุณเอง นั่นเอง คงควร หมายถึงความเป็นระบบ แต่ภรรยาคุณ เป็นคนเข้าสู่ระบบ หรือคนใช้ระบบ หรืออาจจะไม่ใช้ ก็ไม่แน่ ไม่ทราบ เพราะเขาอาจจะใช้ระบบของคุณพ่อเขา แต่ที่นี้ ยกกล่าว ถึงระเบียบ คืองาน, ซึ่งต้องหมายความว่า ถ้ามิใช่สมัย คือมิใช่กาล แห่งพระพุทธาภิสมัย คือเป็นเพียงสมัยแห่งจักรวรรดิ์ หรือจักรพรรดิ์ การเลื่อนขั้นสูง ก็คือการไม่บวช, เพราะการแข่งดี หรือแข่งสุขสบาย หากอยากจะได้คำพากย์ ต้องแสดง หรือต้องจำเพาะรายละเอียดที่สำคัญกว่านั้น

แล้วนี้ กล่าวนั้น ระเบียบ คุณ ได้ลาก เรื่อง เข้ามาสู่แท็ก นี้ คือส่วนที่เรียกว่า ระแบบ หรือก็คือ ให้ เข้ามาสู่ความหมาย หรือข้อสังเกตพิเศษ ตามฉบับ คือพระไตรปิฎกฉบับ อาจารย์ระแบบ ฐิตญาโณ พระธรรมเมธาภรณ์, ที่ ซึ่ง คำว่า ระแบบ ย่อมให้อาจเข้าใจ หรือหมายความว่า จงพึง ให้มีความแยบคาย ในทางภาษาเขียน หรือ ให้เอาแพ้ หรือชนะ สมมติกันไป ในชั้นเชิง ไปในความยักเยื้องแยบคายแบบภาษาเขียน, ไม่ใช้ หรือไม่ใช่ วิธีที่ต้องชักมาจาก งานระบบ หรือว่าตรงโดยระเบียบแบบโดยตรง ฉะนั้น คำว่า ระแบบ ย่อมว่า รวม ลง มา เรื่อง ‘ชื่อ บัญญัติ และภาษา’ เช่นกัน, ทว่างาน ก็คือ งานอดีต ปัจจุบัน และอนาคต, ทว่าประเภทงาน ก็คือ งานผู้ชาย งานผู้หญิง และงานไม่จำกัดเพศ, ด้วยทว่า จะกล่าวกันด้วยข้อสังเกตพิเศษ หรือกล่าวกันเพราะกาล คือ พระพุทธาภิสมัย, ในแท็กพระไตรปิฎกย่อมที่จะต้องกล่าว, ว่า ไม่ทราบ เพราะที่ต้องทราบก็คือ คุณกับภรรยาคุณใครใคร่ ต่อการบวช มากกว่ากัน คนนั้น ย่อมคือขั้นสูง, แต่ถ้าคุณบอกว่า จำทำเพื่อความสุขความสำเร็จ การงานในทางโลก ก็ย่อมต้องตอบแค่ว่า คุณ และคณะของคุณยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะ ที่เรียกว่า การแข่งขัน”

คำตอบแท็กพระไตรปิฎก ?

Newsroombanners-2880x8802.png


 
 
 

Phra Piyabhani

unread,
Nov 4, 2025, 10:23:16 AM (14 days ago) Nov 4
to wa...@googlegroups.com, nirutt...@googlegroups.com, nirutt...@googlegroups.com

“เช่นนั้น ก็น่าจะแปลว่า พึงต้องคิดอย่างมีภาคี หรือคิดอย่างมีมติร่วม เพราะตรัสแสดงว่า บุคคลมิพึงคิด, ฉะนั้น ก็ย่อมที่น่าจะหมายความว่า มิพึงคิดเองทำเองโดยลำพังนั่นเอง, เพราะการคิดเองลำพัง แปลว่าบุคคล, ฉะนั้น ก็น่าที่จะต้องคล้อยไปสู่มติที่กล่าวว่า พึงมีธรรมวิจัย ในลักษณะ ที่ พึงทำ พึงพร้อมเพรียงกันเป็นหมู่ หรือทำ หรือคิดทำ อย่างมีหลัก มีที่อ้าง ที่เรียกว่า มี ภาคี หรือวิชาภาคี, สรุป จึงเป็นอัน หมายถึงการชี้ช่อง ให้พระภิกษุผู้มีปัญญาได้เห็น หรือให้ได้คำนึงถึง ในประการที่พระสงฆ์จะพึงมีความสามัคคีกัน, เพราะ ย่อมที่จะต้องพึงพอใจ แต่การไม่คิดโดยลำพังเอง คือย่อมอยู่ อย่างการคิดการกล่าวอย่างมีมติร่วม อย่างที่เรียกว่า ภาคี หรือวิชาภาคี, เพราะบุคคลลำพัง หรือลำพังบุคคล ย่อมขาดการปรึกษาหารือ ถี่ถ้วนรอบคอบ แล้วย่อม เป็นบ้า! เพราะหุนหันพลันแล่น หรือขาดตกบกพร่อง จนให้ต้องล่วงเลย หรือเลื่อยล้าอยู่ อย่างคิด

แล้วนี้ จำพึงต้องพิจารณาต่อไปว่า จะคิดอย่างมีมติร่วม หรือคิดอย่างเป็นภาคี จะคิด จะตริตรึกนึกตามอย่างไร?, เพราะ นัยเพราะว่า ข้อปฏิบัติวัตรพรต ก็มิใช่มีน้อยข้อ ดังนั้น พึงกล่าวว่า วัตรการเดินของพระสัมพุทธเจ้า เราไม่พึงประเมินหรือประมาณเช่นนั้นหรือ? แต่วัตรการเดินของพระอรหันต์ เราพึงประมาณได้อย่างนั้นหรือ?, ดังนั้น การกล่าวได้ คิดได้ อย่างมีมติร่วม พึงคิดอย่างไร? เพราะจะต้องไม่กลายเป็นว่า พระพุทธเจ้าพิลึก!ดี แต่พระอรหันต์มิต้องพิลึก!, ดังนั้นแล้ว จึงไม่น่าที่จะเป็น ส่วนความเข้าใจ หรือความเข้าใจอรรถาธิบาย ในทางที่เป็นประโยชน์, เพราะปริยาย หรือนิปปริยาย โดยตรง โดยอ้อม นั้น ย่อมที่จะให้พระสงฆ์อริยะทางฝ่ายปัญญา พึงควร และย่อมจะต้องสมคบคิดกันแต่เรื่องอย่างนั้น นั่นเอง, แต่ ทว่า ต้องคิด ใน อย่างที่เป็นวิชาภาคี หรือคิดอย่างที่เป็นมติร่วม จากหลายกลุ่มหลายฝ่าย

ดังนี้ แล้ว ด้วยการที่พึงบริหารบริษัท หรือหมู่สงฆ์, เรื่องดังกล่าวนั้น ก็รวมมาสู่ เรื่อง บริเวณ, บริวาร, บริขาร, และบริกรรม นั่นเอง เพราะเมื่อ คิดอย่างมีมติร่วม ย่อมที่จะต้องกล่าว ๔ ประเด็น ๔ ประการนี้ ได้อย่างมีความละเอียดอ่อน, ดังนี้ เมื่อกล่าวถึง พระพุทธาภิสมัย หรือการที่ได้มีพุทธบรรหารเช่นนั้น, แล้วนั้น ย่อมให้น่าพิจารณาหนัก แลเบา ยิ่งขึ้น มากหลายส่วนเลยทีเดียว ว่า ที่จริง น่าที่จะต้องเห็นว่า ยุคสมัยของพระพุทธสมณโคดม เป็นยุคปัญญา เพราะพระสัมพุทธเจ้าแห่งอภิสมัย เป็นแบบพระปัญญาธิกะ, แต่พระสูตร ให้เห็น นัยแห่งอธิบายว่า มิพึงกล่าวปัญญาบุคคล แต่พึงกล่าวปัญญาภาคี หรือวิชชาภาคี, แลกล่าวว่านั้น กาย ยาววา หนาคืบ มีใจครองนี้, แลท่าม แห่งกาลเมื่อตรัสรู้นั่นเอง สำหรับพระพุทธเจ้า คำอย่างชาวบ้านพูดกันเข้าใจว่า ตอนที่พระองค์ตรัสรู้นั้น พระองค์ มีพฤกษา! หรือมีที่พฤกษา นั่นเอง, แล้วนั้น ดังนั้น พระอริยะ และพระอรหันต์ และ พุทธบริษัท จึงพึง น่าที่จะหมายความ ลงตามนัยของพระสูตรนี้ได้ว่า เราพุทธบริษัท จะทำอะไร? ด้วย ๔ ข้อ ฉะนั้น พึงควรกระทำ หรือควรคิด อย่าง มีที่ปรึกษา!”
Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages