Proper conduct to systems is required, Page 133. ☺

2 views
Skip to first unread message

สรรพาลังการ Pali ศัพท์

unread,
Nov 13, 2025, 10:59:48 AM (5 days ago) Nov 13
to wa...@googlegroups.com, reg...@googlegroups.com
blank
Vijja Bhagi
Proper conduct to systems is required, Page 326. ☺
 
“ความเข้าใจเรื่อง กาย คือฐานกาย และความเข้าใจเรื่อง มรรคผล คือใจ หรือความวิจิตร ที่เกิดขึ้นกับจิต เพราะการตามประกอบจิต, เรื่อง กาย และเรื่องใจ, ควรต้องเข้าใจว่า กาย คือฐานกาย หมายถึง สมุฏฐาน ที่หมายถึง ส่วนที่มีที่พัก แต่ ใจ คือ สมุฏฐานจิต คือส่วนที่ไม่มีที่พัก แต่จิต คือสิ่งที่ หรือส่วนที่ คือความซ่าน หรือความวิจิตร หรือเป็นเพียงโอกาส แห่งความซ่าน หรือ ความวิจิตร อย่าง นั้น ๆ, ฉะนั้น หาก จะหาสมุฏฐาน หรือพิจารณาว่า การตามประกอบความ ของตนเอง เช่นนี้ เรากำลังตามประกอบอยู่ซึ่งสมุฏฐานกาย หรือสมุฏฐานจิต, ซึ่งแน่นอนว่า เรื่อง มรรคผล หมายถึงเรื่องสมุฏฐานจิต, เช่นที่ พระท่านมักแสดง ความที่ว่า ‘ศาสนาเจริญที่ใจ’ เช่นกล่าวนี้ หมายถึงเรื่อง มรรคผล ดังที่ หลวงปู่ดุลย์ แสดงไว้แล้ว เช่นกันว่า จิตเห็นจิต เรียกว่า มรรค, ซึ่ง ก็น่าถาม น่าพิจารณาอยู่นั่นเอง ว่า กายอยู่ไหน หรือกายคืออะไร?, หรือแม้น ที่เรียกว่า เรานี้ กับเขาอื่นนี้ ดั่งกับว่า เป็น ผีเห็นผี แม้นฉะนั้น ก็ยังจะต้องเกิดคำถาม ว่ากาย คืออะไร? หรือเป็นอย่างไร?
 
เพราะ ในทางภาษา ฉะนั้น รู้ กันว่า กาย มาจากคำว่า สกาย หรือ มาจากความเดิมสุด ว่า สักกายะ นั่นเอง, ฉะนั้น เรื่องการพิจารณากาย ก็จึงเป็นเรื่องใหญ่มากเลยทีเดียว, แต่ซึ่ง อรรถกถาจารย์ หรืออรรถาธิบาย ท่านก็แถลงไว้ด้วย อย่างหนึ่ง ให้ต้องพิจารณา ว่า ‘ในเรื่อง ของรูป-นาม, ปัญญา และญาณ จัดว่าเป็นเรื่องของนาม’, ฉะนั้น นักภาวนา หรือที่เรียกว่า ภาวนิก บ้างท่านจึงเห็นว่า อยากที่จะถึง หรืออยากที่จะได้ ญาณ และปัญญา จึงควรให้คิดว่า เอ? เช่นนี้ ไม่น่าที่จะพึงต้อง ตามประกอบสมุฏฐานกาย หรือเรื่องของญาณในรูป ที่พึงพิจารณาสมุฏฐานกาย เพราะดำริตริตรึก ไปในความที่อยากจะได้มรรคผล เท่านั้น เท่านี้ อยากได้ธรรมวิเศษ เท่านั้น เท่านี้ หรือความที่จะพึงได้ซ่านไปแก่ความมีจิตวิจิตร ต่าง ๆ ฉะนั้น เท่านั้น, โดยขาดความตระหนัก หรือความสำเหนียกได้ว่า เรื่องจิตเห็นจิตได้เป็นเรื่องยาก พระพุทธเจ้าจึงทรงมิประทานคำแนะนำเลย แต่ทรงแนะแนวทางว่า บรรดาพุทธสาวกบริษัท จง พึงพิจารณากาย หรือพิจารณาทุกข์ จึงจะเห็นสัจธรรม หรือเห็นได้ว่าธรรมนั้นมีวิมุตติ
 
ฉะนั้น โดยทั่วไป ด้วยความที่ การตามประกอบจิต ด้วยสมุฏฐานทางจิต เป็นเรื่องทำได้ยาก ที่จะให้จิตบริสุทธิ์ หรือได้พ้นจากความหลงได้ และเพราะการหลอกจิตให้ทุกข์ก็ยาก หรือหลอกจิตให้สุขก็ยาก จึงมิอาจที่จะกระทำภาวนา แต่โดยสมุฏฐานจิต ได้เลยแต่อย่างใด ดังนั้น จึงพึงควรรู้กาย นั่นเอง ด้วยความเป็นอิริยาบถ และรู้ความไม่มีอย่างอื่น ไม่เป็นอย่างอื่นของอายตนะ ว่าคือกาย แลว่า กายตาไม่กำเริบในทางเป็นสุขหรือทุกข์ รู้ว่ากายตา, กายหูไม่กำเริบในทางเป็นสุขหรือทุกข์เรียกว่ากายหู, กายจมูกไม่กำเริบในทางเป็นสุขหรือทุกข์เรียกว่ากายจมูก, กายลิ้นไม่กำเริบในทางเป็นสุขหรือทุกข์เรียกว่ากายลิ้น, ....พิจารณาเรื่อยไป สำทับความรับรู้เรื่อย ๆ ไป จนตลอดถึง กายจิต, กายนิพพาน, และกายบัญญัติ, และซึ่งความที่ได้อธิบายไปแล้ว ในเรื่อง ใจรูป ใจเสียง ใจกลิ่น ใจรส ใจสัมผัส ใจจิต ใจนิพพาน และใจบัญญัติ ก็ได้บอกไปแล้วว่า การเข้าสู่กายนิพพาน หรือใจนิพพานฉะนั้น ได้ พึงให้เริ่มจากความพ้นจากความตระหนี่ หรือต้องไม่มีความตระหนี่ จึงจะชื่อว่า ได้รู้กำหนด และได้พิจารณาอยู่ซึ่งกายนิพพาน”
 
Sadhu.
Pali Ariyakaーscript :
Subhacaro
blank
Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages