Sapphalangkan Pali ; ☺ Sap

0 views
Skip to first unread message

สรรพาลังการ Pali ศัพท์

unread,
Nov 29, 2025, 1:33:12 AMNov 29
to reg...@googlegroups.com, wa...@googlegroups.com, Phaen Din Lae Fa, wasna, บนทกขอมลการตรวจ
blank
 
Vijja Bhagi
สรรพาลังการ Pali ศัพท์
 
โพสต์ ที่ ๑

“การกล่าว การบอก เรื่อง มันเป็น อุตริ! ถ้าไม่ รู้จัก พูดศัพท์ช่าง หรือ ศัพท์ มวย ศัพท์กีฬา อะไรปะปน ไปบ้าง ที่ซึ่ง ก็จะดีกว่า, เพราะ หาก โน้ม ในการ ถือ วัตรพรต หรือปฏิบัติพรหมจรรย์ ที่ดี ที่ยิ่งขึ้นไป แล้ว เมื่อนั้น, ฉะนั้น จึงจะต้อง มารู้งานศัพท์ว่า จะไม่ใช้ แถลง ในความ อุตริ!, และว่า งานศิลปะ หรือวรรณกรรม ก็ตาม ที่ก็ย่อม เป็นที่รวม ความใกล้กัน กับ การอุตริ! เพราะ พูดกล่าว แต่ในส่วน ที่จะแสดง ปรากฏการณ์ ต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วย ซึ่งปาฏิหาริย์ หรืออัศจรรย์ อันโน้มอยู่กับตน หรือโน้มอยู่ในตน, ฉะนั้น ความคืบไป ในพรตศีล, ดังนั้น พรตศีล ที่ดี หากอาศัย การแถลงความ หรือสถาปนาสิ่งความไปดังนั้น แล้ว, ที่สุด เมื่อจักบวช ใน โลก หรือชนทั้งหลาย, ชนทั้งหลาย นั้น ๆ ก็ย่อมเห็นว่า ทำตนเป็น การอุตริ! บวช, ฉะนั้นแล้ว จงพึง ไม่บอกเล่าเก้าสิบไปเลยดีกว่า ในเรื่องที่จะกล่าว อัศจรรย์ หรือฤทธิ ต่าง ๆ ที่จะออกมาจากตน, ไม่ว่า จะเป็น สุขประณีตขึ้นไปกว่า ขณิกสมาธิ หรือขณิกภาวนา ไม่ว่าจะเป็น การระลึกชาติ หรือความสามารถ ที่จะแสดงพลังบำบัดรักษาอะไร?, เรา ไม่บอกไม่แสดง จึงจะดีกว่า, ต่อไป เราจึงจะเจริญ ในพรตศีล ที่เป็นอย่างยิ่ง ขึ้นไป, คือ หมายความว่า ศาสนธรรม ศาสนบริษัท ที่เกิดจากพระบาท พระอุระ และพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า ของเราไม่อวดความเป็นพรหม และไม่ขีดคั่นขัดขวางความเป็นพรหม, ด้วยฉันทานุมัติ อื่น กว่าความเป็นอยู่ตลอดกัปของพระสัมพุทธเจ้า

ดังนี้ ในแต่ละวัน จึงพึงสร้างความคำนึง วิตก แต่ว่า จะทำความรู้ความ ไปในเรื่อง บาลีอักษรอะไร? ๑, ฉบับอะไร? ๑, เล่มอะไร? ๑, ข้ออะไร? ๑, หน้าอะไร? ๑, อักขระรวมเว้นวรรคเท่าไหร่ ๑, อักขระไม่รวมเว้นวรรคเท่าไหร่  ๑, แล้วจึงดีกว่า เพราะจะได้สร้างหลักประกัน สำหรับความบริสุทธิ์ ในเรื่องของการอวด!ที่ สร้าง ความกังวล วิตก ในทางวิชาการ ลงแค่แต่เรื่อง ‘ปัญญา ญาณ และนิรุตติ’ เท่านั้นจริง ๆ แล้ว จึงประกอบความ เป็นการ แสดงเรื่อง ‘ชื่อ บัญญัติ และภาษา โดยความ ที่ไม่ให้เกิดความเสียหาย’, แลกล่าวถึงข้อวัตร แลกล่าวถึง นิยาม ต่าง ๆ ที่ไม่ให้เสียหาย, แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ด้วยความสงสัย หรือคลางแคลงใจ เรื่อง ลิขิต! แล้ว ก็ย่อมไม่ว่ากัน เพราะบ้างก็ว่า สมัยนี้ จะไม่เอาพรหมลิขิตแล้ว, แต่วิวัฒพัฒนา แต่ความรู้สึก ที่อยากจะได้ เป็นไปตามจักรธรรม และพระตถาคตลิขิต อันมีความหมายต่อความสำเร็จทุกทาง ทุกเรื่อง ตลอดไป ต่อไปได้, ก็จึงไม่แปลกใจอะไร? ที่จะมีคน คลางแคลงใจพรหมลิขิต อย่างนั้น แล้วบ้างก็ดี, เพื่อ ว่า การเจริญ และการตั้งต่อ และสถิตสถาปนา เรื่อง ‘พุทธจักร, พุทธเขต, และพุทธอาณา’ จะได้ ถึงความเป็นปกติ และถึงความเป็นธรรมชาติ แห่งสมบัติธรรม ที่พึงเป็นสัมภาวะ ที่เป็นสัมภาวะ สำหรับมนุษยพิภพ และความให้อุบัติเกิดขึ้นได้ สำหรับเรื่องของความเจริญแก่ทุกภาคส่วน”

โพสต์ ที่ ๒

“เรื่องหลัก น่าที่จะเรียกว่า พระพุทธเจ้า และพระสยัมภูพุทธเจ้า เป็นผู้ ถูกกล่าวขวัญถึง ด้วยความเป็นบุคคลในตำนาน หรือถูกกล่าวขวัญถึงโดยฐานที่เป็นยอดมนุษย์ในตำนาน ด้วยกัน, อันซึ่ง น่าที่จะพอทราบกัน อยู่โดยธรรมดาบ้างแล้ว ว่า มนูธรรมศาตร์ หรือพราหมณ์เก่า ๆ ฉะนั้น มีเรื่อง หรือ มีการตรากฎขึ้น เพื่อการคลี่คลาย หรือสร้างความเชื่อมโยงสัมพันธ์ ในสิ่งที่ควร จะพึงมีหน้าที่ ต่อกัน หรือต่อการสรรสร้างสิ่งต่าง ๆ ร่วมกัน ของหมู่มนุษย์ ตลอดจนการมีหน้าที่ ที่จะต้องช่วยกันสลายปัญหาด้วย, อันซึ่ง ต้องเขียนกฎ หรือเขียนโครงสร้างขึ้น, ฉะนั้น พระมนูธรรมศาสตร์ หรือหนังสือของพราหมณ์นั่นเอง, ซึ่งน่าเชื่อว่า หรือได้มีแนว ที่จะ สันนิษฐานได้ว่า เกิดจากการบอกเล่า หรือการให้รายละเอียดอันมีที่มา มาจากพระปัจเจกพุทธเจ้า

ยกตัวอย่างเช่นว่า มีบุเรงนองเป็นแบบ จึงเกิดพระนเรศวร เป็นต้น, มีอยุธยาเป็นแบบ จึงมีกรุงเทพ สลัก สถิต และสถาพรตลอดกาล เป็นต้น, ดังนี้ เหมือนกัน โลก ตามแนวพิจารณาอย่างเดิม ๆ มานั้น ก็บอกเล่าอย่างนี้ เท่านั้น ในทำนอง ที่จะกล่าวว่า เพราะ มีพระสยัมภูมาตังคะเป็นแบบ จึงมีพระสัพพัญญูพุทธเจ้าโคตมะ, และ ลงมาแต่อำนาจทางการเมือง ย่อมเป็นตัวขยาย หรือตัวส่อง บันทึกหน้าประวัติศาตร์ นั้น ด้วย และแม้นในเรื่องทางศาสนาก็ด้วย, เพราะตามความ แห่ง หนังสือ ระดับ ฎีกา หรืออนุฎีกาทางศาสนา หรือหนังสือระดับรอง ๆ กว่านั้น ที่ได้ตามประกอบ หรือพยายามสะท้อน หรือส่องขยายไปที่ประเด็นเหล่านี้นั้น, ชนรุ่นหลัง จึงแจ้งประจักษ์ ด้วยดี แล้วสำคัญว่า ในบรรดา คหบดีมหาศาล, กษัตริย์มหาศาล, และพราหมณ์มหาศาล ที่เคลื่อนกลจักร แห่งอารยทวีป นั้น ขณะ นั้น, จะพึง อนุมาน ไปตามแนวนึกคิด เทียบเคียง ดังนี้อย่างไร?

อัน นอกจาก บุคคล ระดับ พระพุทธเจ้า แล้ว, นับ บุคคล ในระดับ รองลง มา น่าจะดังนี้, อันได้แก่ พระปัจเจกมาตังคะ ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดถึงเรื่องอนุพยัญชนะ ๑, พระกัสสปเถระ ซึ่งทราบชัดว่าประกอบด้วยอนุพยัญชนะ ๗ ประการ ๑, และพระเทวทัต ที่ซึ่งน่าที่จะประกอบอยู่ซึ่ง อนุพยัญชนะ ๑ อย่าง ๑ ประการ คือคาง ๑, โดยนัย ประการนี้ คือเรื่อง การลำดับ ความ สำคัญ ไปอย่าง เรื่อง ที่พระมนูธรรมศาสตร์ แรก ๆ หรือพราหมณ์รุ่นแรก ๆ ลำดับความสำคัญ ลงมา จรด ด้วยประการดังกล่าวนี้, ทุกคน  จึงจะทราบ แนวพิเคราะห์ ความ สำหรับ เรื่อง คหบดีมหาศาล, กษัตริย์มหาศาล, และพราหมณ์มหาศาล ซึ่งคณะ ที่มีบทบาทแท้จริง ในความเป็นแกนเรื่อง และให้ดำเนินเรื่อง ทั้งในทางความจริง และเพื่อความบันเทิง หรือ กำหนด ให้ได้ใช้ความร่วมมือ ในการที่จะสลายปัญหา ปวงดังกล่าว นั้น ด้วยกัน เฉพาะที่มี ที่ปรากฏ อยู่ ในขณะนั้น ซึ่ง การทำข้อมูล ตอนนั้น ไม่ใช่เรื่องของการ บันทึกเสียง ถ่ายภาพ หรือสร้างโค้ดข้อมูลกันอย่างกับสมัยนี้ แต่ครั้งนั้นกระทำข้อมูล เป็น การกำหนดเฉพาะ สะท้อน หรือจำเพาะ หรือสื่อบทบาท สร้างเรื่องราวต่าง ๆ ยิ่งขึ้น ตามประการนั้น ๆ

แล้วที่นี้ ไป ๆ มา ๆ คนจึงย้อน มองสวนทาง หรือคิดสวนทาง คำโปรย หรือคำประกาศเกียรติคุณ ที่เกิดขึ้น นั้น กลับไป เพราะต้องการทราบชัด ไปถึงต้นตอ และต้นแบบมากกว่า, ซึ่ง ก็ไม่แน่ว่า แนวทาง การศึกษา ต่อจากนี้ กว่านี้ ไป สัก ๕๐ ปี ข้างหน้า คนอาจจะค้นคว้าศึกษา เรื่องพระปัจเจกมาตังคะ มากกว่า จะศึกษาเรื่อง พระสัพพัญญูโคตมะ ก็อาจจะเป็นได้, ซึ่งเรื่องนี้ ก็เหมือน เรื่อง แห่งการที่ ผู้คน ต้องการศึกษาเรื่องผู้ชนะสิบทิศบุเรงนอง มากกว่า ที่จะศึกษาเรื่องพระนเรศวร นี้แม้พูดถึง คนไทยเอง ก็ยังต้องการอย่างนั้น และก็เช่นกัน ว่า ได้มีผู้คนสนใจที่จะค้นคว้าศึกษา หาเหตุ หาผล จากเรื่องอยุธยา มากกว่า ที่จะอยาก หรือต้องการศึกษาเรื่องกรุงเทพฯ, อันนี้ คือแนวนึก แนวคิด ตามเหตุผล แก่แก่นความ ที่คือแก่นเรื่องตามลำนำ หรือตามทำนองเช่นนี้ ซึ่งแนวโน้ม ทางการศึกษา จะโน้มไปมาก จริง เมื่อไหร่ นั้น ไม่ทราบ แต่ที่ต้องทราบ คือควรทราบว่า ชั้นความระดับเดียวกัน นั้น มี ๓ อย่าง ๓ ท่าน เป็น ยอดบุคคล และมูลความ ตามชั้น นั้น ๆ ซึ่งว่า หาก ใน สมัยใดสมัยหนึ่ง ผู้คนไม่สนใจ หรือไม่ต้องการที่จะศึกษา ผ่านพระสัพพัญญู อีกต่อไป, หรือว่า อาจจะ พบว่า มีอุปสรรค ที่ไม่ชอบ มากเกินไป จากการศึกษาตามพระสัพพัญญู หรือศึกษาผ่านพระสัพพัญญู, เมื่อนั้น ผู้คน ตามธรรมดา ก็ย่อม ที่จะ ต้องได้หันไปสนใจ ศึกษาเรื่อง ของ พระมาตังคะ, พระกัสสปะ, และพระเทวทัต, เพื่อ ยกขึ้น เป็นสิ่งสลักสำคัญ ในเบื้องต้น”
 
blank
Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages