ผ่านไปแล้วกับงาน Creative Unfold, Bangkok 2008: Connecting Dots
Business: People: Culture ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3- 5 ตุลาคม ที่ผ่านมา
ที่สำนักงานศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบ( TCDC) ชั้น 6 ดิ เอ็มโพเรียม
สำหรับในการจัดครั้งนี้มีผู้บรรยายและจัดเวิร์คช็อปที่ผมสนใจหลายท่าน
แต่ที่ผมได้มีโอกาสได้เข้าฟังการบรรยาย ก็คือ ชาร์ลส์ แลนดรี้( Charles
Landry) ผู้เขียนหนังสือมากมายในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา
และเขายังเป็นผู้ให้ศัพท์บัญญัติที่ว่าด้วยเรื่อง " Creative City" หรือ
"เมืองสร้างสรรค์" คำๆนี้ถูกใช้ครั้งแรกในงาน The Creative
Cityที่เขาเขียนร่วมกับฟรังโก เบียนชินี( Franco Bianchini)
นักวิชาการด้านผังเมืองเมื่อ ปี ค.ศ. 1995
และต่อมาเขาได้พัฒนาแนวคิดและเขียนหนังสือ The Creative City: A Toolkit
for Urban Innovators ออกมาในปี ค.ศ. 2000 และตามมาด้วยในปี ค.ศ. 2001
กับงาน Culture @ the Crossroads: Culture and Cultural Institutions at
the Beginning of the 21st Century' ที่เขียนร่วมกับมาร์ค เพทเชอร์ (Marc
Patcher)
เขายังเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้านการพัฒนาเมืองที่ชื่อว่า
Comedia
สำหรับประเด็นที่น่าสนใจในการบรรยายของแลนดรี้
คือเมืองสร้างสรรค์ในแนวคิดของเขานี้เป็นทั้งบ่อเกิดของนวัตกรรมสิ่งใหม่และการรวมเอาสิ่งเก่าเข้ามาผสมผสานเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว
เมืองยังเป็นที่สร้างแรงบันดาลใจที่บูรณาการชีวิตการทำงานและไลฟ์สไตล์ของการดำเนินชีวิตเข้าไว้ด้วยกัน
แต่
เมืองในมิติที่ว่านี้ไม่ใช่เมืองในฐานะที่เป็นผลผลิตทางวิศวกรรมของการก่อสร้างหรือในแง่ทางสถาปัตยกรรมผังเมือง
เขาเห็นว่าเราควรมองเมืองในฐานะที่เป็นบ่อเกิดและศูนย์รวมของวัฒนธรรม
( City as a living work of art)
ซึ่งในที่นี้ศิลปะและวัฒนธรรมหลายๆด้านของเมืองล้วนแล้วแต่คือปัจจัยสำคัญด้านเศรษฐกิจของเมืองด้วยเช่นกัน
ซึ่งนั่นเท่ากับว่าการพัฒนาเมืองจำเป็นต้องมีนโยบายด้านวัฒนธรรม
( cultural policy)ควบคู่กับนโยบายด้านอื่นๆไปด้วยเช่นกัน
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหากขาดผู้บริหารเมืองที่ขาดวิสัยทัศน์
และดูช่างเป็นการบังเอิญเสียจริงๆ
ช่วงที่แลนดรี้มาบรรยายก็เป็นเวลาเดียวกับทางกรุงเทพฯกำลังจะเลือกตั้งผู้ว่าฯคนใหม่
แต่เรากลับไม่เห็นผู้สมัครเลือกตั้งคนไหนมีนโยบายไปในทิศทางเดียวกับที่แลนดรี้เอ่ยถึง
"เมืองสร้างสรรค์"(ที่ปัจจุบันเมืองใหญ่ๆทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่การพัฒนาในทิศทางนี้
ทั้งๆที่กรุงเทพฯมีศักยภาพในด้านนี้อย่างมาก ไม่ว่าอุตสาหกรรมดนตรี
ภาพยนตร์ วิทยุและโทรทัศน์ และการออกแบบ ฯลฯ)
ถ้าเอาแบบใกล้สุดๆก็น่าจะเป็นนโยบาย
"เมืองน่าอยู่"ที่พอกล้อมแกล้มไปกับเขาได้บ้าง
แต่อย่างไรก็ใช่ว่าทุกๆเมืองจะเป็นเมืองสร้างสรรค์ได้ เขาตั้งคำถามที่ว่า
" Why did creative city idea come about?" หากใครไอ้อ่านงาน The
Creative City ของเขา
เราจะเห็นว่าแลนดรี้ได้เขียนถึงประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงเมืองต่างๆในอังกฤษและภาคพื้นยุโรป
ที่เกิดการปรับตัวหลังยุคของของเศรษฐกิจตกต่ำช่วงกลางยุค 70
เมืองใหญ่ไม่ว่าเบอร์มิงแฮม บาร์เซโลนา ฮัมบรูกซ์ ฯลฯ
ในอังกฤษและภาคพื้นยุโรปที่เคยเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมหนักทั้งหลาย
กลับกลายเป็นเมืองที่ทรุดโทรม มีผู้ตกงานจำนวนมาก
สภาพดังกล่าวเกิดอยู่โดยทั่วไปเกือบ 10 ปี
การคลี่คลายไปสู่การเป็นเมืองที่เคยเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมเริ่มค่อยๆเปลี่ยนเป็นเมืองที่มีฐานเศรษฐกิจด้านอุตสาหกรรมวัฒนธรรม
( cultural industries)ในช่วงปลายยุค 80
ที่จริงมีเกร็ดย่อยที่อยากจะขยายความเพิ่มเติม
เพื่อจะได้ให้ภาพของแนวคิดเรื่องเมืองสร้างสรรค์ให้ชัดขึ้น
เพราะไม่ใช่ว่าแนวคิดนี้เพิ่งเกิดขึ้นมาในวันสองวันที่ผ่านมานี้
ที่ผ่านมาแลนดรี้ในนามของ Comedia
และนักวิชาการด้านสื่อและวัฒนธรรมอย่างนิโคลาส กรานแฮม ( Nicolas Granham)
มีบทบาทต่อการเสนอแนวคิดและผลักดันแนวทางการพัฒนาฟื้นฟูเมืองต่างๆในอังกฤษด้วยอุตสาหกรรมวัฒนธรรม
( หรือในคำกล่าวง่ายๆว่าอุตสาหกรรมบันเทิง)
เมืองเชฟฟิลด์คือที่แรกๆแต่ไม่มีแผนงานที่ชัดเจนอะไร
แผนงานที่เห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุดกลับมาเกิดที่กรุงลอนดอน คือ
การเขียนแผนงานพัฒนาเขต Greater London Council( GLC)
ให้พัฒนาเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมวัฒนธรรม แต่ด้วยที่ว่าในเขต GLC
นั้นมีผู้บริหารท้องถิ่นมาจากพรรคแรงาน
แผนงานดังกล่าวจึงไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษ
ซึ่งสมัยนั้นมีนางมาร์กาเร็ต แทรตเชอร์ ( Margaret Thatcher)
จากพรรคอนุรักษ์นิยมเป็นนายกรัฐมนตรี ...ซึ่งเรื่องที่ว่านี้ท้ายสุดก็ไปจบลงตรงที่เป็นปัญหา
"การเมือง"
อย่างไรก็ตามหลังจากที่โทนี แบลร์( Tony Blair)กับแนวทาง " New Labour"
ของพรรคแรงงานชนะการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1997
และมีนโยบายการให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์( creative industries)
อย่างเอาจริงเอาจัง
โดยแผนงานนี้ได้ให้การสนับสนุนให้เมืองต่างๆในสหราชอาณาจักรปรับเปลี่ยนไปสู่เมืองอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่าชาร์ลส
แลนดรี้และทีมงานของเขามีบทบาทสำคัญในการเข้าไปเป็นที่ปรึกษาในหลายๆแผนงาน
ซึ่งต่อมาก็ได้ขยายผลไปยังเมืองต่างๆในภาคพื้นยุโรป
แต่กับประสบการณ์ของเมืองที่อยู่นอกประเทศอังกฤษและภาคพื้นยุโรปคงมีโจทย์ที่ต่างออกไปในการพัฒนาไปเป็นเมืองสร้างสรรค์
ในการบรรยายของแลนดรีครั้งนี้ได้กล่าวถึงหลายๆ เมือง
แต่สำหรับในเอเชียที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงกับเรา ก็คือเมืองบันดุง
เมืองเก่าแก่ของอินโดนีเซีย
( เขาโชว์ภาพถ่ายงานกราฟิคป้ายโฆษณาใต้ทางด่วนในเมืองบันดุง)
ที่จัดให้เป็นเมืองของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์
( creative economy)ของอินโดนีเซีย ที่บันดุงนี้จัดงานสัมมนาเรื่อง Arte-
Polis ในปี ค.ศ. 2007 และปี ค.ศ.2008 กับ Arte-Polis2
เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาซึ่งแลนดรี้เพิ่งไปบรรยายมาเช่นกัน
สำหรับกรุงเทพฯของเราก็คงเป็นโจทย์ของการพัฒนาไปเป็นเมืองสร้างสรรค์ก็น่าสนใจเช่นกัน
สังเกตจากคำถามของผู้ฟังในช่วงท้ายการบรรยายของแลนดรี้
ด้วยสภาพเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงต้นทศวรรษที่ 70- 80
ผู้คนจากชนบทอพยพเข้าเมือง การขยายตัวของเมืองที่แออัด
แต่ในอีกด้านหนึ่งกรุงเทพฯก็กลายเป็นเมืองของศูนย์กลางวัฒนธรรมบันเทิงของประเทศไทย
ไม่ว่าอุตสาหกรรมดนตรี โทรทัศน์ วิทยุหรือ ภาพยนตร์
อยู่ในกรุงเทพฯทั้งหมด
นี้ไม่รวมถึงศูนย์การค้าใหญ่ๆที่กลายเป็นแหล่งช็อปปิ้ง แหล่งของสินค้า
เฟอร์นิเจอร์ และการออกแบบทั้งหลาย
แม้กรุงเทพฯจะค่อยๆก้าวเข้าสู่กระบวนการการกลายเป็นเมืองสร้างสรรค์ในบ้างมิติ
แต่ปัญหาอันเป็นโจทย์เดิมๆ ที่แลนดรี้เห็นว่าควรถูกมองในอีกมุมกลับ
ไม่ว่าความแออัด ความยากจน แหล่งเสื่อมโทรม
การไร้สมรรถภาพในการบริหารจัดการของรัฐท้องถิ่น ฯลฯ
ไม่อาจละเลยหรือมองในมุมใหม่เพียงแค่ " Wake Up"
ดังเช่นที่แลนดรี้พูดทิ้งไว้ในตอนท้าย
ฤากรุงเทพฯเมืองสร้างสรรค์จะเป็นได้แค่ความฝัน!!!!!!.....งานนี้คงต้องช่วยกัน
re-design ในทุกๆส่วนแหละครับถึงจะทำให้ฝันนี้เป็นจริงได้
ผมคิดว่าแนวคิด "ออฟฟิศให้เช่า" ในเมืองธุรกิจต่าง ๆ
ก็ไปกันกับลักษณะที่ฟลอริดาพยายามเสนอ
คือลักษณะการจ้างงานหรือการรับงานสร้างสรรค์บางชนิด
มีลักษณะเป็นการจ้างช่วงสั้น และมีการเดินทางโยกย้ายเพื่อการทำงานบ่อย
เช่นเพื่อนำเสนองานหรือเพื่อประชุม
ความต้องการพื้นที่ที่ใช้ทำงานได้ ประชุมได้บ้างเป็นครั้งคราวเมื่อต้องการ
ทำให้ความต้องการของ "ออฟฟิศให้เช่า" เกิดขึ้น
แต่ทีนี้ ด้วยลักษณะการใช้ชีวิตของชนชั้นสร้างสรรค์
ที่แม้ต้องการใช้พื้นที่ "ออฟฟิศ"
แต่ลักษณะออฟฟิศที่คนพวกนี้รู้อยากทำงาน
ก็มักเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะไม่เป็นทางการ ผ่อนคลาย
จะเข้าจะออกเมื่อไหร่ก็ได้
(ดูดัชนีชี้วัดได้จากการสำรวจออฟิศที่อยากทำงานด้วยของสหรัฐ อันดับต้น ๆ
คือ สำนักงานของกูเกิล ที่บรรยากาศการทำงานสบาย ๆ มีเกมให้เล่น)
ประกอบกับนิสัย socialize (ที่อาจจะติดมาจากอินเทอร์เน็ต online social network!)
อยากอยู่กับคนคอเดียวกัน
สิ่งที่เรียกว่า co-working space
จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในเมืองที่มีชนชั้นสร้างสรรค์หลายแห่ง
http://coworking.pbwiki.com/
พื้นที่ทำงานแบบนี้ บางทีไม่ต่างอะไรจากร้านกาแฟที่มีปลั๊กให้เสียบ
มีเน็ตให้ใช้ และอาจจะมีอุปกรณ์สำนักงานให้ใช้ร่วมกัน
กลายเป็นที่นิยมของฟรีแลนซ์ กราฟิกดีไซเนอร์ นักออกแบบเว็บ โปรแกรมเมอร์
และบางทีพวกเขาก็ป้อนงานให้แก่กันและกัน
ในเมืองไทยเอง มีการพูดคุยเรื่อง co-working space ในกลุ่มนักวิชาชีพไอที
ทั้งคนไทยและ expat
โดยน่าจะเริ่มมาจากงาน BarCamp ครั้งแรก ต่อเนื่องมาเรื่อย
http://www.johnberns.com/2008/02/28/coworking-in-bangkok-jelly-in-bangkok/
หลังจากนั้นมีบริษัท Network One เปิดออฟฟิศให้เช่า ในแนวคิด coworking
space ที่ถนนสามเสน เขตพระนคร
http://www.one.ie/services/office
เร็ว ๆ นี้มีการเปิดประเด็นนี้อีกครั้ง ในชื่อ "hackerspace" ในเมลกลุ่ม
barcamp-thailand
http://groups.google.com/group/barcamp-thailand/browse_thread/thread/d77687067ba845f
----
เรื่องการย้ายงานย้ายเมืองของชนชั้นสร้างสรรค์
ผมคิดว่ามันเห็นได้ชัดว่าสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเรื่อง labour mobility
เรื่อง labour mobility และ movement (ในความหมายการเคลื่อนย้าย ไม่ใช่
ขบวนการ) นี้
เป็นนโยบายสำคัญอันหนึ่งของอียู ที่หวังผลทั้งในด้านเศรษฐกิจ
และการควบรวม (integration) ทางชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชาติอียู
http://arayachon.org/forum/palawat/70
และสัมพันธ์กับ labour mobility ก็คือตัวระบบขนส่ง
รวมถึงน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของการขยายตัวของเมือง
การมีเมืองศูนย์กลางขนาดใหญ่เมืองเดียว เช่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หรือ มีเมืองศูนย์กลางหลายแห่ง เช่นในยุโรป
http://arayachon.org/forum/palawat/69
และนี่คือสิ่งที่ผมคิดว่า ค่านิยมการซื้อบ้านของคนไทย
อาจจะไปกันไม่ได้กับเรื่อง labour mobility
เพราะถ้าว่ากันตามภาษาการเงิน อสังหาริมทรัพย์นั้น liquidity ต่ำ
จะโยกย้ายถ่ายเทกันทีหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่าย
การเช่าบ้าน น่าจะเหมาะกับการโยกย้ายมากกว่า
โดยเฉพาะช่วงแรกของอาชีพของชนชั้นสร้างสรรค์ที่มักย้ายงานบ่อย
http://bact.blogspot.com/2008/07/rent-house-high-mobility.html
(เมื่อก่อน นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ใช้กับประเทศไทยได้ เพราะยังไง ๆ อะไร
ๆ ก็อยู่แต่ในกรุงเทพ ไม่รู้จะโยกย้ายไปไหน
แต่เมื่อนับวันรถยิ่งติดใช้เวลานาน น้ำมันยิ่งแพง
ต้นทุนรวมของการเดินทางสูงขึ้น
การมีสองบ้านของคนกรุงเทพเริ่มมีให้เห็นกันเยอะขึ้นแล้ว
คอนโดใหม่ ๆ แถวบางรักขายหมดเกลี้ยง พ่อแม่ซื้อเอาไว้อยู่ตอนวันธรรมดา
จะได้ไปทำงานแถวสีลมสาธรสะดวก+ส่งลูกไปโรงเรียนเอกชนชื่อดังแถวนั้นสบาย ๆ
ลูก ๆ ก็กลับบ้านได้เร็วขึ้น ส่วนวันหยุด ก็ไปอยู่บ้านจัดสรรชานเมือง --
นี่ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการคลี่คลายตามสภาพของกรุงเทพ คือมีการ
'โยกย้าย' เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่โยกย้ายอยู่ในเมืองเดียวกัน)
----
--
สิ่งเดียวที่ประชาชนจะมีในการปกป้องตัวเอง
นั้นคือความเมตตาและความเข้มแข็งของรัฐ
ไม่ใช่สิทธิเสรีภาพที่ใช้ห่อหุ้มตัวเขา
(อะจ๊าก)
http://bit.ly/4DXd
ผมคิดว่า creative city หรือแม้กระทั้งในส่วนของ creative class
ท่กำลังเกิดขึ้นโดยทั่วไปในโลก มีทั้งจุดร่วมและจุดท่แตกต่างกันไป
ผมเคยอ่าน Loft Living ของ Sharon Zukin ที่พุดถึงการใช้ชีวิตของศิลปิน
(หรือชนชั้นสร้างสรรค์ในยุคแรกช่วงปี 80 ในนิวยอร์ค)
ที่ไปเช่าชั้นบนของโรงงานร้างแล้วแปลงเป็นที่พักด้วยสตูดิโอด้วย
( ยุคหนึ่งเราจะเห็นภาพนี้ในหนังฝรั่งบ่อยๆ...ดูมันเท่ห์ดี )
แต่ผมก็คิดว่าแล้วในเมืองไทยจะไปหาได้ที่ไหน อะไรที่มันเท่ห์แบบเค้า
แต่ในแบบสไตล์ของเราเองนั้นมีแน่นอน
สำหรับในเอเชียผมเห็นเมืองที่กำลังถูกโปรโมทโดยรัฐให้เป็น creative city
อยู่สองที่คือ กวางจูที่เกาหลีและบังกาลอร์ที่อินเดีย
( บันดุงของอินโนนีเซียด้วย แต่ยังไม่เคยไป) มี gimmick
ที่ถูกใช้เช่นกวางจูงเมืองเห็นสิทธิมนุษยชน
( เมืองเคยถูกยึดปิดโดยนักศึกษาและถูกล้อมปราบโดยทหารในปี 2523)
จุดสำคัญที่เราจะพบเสมอๆคือ งานเทศกาลละคร ศิลปะ งานเทศกาลหนัง ฯลฯ
ใหญ่ในระดับโลกหรือภูมิภาคที่ถูกจัดข้น
อันนี้เป็นภาพหนึ่งที่พอสังเกตได้ครับ
On Apr 19, 4:29 am, Arthit Suriyawongkul <art...@gmail.com> wrote:
> ในหนังสือ Who's Your City?
> ฟลอริดาเสนอว่าสไตล์การใช้ชีวิตและความต้องการในด้านการงานในแต่ละช่วงชีวิต
> ก็ทำให้ชนชั้นสร้างสรรค์ต้องการ เมืองในแบบที่ต่างไปตามช่วง
>
> ผมคิดว่าแนวคิด "ออฟฟิศให้เช่า" ในเมืองธุรกิจต่าง ๆ
> ก็ไปกันกับลักษณะที่ฟลอริดาพยายามเสนอ
> คือลักษณะการจ้างงานหรือการรับงานสร้างสรรค์บางชนิด
> มีลักษณะเป็นการจ้างช่วงสั้น และมีการเดินทางโยกย้ายเพื่อการทำงานบ่อย
> เช่นเพื่อนำเสนองานหรือเพื่อประชุม
> ความต้องการพื้นที่ที่ใช้ทำงานได้ ประชุมได้บ้างเป็นครั้งคราวเมื่อต้องการ
> ทำให้ความต้องการของ "ออฟฟิศให้เช่า" เกิดขึ้น
>
> แต่ทีนี้ ด้วยลักษณะการใช้ชีวิตของชนชั้นสร้างสรรค์
> ที่แม้ต้องการใช้พื้นที่ "ออฟฟิศ"
> แต่ลักษณะออฟฟิศที่คนพวกนี้รู้อยากทำงาน
> ก็มักเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะไม่เป็นทางการ ผ่อนคลาย
> จะเข้าจะออกเมื่อไหร่ก็ได้
> (ดูดัชนีชี้วัดได้จากการสำรวจออฟิศที่อยากทำงานด้วยของสหรัฐ อันดับต้น ๆ
> คือ สำนักงานของกูเกิล ที่บรรยากาศการทำงานสบาย ๆ มีเกมให้เล่น)
>
> ประกอบกับนิสัย socialize (ที่อาจจะติดมาจากอินเทอร์เน็ต online social network!)
> อยากอยู่กับคนคอเดียวกัน
> สิ่งที่เรียกว่า co-working space
> จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในเมืองที่มีชนชั้นสร้างสรรค์หลายแห่งhttp://coworking.pbwiki.com/
>
> พื้นที่ทำงานแบบนี้ บางทีไม่ต่างอะไรจากร้านกาแฟที่มีปลั๊กให้เสียบ
> มีเน็ตให้ใช้ และอาจจะมีอุปกรณ์สำนักงานให้ใช้ร่วมกัน
> กลายเป็นที่นิยมของฟรีแลนซ์ กราฟิกดีไซเนอร์ นักออกแบบเว็บ โปรแกรมเมอร์
> และบางทีพวกเขาก็ป้อนงานให้แก่กันและกัน
>
> ในเมืองไทยเอง มีการพูดคุยเรื่อง co-working space ในกลุ่มนักวิชาชีพไอที
> ทั้งคนไทยและ expat
> โดยน่าจะเริ่มมาจากงาน BarCamp ครั้งแรก ต่อเนื่องมาเรื่อยhttp://www.johnberns.com/2008/02/28/coworking-in-bangkok-jelly-in-ban...
>
> หลังจากนั้นมีบริษัท Network One เปิดออฟฟิศให้เช่า ในแนวคิด coworking
> space ที่ถนนสามเสน เขตพระนครhttp://www.one.ie/services/office
>
> เร็ว ๆ นี้มีการเปิดประเด็นนี้อีกครั้ง ในชื่อ "hackerspace" ในเมลกลุ่ม
> barcamp-thailandhttp://groups.google.com/group/barcamp-thailand/browse_thread/thread/...
>
> ----
>
> เรื่องการย้ายงานย้ายเมืองของชนชั้นสร้างสรรค์
> ผมคิดว่ามันเห็นได้ชัดว่าสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเรื่อง labour mobility
> เรื่อง labour mobility และ movement (ในความหมายการเคลื่อนย้าย ไม่ใช่
> ขบวนการ) นี้
> เป็นนโยบายสำคัญอันหนึ่งของอียู ที่หวังผลทั้งในด้านเศรษฐกิจ
> และการควบรวม (integration) ทางชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชาติอียูhttp://arayachon.org/forum/palawat/70
>
> และสัมพันธ์กับ labour mobility ก็คือตัวระบบขนส่ง
> รวมถึงน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของการขยายตัวของเมือง
> การมีเมืองศูนย์กลางขนาดใหญ่เมืองเดียว เช่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
> หรือ มีเมืองศูนย์กลางหลายแห่ง เช่นในยุโรปhttp://arayachon.org/forum/palawat/69
>
> และนี่คือสิ่งที่ผมคิดว่า ค่านิยมการซื้อบ้านของคนไทย
> อาจจะไปกันไม่ได้กับเรื่อง labour mobility
> เพราะถ้าว่ากันตามภาษาการเงิน อสังหาริมทรัพย์นั้น liquidity ต่ำ
> จะโยกย้ายถ่ายเทกันทีหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่าย
> การเช่าบ้าน น่าจะเหมาะกับการโยกย้ายมากกว่า
> โดยเฉพาะช่วงแรกของอาชีพของชนชั้นสร้างสรรค์ที่มักย้ายงานบ่อยhttp://bact.blogspot.com/2008/07/rent-house-high-mobility.html
ถ้าคิดกันว่า ในช่วงแรกของการก่อร่างสร้างตัวหรือค้นหาตัวเองของคนกลุ่มนี้
รายได้อาจจะไม่เยอะนัก ที่พักที่ทำงานราคาพอจ่ายไหว จึงเป็นเรื่องสำคัญ
ก็ควบรวมมันไปเลยเสียแล้วกัน แล้วก็ไปหา โรงงานร้าง หรือห้องใต้หลังคา
ที่เมื่อก่อนไม่ค่อยมีใครอยู่กัน มาอยู่เสีย อย่างกรณีที่คุณวิริยะว่ามา
เมืองในยุโรปหลายแห่ง squatters หรือคนที่ไปยึดบ้านร้างมาอยู่
ก็เป็นส่วนสำคัญของขบวนการศิลปะ avant-garde
ตึกรามบ้านช่องที่ถูกทิ้งร้างถูกยึดครองโดยนักเรียนนักศึกษาและศิลปิน
หลายแห่งเกิดการรวมตัวจนการเป็นขบวนการ
และสุดท้ายสามารถต่อรองกับรัฐและเจ้าของที่เพื่อเช่าทั้งตึกในราคาถูกได้
ในเบอร์ลิน ถนน Oranienburgerstrasse ด้านตะวันออกของเมือง
ที่เมื่อก่อนเป็นย่านที่ไม่มีใครอยากอยู่
กลายสภาพเป็นย่านท่องเที่ยว มีผับบาร์เปิดเรียงราย กลายเป็นสถานที่ที่ 'cool'
บริษัทอสังหาริมทรัพย์เข้ามาปรับปรุงตึก ทำเป็นแมนชั่นหรู
สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นกับพื้นที่หลาย ๆ แห่งในเมือง
squatter และนักศึกษาจน ๆ เป็นผู้บุกเบิกย่าน ตามมาด้วยผับ แกลอรี่
ที่สนองความต้องการของพวกเขาเอง
จนพื้นที่แถวนั้นมีชีวิตชีวา และน่าอยู่ขึ้น cool ขึ้น
ตามมาด้วยการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
สินค้าราคาแพงขึ้น จนผู้บุกเบิกจำนวนหนึ่งเริ่มอยู่ไม่ได้
ก็เริ่มโยกย้ายไปพื้นที่ใหม่ ๆ ในเมือง
ส่วนใหญ่จะลึกเข้าไปทางตะวันออกของเมืองไปทาง Prenzlauer Berg หรือลึกไปกว่านั้น
หรือเพิ่มจำนวนมากขึ้นในชุมชนคนตุรกี ย่าน Kreuzberg ที่เป็นย่าน
squatter มาตั้งแต่สมัยเบอร์ลินตะวันตก
squatters เหล่านี้มีความสำคัญต่อวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของเมือง
จนทางการเบอร์ลิน รับรองสถานะของพวกเขาตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังต้องสู้กับทุนอสังหาริมทรัพย์อยู่ดี
และในนามของการพัฒนา หลัง ๆ เราจะเห็นข่าวการพ่ายแพ้ของ squatters อยู่บ่อย ๆ
ล่าสุด เมื่อต้นปีที่ผ่านมา Tacheles ที่เป็น landmark สำคัญของเหล่า
squatter และศิลปินแนวทดลองในเบอร์ลิน
และเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้าไปชมไม่น้อย (3 แสนคนต่อปี
ซึ่งก็ไม่น้อยเลย สำหรับตึกโทรม ๆ อย่างนั้น)
ถูกขายไปให้กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ข่าวนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการศิลปะและในเมืองเบอร์ลินเอง
Tacheles: Bohemian Berlin's Coolest Landmark To Be Sold Off To The
Highest Bidder
http://www.huffingtonpost.com/2009/01/06/tacheles-bohemian-berlins_n_155541.html
World famous Berlin squat, Tacheles, to be sold off
http://www.architectsjournal.co.uk/world-famous-berlin-squat-tacheles-to-be-sold-off/1959144.article
เรื่องการไล่รื้อนี้
ถ้าจะว่าตามแนวการต่อสู้ของชุมชนเก่าที่จะถูกไล่รื้อหลายแห่งในกรุงเทพมหานคร
เช่น ชุมชนป้อมมหากาฬ ที่เป็นชุมชนที่สืบทอดศิลปะการแสดงพื้นบ้าน
นอกเหนือจากผู้คนที่ประกอบอาชีพภาคบริการหลากหลายที่อยู่ในชุมชนนั้น
อ้างตามคำของ อ.ปฐมฤกษ์ เกตุทัต ก็ต้องว่า ชุมชนเหล่านี้ต้องทำให้เมืองรู้ว่า
พวกเขาสร้างประโยชน์อะไรให้เมือง เขาไม่ได้อยู่ฟรี ๆ
และเมืองจะอยู่ไม่ได้หรือเป็นอย่างที่เป็นอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีเขา
ถ้าทำให้เห็นตรงนี้ได้ ถูก include เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเมือง
เมืองก็จะตัดเขาทิ้งไปไม่ได้
และเขาก็จะได้อยู่ต่อ
ผมคิดว่าการไปกระจุกรวมกันอยู่ในแหล่งที่พักราคาถูก
ในกรุงเทพชั้นใน ลักษณะนี้ก็อาจจะเกิดกับตึกแถวแถวย่านศรีย่าน สามเสน
ถนนพิษณุโลก บางลำภู
(สามย่านแรกซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน มีสตูดิโอตัดต่อจำนวนมากไปอยู่แถวนั้น ทำไม ?)
บริเวณนั้นอยู่ในเมือง เดินทางสะดวก
(รถเมล์ รถแท็กซี่ วิ่งทั้งคืน
หรือไปต่อรถไฟฟ้าพญาไทก็ยังพอไหวถ้าอยู่แถวสามเสน พิษณุโลก)
มีที่กินที่เที่ยวดึก ๆ ใกล้แหล่งวัฒนธรรม
แต่ลักษณะของ squatter ในกรุงเทพ ผมยังเห็นไม่ชัด
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะกฎหมายและระบบคิดของทางการเรามันไม่ได้มนุษยนิยมขนาดนั้น
ลักษณะที่เห็นจึงเป็นการย้ายเมืองหนีมันซะเลย
การที่ศิลปินที่มีพื้นเพเป็นคนกรุงเทพย้ายไปอยู่ตามเมืองอย่างเชียงใหม่ก็อาจจะเข้าลักษณะนี้ก็ได้
คือลดค่าครองชีพ แต่ไม่ลดไลฟ์สไตล์
ที่พักแย่หน่อยไม่เป็นไร ขอให้ถูก ยังไงชีวิตส่วนใหญ่ก็อยู่ในผับอยู่ดี :p
พูดสะเปะสะปะไปทางโน้นทีทางนี้ที
สรุปว่า ผมว่ามันก็เกี่ยวโยงกันให้เห็นอยู่ ว่าเรื่องเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ
ราคาที่พักอาศัย มันสำคัญต่อการดึงดูดคนเหล่านี้
หลายเมืองในยุโรป รวมถึงเบอร์ลินเอง ก็เห็นตรงนี้
และทำให้เกิดโครงการให้ที่พักกับศิลปิน ให้ทุนเลี้ยงชีพ
จะได้ไม่ต้องพะวงว่าจะเอาอะไรกิน อยากทำงานอะไรก็ทำไปเลย
Berliner Kuenstlerprogramm
http://www.daad.org/?p=50134
(ถ้าเป็นสมัยฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรมของยุโรป
หน้าที่นี้ก็คงเป็นของพวกพ่อค้ามีฐานะ ที่อุปการะศิลปินนักดนตรี)
หรือที่อัมสเตอร์ดัมมีการจัดสรรงบประมาณจำนวนหนึ่งเพื่อซื้อผลงานศิลปะของศิลปินที่ยังไม่ดังโดยเฉพาะ
เรียกว่า municipal purchase ซึ่งก็เป็นการสนับสนุนในอีกรูปแบบหนึ่ง
นอกเหนือจากการให้ปัจจัยในการดำรงชีวิต
ชวลิต เสริมปรุงสุข ศิลปินกราฟิกชาวขอนแก่น
ก็เป็นคนหนึ่งที่งานของเขาถูกซื้อไปในลักษณะนี้
(ปีที่ผมเกิดโน่น นานมากแล้ว)
เอ้อ จบไม่ลง
แต่ผมเห็นด้วยแน่นอน ว่าแต่ละเมืองมันก็จะคลี่คลายไปในทางของตัวเอง
เช่นจะไปหวัง street festival อย่าง Fringe ในเอดินบะระ
ให้เกิดเองในกรุงเทพ อาจจะเป็นเรื่องเพ้อฝัน
เพราะถนนของเขากับถนนของเรามันไม่เหมือนกันตั้งแต่แรกแล้ว
คุณจะไปหวังให้ street performer ทะเลาะกับแม่ค้ายำเห็ด
เพราะแย่งพื้นที่ทางเท้ากันเหรอ ?
แล้วถึงจนทนเล่นได้จริง บนถนนส่วนใหญ่ของกรุงเทพ
จะให้คนดูยืนหยุดดูตรงไหน แค่นี้ก็จะไม่พอเดินกันแล้ว :p
รอท่านอื่นสวน
อาท