"พาซ่าส์" กับ แฟตเฟส

8 views
Skip to first unread message

tvsawang

unread,
Apr 19, 2009, 6:41:55 AM4/19/09
to Thai Creative Industries Forum
วิริยะ สว่างโชติ
(รีดักซ์จากบทความเก่าใน http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=963)


(1)

เทศกาลต่างๆจะมีความสำคัญกับเศรษฐกิจ สังคม การเมือง(ในชีวิตประจำวัน)
และวัฒนธรรมของเมืองสร้างสรรค์อย่างมาก
เทศกาลดังกล่าวนี้อาจจะทั้งเล็กและใหญ่ อาจจะอินเตอร์หรือโลคัลก็ได้
สำหรับกรุงเทพฯผมมีข้อสังเกตว่าเทศกาลดนตรีแฟตเฟส( Fat Festival)
คือภาพหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงของการเติบโตของเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ชนชั้นสร้างสรรค์ เมืองสร้างสรรค์ หรืออะไรก็ได้ที่มากับกระแสนี้
แม้แฟตเฟสอาจจะไม่ใช่ตัวอย่างที่เรียกว่า "ลงล็อค"กับ "กระแสนี้"เท่าไร
และก็ดูจะถูกประเมินค่าต่ำสำหรับเรื่องอะไรที่รัฐจะมีนโยบายสนับสนุน
( เทียบกับเทศกาล Big Day Out ที่บริสเบน ออสเตรเลีย)
แต่อย่างไรก็ตามแฟสเฟตก็ไม่ได้
"สวน"กระแสอะไรที่เรียวกว่าสร้างสรรค์อย่างแน่นอน

( 2 )

หากมองดูเผินๆ แฟตเฟสที่จัดมาครบปีที่ 8 ( ในปี 2551)
ไม่ต่างอะไรกับเทศกาลดนตรีที่ปลุกกระแสดนตรี "อินดี้"
อันเป็นคลื่นต่อเนื่องมาจากกระแสดนตรี "อัลเทอร์เนทีฟ" ที่เกิดขึ้นในไทย
เมื่อ 10 กว่าปีก่อน
ความสำเร็จของแฟตเฟสอาจดูได้จากผู้เข้าชมงานที่ว่ากันว่าบางปีอาจมีผู้เข้าร่วมงานรวมทั้ง
2 วันถึง 5 หมื่นคน และจากข้อมูลของผู้จัดในช่วง 6 ปีแรกนั้น
มีวงดนตรีปีละกว่า 100 วงที่ได้เล่นโชว์ มีวงดนตรีและศิลปินหน้าใหม่กว่า
200 วงเกิดขึ้น พร้อมกับมีค่ายเพลงเล็กๆ กว่า 200
ค่ายที่ได้เข้าร่วมมางาน และที่สำคัญเลยงานเทศกาล (รวมทั้งรายการวิทยุ
104.5 แฟตเรดิโอ) เป็นแรงบันดาลใจให้มีการผลิตอัลบั้มเพลงใหม่กว่า 2,000
อัลบั้มออกวางขาย นี้ยังไม่รวมหนังสือทำมือ โปสการ์ด
เสื้อยืดและงานประดิษฐ์ต่างๆ อีกมากมาย ฯลฯ
อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมดนตรีของไทยเกี่ยวพันธ์กับสื่อกระจายเสียงทั้งวิทยุและโทรทัศน์อย่างแยกไม่ออก
วัฒนธรรมการเที่ยวและการฟังดนตรีของวัยรุ่นไทยยุคหลังปี พ.ศ. 2525
ไม่ได้มาจากการไปฟังเพลงในผับ
นั้นก็หมายรวมถึงว่าวงดนตรีของเราก็ไม่ใช่วงดนตรีประเภท "ดังจากผับ"
เช่นกัน ยุคนั้นเกือบทั้งหมดเป็น "ดังจากแผ่น"
คงไม่ต้องอธิบายกันมากว่าการออกไปฟังเพลง "นอกบ้าน" กับการฟัง "ในบ้าน"
แตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนในแง่ของ "วัฒนธรรมสาธารณะ" (public culture)

อย่างไรก็ดีการออก "นอกบ้าน" ไปฟังดนตรีก็ถูกนิยามขึ้นใหม่เช่นกัน
ซึ่งการออกนอกบ้านแบบนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเวลาของการเปิดปิดผับ
หากเป็นเวลาของการถ่ายทอดสดตอนกลางวันแสกๆ ในเมืองไทยกลุ่มวัยรุ่นแรกๆ
ที่ได้มีโอกาสลิ้มรสดนตรีนอกบ้านแบบใหม่นี้ก็คือการไปชม "ฟรีคอนเสิร์ต"
ของรายการโทรทัศน์ต่างๆ ซึ่งบูมมากในช่วงหลังปี พ.ศ. 2525
ซึ่งช่วงนั้นก็เป็นเวลาเดียวกับอุตสาหกรรมดนตรีของค่ายใหญ่
เริ่มรุกเข้าสู่สื่อกระจายเสียงอย่างวิทยุโทรทัศน์
สำหรับรายการวิทยุนั้นเราจะเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นค่ายเล็กหรือค่ายใหญ่ต่างก็ต้อง
(พยายาม) "จ่าย" เพื่อให้ได้ "เวลา" มาจัดรายการ
แต่ด้วยสภาวะที่คลื่นวิทยุในประเทศไทยมีอยู่ค่อนข้องจำกัดแค่ในมือของหน่วยราชการของรัฐ
(ก่อนยุคที่จะมีการจัดสรรจัดคลื่นใหม่ฯ)
ไม่ใช่จำกัดเพราะเป็นทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด
(ตามภาษากฎหมายที่ว่าด้วยการจัดสรรคลื่น) ดังนั้น
ประเภทรายการหลุดผังในปีต่อไปเพราะจ่ายไม่ถึงจึงเป็นเรื่องปกติของรายการวิทยุในไทย
อย่างไรก็ตามการพยายามก้าวข้ามข้อจำกัดที่ว่าไปสู่การสร้างพื้นอื่นเช่นงานเทศกาลดนตรี
ก็มีให้เห็นเป็นระยะๆ
ในอดีตยุคอัลเทอร์เนทีฟก็มีเทศกาลบันเทิงคดีหรือของไพเรทร็อค
ซึ่งจัดได้แค่ปีสองปีก็เลิกรากันไป

( 3)

แต่แฟตเฟสต่างไปจากทั้ง 2 เทศกาล การก้าวขึ้นปีที่ 8
ของมันได้สะท้อนให้เห็นถึงอุตสาหกรรมดนตรี "อินดี้"
ของไทยที่มีการผลิตผลงานเพลงไทยให้กับวัยรุ่น "เด็กแนว"
การเป็นนักฟังเพลง "แนว" จึง
ไม่ใช่แค่ฟังเพลงอินดี้จากฝั่งอังกฤษหรืออเมริกาเท่านั้น หากต้องรู้จัก
"วงแนว" แบบไทยด้วย
แนวอินดี้ของไทยซึ่งมีความหมายกว้างกว่านิยามเรื่องดนตรีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งต่อการผลิตและการบริโภควัตถุ
รวมทั้งในเรื่องของ รสนิยม ไลฟ์สไตล์
โดยที่เราไม่ต้องอ้างอิงว่านี้คืออิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกอีกต่อไป
ส่วนในแง่เศรษฐกิจเราไม่อาจคำนวณได้ถึงมูลค่าของการขายงานในงานแฟตเฟส
เนื่องจากอุตสาหกรรมดนตรีอินดี้ รวมทั้งสินค้าอื่นๆ
ที่วางขายในงานกว่าครึ่งเป็น SML แบบ "Smallest, Not Medium, Industry"
ผู้ผลิตซึ่งเป็นวัยรุ่นส่วนใหญ่ก็คือผู้บริโภคด้วยเช่นกัน
ความสำคัญของสินค้าอาจไม่ได้อยู่ในปริมาณการขาย
หากอยู่ที่การใช้ความคิดสร้างสรรค์และการผลิตของผู้ผลิตงานนั่นๆ
(ผมเห็นอดีตนักข่าวประชาไทคนหนึ่งนั่งขายของทำมือประเภทสมุดโน็ต โปสการ์ด
หรืออะไรทำนองนี้) สินค้าอินดี้จึงกลับมีมูลค่าในฐานะของ "สิ่งของ"
มากกว่า "สินค้า"
ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่แน่ใจว่าจะจัดอยู่ในแผนงานการสร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
ที่กำลังเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในหลายหน่วยงานของรัฐได้หรือเปล่า? ทั้งนี้
เพราะหลายหน่วยงานของรัฐมองแค่การสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านความคิดสร้างสรรค์
หรือมองว่างานวัฒนธรรมสามารถแปลงให้เกิดเป็นมูลค่าผ่านวัตถุสินค้าได้
โดยลืมไปว่าสินค้าสร้างสรรค์นั่นมีความเป็น "คน" อยู่ค่อนข้างสูง
และหากหน่วยงานของรัฐที่กำลังทำแผนงานด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จะหันมาศึกษางานประเภท
"Smallest, Not Medium, Industry" ทั้งหลายในงานแฟตเฟสก็น่าจะดี
เพราะจะได้ทำให้เข้าใจทั้ง "สิ่งของ" และ "ผู้คน"
ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย

(4)

ดังนั้น เราอาจกล่าวได้ว่า แฟตเฟส
เป็นเทศกาลดนตรีที่แสดงให้เห็นพื้นที่ทางการเมืองวัฒนธรรมของวัยรุ่นในยุคอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่อำนาจอธิปไตยของการผลิตและบริโภคมีไม่เท่าเทียมกัน
ที่นี้เพราะด้านหนึ่งยังถูกจำกัดด้วยสื่อ(โดยเฉพาะสื่อกระจายเสียง)
ที่ถูกยึดครองจากกลุ่มสื่อใหญ่ ( การปฏิรูปยังไม่อาจดำเนินการได้
หรือแม้หากดำเนินการได้จะส่งผลอย่างไรต่อรายการวิทยุที่ดำเนินการด้วยระบบธุรกิจก็ยังไม่อาจคาดเดาได้เช่นกัน)
อีกด้านหนึ่งเกิดจากการขาดความเข้าใจในศักยภาพของอุตสาหกรรมบันเทิงของรัฐ
สำหรับในมิติทางการเมืองวัฒนธรรมอินดี้ในยุคนี้ไม่ใช่ภาพเดียวกับฮิปปี้ขบวนการนักศึกษาเมื่อยุค
14 ตุลา ฮิปปี้ล้มหายและแปรเปลี่ยนไปตามกระแส
ส่วนอินดี้นั้นขายได้เสมอ....แบบว่ายุคทำมือ...ที่ใช้สมองคิดครับ


Isriya Paireepairit

unread,
Apr 19, 2009, 9:47:43 AM4/19/09
to Thai Creative Industries Forum
สวัสดีครับ

แนะนำตัวเองกับเจ้าของกระทู้ก่อนว่า ผมคือคนที่เป็นพิธีกรงาน Creative
Commons
ก่อนจะส่งให้คุณวิริยะ เป็นคน moderate วงเสวนาครับ
จะได้นึกหน้ากันออกตอนตอบเมล

ผมคิดว่าบทความนี้ดีมาก แต่อ่านแล้วเหมือนยังไม่จบ
ตามไปอ่านในต้นฉบับก็พบว่าขยายต่ออีกหน่อย
แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าขาดๆ อยู่ดี

ผมสนใจประเด็นที่เสนอว่า indy culture ในเมืองไทยมีรูปแบบเฉพาะ
เพียงแต่ผมคิดว่ามันน่าจะสามารถ
อธิบายในมุมอื่นๆ นอกจากดนตรี (ที่แกนหลักอยู่ที่ FAT) ได้ด้วย เช่น
วัฒนธรรมในการอ่านก็จะไปรวมศูนย์อยู่ที่
aday/open หรือการดูหนังก็จะเป็นหนังสั้น หรือไม่ก็หนังนอกกระแสที่ house/
lido/scala เป็นต้น

ที่เขียนมานี่ไม่มีอะไรมาก รีเควสให้เขียนต่อครับ :D

On Apr 19, 5:41 pm, tvsawang <tvsaw...@gmail.com> wrote:
> วิริยะ สว่างโชติ

> (รีดักซ์จากบทความเก่าในhttp://www.thaingo.org/writer/view.php?id=963)

Pinitta Sukkosol

unread,
Apr 19, 2009, 7:00:25 PM4/19/09
to thaicreativei...@googlegroups.com
Hi guys,
I am Apple. I am now in Australia. One of my friend, she told teacher that she love indy - music. My Aussie teacher don't know what kind of music she likes and she said there are no indy - music. I tried to explained her "it sames as alternative music", she confirmed that there is no kind of this music in English word. Please tell me what is it difference from Popolar music?
Apple

เมื่อ เมษายน 19, 2009 11:47 หลังเที่ยง, Isriya Paireepairit <mark...@gmail.com> เขียนว่า:



--
Pinitta Sukkosol
MIS NU Thailand

Tewson Seeoun

unread,
Apr 19, 2009, 9:27:05 PM4/19/09
to thaicreativei...@googlegroups.com
Hi Apple,

As far as I know, the term "indie" is actually not a music genre. It's rather a style or a mechanism of music production which the bands do everything on their own without fund from major labels ("indie" is derived from "independent").

Indie music scenes are different among countries. Most American indie music is punk and heavy metal, while British indie music is about Post-punk, pop, and experimental. Most of Thai indie music is influenced by British pop and rock but we also have some underground indie metal communities as well (they are not popular among girls :) ).

However, since most indie music is British pop, British rock, and Garage rock, sometimes people define those unsigned bands as "indie". That's maybe why your Australian teacher doesn't recognise the term "indie" as a genre.

Tewson

2009/4/20 Pinitta Sukkosol <pin...@gmail.com>



--
http://tewson.com

athip jittarerk

unread,
Apr 20, 2009, 1:37:32 AM4/20/09
to thaicreativei...@googlegroups.com
มาเสริมครับ
 
คำว่า Indie เท่าที่ทราบเป็น Term ของอังกฤษนะครับ ในช่วงทศวรรษที่ 80's สิ่งที่การปฏิวัติพังค์ Punk หลงเหลือไว้ก็คือ ดนตรีแบบใหม่ๆ ที่มันมีชื่อแนวย่อยๆ เต็มไปหมด ผมฟังพวกนี้ไม่ค่อยเยอะเลยไม่อยากแจง และสิ่งที่ Punk ทิ้งไว้เช่นกันก็คือ Independent Label จำนวนมาก (มันเยอะจริงๆ นะครับ บางค่ายก็เป็นค่ายที่ทางวงตั้งมาออกงานตัวเอง ซึ่งนี่เป็นลักษระสำคัญของวงในกระแส Punk รุ่นแรกๆ ของอังกฤษ และกระแส New Wave of British Heavy Metal ช่วงปลาย 70's) ซึ่งเมื่อพวกนี้โตมากๆ อังกฤษก็เลยมี Chart เพลงแยกออกมาเป็น Independent Chrart และผมว่านั่นเป็น Mile Stone ที่น่าจะสำคัญอันหนึ่งในการเข้าใจ Indy แบบอังกฤษครับ อย่างไรก็ดีข้อสังเกตุคือวงที่ขึ้น Chart นี้มีตั้งแต่เพลง Pop เบาๆ กัน Grindcore หนักๆ อย่าง Napalm Death เลยนะครับ (ใครจะไปนึกว่าวงนี้เคยขึ้นปก NME) ดังนั้นในแง่นี้ Indy ไม่ใช่เรื่องของแนวเพลง แต่เป็นเรื่องของสถานะของค่ายเพลงที่ออกงานมากกว่า
 
อย่างไรก็ดี Indy ก็กลายมาเป็นแนวเพลงเมื่อค่ายเพลงอิสระกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ออกงานดนตรีมาคล้ายๆ กัน
 
สรุปง่ายๆ คือ Indy มีได้สองความหมายครับ ความหมายแรกคือ สถานะของค่ายเพลง สองคือแนวเพลง
 
ทางฝั่งอเมริกาผมได้ยินว่าในช่วง 80's ไม่มีการใช้คำว่า Indy นะครับ อย่างน้อยๆ ในฐานะแนวดนตรีนี่น่าจะแทบไม่มี ทางฝั่งอเมริกาจะเรียกดนตรีที่เป็นพลพวงของกระแส Punk ที่ออกมาในช่วง 80 ว่า Alternative Rock
 
อย่างไรก็ดีผมสันนิษฐานเบื้องต้นว่า Indy กับ Alternative กลายเป็นเรื่องเดียวกันเพราะ มันเป็นสิ่งที่ Boom มาตอนต้น 90's เราคนเข้าใจมันรวมๆ ว่าเป็นสิ่งเดียวกัน และหลังจากนั้นเป็นต้นมาคนก็ใช้มันสลับไปมาโดยตลอด
 
อีกเรื่องก็คือ ดนตรีที่อยู่ในวัฒนธรรม Metal และ Punk แม้ว่าจะมีสถานะแบบที่น่าจะเรียกว่า Independent ก็ตาม
พวกนี้จะไม่เรียกตัวเองว่า Independent หรือ Indy นะครับ Metal จะใช้คำว่า Underground แทนคำว่า Independent ส่วน Punk จะไม่ค่อยมี Concept นี้เพราะการเป็น Punk กับการ Independent แยกกันไม่ออก และพวก Punk จะมี Concept "Sell Out" ใช้ใช้ประนามพวกที่นอกลู่นอกทาง (นึกชื่อวงพังค์ดังๆ ที่เป็นที่รู้จักกันมาเถอะครับโดนทุกวง และพวก Punk ก็ไม่ค่อยยอมรับพวกนี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของพังค์เท่าไร) กล่าวคือ มันป่วยการที่จะพูดถึง Underground Punk หรือ Independent Punk น่ะครับ เพราะถ้าจะเป็น Punk ก็ต้อง Independent ต้อง Underground อยู่แล้ว
 
กลับมาที่ออสเตรเลีย ผมคิดว่ามันก็มีความเป็นไปได้นะครับที่ Concept "Indy" ที่นั่นไม่ได้ถูกพัฒนามาให้เป็นแนวเพลง แต่อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะไม่เคยลงไปศึกษาจริงๆ
 
อธิป
2009/4/20 Tewson Seeoun <tew...@gmail.com>

athip jittarerk

unread,
Apr 20, 2009, 1:49:03 AM4/20/09
to thaicreativei...@googlegroups.com
เสริมอีกนิด
 
อยากยกตัวอย่างเพิ่มให้เห็นน่ะครับ ว่ามันมีความไปได้ว่าคนรุ่นหนึ่งในที่หนึ่งๆ จะมีความเข้าใจมโนทัศน์เกี่ยวกับดนตรีสมัยนิยมต่างจากที่อื่นๆ
 
ตัวอย่างง่ายๆ คำว่า "อันเดอร์กราวน์" ในไทย
 
ถ้าไปถามพวกนักดนตรีนักฟังเพลงอายุ 40 ขึ้นคำว่า อันเดอร์กราวน์ มันคือแนวดนตรีนะครับ ความหมายก็คงเท่ากับคำว่า Hard Rock/ Heavy Metal ของทุกวันนี้
 
แต่สำหรับคนอีกหลายๆ ส่วนคำๆ นี้ก็ไม่ได้มีความหมายอย่างนี้
 
"อันเดอร์กราวน์" สำหรับคนจำนวนหนึ่งก็คือเพลงที่มีคำหยาบ
 
"อันเดอร์กราวน์" สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่งก็คือเพลงผิดกฏหมายที่ต้องเผยแพร่อย่างพ้นหูพ้นตารัฐ
 
"อันเดอร์กราวน์" สำหรับคนอีกกลุ่มก็คือ ดนตรีเมทัลในแบบอิสระ ที่ไม่จำเป็นต้องผิดกฏหมาย หรือมีคำหยาบ
 
เป็นต้น
 
ซึ่งถ้าเอาคนจากคนละกลุ่มมาคุยกันนี่บางที่ก็คุยกันไม่รู้เรื่องไปจนถึงทะเลาะกันเลยนะครับ ด้วยเหตุผลทำนองว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิดแล้วไม่ยอมรับ
 
นี่เป็นตัวอย่างของช่องว่างทางมโนทัศน์ที่เกิดขึ้นในสังคมเดียวกันครับ ถ้าพิจารณาแบบข้ามสังคมมันคงซับซ้อนขึ้นไปอีก
 
อธิป

2009/4/20 athip jittarerk <ath...@gmail.com>
Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages