(1)
เทศกาลต่างๆจะมีความสำคัญกับเศรษฐกิจ สังคม การเมือง(ในชีวิตประจำวัน)
และวัฒนธรรมของเมืองสร้างสรรค์อย่างมาก
เทศกาลดังกล่าวนี้อาจจะทั้งเล็กและใหญ่ อาจจะอินเตอร์หรือโลคัลก็ได้
สำหรับกรุงเทพฯผมมีข้อสังเกตว่าเทศกาลดนตรีแฟตเฟส( Fat Festival)
คือภาพหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงของการเติบโตของเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ชนชั้นสร้างสรรค์ เมืองสร้างสรรค์ หรืออะไรก็ได้ที่มากับกระแสนี้
แม้แฟตเฟสอาจจะไม่ใช่ตัวอย่างที่เรียกว่า "ลงล็อค"กับ "กระแสนี้"เท่าไร
และก็ดูจะถูกประเมินค่าต่ำสำหรับเรื่องอะไรที่รัฐจะมีนโยบายสนับสนุน
( เทียบกับเทศกาล Big Day Out ที่บริสเบน ออสเตรเลีย)
แต่อย่างไรก็ตามแฟสเฟตก็ไม่ได้
"สวน"กระแสอะไรที่เรียวกว่าสร้างสรรค์อย่างแน่นอน
( 2 )
หากมองดูเผินๆ แฟตเฟสที่จัดมาครบปีที่ 8 ( ในปี 2551)
ไม่ต่างอะไรกับเทศกาลดนตรีที่ปลุกกระแสดนตรี "อินดี้"
อันเป็นคลื่นต่อเนื่องมาจากกระแสดนตรี "อัลเทอร์เนทีฟ" ที่เกิดขึ้นในไทย
เมื่อ 10 กว่าปีก่อน
ความสำเร็จของแฟตเฟสอาจดูได้จากผู้เข้าชมงานที่ว่ากันว่าบางปีอาจมีผู้เข้าร่วมงานรวมทั้ง
2 วันถึง 5 หมื่นคน และจากข้อมูลของผู้จัดในช่วง 6 ปีแรกนั้น
มีวงดนตรีปีละกว่า 100 วงที่ได้เล่นโชว์ มีวงดนตรีและศิลปินหน้าใหม่กว่า
200 วงเกิดขึ้น พร้อมกับมีค่ายเพลงเล็กๆ กว่า 200
ค่ายที่ได้เข้าร่วมมางาน และที่สำคัญเลยงานเทศกาล (รวมทั้งรายการวิทยุ
104.5 แฟตเรดิโอ) เป็นแรงบันดาลใจให้มีการผลิตอัลบั้มเพลงใหม่กว่า 2,000
อัลบั้มออกวางขาย นี้ยังไม่รวมหนังสือทำมือ โปสการ์ด
เสื้อยืดและงานประดิษฐ์ต่างๆ อีกมากมาย ฯลฯ
อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมดนตรีของไทยเกี่ยวพันธ์กับสื่อกระจายเสียงทั้งวิทยุและโทรทัศน์อย่างแยกไม่ออก
วัฒนธรรมการเที่ยวและการฟังดนตรีของวัยรุ่นไทยยุคหลังปี พ.ศ. 2525
ไม่ได้มาจากการไปฟังเพลงในผับ
นั้นก็หมายรวมถึงว่าวงดนตรีของเราก็ไม่ใช่วงดนตรีประเภท "ดังจากผับ"
เช่นกัน ยุคนั้นเกือบทั้งหมดเป็น "ดังจากแผ่น"
คงไม่ต้องอธิบายกันมากว่าการออกไปฟังเพลง "นอกบ้าน" กับการฟัง "ในบ้าน"
แตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนในแง่ของ "วัฒนธรรมสาธารณะ" (public culture)
อย่างไรก็ดีการออก "นอกบ้าน" ไปฟังดนตรีก็ถูกนิยามขึ้นใหม่เช่นกัน
ซึ่งการออกนอกบ้านแบบนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเวลาของการเปิดปิดผับ
หากเป็นเวลาของการถ่ายทอดสดตอนกลางวันแสกๆ ในเมืองไทยกลุ่มวัยรุ่นแรกๆ
ที่ได้มีโอกาสลิ้มรสดนตรีนอกบ้านแบบใหม่นี้ก็คือการไปชม "ฟรีคอนเสิร์ต"
ของรายการโทรทัศน์ต่างๆ ซึ่งบูมมากในช่วงหลังปี พ.ศ. 2525
ซึ่งช่วงนั้นก็เป็นเวลาเดียวกับอุตสาหกรรมดนตรีของค่ายใหญ่
เริ่มรุกเข้าสู่สื่อกระจายเสียงอย่างวิทยุโทรทัศน์
สำหรับรายการวิทยุนั้นเราจะเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นค่ายเล็กหรือค่ายใหญ่ต่างก็ต้อง
(พยายาม) "จ่าย" เพื่อให้ได้ "เวลา" มาจัดรายการ
แต่ด้วยสภาวะที่คลื่นวิทยุในประเทศไทยมีอยู่ค่อนข้องจำกัดแค่ในมือของหน่วยราชการของรัฐ
(ก่อนยุคที่จะมีการจัดสรรจัดคลื่นใหม่ฯ)
ไม่ใช่จำกัดเพราะเป็นทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด
(ตามภาษากฎหมายที่ว่าด้วยการจัดสรรคลื่น) ดังนั้น
ประเภทรายการหลุดผังในปีต่อไปเพราะจ่ายไม่ถึงจึงเป็นเรื่องปกติของรายการวิทยุในไทย
อย่างไรก็ตามการพยายามก้าวข้ามข้อจำกัดที่ว่าไปสู่การสร้างพื้นอื่นเช่นงานเทศกาลดนตรี
ก็มีให้เห็นเป็นระยะๆ
ในอดีตยุคอัลเทอร์เนทีฟก็มีเทศกาลบันเทิงคดีหรือของไพเรทร็อค
ซึ่งจัดได้แค่ปีสองปีก็เลิกรากันไป
( 3)
แต่แฟตเฟสต่างไปจากทั้ง 2 เทศกาล การก้าวขึ้นปีที่ 8
ของมันได้สะท้อนให้เห็นถึงอุตสาหกรรมดนตรี "อินดี้"
ของไทยที่มีการผลิตผลงานเพลงไทยให้กับวัยรุ่น "เด็กแนว"
การเป็นนักฟังเพลง "แนว" จึง
ไม่ใช่แค่ฟังเพลงอินดี้จากฝั่งอังกฤษหรืออเมริกาเท่านั้น หากต้องรู้จัก
"วงแนว" แบบไทยด้วย
แนวอินดี้ของไทยซึ่งมีความหมายกว้างกว่านิยามเรื่องดนตรีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งต่อการผลิตและการบริโภควัตถุ
รวมทั้งในเรื่องของ รสนิยม ไลฟ์สไตล์
โดยที่เราไม่ต้องอ้างอิงว่านี้คืออิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกอีกต่อไป
ส่วนในแง่เศรษฐกิจเราไม่อาจคำนวณได้ถึงมูลค่าของการขายงานในงานแฟตเฟส
เนื่องจากอุตสาหกรรมดนตรีอินดี้ รวมทั้งสินค้าอื่นๆ
ที่วางขายในงานกว่าครึ่งเป็น SML แบบ "Smallest, Not Medium, Industry"
ผู้ผลิตซึ่งเป็นวัยรุ่นส่วนใหญ่ก็คือผู้บริโภคด้วยเช่นกัน
ความสำคัญของสินค้าอาจไม่ได้อยู่ในปริมาณการขาย
หากอยู่ที่การใช้ความคิดสร้างสรรค์และการผลิตของผู้ผลิตงานนั่นๆ
(ผมเห็นอดีตนักข่าวประชาไทคนหนึ่งนั่งขายของทำมือประเภทสมุดโน็ต โปสการ์ด
หรืออะไรทำนองนี้) สินค้าอินดี้จึงกลับมีมูลค่าในฐานะของ "สิ่งของ"
มากกว่า "สินค้า"
ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่แน่ใจว่าจะจัดอยู่ในแผนงานการสร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์
ที่กำลังเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในหลายหน่วยงานของรัฐได้หรือเปล่า? ทั้งนี้
เพราะหลายหน่วยงานของรัฐมองแค่การสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านความคิดสร้างสรรค์
หรือมองว่างานวัฒนธรรมสามารถแปลงให้เกิดเป็นมูลค่าผ่านวัตถุสินค้าได้
โดยลืมไปว่าสินค้าสร้างสรรค์นั่นมีความเป็น "คน" อยู่ค่อนข้างสูง
และหากหน่วยงานของรัฐที่กำลังทำแผนงานด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์จะหันมาศึกษางานประเภท
"Smallest, Not Medium, Industry" ทั้งหลายในงานแฟตเฟสก็น่าจะดี
เพราะจะได้ทำให้เข้าใจทั้ง "สิ่งของ" และ "ผู้คน"
ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย
(4)
ดังนั้น เราอาจกล่าวได้ว่า แฟตเฟส
เป็นเทศกาลดนตรีที่แสดงให้เห็นพื้นที่ทางการเมืองวัฒนธรรมของวัยรุ่นในยุคอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่อำนาจอธิปไตยของการผลิตและบริโภคมีไม่เท่าเทียมกัน
ที่นี้เพราะด้านหนึ่งยังถูกจำกัดด้วยสื่อ(โดยเฉพาะสื่อกระจายเสียง)
ที่ถูกยึดครองจากกลุ่มสื่อใหญ่ ( การปฏิรูปยังไม่อาจดำเนินการได้
หรือแม้หากดำเนินการได้จะส่งผลอย่างไรต่อรายการวิทยุที่ดำเนินการด้วยระบบธุรกิจก็ยังไม่อาจคาดเดาได้เช่นกัน)
อีกด้านหนึ่งเกิดจากการขาดความเข้าใจในศักยภาพของอุตสาหกรรมบันเทิงของรัฐ
สำหรับในมิติทางการเมืองวัฒนธรรมอินดี้ในยุคนี้ไม่ใช่ภาพเดียวกับฮิปปี้ขบวนการนักศึกษาเมื่อยุค
14 ตุลา ฮิปปี้ล้มหายและแปรเปลี่ยนไปตามกระแส
ส่วนอินดี้นั้นขายได้เสมอ....แบบว่ายุคทำมือ...ที่ใช้สมองคิดครับ
แนะนำตัวเองกับเจ้าของกระทู้ก่อนว่า ผมคือคนที่เป็นพิธีกรงาน Creative
Commons
ก่อนจะส่งให้คุณวิริยะ เป็นคน moderate วงเสวนาครับ
จะได้นึกหน้ากันออกตอนตอบเมล
ผมคิดว่าบทความนี้ดีมาก แต่อ่านแล้วเหมือนยังไม่จบ
ตามไปอ่านในต้นฉบับก็พบว่าขยายต่ออีกหน่อย
แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าขาดๆ อยู่ดี
ผมสนใจประเด็นที่เสนอว่า indy culture ในเมืองไทยมีรูปแบบเฉพาะ
เพียงแต่ผมคิดว่ามันน่าจะสามารถ
อธิบายในมุมอื่นๆ นอกจากดนตรี (ที่แกนหลักอยู่ที่ FAT) ได้ด้วย เช่น
วัฒนธรรมในการอ่านก็จะไปรวมศูนย์อยู่ที่
aday/open หรือการดูหนังก็จะเป็นหนังสั้น หรือไม่ก็หนังนอกกระแสที่ house/
lido/scala เป็นต้น
ที่เขียนมานี่ไม่มีอะไรมาก รีเควสให้เขียนต่อครับ :D
On Apr 19, 5:41 pm, tvsawang <tvsaw...@gmail.com> wrote:
> วิริยะ สว่างโชติ
> (รีดักซ์จากบทความเก่าในhttp://www.thaingo.org/writer/view.php?id=963)