พุทธพจน์
"...
ผู้ใดปล่อยใจตามอารมณ์ปรารถนา ไม่สำรวมอินทรีย์
ไม่รู้ประมาณโภชนะ เป็นผู้เกียจคร้าน ไม่มีความเพียร มารย่อมรังควานผู้นั้นได้
เหมือนลมย่อมรังควานต้นไม้ที่ไม่แข็งแรงฉันนั้น
ส่วนผู้ใดไม่ปล่อยใจตามอารมณ์ปราถนา
สำรวมอินทรีย์ รู้ประมาณโภชนะ เป็นผู้มีความศรัทธา มีความเพียร
มารย่อมรังควานผู้นั้นไม่ได้ เหมือนลมไม่อาจรังควานภูเขาหินได้ฉันนั้น
..."
คาถาธรรมบท
ยมกวรรค ขุ. ธ.
เรื่องพระมหากาล
มหากาล มัชฌิมกาล และจุลกาล เป็นสามพี่น้องในแคว้นโกศล มีบ้านเรือนอยู่ที่
เสตัพยนคร มหากาลพี่ชายคนโตมีภรรยา ๘ คน มัชฌิมกาลพี่คนกลางมีภรรยา ๔ คน
ส่วนจุลกาลน้องชายคนเล็กมีภรรยา ๒ คน ทั้งสามพี่น้องร่วมกันทำอาชีพค้าขาย
โดยมหากาลและจุลกาลจะนำสินค้าไปขายต่างเมือง
และซื้อสินค้าต่างเมืองกลับมาให้มัชฌิมกาลขายในเสตัพยนคร
ครั้งหนึ่ง มหากาลและจุลกาลไปค้าขายที่สาวัตถี
พวกเขาหยุดพักขบวนเกวียนใกล้เชตวันมหาวิหาร
มหากาลเห็นพุทธบริษัทเดินไปฟังธรรมในวิหารกันเป็นแถวรู้สึกสนใจจึงตามไปฟังธรรมบ้าง
ฟังธรรมแล้วเกิดความศรัทธามากเข้าไปกราบทูลขอบวชกับพระบรมศาสดา
บวชแล้วก็พากเพียรปฏิบัติสมณกิจในป่าช้า พิจารณาซากอสุภะเป็นอารมณ์
ไม่นานนักก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ฝ่ายจุลกาลเมื่อพี่ชายบวชแล้วก็ตามมาบวชด้วย
แต่เขาไม่ได้บวชเพราะศรัทธาเหมือนพี่ชาย
แต่บวชเพื่อหาโอกาสจะชวนพระมหากาลให้สึกแล้วกลับบ้านไปด้วยกัน
ยังไม่ทันชวนพระพี่ชายสึกพระศาสดาก็เสด็จไปเสตัพยนครเสียก่อนพร้อมภิกษุแวดล้อมหมู่ใหญ่
รวมทั้งพระมหากาลและพระจุลกาลด้วย
ภรรยาทั้งสองของพระจุลกาลได้ยินว่าสามีของพวกตนตามเสด็จพระศาสดามาด้วย
จึงวางแผนจะสึกสามีโดยส่งคนไปนิมนต์พระศาสดาและพระสาวกมาถวายภัตที่เรือน
สมัยนั้นผู้คนในเสตัพยนครยังไม่คุ้นเคยกับพระศาสนา
เมื่อชาวบ้านนิมนต์พระศาสดาจึงส่งพระจุลกาลให้ล่วงหน้าไปก่อนเพื่อไปบอกศาสนพิธี
รวมทั้งบอกวิธีการจัดเตรียมอาสนะที่สมควรแก่พระศาสดาและพระสาวกระดับต่างๆ เป็นต้น
เมื่อพระจุลกาลไปถึงจึงถูกภรรยทั้งสองช่วยกันจับถอดสบงจีวรออกเปลี่ยนชุดเป็นฆราวาส
แล้วส่งกลับไปนิมนต์พระศาสดาและภิกษุสงฆ์มาถวายภัต
ฝ่ายภรรยาทั้งแปดของพระมหากาลคิดว่าภรรยาของพระจุลกาลมีแค่ ๒ คน
พวกนางยังสึกสามีได้ พวกเรามีตั้งแปดย่อมต้องสึกสามีได้เหมือนกัน
คิดแล้วจึงนิมนต์พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ไปถวายภัตตาหารที่เรือนในวันรุ่งขึ้นบ้าง
ครั้งนี้พระศาสดาทรงส่งภิกษุอื่นไปดูการจัดอาสนะ
ภรรยาพระมหากาลเถระจึงไม่มีโอกาสจับสามีสึก
ครั้นเสร็จภัตกิจแล้วภรรยาเหล่านั้นได้กราบทูลพระศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอให้พระมหากาลอยู่อนุโมทนาแก่พวกข้าพระองค์ก่อนแล้วจึงไป
ขอพระองค์เสด็จไปก่อนเถิด”
พระศาสดาจึงเสด็จออกจากเรือนล่วงหน้าไปก่อน
แต่เพียงแค่เสด็จถึงประตูบ้านภิกษุก็พูดกันว่า ทำไมหนอพระศาสดาจึงทรงทำเช่นนี้
พระองค์ไม่ทรงทราบหรือว่าเมื่อวานพระจุลกาลถูกจับสึกไปแล้ว
วันนี้พระมหากาลคงจะถูกจับสึกเหมือนกัน
พระศาสดาสดับคำของภิกษุเหล่านั้นจึงตรัสกับภิกษุว่า
“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญว่ามหากาลเหมือนจุลกาลหรือ
พวกเธอพึงเข้าใจอย่างนี้ว่า จุลกาลนั้นไม่สำรวมอินทรีย์จึงถูกมารรังควาญได้
เหมือนต้นไม้ไม่แข็งแรงที่ขึ้นอยู่ริมเหวย่อมถูกลมพัดทำลายลงได้
ส่วนมหากาลบุตรของเรานั้นเป็นผู้สำรวมอินทรีย์มารรังควาญไม่ได้
เธอเป็นผู้ไม่หวั่นไหวเหมือนภูเขาหินแท่งทึบ”
ทรงตรัสพระคาถาว่า
สุภานุปสฺสึ
วิหรนฺตํ อินฺทฺริเยสุ อสํวุตํ
โภชนมฺหิ
อมตฺตยญฺญุ ํ กุสีตํ หีนวีริยํ
ตํ เว
ปสหติ มาโร วาโต รุกฺขํว ทุพฺพลํ.
อนุภานุปาสฺสึ วิหรนฺตํ อินฺทฺริเยสุ
สุสํวุตํ
โภชนมฺหิ จ มตฺตตญฺญํ
สทฺธํ อารทฺธวีริยํ
ตํ เว นปฺปสหติ มาโร
วาโต เสลํว ปพฺพตํ.
ผู้ใดปล่อยใจตามอารมณ์ปรารถนา
ไม่สำรวมอินทรีย์ ไม่รู้ประมาณโภชนะ เป็นผู้เกียจคร้าน ไม่มีความเพียร
มารย่อมรังควานผู้นั้นได้
เหมือนลมย่อมรังควานต้นไม้ที่ไม่แข็งแรงฉันนั้น
ส่วนผู้ใดไม่ปล่อยใจตามอารมณ์ปราถนา สำรวมอินทรีย์ รู้ประมาณโภชนะ
เป็นผู้มีความศรัทธา มีความเพียร มารย่อมรังควานผู้นั้นไม่ได้
เหมือนลมไม่อาจรังควานภูเขาหินได้ฉันนั้น
ทางฝ่ายพระมหากาลเถระเมื่อพระศาสดาและภิกษุอื่นไปกันหมดแล้ว
ภรรยาทั้งแปดได้เข้ามาอ้อนวอนขอให้พระมหากาลสึกแต่ไม่สำเร็จ
พวกเธอจึงลุกขึ้นจะเข้าไปเปลื้องผ้าพระมหากาลเหมือนที่ภรรยาของพระจุลกาลเคยทำสำเร็จมาแล้ว
แต่พระมหากาลรู้อาการของอดีตภรรยา ท่านจึงลุกจากอาสนะแล้วเหาะหนีไป
ธัมมปทัฏฐกถา
อรรถกถาคาถาธรรมบท ขุ. ธ. เรื่องจุลกาลและมหากาล
................................
ศิริวรรตน์
สุวรรณฉวี
บ. สยามแท็ปโก้ จก.
มือถือ
082-6246962,
085-6164446