๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝหบูช๏ฟฝ - ๏ฟฝ๏ฟฝะพุท๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝาทรง๏ฟฝอน๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ๏ฟฝ

15 views
Skip to first unread message

oddy.freebird

unread,
Jul 21, 2013, 7:53:40 PM7/21/13
to � ����� �
    วันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์
    แล้วสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนั้นคืออะไร?
 
    ลำดับแรก พระพุทธองค์ทรงทำลายความเชื่อในยุคสมัยนั้นที่เชื่อกันว่า การปฏิบัติแบบอุกฤษณ์ การทรมานร่างกายในแบบที่เรียกว่า ทุกรกิริยา เป็นหนทางสู่ความหลุดพ้น แม้แต่ปัญจวัคคีย์ก็เชื่ออย่างนั้นจนหนีพระองค์มาเมื่อทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา เพราะพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ ปี ก็ไม่เคยเข้าไปใกล้หนทางสู่ความหลุดพ้นเลย เป็นเพียงการติดทุกข์ที่ไร้ประโยชน์ ในทางกลับกัน การปฏิบัติแบบสุขสบาย การครองเรือน ก็เป็นการติดสุข ติดกาม ไม่ใช่หนทางสู่ความหลุดพ้นเช่นกัน ทั้งสองทางนี้สุดโต่งเกินไปทั้งคู่
 
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ส่วนสุดสองอย่างนี้บรรพชิตผู้หวังโมกขธรรมควรละเสีย คือ กามสุขัลลิกานุโยค การประกอบตนให้พัวพันด้วยความสุขในกามคุณ คือ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสอันน่าใคร่น่าพอใจ กามคุณเหล่านี้เป็นของเลว การหลงพัวพันในกามคุณเป็นหนทางที่หย่อนเกินไป ทำให้ติดสุข เกิดราคะและโมหะ ไม่เกิดประโยชน์ เป็นวิถีของปุถุชน ไม่เหมาะแก่พระอริยะ และ อัตตกิลมถานุโยค การประกอบความเพียรด้วยการทรมานตนให้ลำบาก เป็นหนทางที่ตึงเกินไป เพราะนำมาซึ่งความทุกข์อันหาประโยชน์ไม่ได้ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ ฟุ้งซ่าน เกิดโทสะและโมหะ เป็นวิถีของเดียรถีย์ ไม่เหมาะแก่พระอริยะ
 
    ทรงชี้ว่าหนทางกลางๆ ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ไม่ติดไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งนั่นแหละคือหนทางสู่ความดับทุกข์ได้
 
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ทางที่พอเหมาะพอดีแก่พระอริยะ คือ มัชฌิมาปฏิปทา การปฏิบัติในทางสายกลางให้สม่ำเสมอพอดี ไม่ดิ่งไปหาส่วนสุดสองอย่างนั้น ทำให้เกิดความสงบ เกิดจักษุญาณ เกิดปัญญารู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
 
    ทรงขยายความว่าทางสายกลางนั้นคือ มรรค ๘
 
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ปฏิปทาสายกลางที่ทำให้เกิดความสงบ เกิดจักษุญาณ เกิดปัญญารู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น ชื่อว่า อริยมรรค อันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ ความเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ การงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ พยายามชอบ ๑ ระลึกชอบ ๑ ตั้งจิตชอบ ๑
 
    มีผู้คนมากมายบอกว่า ทางสายกลาง คือคำสอนเรื่องการประกอบอาชีพการงาน ซึ่งไม่ใช่เลย พระพุทธองค์กำลังแสดงปฐมเทศนาเพื่อความหลุดพ้นจะเป็นไปได้ยังไงที่จะมาตรัสสอนเรื่องการทำงาน ทางสายกลางของพระพุทธองค์ที่แท้นั้นทรงสอนถึงการปฏฺบัติเพื่อความหลุดพ้นอย่างเดียว โดยเน้นเรื่องกายและวาจาที่ไม่เบียดเบียน และเรื่องการบำเพ็ญจิตสู่ความสงบให้เกิดญานทํสนะ
 
    เห็นชอบเป็นไฉน ?
    ความเชื่อที่เป็นกุศล คือ เชื่อว่าการให้ทานมีผล วิบากของกรรมดีมีผล วิบากของกรรมชั่วมีผล เชื่อว่าโลกหน้ามี ตายแล้วไม่สูญ รู้เคารพบิดามารดาและสมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นี้แลเป็นความเห็นชอบหรือสัมมาทิฐิ
    (ให้เริ่มจากสัมมาทิฏฐิก่อน)
    ดำริชอบเป็นไฉน ?
    ความดำริเพื่อออกจากกาม ตัดความพยาบาท ตัดความเบียดเบียน นี้แลคือดำริชอบหรือสัมมาสังกัปปะ
    (แล้วให้มุ่งหน้าออกบวช)

    เจรจาชอบเป็นไฉน ?
    ความสำรวมในการพูด เว้นจากการพูดเท็จ พูดยุให้แตกกัน พูดหยาบ พูดเพ้อเจ้อ นี้แลคือเจรจาชอบหรือสัมมาวาจา
    (ต้องสำรวมคำพูด)

    การงานชอบเป็นไฉน ?
    การเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย นี้แลเรียกว่าการงานชอบคือสัมมากัมมันตะ
    (สำรวมกาย)

    เลี้ยงชีวิตชอบเป็นไฉน ?
    การละการเลี้ยงชีพด้วยทุจริต แต่เลี้ยงชีพด้วยสุจริต บำเพ็ญจิตให้ไกลจากข้าศึก เจริญอริยมรรคอยู่ นี้แลเรียกว่าเลี้ยงชีวิตชอบหรือสัมมาอาชีวะ
    (สำรวมใจ)

    พยายามชอบเป็นไฉน ?
    การปรารภความเพียร พยายามประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ อกุศลธรรมลามกใดยังไม่เกิดอย่าทำให้เกิด อกุศลธรรมลามกใดเกิดขึ้นแล้วให้ละเสีย กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดทำให้เกิด และกุศลธรรมใดเกิดแล้วรักษาให้คงอยู่ ทำให้เจริญขึ้น ไพบูลย์ขึ้น นี้แลคือพยายามชอบหรือสัมมาวายามะ
    (ให้มีความเพียรในการปฏิบัติ)

    ระลึกชอบเป็นไฉน ?
    การมีปกติระลึกพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ เห็นเวทนาในเวทนาอยู่ เห็นจิตในจิตอยู่ เห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ ตัดความพอใจและไม่พอใจในโลกเสียได้ นี้แลคือระลึกชอบหรือสัมมาสติ
    (บำเพ็ญตามแนวสติปัฏฐาน ๔)

    ตั้งจิตชอบเป็นไฉน ?
    การตั้งจิตให้มีสมาธิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงฌานทั้งสี่ คือปฐมฌานอันมีวิตก วิจาร ปีติ และสุข อันเกิดแต่วิเวกอยู่ เข้าถึงทุติยฌานอันผ่องใส มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ วิตกวิจารระงับไป เข้าถึงตติยฌานอันมีสุขอยู่ด้วยนามกาย มีปีติสิ้นไป มีความรู้ตัวทั่วพร้อม และเข้าถึงจตุตฌานอันละสุขและทุกข์เสียได้ มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา นี้แลคือตั้งจิตชอบหรือสัมมาสมาธิ
    (การบำเพ็ญฌานเพื่อให้เกิดสมาธิและปัญญา)
 
    ทรงชี้ทางต่อไปว่าเมื่อปฏิบัติตามมรรค ๘ แล้ว จิตจะเข้าสู่ฌานและสมาธิได้ เกิดเป็นปัญญาญาณ แล้วจึงใช้ปัญญาญาณหรือวิปัสสนาญาณนั้นพิจารณาแยกรูปแยกนามจนเห็นธรรมแท้ คือ อริยสัจ ๔
 
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ปฏิปทาสายกลางนี้แหละ เมื่อเจริญให้มากเจริญให้ยิ่งแล้ว ย่อมตรัสรู้ความจริงอันประเสริฐ เข้าถึงความจริงแท้ ๔ อย่าง เรียกว่า  อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
    ทุกขอริยสัจ ความจริงแท้ของความทุกข์ ทุกข์กาย คือ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์ ทุกข์ใจ คือ ความประจวบกับสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมปรารถนาก็เป็นทุกข์ ความผิดหวังในโลกธรรม ๘ ทำให้เกิดทุกข์ร่ำไป คือ มีลาภ-เสื่อมลาภ มียศ-เสื่อมยศ มีสุข-มีทุกข์ มีสรรเสริญ-มีนินทา กล่าวโดยย่นย่ออุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเป็นตนของเรานี่แหละ เป็นตัวทุกข์
    สมุทัยอริยสัจ ความจริงแท้ของเหตุให้เกิดทุกข์ คือ ตัณหา ความทะยานอยากอันทำให้เกิดชาติภพใหม่ไม่มีสิ้นสุดทั้ง ๓ อย่าง คือ กามตัณหา-ความกำหนัด ภวตัณหา-ความอยากได้อยากมี ความรัก ความชอบใจ ความพอใจ วิภวตัณหา-ความไม่อยากได้ไม่อยากมี ความเกลียดชัง ความไม่ชอบใจ ความไม่พอใจ ตัณหานี้แหละเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
    นิโรธอริยสัจ ความจริงแท้ว่าความดับทุกข์ คือ ความดับสนิทของตัณหาด้วยความจางไป คลายไป สละไป ปล่อยวางไป สำรอกไป ไม่หลงเหลือตัณหาใดๆ อีก เมื่อตัณหาดับไปไม่มีเหลือนั่นแหละคือทุกข์ดับ
    มรรคอริยสัจ ความจริงแท้ว่าหนทางดับทุกข์ คือ การไม่ยึดมั่นถือมั่น การสละ ละ วาง ปล่อยไปไม่พัวพัน เป็นหนทางให้ดับทุกข์ได้ไม่มีเหลือ
 
    พระพุทธองค์ทรงขยายความว่าการเข้าถึงอริยสัจ ๔ นี้ ต้องเป็นไปด้วยรอบ ๓ หรือปริวัฏฏ์ ๓ คือใช้ สัจจญาณ เพื่อรู้อริยสัจ เมื่อรู้อริยสัจแล้วก็ใช้ กิจจญาณ พิจารณาว่าควรทำอย่างไรกับอริยสัจที่ได้รู้ และเมื่อทำแล้วก็ใช้ กตญาณ พิจารณาว่าได้ทำในสิ่งที่ควรทำสำเร็จแล้ว
    การปฏิบัติโดยรอบ ๓ ในอริยสัจ ๔ นี้รวมเรียกว่าปฏิบัติโดยรอบ ๓ อาการ ๑๒
 
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้จักษุได้เกิดแล้ว ญาณได้เกิดแล้ว ปัญญาได้เกิดแล้ว วิชชาได้เกิดแล้ว แสงสว่างได้เกิดแล้วแก่เรา ในธรรมที่ไม่เคยสดับมาก่อนว่า 
    ทุกข์ทั้งหลายมีอยู่
    ทุกข์ทั้งหลายควรกำหนดรู้
    ทุกข์ทั้งหลายเรากำหนดรู้แล้ว

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้จักษุได้เกิดแล้ว ญาณได้เกิดแล้ว ปัญญาได้เกิดแล้ว วิชชาได้เกิดแล้ว แสงสว่างได้เกิดแล้วแก่เรา ในธรรมที่ไม่เคยสดับมาก่อนว่า
    สมุทัยมีอยู่
    สมุทัยควรละเสีย
    สมุทัยเราได้ละแล้ว
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้จักษุได้เกิดแล้ว ญาณได้เกิดแล้ว ปัญญาได้เกิดแล้ว วิชชาได้เกิดแล้ว แสงสว่างได้เกิดแล้วแก่เรา ในธรรมที่ไม่เคยสดับมาก่อนว่า
    นิโรธมีอยู่
    นิโรธควรทำให้แจ้ง
    นิโรธเราทำให้แจ้งแล้ว
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้จักษุได้เกิดแล้ว ญาณได้เกิดแล้ว ปัญญาได้เกิดแล้ว วิชชาได้เกิดแล้ว แสงสว่างได้เกิดแล้วแก่เรา ในธรรมที่ไม่เคยสดับมาก่อนว่า
    มรรคมีอยู่
    มรรคควรทำให้เจริญ
    มรรคเราทำให้เจริญแล้ว
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ญาณทัศนะอันบริสุทธิ์เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ด้วยการวนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ เราจึงปฏิญาณตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว วิมุติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุด บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก
 
    ในที่สุดแห่งปฐมเทศนา โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้สดับอยู่ ส่งกระแสญาณไปตามกระแสเทศนา และดำเนินวิปัสสนาไปโดยลำดับ ก็เกิดปัญญาสว่างไสวรู้เท่าทันสภาวธรรมว่ามีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาและมีความดับไปเป็นธรรมดา ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน พร้อมกับพระพรหม ๑๘ โกฏิ
    ขณะนั้นพระพุทธองค์ทรงรู้ด้วยพระญาณ จึงตรัสว่า
 
    “อัญญาสิ โกณฑัญโญ โกณฑัญญะรู้ทั่วแล้วหนอ”
 
    นี่แหละคือปฐมเทศนาที่ทรงแสดงไว้ในวันอาสาฬหบูชา
 
 
 
 
................................
ศิริวรรตน์ สุวรรณฉวี
บ.  สยามแท็ปโก้  จก.
มือถือ 085-6164446,
          090-4699965
Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages