หลายคนมักเข้าใจผิดว่าตำนานวันสงกรานต์นั้นมีที่มาจากพุทธศาสนา
แม้แต่พระหลวงตาในวัดยังเทศนาเจื้อยแจ้วว่ามาจากชาดก จริงๆ
แล้วตำนานวันสงกรานต์ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยกับพุทธศาสนา
และไม่มีกล่าวถึงเลยในพระไตรปิฎก รวมทั้งไม่มีในชาดกด้วย เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
แต่เริ่มต้นมาทบทวนตำนวนวันสงกรานต์กันก่อน
ตำนานวันสงกรานต์
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีเศรษฐีคนหนึ่งมีทรัพย์สมบัติมากแต่กลับไม่มีทายาทสืบสกุล
ยาจกคนหนึ่งมีบุตรมากซึ่งอาศัยอยู่ใกล้ๆ บ้านเศรษฐีจึงดูถูกว่า
แม้เศรษฐีจะมีสมบัติมากมายก็ไร้ประโยชน์เพราะไม่มีทายาทสืบสกุล
เศรษฐีจึงทำพิธีบวงสรวงขอบุตร แต่เวลาผ่านไปหลายปีก็ยังไม่มีบุตรเสียที
ในที่สุดเศรษฐีจึงไปขอบุตรจากพระไทร พระไทรสงสารจึงขึ้นสวรรค์ทูลขอบุตรจากพระอินทร์ให้เศรษฐี
พระอินทร์ก็ประทานธรรมบาลเทพบุตรให้จุติลงมาเกิดเป็นบุตรของเศรษฐีผู้นั้น
เศรษฐีจึงมีบุตรชื่อว่า ธรรมบาลกุมาร เขาปลูกเรือน ๗
ชั้นให้กุมารที่ริมแม่น้ำใกล้ต้นไทร ธรรมบาลกุมารเป็นเด็กฉลาดมาก พออายุ ๗
ขวบก็เรียนจบไตรเภท
และยังรู้ภาษานกด้วยเพราะได้ยินเสียงนกอยู่ทุกวัน
ท้าวกบิลพรหมทรงทราบอยากทดสอบเชาวน์ปัญญาของธรรมบาลกุมาร จึงเสด็จมายังโลกมนุษย์ ตั้งคำถามธรรมบาลกุมาร ๓ ข้อ
โดยท้าพนันว่าหากธรรมบาลกุมารแก้ปัญหาได้ท้าวกบิลพรหมจะตัดเศียรตัวเองบูชา
แต่ถ้าแก้ไม่ได้ท้าวกบิลพรหมจะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารแทน
ปัญหา ๓
ข้อนั้นถามว่า
ข้อ ๑ เวลาเช้าราศีอยู่แห่งใด
ข้อ ๒
เวลาเที่ยงราศีอยู่แห่งใด
ข้อ ๓
เวลาค่ำราศีอยู่แห่งใด
ธรรมบาลกุมารตอบไม่ได้ ท้าวกบิลพรหมจึงให้เวลาธรรมบาลกุมารคิดหาคำตอบ ๗
วัน
ธรรมบาลครุ่นคิดหาคำตอบจนเวลาผ่านไปถึง ๖ วันก็ยังตอบไม่ได้คิดไม่ออก
จึงออกจากเรือนไปนอนใต้ต้นตาลด้วยความกลุ้มใจ
บนต้นตาลนั้นมีนกอินทรีผัวเมียอาศัยอยู่
ธรรมบาลกุมารได้ยินแม่นกถามพ่อนกว่าพรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารที่ไหนกันดี
พ่อนกบอกว่าพรุ่งนี้เราไม่ต้องไปไหน เราจะได้กินร่างของธรรมบาลกุมารเพราะธรรมบาลกุมารคงตอบคำถามของท้าวกบิลพรหมไม่ได้
แม่นกกล่าวว่า น่าสงสารธรรมบาลกุมารเสียจริงๆ ที่ตอบคำถามไม่ได้
แล้วท่านรู้ไหมว่าคำตอบคืออะไร
พ่อนกตอบว่ารู้สิ
คำตอบแรก
เวลาเช้าราศีอยู่ที่หน้า มนุษย์ตื่นเช้าจึงล้างหน้าล้างตาให้ผ่องใส
คำตอบที่สอง
กลางวันราศีอยู่ที่อก
กลางวันมนุษย์จึงเอาน้ำอบน้ำหอมมาประพรมกันที่อก
และคำตอบที่สามตอนเย็นราศีอยู่ที่เท้า
มนุษย์จึงเอาน้ำล้างเท้าให้สะอาดเสียก่อนจึงเข้านอน
ธรรมบาลกุมารได้ยินจึงจดจำคำตอบไว้
ครบ ๗
วันท้าวกบิลพรหมมาทวงคำตอบจากธรรมบาลกุมาร ปรากฏว่าธรรมกุบาลสามารถตอบคำถามได้
ท้าวกบิลพรหมจึงต้องตัดเศียรตัวเองตามคำสัญญา แต่เศียรของท้าวกบิลพรหมนั้น หากตกลงต้องพื้นดิน
พื้นดินจะลุกเป็นไฟ หากตกลงในทะเล
น้ำก็จะเหือดแห้งหมด และหากโยนขึ้นไปในอากาศ ฝนก็จะไม่ตกต้องตามฤดูกาล ท้าวกบิลพรหมจึงเรียกธิดาทั้ง ๗
มาสั่งเสียให้นำพานมารองรับเศียรของท้าวกบิลพรหม
นางทุงษะธิดาคนโตได้นำพานมารองรับเศียรตามคำของบิดา แล้วพาน้องๆ เดินแห่รอบเขาพระสุเมรุ
แล้วจึงอัญเชิญเศียรของบิดาไปเก็บในมณฑปถ้ำธุลีที่เขาไกรลาศ
ครบรอบปีเมื่อพระอาทิตย์โคจรขึ้นสู่ราศีเมษอันเป็นวันครบรอบที่บิดาตัดเศียร
ธิดาคนหนึ่งของท้าวกบิลพรหมก็จะอัญเชิญเศียรของบิดาออกจากเขาไกรลาสมาเวียนรอบเขาพระสุเมรุ เรียกว่าวันมหาสงกรานต์
โดยตกลงกันว่าหากวันมหาสงกรานต์ตรงกับวันใด ก็ให้ธิดาองค์ต่างๆ
รับผิดชอบมาอัญเชิญเศียรของท้าวกบิลพรหม
คือ
วันอาทิตย์
ทุงษะเทวี
วันจันทร์ โคราคะเทวี
วันอังคาร รากษสเทวี
วันพุธ
มณฑาเทวี
วันพฤหัสบดี กิริณีเทวี
วันศุกร์ กิมิทาเทวี
วันเสาร์
มโหธรเทวี
นี่คือตำนานวันสงกรานต์
กลับมาเรื่องที่ว่าตำนานวันสงกรานต์ไม่มีในทางพุทธศาสนา
ไม่มีในคัมภีร์ไม่ได้แปลว่าไม่จริงหรือเป็นเรื่องโกหก
เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อการพ้นทุกข์จำนวนเพียงแค่ใบไม้ในกำมือเท่านั้น
พระองค์ไม่ได้ตรัสถึงใบไม้ที่มีอยู่มากมายในป่าใหญ่
หากพิจาณาเนื้อเรื่องของตำนานดูสักหน่อยก็รู้ได้เองว่าเรื่องนี้คงไม่มีในคัมภีร์ทางศาสนาแน่ๆ
เพราะดูจะแปลกๆ ที่ว่าท้าวกบิลพรหมทำไมมีลูกสาวตั้ง ๗ คน เพราะพระพรหมเป็นเพศพรหม
ไม่ได้มีหญิงมีชาย พรหมไม่อยู่เป็นคู่ ไม่มีเมียแล้วจะมีลูกสาวได้อย่างไร
ท้าวกบิลพรหมจึงน่าจะเป็นแค่ชื่อเรียก ไม่ได้เป็นพระพรหมจริงๆ
เพราะต่างจากพระพรหมที่กล่าวถึงในอรรถกถาอยู่มาก
ถ้าจะให้เดา ก็ต้องเดาว่ากบิลพรหมท่านคงเป็นนักสิทธิ์หรือฤาษีที่มีชื่อว่า
กบิลพรหม เสียมากกว่า
เพราะในคัมภีร์อรรถกถาหรือตำนานทางฮินดูหลายเรื่องที่กล่าวถึงฤาษี
พวกนี้อิทธิฤทธิ์เยอะๆ กันทั้งนั้น
ตัวอย่างเช่นจอมอสูรที่ฟาดหัวฟาดหางไปพังอาศรมของฤาษีหลายหน
โดนฤาษีแช่งคำเดียวก็เกิดอาการหวาดผวา นอนทีไรเป็นต้องสะดุ้งทั้งคืนจนได้ชื่อว่า
ท้าวเวปจิตติจอมอสูร
นี่คือฤทธิ์เดชของฤาษีที่กล่าวไว้ในอรรถกถา
แล้วทำไมฤาษีถึงมีเมีย
เพราะฤาษียังมีกิเลสเป็นบางครั้งบางคราว ฤาษีหลายตนจึงมีเมีย อย่างเช่น ฤาษีตาไฟ
ที่มีคนนับถือกันมากท่านก็มีเมียเพียบเลย ใครที่บูชาฤาษีตาไฟ
หรือเป็นศิษย์ฤาษีตาไฟจึงมักลือชื่อในเรื่องเจ้าชู้หรือมีเมียมาก
อีกเหตุผลหนึ่งที่สนับสนุนว่าท้าวกบิลพรหมน่าจะเป็นฤาษี
ก็เพราะเศียรของท่านเก็บที่เขาไกลลาศ
เขาลูกนี้เป็นหนึ่งในเบญจบรรพตที่อยู่กลางป่าหิมพานต์ ป่านี้เป็นที่อาศัยของฤาษีจำนวนมาก
จะเรียกว่าเป็นดงของฤาษีเลยก็ว่าได้
มหาธรรมปาลชาดก
ลองมาดูในอรรถกถาพระไตรปิฎกกันบ้าง ที่ใกล้เคียงที่สุดมีอยู่ในชาดกชื่อว่า
มหาธรรมปาลชาดก
แต่เรื่องราวไม่ได้คล้ายกันเลย
ดูที่มาของชาดกเรื่องนี้กันก่อน
ในสมัยที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จหนีไปบรรพชาแล้ว
พระเจ้าสุทโธทนะที่คอยขัดขวางไม่ให้พระโอรสออกบวชมาตลอดก็เริ่มเชื่อคำทำนายของอสิตดาบสผู้เป็นอาจารย์
กับโกณฑัญญะพราหมณ์ผู้ทำนายพระกุมารแล้วว่าพระโอรสของพระองค์จะไม่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
แต่จะเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น
พระองค์จึงคอยสดับข่าวและคอยลุ้นอยู่เสมอว่าตอนนี้พระโอรสของพระองค์เสด็จไปอยู่ที่ไหน
และปฏิบัติองค์เช่นไร
นอกจากข่าวจากพ่อค้าและข้าราชสำนักที่ส่งออกไปสืบข่าวแล้ว
พระเจ้าสุทโธทนะยังได้ข่าวจากพวกเทวดาด้วย
คือพวกเทวดานี่ก็พลอยตื่นเต้นไปด้วยว่าเจ้าชายสิทธัตถะกำลังจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วจึงเวียนกันไปเฝ้าดูแล้วเอามาพูดกัน
ครั้งหนึ่ง เจ้าชายสิทธัตถะทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาจนร่างกายผ่ายผอม
หน้าท้องยุบติดกระดูกสันหลัง ยืนเดินไม่ไหวถึงขั้นล้มหมดสติ
พวกเทวดาก็กลับมาคุยกันและทูลให้พระเจ้าสุทโธทนะทรงทราบว่า
คราวนี้เจ้าชายสิทธัตถะคงไม่รอดแน่
พระเจ้าสุทโธทนะซึ่งตอนนี้เชื่อมั่นในพระโอรสมากว่าอย่างไรเสียพระโอรสต้องตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
พระองค์จึงตรัสไล่พวกเทวดาให้ออกไปไกลๆ
ทรงตรัสว่าโอรสเราหากยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าโอรสของเราจะไม่ตาย
จากนั้นไม่นานเจ้าชายสิทธัตถะก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ
และหลังออกษาที่สองแล้วพระเจ้าสุทโธทนะก็นิมนต์พระพุทธเจ้าให้เสด็จนิวัติพระนครมาโปรดพระประยูรญาติ
วันที่สามที่นครกบิลพัสดุ์
พระเจ้าสุทโธทนะกราบทูลพระพุทธองค์เรื่องเทวดาว่าพระองค์เคยได้ยินเทวดาพูดว่าพระโอรสจะตายแต่พระองค์เชื่อว่าพระโอรสจะไม่ตาย
พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระบิดาทรงเชื่อแบบนี้ไม่เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น แม้ในชาติก่อนๆ
ก็ทรงเชื่อ ตรัสแล้วก็ทรงแสดงธรรมปาลชาดก
ในชาดกบอกว่าในอดีตกาล
พระพุทธเจ้าเกิดเป็นบุตร พระเจ้าสุทโธทนะเกิดเป็นบิดา ตระกูลนี้ปฏิบัติกุศลกรรมบถ
๑๐ ประการอย่างเคร่งครัด คนในตระกูลจึงไม่มีใครเลยที่ตายก่อนวัย
คือทุกคนแก่ตายเท่านั้น และทุกคนก็เชื่อมั่นอย่างนั้น
เมื่อบุตรชายไปเรียนที่ตักกสิลา
อาจารย์อยากจะพิสูจน์ว่าคนในตระกูลนี้แก่ตายเท่านั้นหรือ
และเชื่อว่าจะไม่มีใครตายก่อนวัยจริงๆ หรือ อาจารย์จึงหากระดูกมาใส่ห่อ
แล้วให้ลูกศิษย์ 2-3 คน นำไปให้บิดา บอกว่าบุตรของท่านตายแล้ว
บิดาดูกระดูกแล้วก็เฉยๆ ไม่ร้องไห้ ไม่เสียใจ
คนพวกนั้นถามว่าท่านไม่เสียใจเลยหรือที่บุตรชายตาย บิดาบอกว่าเราไม่เชื่อ
บุตรของเราประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ไม่มีทางตายก่อนวัย
แล้วชาดกก็สรุปอานิสงส์การรักษากุศลกรรมบถ ๑๐
สรุปว่า
ธรรมปาลชาดกกับตำนานวันสงกรานต์ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย
แถมท้ายด้วยเรื่องการรดน้ำดำหัว
ไม่รู้ว่าการรดน้ำดำหัวเดี๋ยวนี้ทำกันถูกต้องตามประเพณีโบราณหรือเปล่า สมัยเด็กๆ
ผมไม่รู้จักประเพณีนี้ก็ได้แต่สงสัยว่า
เป็นเด็กจะไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ได้อย่างไร
ปี ๒๕๔๐
ผมไปทำงานอยู่ที่เชียงใหม่ พอถึงวันสงกรานต์ก็จะเตรียมขันน้ำ น้ำอบ และดอกส้มป่อย
ไปดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ คนแรกเลยเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ มช.
ไปรดน้ำดำหัวในฐานะที่เป็น Influencer ในวงการก่อสร้าง และเป็นรุ่นพี่ (รุ่นพ่อ)
คณะวิศวะจุฬา
คณะของเรายกขันเข้าไปแบบงงๆ
คิดไว้ว่าก็คงจะรดมืออาจารย์แล้วพรมน้ำให้ท่านหน่อยล่ะมั้ง
แต่อาจารย์ท่านรู้ว่าไอ้น้องๆ พวกนี้มาทำเด๋อแน่
จึงรีบเรียกเข้าไปหาพาไปนั่งกันในศาลา บอกว่ามานี่ๆ
แล้วก็เล่าประเพณีรดน้ำดำหัวให้ฟัง
"คนสมัยใหม่มันรดน้ำดำหัวกันไม่เป็น เป็นเด็กมันมาตักน้ำรดผู้ใหญ่ได้ยังไง
บางคนแทบจะเอาขันโขกหัวผู้ใหญ่เสียด้วย ยกขันมานี่"
อาจารย์อธิบายแล้วเรียกให้ยกขันน้ำเข้าไป แล้วก็เอาสองมือจุ่มลงไปในน้ำส้มป่อย
แล้วก็ยกมือมาแตะๆ ที่ผมตัวเอง
พร้อมกับเอาน้ำส้มป่อนพรมให้พวกเรา
"ต้องทำแบบนี้นะ
ช่วยกันรักษาประเพณีไทย..."
พูดแล้วก็อวยพรให้พวกเรา
"ต้องให้ผู้ใหญ่อวยพระให้เรานะ เด็กอย่าไปอวยพรให้ผู้ใหญ่"
สวัสดีปีใหม่ไทย
สวัสดีวันปี๋ใหม่เมือง...
................................
ศิริวรรตน์
สุวรรณฉวี
บ. สยามแท็ปโก้ จก.
มือถือ:
085-6164446,
090-4699965
line: oddy.freebird
website: http://saradham.siamtapco.com/