ชนเหล่าใดสำรวมจิตดวงเดียวนี้ที่เที่ยวไปแล้ว
ชนเหล่านั้น
ย่อมพ้นจากเครื่องผูกแห่งมารได้
คาถาธรรมบท
จิตตวรรค ขุ.ธ.
เรื่องพระภาคิไนยสังฆรักขิตเถระ
ชายผู้หนึ่งในกรุงสาวัตถีฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วศรัทธาจึงออกบวช
ไม่นานนักก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ท่านมีนามว่า สังฆรักขิตเถระ
ฝ่ายน้องชายคฤหัสถ์ของท่านมีความเคารพในตัวพระพี่ชายมาก
เมื่อมีบุตรชายจึงตั้งชื่อให้ตามชื่อของหลวงลุงว่า ภาคิไนยสังฆรักขิต
และเมื่อบุตรชายโตเป็นหนุ่มก็พาไปบวชเรียนกับหลวงลุง
พระภาคิไนยสังฆรักขิตบวชแล้วได้แยกจากพระอุปัชฌาย์ไปจำพรรษาในอารามแห่งหนึ่ง
มีอุบาสกอุบาสิกาถวายผ้าจำนำเนื้อดีให้ท่านสองผืน ผืนหนึ่งยาว ๗ ศอก อีกผืนหนึ่งยาว
๘ ศอก ท่านเก็บผ้า ๗ ศอกไว้ใช้เอง ส่วนผ้า ๘
ศอกตั้งใจนำไปถวายหลวงลุง
ออกพรรษาแล้วพระภาคิไนยสังฆรักขิตจึงเดินทางไปหาหลวงลุงที่เชตวันวิหาร
ขณะนั้นพระสังฆรักขิตเถระยังไม่กลับจากบิณฑบาต
พระภาคิไนยสังฆรักขิตจึงเข้าไปในวิหารปัดกวาดบริเวณที่พักของหลวงลุง ปูอาสนะ
และจัดตั้งน้ำล้างเท้าไว้ให้
เมื่อพระเถระกลับมาถึงแล้ว
พระภาคิไนยสังฆรักขิตก็ลุกขึ้นต้อนรับ รับบาตร จีวร ล้างเท้าทั้งสอง
อาราธนาพระเถระให้นั่งบนอาสนะ แล้วนำผ้า ๘ ศอกมาถวายหลวงลุง
พระเถระกล่าวกะภิกษุผู้เป็นหลานว่า
“สังฆรักขิต
จีวรของฉันยังดีอยู่ เธอเก็บไว้ใช้สอยเองเถิด”
พระภาคิไยสังฆรักขิตอ้อนวอนหลวงลุงให้รับ
"หลวงลุงขอรับ
ผ้านี้กระผมตั้งใจนำมาถวายหลวงลุง
หลวงลุงจงรับไว้ใช้สอยเถิด"
"อย่าเลย สังฆรักขิต
จีวรของฉันยังดีอยู่ เธอเก็บไว้ใช้สอยเองเถิด"
"หลวงลุงขอรับ
ท่านอย่าทำอย่างนี้เลย จงรับผ้านี้ไว้เถิด
ผลมากจักได้มีแก่กระผม"
แต่แม้จะพูดวิงวอนเท่าไรพระเถระก็ไม่ยอมรับ พระภาคิไนยสังฆรักขิตจึงได้หยุด
หยิบพัดก้านตาลมาพัดถวายหลวงลุง
ในขณะที่ยืนพัดอยู่ก็ส่งจิตคิดเตลิดไปไกลว่า
“เมื่อเป็นคฤหัสถ์เราเป็นหลานของหลวงลุง เมื่อมาบวชก็มาเป็นศิษย์ของหลวงลุง
แต่วันนี้หลวงลุงไม่ยอมรับผ้าของเรา ประโยชน์อะไรเล่าที่เราจะบวชอยู่ต่อไป
สู้สึกกลับไปใช้ชีวิตเป็นคฤหัสถ์จะดีกว่า"
พระภาคิไนยสังฆรักขิตวางแผนชีวิตหลังการสึกว่า
“เมื่อสึกออกไปแล้วเราจะเอาผ้า ๘ ศอกนี้ไปขาย
แล้วซื้อแม่แพะมาเลี้ยงสักตัวหนึ่ง ธรรมดาแม่แพะย่อมตกลูกเร็ว
เราก็จะเอาลูกแพะไปขายเอามาทำทุนค้าขาย พอมีเงินมากเราก็จะไปหาผู้หญิงสวยๆ
มาเป็นเมียสักคน
ถ้าเมียเราให้ลูกชายเราจะตั้งชื่อให้ว่าสังฆรักขิตเหมือนชื่อของหลวงลุง"
พระภาคิไนยสังฆรักขิตยังฝันถึงชีวิตคฟฤหัสถ์ต่อไปว่า
"แล้วเราก็จะพาลูกเมียนั่งเกวียนมาไหว้หลวงลุง
ระหว่างทางเราจะให้เมียส่งลูกมาให้เราอุ้มบ้าง
แต่เมียของเราก็คงจะรักลูกมากไม่อยากให้เราแย่งไปอุ้ม นางคงไม่ยอมและคงจะพูดว่า
“อย่ามายุ่งกับลูกนะ ขับเกวียนไป ฉันจะอุ้มลูกเอง”
เมื่อเมียไม่ยอมให้เราอุ้มลูกเราก็คงจะโกรธ เราก็จะตีเมียด้วย
ปฏัก!"
เมื่อคิดฝันจินตนาการถึงตรงนี้
พระภาคิไนยสังฆรักขิตก็เผลอเอาด้ามพัดตีลงไปที่ศรีษะของพระหลวงลุงด้วยความลืมตัว
พระสังฆรักขิตเถระถูกพระหลานชายตีศีรษะ ท่านจึงพิจารณาดูว่าเกิดอะไรขึ้นหนอ
จึงรู้ด้วยญานวิสัยว่าพระหลานชายกำลังสร้างบ้านสร้างเรือนสร้างครอบครัวและกำลังตีเมีย
พระเถระจึงบอกพระหลานชายว่า
“สังฆรักขิตเอ๋ย
เธอจะมีบ้านมีเรือนก็เรื่องของเธอ
เธอจะตีเมียก็เรื่องของเธอ แต่พระแก่ๆ
อย่างฉันไปทำผิดอะไรด้วยเล่า?”
พระภาคิไนยสังฆรักขิตฟังพระเถระแล้วก็สะดุ้งโหยงตกใจ อับอายว่าหลวงลุงรู้ความคิดเรา
จึงทิ้งพัดก้านตาลแล้ววิ่งหนีไปตั้งใจจะสึกกลับไปเป็นคฤหัสถ์
ภิกษุอื่นเห็นจึงช่วยกันไล่จับแล้วพาไปเฝ้าพระศาสดา
พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นภิกษุเหล่านั้นจึงตรัสถามว่า
“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอมาทำไมกัน”
พวกภิกษุกราบทูลว่า
“พวกข้าพระองค์จับภิกษุหนุ่มรูปนี้มา
เพราะเขาทำร้ายพระสังฆรักขิตเถระด้วยด้ามพัดพระเจ้าข้า”
พระศาสดาจึงตรัสถามพระภาคิไนยสังฆรักขิตว่า
“เธอทำอย่างนั้นจริงหรือ?”
“จริงพระเจ้าข้า”
“เหตุใดเธอจึงทำกรรมหนักเช่นนี้
เธอมาบวชในศาสนาของเราแล้ว เป็นบุตรของเรา เธอควรปรารภความเพียรให้แรงกล้า
ให้ได้เป็นพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี หรือพระอรหันต์
แล้วเหตุใดเล่าเธอกลับมาทำกรรมหนักเช่นนี้”
สังฆรักขิตภิกษุ
กราบทูลว่า
“ข้าพระองค์อยากสึกพระเจ้าข้า”
“เพราะเหตุใดเล่าเธอจึงอยากสึก”
พระภาคิไนยสังฆรักขิตจึงกราบทูลเล่าเรื่องทั้งปวงให้ทรงทราบตั้งแต่ได้รับผ้า
นำมาถวายหลวงลุง แล้วเผลอตีศีรษะหลวงลุงด้วยก้านตาล
ด้วยความตกใจกลัวจึงวิ่งหนีไม่อยากบวชเป็นพระอีกแล้ว
พระพุทธองค์จึงทรงประทานโอวาทว่า
“สังฆรักขิต
เธออย่าคิดเช่นนั้นเลย ธรรมดาของจิตย่อมมีปกติรับอารมณ์ เรื่องอะไรๆ
ที่แม้จะอยู่ในที่ไกลแสนไกล จิตก็ยังเกี่ยวมาเป็นอารมณ์ เอามายึด เอามาเกาะ
เอามาจดจ่อไว้ เกิดราคะ โทสะ โมหะ
เธอจงพยายามให้จิตหลุดพ้นจากเครื่องผูกนี้เถิด”
ทรงตรัสพระคาถาว่า
ทูรงฺคมํ
เอกจรํ อสรีรํ คุหาสยํ
เย
จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ
มารพนฺธนา.
ชนเหล่าใดสำรวมจิตดวงเดียวนี้ที่เที่ยวไปแล้ว
ชนเหล่านั้นย่อมพ้นจากเครื่องผูกแห่งมารได้
ในกาลจบพระธรรมเทศนา
พระภาคิไนยสังฆรักขิตภิกษุก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน
อรรถกถาคาถาธรรมบท
เรื่องพระภาคิไนยสังฆรักขิตเถระ
หมายเหตุ
คำแปลจากพระบาลีเต็มๆ แปลพระคาถาบทนี้ว่า
"ชนเหล่าใด จักสำรวมจิต อันไปในที่ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีสรีระ
มีถ้ำเป็นที่อาศัย
ชนเหล่านั้นจะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร"
................................
ศิริวรรตน์
สุวรรณฉวี
บ. สยามแท็ปโก้ จก.
มือถือ
082-6246962,
085-6164446