พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร
อารามที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นผู้สร้างถวาย
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับภิกษุว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ตะโพนอานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะ เมื่อตะโพนแตก
พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป
ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกภิกษุในอนาคตกาล
เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ
ประกอบด้วยสุญญตธรรมอยู่ เขาจักไม่ปรารถนาฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อรู้
และไม่สำคัญธรรมเหล่านั้นว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษา
แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์ภายหลังรจนาไว้ ร้อยกรองไว้
มีอักษรอันวิจิตร เป็นเพียงสาวกภาษิต แต่เขาจักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ
จักตั้งจิตเพื่อรู้
และสำคัญว่าธรรมเหล่านั้นควรเรียนควรศึกษา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก
มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม
ก็จักอันตรธานไปเหมือนตะโพนอานกะฉันนั้นเหมือนกัน
เพราะเหตุดังนี้ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ
ประกอบด้วยสุญญตธรรม พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักตั้งจิตเพื่อรู้
และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่าควรเรียน ควรศึกษา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ
ฯ
(อาณิสูตร)
ประวัติของกลอง
อานกะ
ในป่าหิมวันต์มีสระใหญ่แห่งหนึ่งเป็นสระที่อาศัยของปูตัวใหญ่
ปูนี้ตัวใหญ่ขนาดสามารถกินช้างได้ทั้งตัว
ทำให้พวกช้างได้รับความเดือดร้อนเพราะไม่สามารถลงไปอาบและดื่มน้ำในสระได้
ต่อมานางช้างนางหนึ่งตกลูกเป็นช้างมเหศักดิ์
บรรดาช้างอื่นพากันสักการะลูกช้างเพราะหวังว่าจะได้ช่วยปราบปูยักษ์
จนเมื่อลูกช้างโตขึ้น
โขลงช้างนั้นจึงพากันไปที่สระน้ำเพื่อปราบปู
ลูกช้างเดินลงไปในสระ แล้วถูกปูยักษ์ใช้ก้ามยักษ์หนีบไว้จนกระดิกไปไหนไม่ได้
ส่งเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
แม่ช้างจึงใช้อุบายพูดจาอ่อนหวานกับปูยักษ์ว่า
แม่ปูยักษ์จ๋า
บรรดาปูทั้งหลายในทะเล ในแม่น้ำคงคา และแม่น้ำยมุนา ทั้งหมดนั้น
แม่ปูเป็นสัตว์น้ำที่ประเสริฐที่สุด
ขอท่านจงปล่อยลูกของเราไปเถิด
ปูยักษ์ได้ฟังเสียงออดอ้อนอ่อนหวานดังนั้นก็ใจอ่อน จึงคลายก้ามปล่อยลูกช้าง
ลูกช้างพอหลุดออกมาได้ก็ยกเท้าขึ้นแล้วเหยียบลงบนหลังปูยักษ์จนกระดองแตก
แล้วเอางาแทงยกขึ้นทิ้งไปบนบก ช้างอื่นๆ
ก็พากันมารุมล้อมช่วยกันเหยียบย่ำบนร่างปูยักษ์จนถึงแก่ความตาย
ร่างปูยักษ์ที่ตายแล้วถูกทิ้งไว้ตรงนั้น เนื้อในเหี่ยวแห้ง
เหลือแค่เศษกระดองและก้ามปูใหญ่ที่ถูกแดดถูกลมเผาจนสุกสีเหมือนน้ำครั่งเคี่ยว
เมื่อฝนตก
ก้ามปูนั้นก็ถูกกระแสน้ำพัดลอยไปติดข่ายที่พระราชาสิบพี่น้องขึงไว้ที่เหนือน้ำเพื่อเล่นน้ำกัน
เมื่อเล่นน้ำแล้วพระราชาเหล่านั้นก็ยกข่ายขึ้นจึงเห็นก้ามปูยักษ์นั้น
พระราชาจึงรับสั่งให้นำก้ามปูยักษ์ไปหุ้มแล้วทำเป็นกลอง (หรือตะโพน)
กลองนั้นเป็นกลองเสียงดีมาก ตีครั้งหนึ่งได้ยินเสียงไปไกลถึง ๑๒ โยชน์
จึงใช้ประโยชน์ใช้ตีในคราวที่ต้องการเรียกประชาชนมาชุมนุม จึงเรียกชื่อกลองนี้ว่า
อานกะ
................................
ศิริวรรตน์
สุวรรณฉวี
บ. สยามแท็ปโก้ จก.
มือถือ
082-6246962,
085-6164446