การทดสอบความหนาแน่นของดินในสนาม หรือที่เรียกว่า Field Density Test เป็นกระบวนการสำคัญในงานวิศวกรรมโยธา โดยเฉพาะงานก่อสร้างถนน อาคาร เขื่อน และงานถมดินต่าง ๆ การทดสอบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบว่าดินที่ถูกบดอัดในสนามมีความแน่นเพียงพอตามที่ออกแบบไว้หรือไม่ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความแข็งแรง ความมั่นคง และอายุการใช้งานของโครงสร้าง
หลักการของ Field Density Test คือการหาค่าความหนาแน่นของดินจริงในสภาพสนาม แล้วนำไปเปรียบเทียบกับค่าความหนาแน่นแห้งสูงสุด (Maximum Dry Density) ที่ได้จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ เช่น การทดสอบ Proctor Test จากนั้นคำนวณเป็นร้อยละของการบดอัด (% Compaction) หากค่าที่ได้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น 95% หรือ 98% ของค่ามาตรฐาน ก็ถือว่างานบดอัดมีคุณภาพเหมาะสม
วิธีการทดสอบความหนาแน่นของดินในสนามมีหลายวิธี วิธีที่นิยมใช้ ได้แก่
Sand Cone Method เป็นวิธีดั้งเดิม ใช้ทรายมาตรฐานไหลลงไปเติมในหลุมที่ขุดจากชั้นดินที่บดอัดแล้ว เพื่อนำปริมาตรของหลุมไปคำนวณหาความหนาแน่นของดิน
Rubber Balloon Method ใช้ลูกยางเติมน้ำเพื่อหาปริมาตรของหลุม มีความสะดวกมากขึ้นและลดความผิดพลาดจากการสูญเสียทราย
Nuclear Density Gauge เป็นวิธีที่รวดเร็ว ใช้เครื่องมือวัดด้วยรังสี สามารถทราบค่าความหนาแน่นและความชื้นได้ทันที แต่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญและปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย
ขั้นตอนการทดสอบโดยทั่วไปเริ่มจากการเลือกตำแหน่งทดสอบ ทำความสะอาดผิวดิน ขุดหลุมตามมาตรฐาน ชั่งน้ำหนักดินที่ขุดออกมา จากนั้นหาปริมาตรของหลุมและคำนวณค่าความหนาแน่น รวมถึงหาความชื้นของดินเพื่อแปลงเป็นค่าความหนาแน่นแห้ง
โดยสรุป Field Density Test เป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมคุณภาพงานก่อสร้าง ช่วยลดความเสี่ยงจากการทรุดตัวหรือความเสียหายของโครงสร้างในอนาคต การดำเนินการทดสอบอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้โครงการก่อสร้างมีความปลอดภัยและได้มาตรฐานทางวิศวกรรม