ตอบคำถาม และความเห็น เรื่อง หิริ และโอตตัปปะ
“สมุฏฐาน หรือสัจธรรม โดยธรรมชาติ, ก็คือ เรื่อง การ เสพตลอด, ลักตลอด, ฆ่าตลอด, และอวดตลอด, ดังนั้น การที่จะให้ได้คืบหน้าไปในการปฏิบัติ ก็ต้องหน่วง หรือถ่วงไม่ให้ทำอย่างนั้น หรือ ทำอย่างที่จะได้มีความเป็นเอกเทศจากกัน, จากการ ที่ เสพตลอด, ลักตลอด, ฆ่าตลอด, และอวดตลอด, ดังนี้ ก็ต้องใช้ งาน เรื่อง ตามกระบวนที่เรียกว่า หิริ และโอตตัปปะ เพราะมิเช่นนั้นแล้ว ก็จะมิได้ทำความคืบหน้า ไปในปฏิบัติการต่าง ๆ ที่เป็นประพฤติ หรือวัตรพรต, เพราะการที่ ต้องกำหนดถึงความเป็นอยู่โดยชอบ จะต้องมี หิริ และโอตตัปปะ ประกอบ, ผิดจาก ความ ที่จะทำแต่การพ้นไปโดยชอบ ฉะนั้น ก็จึงไม่ต้องมี หิริ โอตตัปปะ ก็ได้, เพราะ แค่เพียง ผูกยึดตนเองไว้ กับความหุนหันพลันแล่น ในการ ที่จะทำดี ก็วิสาสะ ในการ จะมา จะไป เอง ได้แล้ว ไม่ต้องสนใจขนบ
ดังนั้น คนที่ มี หิริ มีโอตตัปปะ จึงมักถูกหาว่า บ้าขนบ หรือครึ ยึดติด จริยา ธรรมเนียม แบบแผนอะไร? ต่อมิอะไร? คนมี หิริ โอตตัปปะ ย่อมเอาหมด, เพราะ ไม่ต้องการที่จะผูกติดตนเอง กับความอัตโนมัติ หรือพลันแล่นอะไร? แบบนั้น, คือ มีประพฤติ ที่จะปฏิบัติการ ไป ต่าง ๆ ฉะนั้น อย่างมีธรรมเนียม, แต่ส่วนหนึ่ง ก็จะไปว่า ไม่ได้ เพราะคนที่ต้องการความเฉียบพลัน หรือ ฉับพลัน ของการปฏิบัติ ก็ย่อมจะว่าไม่ได้ และก็จะว่าเขาชั่วไม่ได้ ถ้าเขา จะไม่ประพฤติอย่างมีหิริโอตตัปปะ, เพราะบางคนวางแนว ฝึก ผ่านกระบวนการฝ่ายจิต และเพราะบางคน วางแนวการฝึกผ่านกระบวนการฝ่ายวัตถุ จึงบริหาร สรีระ แห่งคลองมโนทวาร ที่เป็นไปโดยอัตโนมัติต่างกัน
แต่เรื่อง ที่ มี หิริ หรือโอตตัปปะ เป็นอัตโนมัติ นี้ น่าสนใจ, คือ คนเช่นนั้น เท่านั้น ย่อมเข้าส่วน กับความพัฒนาวัตถุ ให้ได้ดี ได้ด้วย เพราะ ยังมีความเหนียม มีความระวัง และมีความหวังในธรรมเนียม, ไม่โพล่งเข้าเรื่อง ที่เป็นฉับพลันในทางฝ่ายจิต แล้ว จึงน่าที่จะได้งาน ฝ่ายพัฒนาวัตถุ ได้ หรือพึงได้รับการฝึกผ่านกระบวนการฝ่ายวัตถุได้, ดังนั้น เมื่อ มีท่าน ที่ยกเรื่อง หิริ โอตตัปปะ มา พูด แล้วน่าที่จะกล่าวอย่างนี้, ซึ่งที่ไหน? จะว่า การฝึก อย่างต้อง มีการกลัว หรือมีการอาย ฉะนั้น เป็นการงานขั้นต่ำ ที่จริงไม่จริง, แต่ที่จริง ฝ่ายมีหิริ โอตตัปปะ ก็มีความเสมอ กับการฝึกแบบ จิตฉับพลัน หรือมุ่งจิตอัตโนมัติ ที่ไม่ต้องมีความอาย และความกลัว หรือไม่มีธรรมเนียม เหมือนกัน
แต่ นั้น ผู้ฝึก ต้องทราบ หรือตระหนักก่อนว่า เรื่อง จิต กับ เรื่องวัตถุ มีค่าเท่ากัน และสรรพสิ่ง กับสรรพชีวิต คือสรรพสัตว์ ก็มีค่าเท่ากัน คือ มีค่า ต่อความเป็นอยู่โดยชอบ หรือ พ้นโดยชอบเท่ากัน แต่ทว่า การ วางแนวการฝึกผ่านกระบวนการฝ่ายวัตถุ จำต้องกำหนดถึงความเป็นอยู่โดยชอบ คือ ต้องมีจิตจริยา มีขนบ มีธรรมเนียม คือ ต้องมีหิริ มีโอตตัปปะ เพื่อที่จะพัฒนา สัญญา และความติดต่อของสัญญาฝ่ายวัตถุ แต่ ย่อมมิใช่ว่า ผู้ฝึกผ่านวัตถุ หรือฝ่ายวัตถุ เป็นฝ่ายชั่ว หรือเป็นฝ่ายที่ต้องโทษแห่งอันติมวัตถุ, ที่ไม่เหมือนการฝึกจิตแบบฉับพลัน ที่ไม่ต้อง ต้องโทษแห่งอันติมวัตถุ เพราะการฝึก ฝ่ายกระบวนจิตฉับพลัน กำหนดแต่ความพ้นได้โดยชอบ ของจิต เท่านั้น, ดังนั้น ผู้ฝึกตน ผ่านกระบวนการฝ่ายจิตเท่านั้น จึงมักจะหาว่า ความกลัว หรือความอาย ไม่มีความจำเป็นอะไร ที่จะต้องใช้”