เสียงเล่าจากป่าลึก สุสานช้าง เรื่องจริงหรือตำนาน

289 views
Skip to first unread message

phuket076

unread,
Aug 26, 2013, 8:28:16 AM8/26/13
to Bhukit Island

เสียงเล่าจากป่าลึก สุสานช้าง เรื่องจริงหรือตำนาน

          ข่าว รายงาน บทความ เรื่องน่าอ่าน เสียงเล่าจากป่าลึก สุสานช้าง เรื่องจริงหรือตำนาน หลังจาก ข่าว การล้มของช้างพร้อมกันทีเดียว 6 ตัวก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา จึงเกิดเสียงเล่าลือเรื่อง สุสานช้าง ในตำนานพรานป่าลอยวนเวียนอยู่วงสนทนา อยากรู้ว่า สุสานช้าง มีจริงหรือไม่ที่นี่มีคำตอบ


ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ หรือพนมเทียน กับปืนคู่ใจ


          ข่าวการล้มของช้างพร้อมกันทีเดียว 6 ตัว ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาเครือหวาย ในท้องที่บ้านคลองพลู หมู่ 4 ตำบลบ่อเวฬุ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี เขตติดต่อตำบลหนองบอน อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา โดยเฉพาะช้างโขลงใหญ่ขนาดนี้ที่นอนตายเอาหัวชนกัน ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประเทศไทย

           แม้ว่าล่าสุดจะมีข้อสรุปในเบื้องต้นว่า ช้างน่าจะตายเพราะกินหญ้าที่มียาฆ่าแมลง เนื่องจากพิสูจน์พบว่ามีองค์ประกอบของสารเคมีทางการเกษตรกลุ่มยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ตกค้างอยู่ในเศษอาหารของซากช้างทั้ง 6 ตัว แต่ก็ยังมีคำถามที่ยังคาใจว่า...ทำไมต้องมานอนตายเอาหัวชนกัน!

           เสียงเล่าลือเรื่อง สุสานช้าง ในตำนานพรานป่าจึงยังลอยวนเวียนอยู่ในวงสนทนาที่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด ว่ากันว่าในป่ามีสุสานช้างอยู่ที่ไหนสักแห่ง ซึ่งใครๆ ต่างพยายามค้นหา เพราะนั่นหมายถึงขุมทรัพย์อันมหาศาล

หนังสือเพชรพระอุมาปกสีทอง


           ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ.2540 หรือที่นักอ่านโดยทั่วไปรู้จักกันในนาม "พนมเทียน" เจ้าของนวนิยายผจญภัยอันลือลั่นเรื่อง "เพชรพระอุมา" ในวัย 76 ปี ให้ความเห็นในฐานะผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องพงไพร เคยใช้ชีวิตอยู่ในป่าอยู่นาน 30-40 ปี ว่า

           สาเหตุที่ช้าง 6 ตัวตายรวมกันที่ป่าเครือหวาย จังหวัดจันทบุรี อาจจะเป็นเพราะเกิดโรคระบาด หรือเกิดวิปริตทางธรรมชาติ อย่างในอดีตที่ผ่านมา ก็เคยมีแล้วที่ช้างที่หนีอันตรายจากภูเขาไฟระเบิดถึงกับไปตายร่วมกันเป็นจำนวนมาก

           ส่วนเรื่อง "สุสานช้าง" นั้นเป็นเพียงเรื่องตำนานที่เล่าขานต่อๆ กันมาว่า ช้างเวลาที่จะตายก็ต้องไปตายที่สุสานช้าง แต่เท่าที่สอบถามจากบรรพบุรุษซึ่งเป็นนักเดินป่าย้อนหลังไป 100 กว่าปี ก็ยังไม่เคยมีใครพบสุสานช้างเลย

           ผมคิดว่าเรื่องสุสานช้างนั้นไม่มี ช้างนึกจะตายที่ไหนก็ตายที่นั่น ผมเองก็เคยตามหาสุสานช้างอยู่หลายปี ตลอดชีวิตการเดินป่า 40-50 ปี กระทั่งเคยไปค้นหาตามถ้ำโบราณกับชาวต่างชาติที่สนใจเรื่องสุสานช้าง ไม่เคยพบเลย พบแต่หลักฐานของมนุษย์ถ้ำ

           เจ้าของนวนิยายผจญภัยในป่า ผู้สร้าง รพินทร์ ไพรวัลย์ ให้เป็นจอมพรานผู้ยิ่งใหญ่ ย้อนเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ยังเข้าป่าว่า

           "ตอนผมเข้าป่าอายุ 24 ปี เห็นช้างอยู่กันเป็นฝูงเป็นโขลง ซึ่งจะว่าไปแล้วช้างเป็นสัตว์ที่ไว้ใจไม่ได้ เป็นสัตว์ดุร้าย หากใครมีเหตุที่ต้องเผชิญหน้ากับช้าง ต้องเลือกระหว่าง "วิ่งหนี หรือไม่ก็ยอมให้ช้างเหยียบตาย"

           ถ้าไปทำร้ายช้างเมื่อไหร่ มีความผิดเมื่อนั้น แต่ช้างเหยียบคนตาย ช้างไม่มีความผิด และไม่ถูกตามล่า อย่างดีก็ถูกไล่ให้ไปอยู่ในป่า เพราะมีกฎหมายคุ้มครองตั้งแต่ พ.ศ.2504-2505 เป็นพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ให้สิทธิสัตว์ป่าไว้มากเหลือเกิน ซึ่งก่อนหน้านั้นผมกับเพื่อนก็ยังเข้าไปในป่าไปล่าสัตว์กันมาก กฎหมายดังกล่าวจึงออกมาเพราะคนนิยมเข้าป่าล่าสัตว์กันเป็นจำนวนมาก

           นักประพันธ์เพชรน้ำเอกของนวนิยายท่องไพร "เพชรพระอุมา" เล่าว่า ความที่ชีวิตวัยหนุ่มที่เข้าป่าล่าสัตว์อยู่บ่อยครั้ง ได้พบเห็นและมีประสบการณ์ที่โชกโชนเกี่ยวกับสัตว์ป่าต่างๆ นานา รวมทั้งได้เห็นความดุร้ายของช้างมาแล้ว ผมล่าสัตว์ป่ามาแล้วแทบทุกชนิด แต่มีอยู่ชนิดเดียวที่ผมไม่ล่า คือ ช้าง เพราะเคยตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า ผมจะไม่ทำร้ายช้าง และช้างก็อย่ามาทำร้ายผม

           ในชีวิตเดินป่าของผมไม่เคยทำบาปกับช้างแม้แต่ครั้งเดียว แต่เคยเห็นช้างทำร้ายคนจนตายมาแล้วหลายครั้ง แถวป่าจังหวัดทางภาคใต้ก็เคย ที่ห้วยขาแข้งก็เคย แล้วยังมีทางแถบลุ่มน้ำสาละวินในเขตประเทศพม่าอีก

           เจ้าของนามปากกา "พนมเทียน" ย้ำอีกว่า ตนเองเป็นคนที่รักการเดินป่า รักการยิงปืน และไม่มีเจตนาไปฆ่าสัตว์ให้หมดสิ้นไปจากป่า มีอาวุธไว้แค่ป้องกันตัว

           ในป่าไม่สามารถจะหาอาหารอะไรได้ อย่างดีก็เอาข้าวสารกับเกลือเข้าไป จะมีที่ล่าสัตว์จริงๆ ก็คือ พวกกวาง เก้ง ขอจากป่าวันหนึ่งอย่างมากก็ตัวหนึ่งเพื่อใช้เป็นอาหาร ไม่ใช่ยิงทิ้งยิงขว้าง ผมไม่ล่าช้าง ไม่ทำร้ายช้าง ก็เพราะช้างเป็นสัตว์ใหญ่ ถ้าเกิดไปล่าสักตัว ป่าเสียหมด มันเน่าเหม็น และอีกประการคือ ล้มมาก็ไม่ได้เอาเนื้อไปทำประโยชน์

           การล่าช้างเพื่อจะเอางามาขาย ผมเห็นว่าบาปมากเกินไป สัตว์พวกนี้อายุมากกว่าพวกที่จะไปล่าเสียอีก ช้างบางตัวอยู่มา 70-80 ปีแล้ว แต่ผมอายุแค่ 20 กว่าปีจะไปฆ่าช้างพวกนั้น มันไม่ถูกต้อง จึงตั้งจิตกับตัวเองว่า เรื่องล่าช้างจะไม่แตะต้อง ช้างกับผมไม่เคยที่จะเป็นอันตรายต่อกัน

ช้างตาย 6 ตัวพร้อมกัน ที่เทือกเขาป่าเครือหวาย จังหวัดจันทบุรี


           ฉัตรชัยย้อนเหตุการณ์คราวคับขันที่ต้องเผชิญหน้ากับช้างป่าอย่างจังๆ ว่า

 

 

 

           มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมประจันหน้ากับช้างพลายตัวใหญ่มาก ระยะห่างเพียงแค่ 20 เมตร ช้างตัวนั้นม้วนงวงใช้ขาเตะดิน พร้อมที่จะเข้ามาทำร้ายผมทุกวินาที ผมเองก็เตรียมตัวอยู่เหมือนกัน ในมือมีปืนไรเฟิลพร้อมที่จะระเบิดกระสุนได้ตลอดเวลา ก่อนหน้านี้ผมเคยตั้งจิตอธิษฐานว่าจะไม่ทำร้ายช้าง พอถึงนาทีวิกฤต ผมก็เลยลองตั้งจิตอธิษฐานอีกครั้งว่า ถ้าเราไม่เคยมีบาปมีกรรมต่อกัน ขอให้หลีกทางให้ผม เพราะตอนนั้นผมหนีไปไหนไม่ได้เลย เนื่องจากสองข้างทางที่ผมยืนอยู่เป็นเหวลึก หากหนีก็ตกเหวตาย สักพักเป็นเพราะแรงอธิษฐานหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ช้างก็หันหลังกลับ หลีกไปอีกทาง ผมก็เลยรอดตายมาได้

           ฉัตรชัยบอกต่ออีกว่า ทุกวันนี้ที่สัตว์ป่าได้รับการปกป้องคุ้มครองชีวิตมากขึ้น ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณ นพ.บุญส่ง เลขะกุล

           ท่านเป็นอาของผมเอง ท่านเข้าไปใช้ชีวิตอยู่กับป่าจนกระทั่งมีความคิดที่จะคุ้มครองชีวิตสัตว์ป่า ก็เลยลุ้นให้รัฐบาลออกพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ก่อนหน้าที่จะมีกฎหมายดังกล่าวออกมา เราก็มีพระราชบัญญัติคุ้มครองช้างป่าอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 คือ เมื่อก่อนใครยิงช้างป่าตาย จะถูกปรับตัวละ 80 บาท ถือว่าเป็นค่าปรับที่สูงมาก ปัจจุบันมีโทษทั้งจำทั้งปรับ

           ความที่มีกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าอย่างเข้มงวดมากขึ้น คนล่าช้างไม่ได้ ทำให้อัตราการล่าช้างลดน้อยลงไปอย่างมาก แต่ถ้าพูดสภาพความเป็นอยู่ของช้างก็ไม่ได้มีชีวิตที่อยู่ดีมีสุขกับป่าเขาเหมือนแต่ก่อนสักเท่าไหร่ เพราะป่าในเมืองไทย ซึ่งก็คือบ้านของช้างถูกทำลายลงไปเรื่อยๆ เมื่อช้างไม่มีอาหารเพียงพอ ก็จะออกจากป่า เราจึงได้ข่าวการบุกรุกไร่สับปะรด ไร่กล้วย ไร่อ้อย ของชาวบ้าน

           ผมว่าการที่มีกฎหมายคุ้มครองช้างเป็นเรื่องที่ดี เพราะคนไม่สามารถล่าช้างป่าแบบตรงๆ ได้ แต่ก็ต้องหาวิธีที่จะไม่ให้ช้างต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ จนต้องออกจากป่ามาหาอาหาร นั่นก็คือ ต้องมีป่าให้ช้างอยู่ และสร้างแหล่งอาหารให้ช้าง ปลูกกล้วย สับปะรด ทิ้งไว้ในป่า

           การตายหมู่ของช้างทั้ง 6 ตัวในครั้งนี้ น่าจะเป็นการสร้างความสำนึกให้เกิดแก่คนไทยทุกคน ให้หันมาช่วยกันดูแลใส่ใจคุณภาพชีวิตของช้าง สัตว์คู่บ้านคู่เมือง ซึ่งถ้าไม่กล่าวถึงช้างเผือกที่ถือเป็นสัตว์คู่บารมีพระมหากษัตริย์ไทยนับแต่โบราณ ช้างในปัจจุบันยังทำหน้าที่เป็นทูตสันถวไมตรี เป็นสิ่งดึงดูดการท่องเที่ยวไทย และอื่นๆ อีกมากมาย ควรที่เราจะช่วยกันดูแล

           โดยเฉพาะการปลูกป่า ปลูกอาหารให้ช้าง เพราะเมื่อมีอาหารเพียงพอ ปัญหาบุกรุกทำลายพืชไร่ของชาวบ้าน รวมทั้งปัญหาช้างขอทานก็น่าจะหมดไป

พิสิษฐ์ ณ พัทลุง อดีตผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์

           เรื่องประกอบ "สุสานช้างไม่มีจริง"

           นายพิสิษฐ์ ณ พัทลุง อดีตผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ ให้ความเห็นว่า ผมว่าสุสานช้างไม่มี น่าจะเป็นเรื่องเล่า เหมือนกับเรื่องเสือสมิง ที่กล่าวถึงในนิยายหลายเรื่องว่าเป็นสัตว์ที่มีวิญญาณสิง ซึ่งเป็นเรื่องปกติของนิยาย และถ้าจะพูดในทางวิทยาศาสตร์ ก็ไม่เคยมีข้อพิสูจน์ว่ามีสุสานช้าง ผมว่าน่าจะนำหลักการมาจากเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เขียนภาพบนผนังถ้ำ เป็นลายเส้นของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่ไล่ช้างไปตกหน้าผาที่เดียวหลายๆ ตัว เป็นการสันนิษฐานว่ามีการไล่ต้อนช้างให้ตกไปจากที่สูง แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นสุสานช้าง

           การตายของช้างก็จะเป็นการตายตามปกติเหมือนสัตว์ทั่วไป ถ้าเป็นป่าที่สมบูรณ์จะไม่มีซากให้เหลือเน่านัก เพราะว่าพอช้างตาย สัตว์ที่กินซากก็จะมากิน แม้แต่กระดูกที่เหลือเม่นก็จะมากิน ส่วนกระดูกที่เหลือจากเม่นกินชิ้นเล็กๆ ก็จะแมลงมากินต่ออีก เพราะฉะนั้นในบริเวณพื้นที่ป่าสมบูรณ์จะไม่พบซากสัตว์เน่าเหม็น

           การที่พบช้างตายร่วมกัน 6 ตัว เอาหัวมาชนกัน ลักษณะอย่างนี้น่าจะโดนล่า ผมเชื่อว่าอาจจะถูกยิงพร้อมกัน และตายจำนวนหนึ่ง อีกจำนวนหนึ่งบาดเจ็บแล้วหนีไปได้ เพราะมีการล่าเอาเนื้อ เอาหนัง เอาจู๋ เอากระดูก แต่ถ้างายังอยู่ เป็นเรื่องแปลก และหากถูกสารพิษคงไม่มาตายรวมกัน

           อย่าลืมว่าคนที่กินงวงช้าง กินจู๋ช้าง กินเนื้อช้าง มีไม่น้อย ผมเชื่อว่าช้างคงจะไม่หมดไปจากประเทศไทย ในอดีตป่าเมืองไทยมันเชื่อมต่อกัน แต่ปัจจุบันป่าถูกทำลายเหลือเป็นหย่อมๆ เส้นทางของช้างถูกตัดขาดไปด้วย เพราะคนบุกรุกพื้นป่าทำลายแหล่งน้ำของช้าง ทำให้ช้างต้องออกมาบุกรุกพื้นที่ของชาวบ้าน ซึ่งช้างไม่รู้หรอกว่ากล้วย อ้อยเป็นของใคร

           ถ้าจะไม่ให้ช้างหมดไปจากเมืองไทย ทางอุทยานแห่งชาติต้องเข้ามาจัดการ ผมอยากเห็นป่าที่ใกล้กันมีการจัดพื้นที่ที่เชื่อมต่อกันระหว่างป่าต่อป่า ไม่จำเป็นต้องเชื่อมเป็นพื้นที่ใหญ่โต เพียงแค่ให้ช้างมีเส้นทางของมันที่สามารถจะย้ายจากป่าหนึ่งไปอีกป่าหนึ่งโดยปลอดภัย โอกาสที่ช้างจะสูญพันธุ์จะน้อยลง

           เรื่องประกอบ "คืนช้างสู่ป่าแก้ปัญหาวิกฤตช้างไทย"

           มูลนิธิคืนช้างสู่ธรรมชาติ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประชากรช้างว่า ปัจจุบันช้างเอเชียมีการกระจายพันธุ์ใน 13 ประเทศ โดยพบในประเทศไทยประมาณ 5,000 ตัว เป็นช้างป่าประมาณ 2,000 ตัว และช้างเลี้ยงอีกประมาณ 3,000 เชือก ปัจจุบันประชากรช้างป่ากำลังลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วจากปัญหาการถูกล่าและผืนป่าซึ่งเป็นถิ่นอาศัยถูกทำลายลง ช้างเลี้ยงจำนวนมากต้องประสบปัญหาตกงานกลายเป็นช้างเร่ร่อนและช้างขอทานในเมืองใหญ่ หรือถูกใช้งานลักลอบลากไม้ผิดกฎหมาย

           เป็นที่มาของโครงการช่วยเหลือช้าง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ โครงการคืนช้างสู่ธรรมชาติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระราชทานพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาช้างไทย โดยเฉพาะปัญหาช้างลักลอบลากไม้ผิดกฎหมายและปัญหาช้างเร่ร่อน

           การนำช้างเลี้ยงกลับไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติเพื่อฟื้นฟูประชากรช้างป่าเป็นแนวทางในการช่วยป้องกันไม่ให้ช้างสูญพันธุ์ไปจากป่า ในเวลาเดียวกันยังช่วยแก้ปัญหาช้างเลี้ยงที่ไม่มีงานทำ ซึ่งเป็นผลกระทบจากการที่รัฐบาลเข้มงวดกับการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า โดยมีการยกเลิกสัมปทานป่าไม้ในปี 2533-2534 และได้ประกาศให้งานชักลากไม้ในป่า เป็นอาชีพผิดกฎหมาย ทำให้ช้างลากไม้ทั้งหมดกลายเป็นช้างที่ทำงานผิดกฎหมายนับแต่นั้นเป็นต้นมา

           การดำเนินโครงการคืนช้างสู่ธรรมชาติ ยังได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล ได้รับความสนใจและความร่วมมือจากนานาชาติ และบุคคลสำคัญในระดับชาติอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดอีกด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 



ข้อมูลและภาพประกอบจาก 



Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages