...เหตุใดทางจำเป็นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 จึงไม่จำเป็นต้องเป็นทางที่มีอยู่เดิมก่อนแบ่งแยก ??

1,046 views
Skip to first unread message

arunarun chitt

unread,
Jul 22, 2013, 11:09:09 AM7/22/13
to law...@googlegroups.com

  ...เหตุใดทางจำเป็นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 จึงไม่จำเป็นต้องเป็นทางที่มีอยู่เดิมก่อนแบ่งแยก...??


     ศึกษาวิเคราะห์จากคำพิพากษาฎีกาที่ 345/2555
     ข้อเท็จจริง (โปรดเปิดตัวบทกฎหมายทุกครั้งที่มีการกล่าวถึงเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการทำความเข้าใจตัวบทกฎหมายและวิธีการนำไปใช้)

     1. เดิมโจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 4194 ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมและศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสองครอบครองเป็นส่วนสัด ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 823/2541 ของศาลชั้นต้น โดยโจทก์ได้ที่ดินตามโฉนดเดิมาเลขที่4194 เนื้อที่ 8 ไร่ 1 งาน 35 ตารางวา จำเลยที่ 1 ได้ที่ดินแบ่งแยกเป็นโฉนดเลขที่ 21558 เนื้อที่ 1 งาน 31 ตารางวา และจำเลยที่ 2 ได้ที่ดินแบ่งแยกเป็นโฉนดเลขที่ 23559 เนื้อที่ 2 งาน 92 ตารางวา หลังจากแบ่งแยกที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมแล้วเป็นเหตุให้ที่ดินโจทก์ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ

     2. โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองเปิดทางจำเป็นในที่ดินของจำเลยทั้งสองโฉนดเลขที่ 21558 และ 21559 ความกว้างประมาณ 6 เมตรตลอดแนวที่ผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองให้แก่ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 4194 โดยโจทก์ไม่ต้องเสียค่าทดแทนแก่จำเลยทั้งสอง
      2.1 พิเคราะห์ลักษณะคำฟ้องของโจทก์แล้วจะเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ผลตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 มาตรา 25 วรรคหนึ่ง ศาลแขวงไม่มีอำนาจพิจารณาคดีประเภทนี้
      2.2 เมื่อเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ผลตาม ป.วิ.พ. จะเสียค่าขึ้นศาลเรื่องละ 200 บาท ตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ (2)
      2.3 เมื่อเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์จะส่งผลถึงสิทธิอุทธรณ์ ฎีกา ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 และมาตรา 248 ว่าคดีประเภทนี้ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์หรือฎีกาในข้อเท็จจริง
      2.4 ในการยื่นฟ้องเรื่องทางจำเป็น คดีประเภทนี้โจทก์สามารถนำคดีไปยื่นฟ้องยังศาลซึ่งจำเลยมีภูมิลำเนา และศาลซึ่งมูลคดีเกิดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4(1) และน่าจะถือว่าเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 ทวิด้วย ส่งผลให้โจทก์เลือกที่จะยื่นฟ้องยังศาลใดศาลหนึ่งตามมาตรา 4(1) หรือมาตรา 4 ทวิ ก็ได้ ทั้งนี้ เป็นไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 5

      3. จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำให้การขอให้ยกฟ้อง
      3.1 จำเลยที่ 1 จะต้องยื่นคำให้การเป็นหนังสือยื่นต่อศาลภายใน 15 วันและคำให้การนั้นต้องเป็นไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177

      4. คดีนี้ จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
      4.1 แสดงว่า จำเลยที่ 2 ได้รับหมายเรียกให้ยื่นคำให้การแล้วจำเลยที่ 2 มิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลา 15 วัน จึงถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การตาม ป.วิ.พ. มาตรา 197 และมาตรา 177
      4.2 ถ้าจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การเช่นนี้ ในทางปฏิบัติโจทก์ผู้ยื่นฟ้องจะทราบได้จากการไปขอตรวจสำนวนที่ยื่นฟ้องไว้และเมื่อเห็นว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การแล้วโจทก์ต้องมีคำขอโดยทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลภายใน 15 วันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด ซึ่งหากโจทก์ไม่ยื่นคำขอดังกล่าวศาลก็จะจำหน่ายคดีของโจทก์ในส่วนจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคสอง
      4.3 ในกรณีตามคดีนี้ จะเห็นว่ามีจำเลยหลายคนซึ่งมีหลักว่า การขาดนัดยื่นคำให้การเป็นไปเฉพาะตัวจำเลยแต่ละคน จำเลยคนหนึ่งจะยื่นคำให้การเพื่อจำเลยอีกคนหนึ่งไม่ได้และจะถือเอาคำให้การของจำเลยอีกคนหนึ่งมาเป็นคำให้การของตนเองไม่ได้ (ฎีกา 1534/2536 และฎีกา 4715/2530)
      4.4 เมื่อพิเคราะห์คำฟ้องแล้วคดีนี้มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ (เปิดทางจำเป็น) ซึ่งแบ่งแยกมิได้ เมื่อโจทก์ยื่นคำขอให้ตนเองชนะคดีศาลจะต้องรอการพิพากษาคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ที่ขาดนัดยื่นคำให้การไว้ก่อน และดำเนินการพิจารณาสำหรับโจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งยื่นคำให้การตามวิธีพิจารณาคดีแบบสามัญ เพื่อจะได้มีคำพิพากษาสำหรับจำเลยทุกคนพร้อมกันตาม ป.วิ.พ.มาตรา 198 ตรี 
      4.5 ในทางปฏิบัติ ศาลจะสั่งคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ชนะคดีโดยเหตุที่จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การโดยศาลอาจจะสั่งในรายงานกระบวนพิจารณา (ให้พิจารณาศึกษาจาก ป.วิ.พ. มาตรา 48) ซึ่งศาลจะสั่งทำนองว่า ครบกำหนดยื่นคำให้การวันที่..... จำเลยที่ 2 ไม่ยื่นคำให้การในกำหนดถือว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำให้การและเป็นคดีที่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกมิได้จึงให้รอการพิพากษาคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ไว้ก่อน เมื่อสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 1 แล้วเสร็จจะได้พิพากษาไปในคราวเดียวกัน

      5. เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยที่ 1 เสร็จแล้วได้มีคำพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
      5.1 การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับนั้นเป็นไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 161 ซึ่งหมายความว่าให้คู่ความแต่ละฝ่ายรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมส่วนของตน
      5.2 ผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นเช่นนี้ โจทก์สามารถอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้เพราะถือว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 แต่ข้อเท็จจริงที่โจทก์จะยื่นอุทธรณ์นั้นต้องเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและเป็นสาระแก่คดี ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 225
      5.3 การยื่นอุทธรณ์ของโจทก์ต้องยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด 1 เดือน ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ มาตรา 229 และโจทก์จะต้องเตรียมเงินสำหรับค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ ตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ (2) (ข) จำนวน 200 บาท และค่านำหมาย ตาม ป.วิ.พ มาตรา 70 วรรคสอง ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ไม่ต้องนำมาเสียเพราะศาลชั้นต้นสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
      5.4 ในทางปฏิบัติ เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นจะเป็นผู้ตรวจอุทธรณ์ว่าสมควรจะรับอุทธรณ์หรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นจะใช้อำนาจตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18, มาตรา 232 ถ้าศาลชั้นต้นเห็นควรรับอุทธรณ์ก็จะสั่งทำนองว่า รับเป็นอุทธรณ์ของโจทก์ สำเนาให้จำเลยแก้ภายใน 15 วัน ให้โจทก์นำส่งภายใน 5 วัน ไม่มีผู้รับให้ปิด......หรือจะสั่งทำนองว่า รับเป็นอุทธรณ์ของโจทก์ สำเนาให้จำเลยแก้ภายใน 15 วัน (ให้ดู ป.วิ.พ. มาตรา 237) ให้โจทก์วางเงินค่านำส่ง....

       6. ดคีนี้ โจทก์ยื่นอุทธรณ์ ปรากฏว่าระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย โจทก์ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียก ส. ทายาทของจำเลยที่ 2 เข้ามาเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งตั้งบุคคลผู้ถูกเรียกเป็นคู่ความแทน
       6.1 คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 ประกอบมาตรา 246 และให้สังเกตว่าจำเลยที่ 2 นั้นขาดนัดยื่นคำให้การไปแล้วแม้ถึงแก่ความตายระหว่างพิจารณาโจทก์ก็สามารถขอให้เรียกทายาทเข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 2
       6.2 ข้อเท็จจริงตามฎีกานี้ เป็นกรณีคู่ความฝ่ายโจทก์ร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกมาเป็นคู่ความแทนผู้มรณะ ทางปฏิบัติศาลจะสั่งทำนองว่า นัดพร้อมเพื่อฟังคู่ความ หมายเรียก.....มาศาล หากจะคัดค้านประการใดให้แถลงภายใน 15 วันนับแต่ได้รับหมายเรียก ให้โจทก์วางเงินค่านำส่ง.....
       6.3 ในการดำเนินการตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 นั้นมีหลักการซึ่งศาลฎีกาวางไว้ ดังต่อไปนี้
       คำพิพากษาที่ 3508/2545 
       ป.วิ.พ. มาตรา 42 
       การที่โจทก์ไม่ได้ฟ้องนางสาว ร. ในฐานะทายาทของจำเลยที่ 2 นางสาว ร. เพียงแต่เข้ามาดำเนินกระบวนพิจารณาแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งถึงแก่กรรมในระหว่างพิจารณาเท่านั้น ศาลจะพิพากษาให้นางสาว ร. ในฐานะทายาทของจำเลยที่ 2 ชำระหนี้เงินกู้ของจำเลยที่ 2 แทนจำเลยที่ 2 ไม่ได้
       คำพิพากษาที่ 1575/2538 
       พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ.2477 มาตรา 33ป.วิ.พ. มาตรา 42, 147
       โจทก์ถึงแก่ความตายภายหลังวันที่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แต่ยังไม่พ้นเวลายื่นฎีกาและคดีสามารถฎีกาต่อไปได้คดีจึงยังไม่เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา147วรรคสองถือว่าเป็นคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลระหว่างฎีกาผู้ร้องจึงมีสิทธิร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา42วรรคแรก แม้ผู้ร้องจะมิได้เรียงคำร้องเองก็ตามแต่ผู้ร้องก็ลงชื่อในช่องผู้ร้องและช่องผู้เรียงด้วยตนเองแสดงว่าผู้ร้องยอมรับเอาคำร้องเป็นของตนโดยชอบถือว่าผู้ร้องเป็นผู้เรียงโดยนิตินัยแล้วคำร้องของผู้ร้องไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติทนายความพ.ศ.2528มาตรา33
       คำพิพากษาที่ 5776/2534 
       ป.วิ.พ. มาตรา 27, 42, 43, 243 (1), 243 (2) 
      โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ ก. ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยถึงแก่กรรม จึงเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะมีคำสั่งเกี่ยวกับการเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ ส.เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งในเรื่องที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ส.เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยโดยไม่ชอบ แต่เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาโดยวินิจฉัยว่าผู้เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยซึ่ง ถึงแก่กรรมมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามพินัยกรรมแทนจำเลยต่อไป ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ ส.เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยแล้ว เมื่อจำเลยถึงแก่กรรม สิทธิและหน้าที่ของจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมสิ้นสุดลงเพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัวของ ผู้จัดการมรดกหาได้ตกทอดไปยังทายาทของจำเลยไม่ และข้อเท็จจริง ตามคำร้องของโจทก์และคำแถลงของ ส.คงได้ความแต่เพียงว่าส.เป็นทายาทของจำเลยเท่านั้น ไม่ปรากฏว่า ส.เป็นผู้ปกครอง ทรัพย์มรดกหรือมีอำนาจในการจัดการทรัพย์มรดกของ ก.แต่อย่างใดส.จึงไม่สามารถจะปฏิบัติตามคำพิพากษาได้หากในที่สุดจำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี ส.ย่อมไม่อาจเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยได้การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไปโดยที่ไม่มีผู้เข้าเป็นคู่ความแทนจำเลย จึงเป็นการไม่ชอบ.
      คำพิพากษาที่ 4670/2529 
      ป.วิ.พ. มาตรา 42, 43, 226 
      คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความ แทนที่โจทก์ผู้มรณะ ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่าง พิจารณาของศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226
      คำพิพากษาที่ 1423/2536 
      ป.พ.พ. มาตรา 1599, 1600
      ป.วิ.พ. มาตรา 42, 223, 229, 247, 288
      การที่ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความในกรณีคู่ความมรณะตามมาตรา 42 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ต้องเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมรณะในระหว่างที่คดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลนั้นเอง เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องถึงแก่กรรมระหว่างที่คดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์โดยไม่มีผู้อยู่ในฐานะที่จะรับมรดกความแทนและไม่มีคำขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอให้หมายเรียกผู้ใดเข้ามาในคดีจนล่วงเลยกำหนดเวลา 1 ปี ย่อมเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ซึ่งคดีดังกล่าวค้างพิจารณาอยู่ที่จะสั่งจำหน่ายคดี คำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนผู้มรณะไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา แต่เป็นคำสั่งใด ๆ ที่ศาลอุทธรณ์มีอำนาจชี้ขาดได้ตามอำนาจที่มีอยู่และคำสั่งดังกล่าวอยู่ในบังคับของการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดซึ่งต้องยื่นฎีกาภายในกำหนด 1เดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งให้คู่ความฟัง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223,229 ประกอบด้วยมาตรา 247

       7. เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
       7.1 การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนแสดงว่า ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นถูกต้องแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 242(2) 
       7.2 เมื่อคดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์จึงไม่ต้องห้ามโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

       8. โจทก์ยื่นฎีกา ประเด็นขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกามีว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองเปิดทางจำเป็นเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนได้หรือไม่
       8.1 ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทเมื่อแบ่งแยกเป็นที่ดิน 3 แปลง ที่ดินโจทก์อยู่ด้านในสุดและไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะโจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องขอผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองที่แบ่งออกไปได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 แม้ที่ดินที่โจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมมิได้ติดทางสาธารณะ และหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้วจำเลยที่ 2 จะโอนขายที่ดินส่วนของตนให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วก็ตามเนื่องจากในเรื่องทางจำเป็นนั้นกฎหมายมุ่งประสงค์จะบังคับแก่ที่ดินแปลงที่ล้อมเป็นสำคัญ สำหรับที่และวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเลือกให้พอแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่านกับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายน้อยที่สุดที่จะเป็นได้ถ้าจำเป็นผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสาม ดังนั้น ทางจำเป็นจึงไม่จำเป็นต้องเป็นทางที่มีอยู่เดิมก่อนแบ่งแยก แม้โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าทางพิพาทพอควรแก่ความจำเป็นอย่างไร ทำให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่น้อยที่สุดและเป็นทางผ่านเข้าออกในระยะสั้นที่สุดหรือไม่ก็ตาม เพื่อมิให้คดีล่าช้าและคู่ความไม่ต้องพิพาทกันอีก ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
       8.2 ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ที่ดินของจำเลยที่ 2 และที่ดินของจำเลยที่ 1 เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน
       หมายเหตุ
       ให้พิจารณาศึกษาเปรียบเทียบกับฎีกาดังต่อไปนี้
       คำพิพากษาที่ 629/2522 
       ป.พ.พ. มาตรา 1349, 1350 
       ทางจำเป็นโดยไม่ต้องใช้ค่าทดแทนตาม มาตรา1350 เป็นกรณีแบ่งที่ดินทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะไม่ใช่ทางสาธารณะเกิดขึ้นภายหลังแบ่งแยกที่ดินแล้วค่าทดแทนตาม มาตรา1349เมื่อโจทก์ไม่ได้เสนอขอชดใช้ในคดีนี้ จำเลยชอบที่จะว่ากล่าวเป็นอีกคดีหนึ่ง
       คำพิพากษาที่ 119/2552 
       ป.พ.พ. มาตรา 1350 
       ป.พ.พ. มาตรา 1350 ไม่ได้กำหนดถึงการสิ้นสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินผ่านไว้ แม้โจทก์ใช้ที่ดินของบุคคลอื่นเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะ ก็ไม่ทำให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะเอาทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยตามมาตรา 1350 หมดไปโจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางจำเป็นจากที่ดินของจำเลยได้
       คำพิพากษาที่ 3408/2551 
       ป.พ.พ. มาตรา 1349, 1350 
       การที่จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 มาใช้บังคับได้ต้องเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงเดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว เมื่อแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตรา 1349 ได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน
เดิมที่ดินของโจทก์เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ต้องอาศัยที่ดินของผู้อื่นเดินผ่านเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะ แต่การที่มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านที่ดินของผู้อื่นได้เพราะเขายินยอม มิใช่เป็นสิทธิตามกฎหมายต้องถือว่าไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1350 แต่เป็นกรณีที่ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์สามารถที่จะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ตามมาตรา 1349
โจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้หลายทางโดยผ่านทางที่ดินของบุคคลอื่นที่มิได้หวงห้ามโจทก์ การที่โจทก์จะขอเปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพื่อความสะดวกของโจทก์ แต่ทำให้จำเลยที่ 1 ต้องเดือดร้อนและเสียหาย และถ้าหากให้จำเลยที่ 1 เปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็น จะทำให้จำเลยที่ 1 ต้องรื้อบริเวณหลังบ้านด้านทิศตะวันออก อันจะทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายและเดือดร้อนเป็นอย่างมาก และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสาม การกระทำของโจทก์จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
      คำพิพากษาที่ 6372/2550 
      ป.พ.พ. มาตรา 1349, 1350
      ป.วิ.พ. มาตรา 142 
      โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นและภาระจำยอม ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือทางภาระจำยอมหรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าทางพิพาทมิใช่ทางภาระจำยอมโดยอายุความก็ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ตามที่ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ทั้งที่ทางพิจารณาอาจเป็นได้ทั้งทางจำเป็นและทางภาระจำยอมในขณะเดียวกันได้จึงเป็นการไม่ชอบ ดังนี้หากศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่า ทางพิพาทไม่ใช่ทางภาระจำยอมโดยอายุความ และข้อเท็จจริงในสำนวนเพียงพอที่จะวินิจฉัยในเรื่องทางจำเป็น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็มีอำนาจวินิจฉัยในเรื่องทางพิพาทว่าเป็นทางจำเป็นหรือไม่ได้ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น เนื่องจากโจทก์มีคำขอมาตั้งแต่ต้นแล้ว มิฉะนั้น โจทก์คงต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่ ทั้งโจทก์ จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมก็ต้องนำสืบถึงข้อเท็จจริงซ้ำในเรื่องที่เคยนำสืบมาแล้ว จึงหาชอบด้วยความยุติธรรมไม่
เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 45810 ของโจทก์และที่ดินโฉนดเลขที่ 45821 ของจำเลยที่ 2 เป็นที่ดินแปลงเดียวกันต่อมามีการแบ่งแยกที่ดินออกเป็น 2 แปลงดังกล่าว แต่เมื่อทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โดยเป็นทางเดินเท้าซึ่งตามแผนที่พิพาทระบุว่าทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์กว้างประมาณ 1.10 เมตร ไม่สามารถใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อผ่านเข้าออกได้นั้น ก็เป็นเรื่องความสะดวกของโจทก์เท่านั้นหาใช่ว่าโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นในที่ดินโฉนดเลขที่ 45821 ของจำเลยที่ 2 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 และ 1350 เพราะที่ดินโจทก์ไม่ถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมจนไม่สามารถออกไปสู่ทางสาธารณะได้
       คำพิพากษาที่ 3758/2543 
      ป.พ.พ. มาตรา 1349, 1350 
      การเรียกร้องเอาทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1350 เป็นกรณีที่มีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินกันจนเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ หมายความว่า ที่ดินแปลงเดิมก่อนแบ่งแยกมีทางออกไปสู่ทางสาธารณะและการแบ่งแยกเป็นเหตุให้แปลงที่แบ่งแยกแปลงใดแปลงหนึ่งออกไปสู่ทางสาธารณะไม่ได้ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางจำเป็นได้เฉพาะที่ดินแปลงที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน
เมื่อที่ดินตกอยู่ที่ล้อม โจทก์ย่อมได้รับการคุ้มครองถึงการใช้ยานพาหนะผ่านทางในสภาพที่เป็นถนนได้ มิได้จำกัดเฉพาะให้ใช้ทางเดินได้ด้วยเท้าแต่อย่างเดียวและตามสภาพการณ์ความเจริญของบ้านเมืองในปัจจุบันรถยนต์เป็นพาหนะที่จำเป็นและที่พิพาทอยู่ห่างถนนประมาณ200 เมตร เป็นพื้นที่มีความเจริญมีอาคารสูงหลายอาคารและห่างจากย่านการค้าเพียง 500 เมตร หากจะมีการพัฒนาที่ดินเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดและเป็นการพัฒนาบ้านเมืองไปสู่ความเจริญแล้ว สมควรที่จะเปิดทางเพื่อให้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้
โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 8822 และเป็นทางจำเป็นสำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ 7178 ของโจทก์ที่ถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมและไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ เป็นคำฟ้องให้ศาลเลือกวินิจฉัยเอาจากพยานหลักฐาน เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแล้ว ไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปอีกว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่
โจทก์เป็นผู้มีสิทธิจะผ่านที่ดินของจำเลยตามมาตรา 1349 วรรคหนึ่งต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น ซึ่งค่าทดแทนไม่ใช่ค่าซื้อที่ดิน
      คำพิพากษาที่ 5336/2539 
      ป.พ.พ. มาตรา 1350
      ป.วิ.พ. มาตรา 145 
      ที่ดินโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินจำเลยเป็นเหตุให้ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะโจทก์ออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านทางพิพาทซึ่งเป็นที่ดินจำเลยจำเลยปิดกั้นที่ดินโจทก์ด้านที่ติดกับทางพิพาทโจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องขอใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1350แม้จำเลยจะได้รับโอนที่ดินที่แบ่งแยกรวมทั้งส่วนที่เป็นทางพิพาทมาภายหลังก็ตามจะปฏิเสธสิทธิของโจทก์ในการขอใช้ทางจำเป็นหาได้ไม่และทางจำเป็นหาจำต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรงไม่แต่โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยเปิดทางจำเป็นบนที่ดินของบุคคลอื่นซึ่งมิใช่คู่ความในคดีด้วยหาได้ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145
      คำพิพากษาที่ 417/2553
       ป.พ.พ. มาตรา 1350

       ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 บัญญัติว่า ถ้าที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกัน ดังนั้น การที่ที่ดินโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินแปลงเดิมของ ข. และ ห. ทำให้ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์จะฟ้องเรียกร้องทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งมิใช่ที่ดินแปลงเดิมที่ถูกแบ่งแยกหรือแบ่งโอนหาได้ไม่      



                                                                                             ขอขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับทีมา : ทบทวนหลักกฎหมายกับอาจารย์ประยุทธ

......................................................................................................................................................


   ...ท่านเคยมีปัญหาเหล่านี้หรืไม่ ? 

      - เพิ่งจบปริญญาตรี ไม่รู้จะเริ่มต้นกับการเรียนเนติอย่างไร
      - 
สอบมาหลายครั้งแล้วไม่ผ่านซัที 47 , 48 , 49 คะแนนอยู่นี่หลายครั้งแล้ว เมื่อไหร่จะถึง 50 คะแนนซักที
      - 
อยู่ต่างจังหวัด ทำงานประจำไม่มีเวลาไปนั่งเรียนที่เนติฯ 
      - 
สมัครติวเนติทางไปรษณีย์ กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ทันสอบ
      - 
สมัครรับจองคำบรรยายเนติทางไปรษณีย์ 
กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ันสอบ
      - เดินทางไปเรียนหรือไปติวรถก็ด...กลับมาก็เหนื่อย
      - 
อยู่ต่างจังหวัดอยากมาเรียนที่ กทม. หรือมาติว...แต่ไม่สามารถมาเรีนหรือมาติวได้เพราะไกลและสถาบัติวก็อยู่หน้ารามกันหมด

    ....ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป....

   ..............................................................................................................................

ขอแนะนำ !!

รวมคำบรรยายเนติฯ (ภาคปกติ /ภาคค่ำ/ภาคทบทวนวันอาทิตย์) ภา 1/65 และ 2/65

 - กลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา (ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์

  พร้อมเอกสาร สรุปคำบรรยายเนติ 1/65 + เอกสารประกอบคำบรรยาย1/65 + ทบรรณาธิการ 1/63, 1/64 และ 1/65 + ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา (สมัยที่ 56-64) พร้อม !! เคล็ดลัการอ่านหนังสือเพื่เตรียมสอบเนติฯ + ระเบียบการเรีนเนติฯ +เทคนิคและแนวการเขียนขอสอบการเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ู้ช่วยฯ/อัยกา

  ราคา 380.00 บา  (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี) ฟรี ! สมุดบันทึก

 - กลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา (ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์) 

  พร้อมเอกสาร สรุปคำบรรยายเนติ 2/65 + เอกสารประกอบคำบรรยาย 2/65 + บทบรรณาธิการ 2/63, 2/64 และ 2/65 + ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา (สมัยที่ 56-64) พร้อม !! เคล็ดลัการอ่านหนังสือเพื่เตรียมสอบเนติฯ + ระเบียบการเรียนเนติฯ +เทคนิคและแนวการเขียนข้อสอบการเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่วยฯ/อัยกา

  ราคา  380.00 บาท  (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี) ฟรี ! สมุดบันทึก

Ø หมายเหตุ  : สั่งซื้อทั้ง 2 าค าคาพิเศษ 700 บาท (ส่ง EMS ให้ฟรี) ฟรี !!! สมุดบันทึก + CD แบบร่างสัญญามากกว่า 400 แบบ (file word) + แบบฟอร์มศาลแบบฟอร์มเอกสารงานบุคคล,เอกสารงานบัญชีและภาษี 


   สนใจติดต่อ ตุ้ย มือถือ 085-801-0725,  E-mail : siripit...@gmail.com

                                                                                                                                                 

                                    

                                             ไม่เก่ง..แต่พยายาม  เจ๋ง ! กว่า  เก่ง....แต่ขี้เกียจ

                                                                          ขอให้โชคดีและประสบความสำเร็กันทุกคะคับ....

-- 
เข้าพรรษา.JPG
เข้าพรรษา 2.jpg
เข้าพรรษา 3.jpg
เข้าพรรษา 4.jpg
เข้าพรรษา...gif
Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages