สรุปคำบรรยาย เนติภาคกลางวัน มรดกสัปดาห์ที่3สอนเมื่อ จ 08/06/09

1,715 views
Skip to first unread message

nobita kwang

unread,
Jun 23, 2009, 11:52:28 PM6/23/09
to LAWSIAM
หากเอกสารสรุปคำบรรยายนี้ มีข้อผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้า  kankokub  ขออภัยและน้อมรับแต่เพียงผู้เดียว หากจะมีประโยชน์อยู่บ้างขอมอบให้แก่ ท่านอาจารย์ ม.ล.เฉลิมชัย เกษมสันต์ผู้บรรยาย   , ผู้มีน้ำใจส่ง flie เสียงที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้ฟังคำบรรยาย , บิดามารดาข้าพเจ้า

ครั้งที่ 3 . (08/06/09)

            หนังสือรวมคำบรรยายคงมีกันอยู่แล้ว ดูรูปแล้วหล่อกว่าตัวจริงเยอะ เนื่องจาก วิชามรดกเศร้า ต้องนำรูปหล่อๆมาติดไว้

            เมื่อคราวที่แล้วได้พูดถึงค่าสินไหมทดแทนในการละเมิดได้ยกตัวอย่างประมาณ หกมาตรา 420 423 433 434 436 437 เป็นต้น ขอย้ำว่า คราวที่แล้วไม่ได้อ่านตัวบทเหล่านี้ให้นักศึกษาฟังเพราะไม่ใช่วิชาที่เกี่ยวกับมรดกโดยตรง เพราะ เป็นเรื่องที่ผู้ถูกละเมิดยังไม่ถึงแก่ความตายค่าสินไหมทดแทนเป็นมรดกหรือไม่ คำตอบได้มาก่อนผู้ถูกละเมิดถึงแก่ความตายจึงเป้นมรดก

            ฏีกาต่อไปดัง จดไว้ที่          มาตรา 443  ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทน ได้แก่ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

             ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาลรวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

             ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้น ทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มันโยงกับวิชามรดก

                                                3208/2538

สิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับค่าปลงศพตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์มาตรา443วรรคแรกเป็นสิทธิของผู้ที่เป็นทายาทจะเรียกร้องเอาแก่ผู้ที่ กระทำละเมิดทำให้เจ้ามรดกถึงแก่ความตายภายใต้บังคับมาตรา1649ส่วนสิทธิในการ เรียกค่าสินไหมทดแทนอันเกิดแก่ทรัพย์สินของเจ้ามรดกเนื่องมาจากการกระทำ ละเมิดก็เป็นสิทธิของเจ้ามรดกที่จะตกทอดแก่ทายาทตามมาตรา1599และ1600เมื่อ โจทก์ที่2และที่3เป็นบุตรนอกกฎหมายที่เจ้ามรดกซึ่งเป็นบิดารับรองแล้วจึง เป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกตามมาตรา1627และย่อม มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกตามมาตรา1629(1)จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าปลงศพของ เจ้ามรดกและค่าที่รถจักรยานยนต์ของเจ้ามรดกเสียหายได้

                                                477/2514

กรณีละเมิดที่เป็นเหตุให้เศร้าโศกเสียใจและผิดหวัง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มิได้บัญญัติไว้ให้เรียกค่าสินไหมทดแทนได้ แม้จะเป็นบิดาตามกฎหมายหรือไม่ก็ตาม(อ้างฎีกาที่ 789/2512)

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1535 บุตรนั้นหมายถึงบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ซึ่งมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา

เมื่อ ปรากฏว่าโจทก์และโจทก์ร่วมจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่12 พฤศจิกายน 2508 การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายจึงมีผลตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2508 หาใช่มีผลตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2507 ซึ่งเป็นวันฟ้องคดีไม่ ฉะนั้น ในขณะฟ้องผู้ตายจึงยังเป็นบุตรนอกสมรสของโจทก์อยู่ โจทก์ซึ่งเป็นบิดาจึงไม่มีสิทธิฟ้องบุคคลที่กระทำละเมิดต่อบุตรนอกสมรสของตน (อ้างฎีกาที่ 1285/2508)

โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะ เป็นทายาทผู้รับมรดกจากเด็กชาย ธ. ผู้ตายแต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์มิใช่บิดาโดยชอยด้วยกฎหมายของผู้ตายแล้วอำนาจ ฟ้องของโจทก์ก็ไม่มีคำร้องของ ค. มารดาของเด็กชาย ธ. ที่ขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม จึงเป็นอันตกไป (ปัญหาข้อนี้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2514)

ค่า สินไหมทดแทนเกี่ยวกับค่าปลงศพตามมาตรา 443 วรรค 1หมายความเฉพาะผู้ที่เป็นทายาทของผู้ตายที่จะเรียกร้องเอาแก่ผู้ที่กระทำ ละเมิด ทำให้เจ้ามรดกถึงแก่ความตายเพราะสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนโดยเหตุ ที่ได้ละเมิดแก่เจ้ามรดกตกทอดมายังตนผู้เป็นทายาทภายใต้บังคับของมาตรา 1649 เท่านั้นมิได้หมายความว่าใครทำศพผู้ตายแล้วก็จะมีสิทธิเรียกร้องค่าทำศพใน ลักษณะที่เป็นค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดเสียเองได้เสมอไปเมื่อปรากฏว่าโจทก์ ไม่ใช่ทายาทผู้ตายเพราะไม่ได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการปลงศพเป็นค่าสินไหมทดแทนแก่ตนใน การที่จำเลยกระทำละเมิดต่อผู้ตาย (อ้างฎีกาที่ 1314/2505)

โจทก์ ร่วมแม้จะเป็นมารดาของผู้ตาย แต่เมื่อฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์มาแต่ต้นสิทธิโจทก์ร่วมก็ไม่ดีกว่าโจทก์ โจทก์และโจทก์ร่วมจึงไม่อาจเรียกค่าใช้จ่ายในการทำศพผู้ตายได้

สำหรับ จำเลยที่ 1 ลูกจ้าง ซึ่งแม้มิได้ฎีกาก็ตาม แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ว่าเป็นนายจ้างซึ่งต้องร่วมกันรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 1 กรณีจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ฉะนั้น อาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) และมาตรา 247 ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยตลอดถึงจำเลยที่ 1 ด้วย

 

                                                            1203/2549

โจทก์ฟ้องขับไล่พร้อมกับเรียกค่าเสียหายจากจำเลย จึงถือได้ว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ส่วนหนึ่งกับคดีมีทุนทรัพย์อีกส่วนหนึ่ง ปนกันมา ดังนี้ จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้หรือไม่ ต้องแยกจากกัน กล่าวคือ ถ้าหากฎีกาประเด็นเรื่องขับไล่ก็ต้องพิจารณาว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นอาจให้ เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องเกินเดือนละ 10,000 บาท หรือไม่ โจทก์ฟ้องขับไล่และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 15,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 7,000 บาท โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาย่อมถือว่าในขณะยื่นคำฟ้องนั้น ที่ดินและบ้านพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสอง ที่จำเลยฎีกาว่าคำเบิกความของโจทก์มีพิรุธฟังไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาเป็น ฎีกาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา

ในเรื่องค่าเสียหาย ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 7,000 บาท นับแต่วันที่ 30 มีนาคม 2540 คำนวณถึงวันที่ 28 ตุลาคม 2542 อันเป็นวันฟ้อง ซึ่งถือเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นศาลฎีกาเกินสองแสนบาทไม่ต้องห้ามฎีกา ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

 

            ดูตัวบทจะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องละเมิด ผู้ถูกละเมิดถึงแก่ความตายก็มีสิทธิได้ค่าสินไหม แต่ได้หลังจากผู้ถูกละเมิดตายไปแล้ว คือ ค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายอันจำเป็น สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นมรดกเพราะเป็นสิ่งที่ได้หลังจากผู้ตายตายแล้ว

            คำตอบ ศาลบอกว่า 433 วรรค 1 ให้โยงกับมาตรา 1649  ผู้จัดการมรดกซึ่งผู้ตายตั้งไว้ย่อมมีอำนาจและหน้าที่ในอันที่จะจัดการทำศพของผู้ตายเว้นแต่ผู้ตายจะได้ตั้งบุคคลอื่นไว้โดยเฉพาะให้จัดการดังว่านั้น

            ถ้าผู้ตายมิได้ตั้งผู้จัดการมรดกหรือบุคคลใดไว้ให้เป็นผู้จัดการทำศพ หรือทายาทมิได้มอบหมายตั้งให้บุคคลใดเป็นผู้จัดการทำศพ บุคคลผู้ได้รับทรัพย์มรดกโดยพินัยกรรมหรือโดยสิทธิโดยธรรมเป็นจำนวนมากที่สุด เป็นผู้มีอำนาจและตกอยู่ในหน้าที่ต้องจัดการทำศพ เว้นแต่ศาลจะเห็นเป็นการสมควรตั้งบุคคลอื่นให้จัดการเช่นนั้น ในเมื่อบุคคลผู้มีส่วนได้เสียคนใดคนหนึ่งร้องขอขึ้น

 

ว่า ใครบ้างที่มีอำนาจจัดการงานศพหรือได้รับคืนค่าปลงศพ

            วิชามรดกก็น่าออกเพราะเป็นการออกมาตรา 1600 โดยตรง

            ต่อไปฏีกาทำพินัยกรรมยกศพ มาตรา 1646  บุคคลใดจะแสดงเจตนาโดยพินัยกรรมกำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของตนเอง หรือในการต่างๆ อันจะให้เกิดเป็นผลบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อตนตายก็ได้

เรื่องการทำพินัยกรรม ให้โยงไว้เลยสอบผู้ช่วยไม่เสียเวลา 1646 -1648 รวมกันอยู่แยกกันไม่ได้ เป็นการทำพินัยกรรมว่ามีหลักเกณฑ์อย่างไร

            นาย ก ทำพินัยกรรมยกศพ ว่า ตายแล้วยกให้ศิริราช จะนำมาตรา 1646 มาจับตอนมีชีวิตทันทีไม่ได้ เราจะเอาในเรื่องทรัพย์สินมาตอบไม่ได้เพราะยังไม่ตาย ยังไม่เป้นทรัพย์สิน แต่เราต้องนำคำว่า การต่างๆมาใช้

            คำว่าการต่างๆ            มาตรา 1711  ผู้จัดการมรดกนั้นรวมตลอดทั้งบุคคลที่ตั้งขึ้นโดยพินัยกรรมหรือโดยคำสั่งศาล

 

 มาแรงมากคือการทำพินัยกรรมเป็นผู้จัดการมรดก

            ฉะนั้นขอเรียนว่า ไม่อ่านตัวบทเพราะจะย่นเวลา เป็นหน้าที่ของนักศึกษาต้อง เลยครับ ต้องไปอ่านตัวบทเหล่านั้น

            ต่อไปนี้เป็นฏีกาที่อยากให้จดไว้ เรื่องคำมั่น

                                    1602/2548

            สัญญาเช่ามีข้อความว่า เมื่อครบกำหนดอายุสัญญาเช่าแล้วผู้ให้เช่าต้องให้ผู้เช่าเช่าอยู่ต่อไป โดยผู้ให้เช่าจะต่ออายุสัญญาเช่าให้ทุก ๆ 3 ปี ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นคำมั่นของ ป. ผู้ให้เช่า ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ทราบก่อนจะสนองรับว่า ป. ถึงแก่กรรมไปก่อนแล้ว กรณีจึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 360 ต้องนำบทบัญัญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 169 วรรคสอง มาใช้บังคับ คำมั่นจึงไม่เสื่อมเสียไป มีผลผูกพันโจทก์ผู้รับโอนซึ่งเป็นทายาทให้ต้องปฏิบัติตาม โดยให้จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทต่อไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาเดิม โจทก์ต้องยินยอมให้จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทต่อไปนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2536 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2538 ส่วนการต่ออายุสัญญาเช่าในระยะ 3 ปีถัดมานับแต่วันที่ 1 มกราคม 2539 เป็นต้นไป ต้องแยกพิจารณาต่างหากอีกกรณีหนึ่ง หาใช่มีผลผูกพันตลอดไปไม่

            แม้ข้อความในสัญญาเช่าจะมีคำมั่นที่ ป. ผู้ให้เช่าให้ไว้ แต่คำมั่นดังกล่าวจะมีผลผูกพันในการต่ออายุสัญญาเช่าครั้งต่อไปและตกทอดแก่ โจทก์ได้ก็ต่อเมื่อคำมั่นนั้นมีผลบังคับก่อนครบกำหนดอายุสัญญาเช่าครั้งท้าย สุดด้วยการที่จำเลยได้แสดงเจตนาสนองรับคำมั่นโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อ ป. ถึงแก่ความตายแล้วตึกแถวพิพาทตกเป็นของโจทก์ผู้เป็นทายาท จำเลยทราบว่า ป. ถึงแก่ความตายแล้งจึงมีหนังสือขอต่ออายุสัญญาเช่าไปยังโจทก์เมื่อวันที่ 10 พฤศจายน 2538 กรณีเช่นนี้จึงต้องบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 360 ซึ่งบัญญัติมิให้นำบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 169 วรรคสอง มาใช้บังคับหากว่าก่อนจะสนองรับนั้นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่า ผู้เสนอตาย คำมั่นดังกล่าวย่อมไม่มีผลบังคับและไม่เป้นมรดกตกทอดอันจะผูกพันโจทก์ซึ่ง เป็นทายาท หนังสือต่ออายุสัญญาเช่าจึงไร้ผลและไม่ก่อให้เกิดสัญญาเช่าขึ้นใหม่ โจทก์ย่อมมีสิทธิไม่ต่ออายุสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทให้แก่จำเลยได้ เมื่อโจทก์มีหนังสือไปยังจำเลย แจ้งว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทอีกต่อไปและบอกเลิกสัญญา เช่า สัญญาเช่าตึกแถวพิพาทจึงต้องสิ้นสุดลงวันที่ 31 ธันวาคม 2538 อันเป็นวันครบกำหนดการต่ออายุสัญญาเช่า โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้

 

            เจ้าของให้เช่าได้ให้คำมั่นแก่ผู้เข่าแต่ไม่ได้สนองตอบเลยจนมีความตายเกิดขึ้น ศาลฏีกาเอามาตรา มาตรา 169  การแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้าให้ถือว่ามีผลนับแต่เวลาที่การแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดง เจตนา แต่ถ้าได้บอกถอนไปถึงผู้รับการแสดงเจตนานั้น ก่อนหรือพร้อมกันกับที่การแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา การแสดงเจตนานั้นตกเป็นอันไร้ผล

                                การแสดงเจตนาที่ได้ส่งออกไปแล้วย่อมไม่เสื่อมเสียไป แม้ภายหลังการแสดงเจตนานั้นผู้แสดงเจตนาจะถึงแก่ความตาย  หรือถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

  วรรค 2 มาเป็นคำตอบ + มาตรา 360  บทบัญญัติแห่งมาตรา 169 วรรคสองนั้น ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าหากว่าขัดกับเจตนาอันผู้เสนอได้แสดง หรือหากว่าก่อนจะสนองรับนั้น คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้เสนอตายหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ เผิ้อเรื้องเช่านำไปออกฏีกานี้เก็งกันมานานแล้ว ไม่ออกสักที

            ดูฏีกาหลักๆอีก ฏีกาหนึ่ง เป็นฏีกาวางรากฐานครอบครัวมรดก 4714/2542  

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1470 ที่กำหนดให้ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาประกอบด้วยสินส่วนตัวและสินสมรสนั้น หมายถึงทรัพย์สินที่สามีภริยามีอยู่ในขณะที่เป็นสามีภริยากัน ณ. ถึงแก่กรรมย่อมทำให้การสมรสระหว่าง ณ. กับโจทก์สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1501 เงินชดเชยเป็นเงินที่เกิดขึ้นเนื่องจากความตายของ ณ.และได้รับมาหลังจาก ณ. ถึงแก่กรรมไปแล้วจึงไม่เป็นสินสมรสระหว่าง ณ. กับโจทก์และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1600 ที่กำหนดให้ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตายตลอดทั้งสิทธิ หน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เป็นมรดกของผู้ตายนั้น ทรัพย์สินหรือสิทธิเช่นว่านี้ต้องเป็นของผู้ตายอยู่แล้วในขณะที่ผู้ตายถึง แก่กรรม แต่สิทธิที่จะได้รับเงินค่าชดเชยเป็นสิทธิที่เกิดขึ้น เนื่องจากความตายของ ณ. มิใช่เป็นเงินหรือสิทธิเรียกร้องที่ ณ. มีอยู่แล้วในระหว่างมีชีวิตหรือขณะถึงแก่กรรมจึงมิใช่เป็นทรัพย์มรดกของ ณ.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1625 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้มีการแบ่งทรัพย์สินระหว่างผู้ตายกับคู่สมรสที่ยัง มีชีวิตอยู่เพื่อแยกเป็นมรดกของผู้ตาย กับทรัพย์สินของคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วนำมรดกของผู้ตายมาแบ่งปันให้แก่ทายาท เท่านั้น หาใช่เป็นการกำหนดให้ต้องนำมรดกของผู้ตายมาชดใช้สินสมรสของคู่สมรสของผู้ตาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิใด ๆ ในเงินกองทุนเลี้ยงชีพ สิทธิในการได้รับเงินเพื่อนช่วยเพื่อนเกิดขึ้นเนื่องจากความตายของ ณ.มิใช่เป็นเงินหรือสิทธิเรียกร้องที่ ณ. มีอยู่แล้ว ในระหว่างมีชีวิตหรือขณะถึงแก่กรรม แม้วิธีการที่จะได้รับเงินจำนวนนี้มาจาก ณ. จะต้องเคยชำระเงินในอัตราร่วมกับพนักงานของจำเลยคนอื่น ๆ เพื่อรวบรวมส่งให้แก่ทายาทของพนักงานผู้ถึงแก่กรรมรายก่อน ๆ ก็มิใช่เป็นมรดกของ ณ. โจทก์จึงไม่มีสิทธิมาขอแบ่ง เงินประกันชีวิตเป็นเงินที่เกิดจากสัญญาระหว่างผู้ตายกับบุคคลภายนอกและ จำเลยเพื่อให้ใช้เงินแก่ผู้รับประโยชน์สืบเนื่องจากความมรณะของผู้ตายอันมี ลักษณะเป็นการประกันชีวิต สิทธิตามสัญญาเกิดขึ้นเมื่อผู้ประกันชีวิตถึงแก่กรรม จึงมิใช่มรดกของผู้ตายที่มีอยู่ในขณะถึงแก่กรรมที่โจทก์จะใช้สิทธิแบ่งได้ สัญญาประกันชีวิตที่ผู้ตายระบุให้จำเลยซึ่งมิใช่คู่สมรสเป็นผู้รับประโยชน์ อันต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 897 วรรคสอง ที่กำหนดไว้ว่าเฉพาะแต่จำนวนเงินเบี้ยประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยได้ส่งไปแล้วนั้นจักเป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งแห่งกองมรดก ของผู้เอาประกันภัย อันเจ้าหนี้จะเอาใช้หนี้ได้ โจทก์มิได้ฟ้องเรียกเอาเบี้ยประกันภัยโดยกล่าวอ้างมาในคำฟ้องเพื่อเรียกเงิน ประกันชีวิต จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งและวรรคสอง

ให้คำตอบหลายเรื่อง

1.เงินประกันชีวิต 897 เป็นมรดกหรือไม่

2. เพื่อความโยงใยเงินประกันคล้ายกับเรื่อง 1637 ถ้านำมาออกสอบก็ตอบหลักนี้ได้ ย้ำ 897 ประกันชีวิตทั่วๆไป แต่ 1637 เป็นการประกันชีวิตระหว่างสามีภริยา

            เช่นอาจารย์หม่อมตาย ขอยกให้นักศึกษา ก ดังนี้ต้องใช้ 897 มาจับ

แต่ถ้าอาจารย์แต่งงานแล้ว พิพาทกับ

1470 คืออะไร

1503 คืออะไร

1599 คืออะไร

1600 คืออะไร

1625

ฏีกาเดียวให้คำตอบสามมาตรา อนุญาตให้เปิดตัวบทดู

                มาตรา 897  ถ้าผู้เอาประกันภัยได้เอาประกันภัยไว้โดยกำหนดว่าเมื่อตนถึงซึ่งความมรณะให้ใช้เงินทายาททั้งหลายของตนโดยมิได้เจาะจงระบุชื่อผู้หนึ่งผู้ใดไว้ไซร้ จำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้น ท่านให้ฟังเอาเป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งแห่งกองมรดกของผู้เอาประกันภัย ซึ่งเจ้าหนี้จะเอาใช้หนี้ได้

             ถ้าได้เอาประกันภัยไว้โดยกำหนดว่าให้ใช้เงินแก่บุคคลคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง ท่านว่าเฉพาะแต่จำนวนเงินเบี้ยประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยได้ส่งไปแล้วเท่านั้น จักเป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งแห่งกองมรดกของผู้เอาประกันภัยอันเจ้าหนี้จะเอาใช้หนี้ได้

            อันนี้อยากให้เข้าใจเลยเพราะเป็นเรื่องประกันชีวิตด้วย 897 ดูหนังสือให้ดีแยกให้ออก

วรรคแรก คำถามแรกผู้ประกัน ชีวิตคือใคร คำตอบ นายก ไปประกัน พูดง่ายๆ เป็นการประกันชีวิตของผู้ประกันเอง  ระบุเลยว่าถ้าตาย ให้ตกแก่ทายาท ขีดเส้นเลยกฎหมายระบุไว้ชัดเป็นทายาท ที่สำคัญไม่ได้ระบุเจาะจงในหลักกฎหมายว่าต้องเป็นทายาทคนใด

            ถ้าเป็นกรณีเรื่องนี้ ขีดเส้นคำว่าสินทรัพย์ ไม่ใช่ทรัพย์สิน นั่นคือตัวบท คำว่าสินทรัพย์หมายถึงทรัพย์สิน รวมทั้งทรัพย์ที่อาจบังคับชำระหนี้ จึงใช้คำว่าสินทรัพย์ ดังนั้นเมื่อนาย ก ตายได้เงิน 1 ล้านบาท เรียกว่าสินทรัพย์

            ดูวรรคสองคล้ายกับวรรค 1 แต่ ลองหาจุดแยกสิ คือได้มีการระบุทายาทไว้โดยเฉพาะ ว่าถ้าตายให้ตกแก่ 1 หรือ 2 หรือ 3 

            และข้อแตกต่างคือ เบี้ยประกันให้ถือว่าเป็นสินทรัพย์

            คำตอบไม่ใช่มรดก เงื่อนไข มาตรา 1600 คือคำตอบ เพราะเงินจำนวนนี้ได้มาจากเงื่อนไขแห่งความตาย มันจึงไม่ใช่มรดก

            เปิด มาตรา 1734  เจ้าหนี้กองมรดกชอบแต่จะได้รับการชำระหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเท่านั้น คือคำตอบ

                897+ 1637 + 1638 +1601

 

การตอบของนักศึกษาสมบูรณ์ไม่มีการหักได้เลย เอา ไป 9 คะแนน 1470 อันนี้เป็นหน้าที่ของอาจารย์แล้วนะ

            คำถามว่าอะไรเป็นสินส่วนตัวสินสมรสให้ดูตอนไหน ศาลบอกให้ดูขณะเป็นสามีภริบากัน

625 ก็เป็นมาตรฐานว่ามีการแบ่งทรัพย์สิน ก่อน แล้วจึงตกไปสู่ทายาท

            อีกประเด็นคือมีเงินชดเชย กองทุนเลี้ยงชีพ เพื่อนช่วยเพื่อน จะเรียกอะไรไม่สำคัญ สำคัญว่าเงินเหล่านี้ได้มาเนื่องจากการตายหรือไม่ เมื่อได้มาเนื่องจากความตายจึงไม่เป็นมรดก

            มันจะเรียกอะไรไม่ต้องไปสนใจสนใจแค่ว่าได้มันมาได้อย่างไร

            ดูฏีกาสามฏีกาเรื่องดอกผล เคยมีมาแล้วว่าดอกผลของทรัพย์มรดก เป็นมรดกหรือไม่ ก็จะหาคนเข้าใจเนื้อแท้ไม่ได้

            โดยเฉพาะเรื่องสุกรพ่อ สุกรแม่ นายสนั่น มีเมียชอบด้วยกฎหมาย เป็นผัวเมียชอบด้วยกฎหมายลักษณะผัวเมีย ตายฏีกานี้ไม่เป็นประเด็นแล้ว คือ ได้ส่วนแบ่ง เมีย หนึ่งส่วน ผัวสองส่วน ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า แปลว่าเปลี่ยนอีกไม่ได้แล้ว ต้องเป็นอย่างนี้ หรืถือ่าคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว

            มันเกิดเรื่องคือนายสนั่นที่มีส่วนนั้นตายไป ปรากฏหว่าตายแล้วไปขายหมูได้เงินมาหนึ่งก้อน มีปัญหาว่าเป็นมรดกหรือไม เป็นดอกผลของสุกรพ่อสุกรแม่หรือไม่

                ก็ได้คำตอบว่าเป็นมรดกในชั้นต้น ศาลฏีกาดูเผินๆเหมือนยืน แต่ความจิง ศาลมองว่าไม่เป็รมรกป็นกรรมสิทธิรวม

            บางตำราบอกช่วงทรัพย์ บางตำราบอกเป็นมรดก แต่ย้ำอีกครั้งว่าใม่ใช่มรดกอย่าเผลอตอบเป็นอันขาด

            370/2506 ลูกสุกรเกิดจากสุกรพ่อและสุกรแม่ซึ่งเลี้ยงไว้ในระหว่างเจ้ามรดกยังมีชีวิต อยู่แต่เกิดเมื่อเจ้ามรดกตายแล้วลูกสุกรและเงินที่ขายลูกสุกรได้ก็เป็นสิน สมรสระหว่างเจ้ามรดกกับภรรยาส่วนของเจ้ามรดกตกเป็นมรดก ทายาทมีส่วนแบ่งในสุกรพ่อและสุกรแม่อย่างไรก็มีส่วนแบ่งในลูกสุกรหรือเงิน ที่ขายได้อย่างนั้น

แม้จะขายลูกสุกรเหล่านี้ไปหลังจากเจ้ามรดกตาย 2 ปีเศษทายาทก็มีสิทธิขอแบ่งมรดกตามราคาที่ขายได้ (ไม่ใช่ตามราคาของลูกสุกรเมื่อแรกเกิด) ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงสุกรจนกระทั่งขายไปนั้น ทายาทผู้เป็นเจ้าของรวมต้องช่วยกันออกตามส่วนของตน ในเวลาแบ่งเจ้าของรวมผู้เป็นเจ้าหนี้จะเรียกให้เอาส่วนซึ่งจะได้แก่ลูกหนี้ ชำระหนี้เสียก่อนก็ได้ ทายาทที่อ้างว่าตนออกค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงสุกรคนเดียว เมื่อถูกทายาทอื่นฟ้องขอแบ่งมรดกเงินค่าขายสุกรชอบที่จะขอหักค่าใช้จ่ายนี้ มาในคำให้การ

 

 มาตรา 1336 กรรมสิทธิ์รวม 1360 วรรค 2 1362 1745 คือคำตอบที่แก้จริงของหลักนี้คือกรรมสิทธิ์ร่วม

            มีฏีกาที่น่าออกแล้วสองสมัยแต่

8485/2544 *****

รายได้จากการกรีดยางที่ได้มาหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่กรรมแล้ว มิใช่ทรัพย์ที่มีอยู่ก่อนหรือในขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่กรรม จึงมิใช่มรดก แต่เป็นดอกผลของที่ดินทรัพย์มรดกตกได้แก่เจ้าของที่ดินตามสัดส่วนแห่งความ เป็นเจ้าของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336และ 1360 โจทก์ทราบดีว่าจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกได้นำน้ำยางไปจำหน่ายหารายได้ ตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีก่อนขอแบ่งที่ดินทรัพย์มรดกและศาลฎีกาได้ พิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยแบ่งที่ดินแก่โจทก์โดยที่ดินดังกล่าวเป็นสวน ยางพารามีรายได้จากการกรีดยางตั้งแต่ขณะโจทก์ฟ้องคดี ก่อนซึ่งจำเลยได้เอาไว้เป็นประโยชน์แต่ฝ่ายเดียวโจทก์ชอบที่จะเรียกร้องให้ จำเลยส่งมอบรายได้จากการกรีดยางดังกล่าวแก่โจทก์เสียในคราวเดียวกัน แต่กลับมาฟ้องเรียกร้องเป็นคดีนี้ จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 มันดังเกินไปเลยหลบมาสองสมัยแล้ว

            นึกภาพผมเป็นเจ้าของสวนยางกรีดยางอยู่สม่ำเสมอ มีลูกคนที่หนึ่ง และคนที่สอง ศาลให้คนที่หนึ่งมีสิทธิ เจ็ดส่วน อีกสามส่วนได้แก่นายสอง  ยุติตรงนี้เวลาไปทำคำตอบอย่าไปยุ่งเลยใส่ไปเลย เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ....

            พอตายแล้วสวนยางก็ดำเนินงานเสมอ ได้ผลประโยชน์มาหนึ่งแสนบาทเป็รนมรดกหรือไม่ สิ่งแรกที่ต้องบคือน้ำยางนั้นเป็นดอกผลธรรมดา ก็เกิดปัญหาว่าไอ้หนึ่งแสนบาทจแบ่งมันทำไม

            และย้ำว่าได้มาหลังจากเจ้ามรดกตายจึงไม่ใช่กองมรดกใช่หรือไม่ จะมาแบ่งเท่ากันไม่ได้ เราเรียนมาแล้ว

ศาล ฏีกาบอกเลยว่า กำหนดส่วนเท่าไหร่ ก็ได้ เท่านั้น ในฐานะกรรมสิทธิ์รวมเหมือนฏีกาเมื่อสักครู้เรื่องลูกสุกร

            ถ้าตอบข้อสอบต้องตอบอย่างไร

            ถ้าบิดข้อเท็จจริงไปว่าถ้า 1 ตาย 1 มีมรดกเท่าใด เมื่อสักครู่พ่อหนึ่งตายใช่หรือไม่

ถ้าตอบอย่างนี้ต้องให้หนึ่งเป้นศูนย์กลางเลย ถ้าออกฏีกาว่าหนึ่งซื้อล็อตตารี่ สิบบาท ซื้อเสร็จตาย วันรุ่งขึ้นได้สองล้าน  ก็เป็นมรดก คำตอบ เป็น เพราะเป็นการช่วงทรัพย์ ต้องดูสองคือคำตอบ จะเอาฏีกานี้มาไม่ได้เพราะมันไม่ใช่ดอกผล ฉะนั้นข้อแรก เงินล็อตเตอรรี่เป็นมรดก

            ข้อสอง แล้วเงินกรีดยาง ก็ได้ หนึ่งตาย แบ่งตามส่วนฉะนั้น เจ็ดหมื่นนี้เป็น ทรัพย์มรดกของหนึ่ง

            ย่อหน้าตอบเลย ว่าเงินล็อตเตอร์รี่เป็นการช่วงทรัพย์ เป็นมรดกของหนึ่ง

            เงินเจ็ดหมื่นเป็นดอกผล มาฏีกาอีกอันหนึ่ง

 678-680/2535

ผู้ตายกับโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยาร่วมกันทำกิจการโรงแรมมีเจตนาเป็นเจ้าของร่วมกัน เงินที่ใช้เป็นทุนปลูกสร้างโรงแรมจะเกิดจากฝ่ายใดหามาไม่สำคัญ ต้องถือว่าโรงแรมเป็นทรัพย์สินร่วมกันระหว่างผู้ตายกับโจทก์ที่ 1 เมื่อผู้ตายยินยอมให้ใช้ที่ดินดังกล่าวปลูกสร้างโรงแรมเพื่อทำกิจการค้าร่วม กันกับโจทก์ที่ 1โรงแรมจึงไม่เป็นส่วนควบกับที่ดินเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 109 จำเลยที่ 5 จดทะเบียนสมรสกับผู้ตาย แม้จำเลยที่ 5 จะเลิกร้างกับผู้ตายไปนานแล้ว แต่เมื่อไม่ได้จดทะเบียนหย่ากัน ทรัพย์ที่ผู้ตายได้มาระหว่างที่เป็นสามีภรรยากับจำเลยที่ 5 ย่อมเป็นสินสมรส เงินรายได้จากกิจการโรงแรมรวมทั้งร้านตัดผมที่ได้มาหลังจากที่ผู้ตายถึงแก่ กรรมแล้ว มิใช่ทรัพย์มรดกของผู้ตายเพราะมิใช่ทรัพย์ที่มีอยู่ก่อนหรือในขณะที่ผู้ตาย ถึงแก่กรรม แต่เป็นดอกผลของโรงแรมตกได้แก่ผู้ที่เป็นเจ้าของโรงแรมตามสัดส่วนแห่งความ เป็นเจ้าของโรงแรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 111และมาตรา 1360 และเมื่อเงินดังกล่าวมิใช่มรดกของผู้ตาย แม้ทายาทคนหนึ่งปิดบังหรือยักย้ายเงินส่วนนี้ ทายาทคนนั้นก็ไม่ถูกกำจัดมิให้รับมรดก

เป็นเรื่องดอกผลนิตินัย เจ้าของโรงแรมตาย ค่าเช่าเป็นดอกผลนิตินัยใช่หรือไม่ ก็ใช่ใช้หลักดอกผลเช่นกัน เมื่อไม่ใช่มรดก แม้ยักย้ายก็ไม่ถูกกำจีดตามมาตรา 1605 ระวังนะครับไม่ได้ออกมานานแล้วจึงเรียนมาเพื่อทราบ 1605-1609

บอกอีกอันก็ได้เรื่องพระ  ไม่เคยมีออกเลย คนออกข้อสอบคงไกลวัดก็เลยไม่ออกเลย สามฏีกานี้ ฏีกาเรื่องสุกรออกผู้ช่วยแล้ว แต่สองฏีกาหลังเรื่องกรีดยาง สวยมากกกกกก แต่มันดังไปเลยยีงไม่ออก

2259/2529

ของขวัญที่เป็นของใข้ในครอบครัวซึ่งญาติและเพื่อนของคู่สมรสมอบให้เนื่องใน วันสมรสนั้นผู้ให้ย่อมมีเจตนาที่จะให้คู่สมรสได้ใช้สอยเมื่ออยู่ร่วมกันถ้า ไม่ปรากฏว่าผู้ให้รายใดได้แสดงเจตนาไว้เป็นพิเศษว่ามอบให้แก่คู่สมรสฝ่ายใด โดยเฉพาะแล้วแม้จะเป็นของที่มอบให้ก่อนวันแต่งงาน1วันก็ตามก็ถือได้ว่าเป็น ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรสตกเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์มาตรา1474(1). ของใช้ในครอบครัวแม้จะเป็นของขวัญวันแต่งงานหรือเป็นของที่ซื้อมาหลังการ สมรสแล้วก็ตามก็เป็นสินสมรส. เข็มขัดทองซึ่งเป็นของหมั้นให้แก่โจทก์นั้นเมื่อจำเลยได้ใช้ให้บุคคลภายนอก ไปเอาคืนมาจากบิดาโจทก์จำเลยก็ต้องรับผิดคืนให้แก่โจทก์ด้วย.

            ฏีกานี้เคยออกข้อสอบสมัย 57 หรือ 58 ไม่แน่ใจ เป็นฏีกาที่ประหลาดที่สุดตอนที่ออกสอบ ลืมนึกไปว่าขัดตัวบทชัดๆแต่เคยออกไปแล้ว

            เจ้าบ่าวเจ้าสาว พ่อแม่ให้ก่อนวันจดทะเบียนสมรส โดยพูดว่าให้เอาไปใช้ในครอบครัว ในคำบรรยายก้บอกว่าใช้ในครอบครัว ไอ้สิ่งที่ให้นั้นเป็นสินส่วนตัวหรือสินสมรส

            ตกม้าตายมายังจำภาพตัวเองได้เลย

            ดูให้ตอนไหน เปิดตัวบทซะเดี๊ยวพลาด จดไปนิดหนึ่ง กาดอกจันทร์ที่ มาตรา 1504  การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะฝ่าฝืนมาตรา 1448 ผู้มีส่วนได้เสียขอให้เพิกถอนการ สมรสได้ แต่บิดามารดาหรือผู้ปกครองที่ให้ความยินยอมแล้วจะขอให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้

                            ถ้าศาลมิได้สั่งให้เพิกถอนการสมรสจนชายหญิงมีอายุครบตามมาตรา 1448 หรือเมื่อหญิงมีครรภ์ก่อนอายุครบตามมาตรา 1448 ให้ถือว่าการสมรสสมบูรณ์มาตั้งแต่เวลาสมรส

ด้วย

            ศาลฏีกามองว่าเป็นสินสมรส ว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสจึงเป็นสินสมรส มันเกิดเหตุแล้ว ตาย หย่า ศาลเพิกถอนการสมรส ต้อง 1533 แบ่งคนละครึ่ง เอาสองหาร

            แต่ถ้าเป็นสินส่วนตัวเช่นของหมั้นไม่ต้องแบ่ง 1533 อีก

            ดูอีกอันหนึ่ง 2039/2522

ในระหว่างสมรสของโจทก์จำเลย จำเลยได้ที่ดินโฉนดที่ 4084และ 4198 โดย ผ. ยกให้โดยเสน่หาระบุว่าให้เป็นสินส่วนตัวกับได้ที่ดินโฉนดที่ 5191 โดย ผ. ทำพินัยกรรมยกให้และระบุให้เป็นสินส่วนตัวเช่นเดียวกัน ต่อมา ล. อ้างว่าที่ดินดังกล่าวไม่ใช่ของ ผ. แต่เป็นของภรรยาซึ่งเป็นบุตรของ น. และฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งกับแจ้งความกล่าวหาจำเลยทางอาญาหลายคดี ในที่สุด ล. กับจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีหนึ่งซึ่งศาลพิพากษาตามยอมมีใจ ความสำคัญว่า ให้จำเลยได้ที่ดินโฉนดที่ 1176 และให้ ล. ได้ที่ดินโฉนดที่ 5191 ส่วนที่ดินโฉนดที่ 4198 และ 4084 นั้น จำเลยตกลงโอนให้ ล. โดย ล. ต้องจ่ายเงินเป็นค่าตอบแทนให้ 3,100,000 บาท ดังนี้ต้องถือว่าที่ดินโฉนดที่ 4084 และ 4198 กับโฉนดที่ 5191 เดิมเป็นที่ดินที่จำเลยได้รับมาเป็นสินส่วนตัว แม้จำเลยจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ ล. ดังกล่าว ก็เป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างจำเลยกับ ล. ในคดีนั้นซึ่งมีประเด็นเพียงว่าที่พิพาทเป็นของ ผ. และ ย. มีอำนาจยกให้จำเลยหรือไม่เท่านั้นไม่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะของทรัพย์ ยังต้องถือว่าที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของจำเลยอยู่นั่นเอง และเมื่อจำเลยต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินอันเป็นสินส่วนตัวทั้งสามแปลงนั้น ให้แก่ ล. ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเหตุให้จำเลยได้มาซึ่งที่ดินโฉนดที่ 1176 กับมีสิทธิได้เงินค่าตอบแทน 3,100,000 บาท ก็ต้องถือว่าที่ดินและเงินค่าตอบแทนดังกล่าวเข้ามาแทนที่ที่ดินทั้งสามแปลง อันเป็นสินส่วนตัวของจำเลยซึ่งมีผลเช่นเดียวกับการขายหรือแลกเปลี่ยนตามนัย แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1465(1) ดังนั้น ที่ดินโฉนดที่ 1176 กับเงินค่าตอบแทน 3,100,000 บาท ซึ่งเป็นสินส่วนตัวของจำเลย หาใช่สินสมรสระหว่างโจทก์จำเลยไม่

อาจารย์มีหมายเหตุฏีกาด้วย

ว่าสินส่วนตัวเปลี่ยนไปโดยแลกกับที่ดินแปลงอื่น เป็นสินอะไร คำตอบเป็นสินส่วนตัว 1472 คือคำตอบ กาดอกจันทร์ไว้

489/2486

ป็นสามีภรรยาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5แต่ตายจากกันเมื่อใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 แล้วต้องแบ่งสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย แต่แบ่งมรดกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6

ในชั้นฎีกาผู้ฎีกาต้องเสียค่าขึ้นศาลเฉพาะในทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในชั้นฎีกา ไม่ต้องเสียในทุนทรัพย์ที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้โจทก์แล้ว

 

เป็นสามีภริยาก่อนใช้ ปพพ แบ่งทรัพย์สินอย่างไร อันนี้สำคัญ คำตอบ ต้องเป็นไปตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย คือ เรื่องสมรสต้องใช้ระหว่างสมรส แต่เรื่องมรดกตายตอนไหนใช้กฎหมายตอนนั่น

561/2510

ผู้ตายมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อน ต่อมาภริยาได้แยกร้างไปอยู่ต่างหากโดยมิได้หย่าขาดจากกัน โจทก์ผู้ตายจึงมาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์กับผู้ตายได้ช่วยกันทำมาหากินโดยภริยาเก่ามิได้มาร่วมปะปนด้วย โจทก์ได้นำทรัพย์ของโจทก์มาให้ผู้ตายหาดอกผล และได้ทำการค้าขาย ช่วยผู้ตายเก็บค่าเช่าดังนี้ ถือได้ว่าผู้ตายและโจทก์ทำมาหาได้ร่วมกัน จึงเป็นเจ้าของร่วมและมีส่วนเท่ากัน เมื่อผู้ตายตายภรรยาเก่าจึงไม่มีสิทธิในทรัพย์ส่วนที่เป็นของภรรยาใหม่แต่ อย่างใด

            สามีภริยาไม่ชอบด้วยกฎหมายฝ่ายหนึ่งตายต้อง แบ่งทรัพย์สินที่มีอยู่อย่างไร คำตอบ จี้ไปเลยว่าทรัพยืสินนั้นๆทำมาหาได้ร่วมกันหรือไม่

            ตรงนี้ทำให้คนตรวจข้อสอบ รู้ว่าเราทราบแล้ว

            เปิดตัวบท 1734 1737 สองมาตรานี้ 1601 รวมกันว่าเจ้าหนี้กองมรดกชอบที่ได้รับชำระหนี้จากกองมรดกแล้ว 1737 เจ้าหนี้ฟ้องทายาทคนใดก็ได้ แต่ ใน1737 มีคำว่าผู้จัดการมรดกอยู่ด้วย ถึงตรงนี้ขออธิบายไปเลย

1711 ถ้าใครดูตัวบทเผินๆ ผู้จัดการมรดกมีกี่ประเภท เป็นข้อสอบปีที่แล้ว คำตอบ 2 ประเภท พินัยกรรมกับที่ศาลตั้ง  1713  มีการร้องต่อศาลให้ตั้งผู้จัดการมรดก ออกสอบปีที่แล้วเลยว่าใครมีสิทธิร้องขอ

1. ทายาท ว่าเขาขอให้คนนั้นคนนี้เป็นผู้จีดการมรดก จะเป้นทายาทโดยธรรมก็ได้ หรือทายาทโดยฐานะผู้รับพินัยกรรมก็ได้

2. ผู้มีส่วนได้เสีย ปีที่แล้วออกตรงๆเลยว่าคือใคร ที่ออกสอบว่าตกเป็นของแผ่นดิน ไม่มีทายาทเลยถามว่าเจ้าหนี้ ร้องขอตาม 1713ได้หรือไม่ ก็ออกไปว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียจึงร้องขอได้

แต่ตั้งแต่ปี 42 มีอีกประเภทหนึ่งคือ ทายาทตกลงกันให้ใครเป็นผู้จัดการมรดกก็ได้

            เขาไม่ร้องขอต่อศาล ทั้งหมดทุกคนก็ตกลงกันให้ อาจารย์หม่อมเป็นผู้จัดการมรดกดีไหม สอนมรดกมานานลงรู้ ทั้งๆที่ไม่อยู่ใน 1711 เลย อาจารย์หม่อมก็เป็นผู้จัดการมรดกได้

            ถ้าผุ้จัดการมรดกเบี้ยว หรือ ยักยอก ถ้าทายามเป็นผู้ตั้ง ใข้หลัก ตัวการตัวแทน

            ผิดกับศาลตั้งผิดกับพินัยกรรม ออกเนฯไปแล้วอาจจะพรวดไปสอบผู้ช่วยได้ และรุ่นนี้ใครจบวาสนาดีได้สอบผู้ช่วยทันที

                ศาลตั้งกับพินัยกรรมมีบทโดยเฉพ่ะ 1713 ต่างกับ 1718 อย่างไร

1718 เป็นคุณสมบัติของผู้เป็นผู้จัดการมรดก ต้องอยู่ในกฏเกณฑ์อย่างหนึ่ง ส่วน 1713 คือผู้ที่จะมีสิทธิร้องขอให้ศาลตั้ง ชายตาดูคำถามให้ดีว่าเขาออกเรื่องอะไร

            บางอย่างขอกระโดดข้ามให้รู้ไว้ อะไรที่เป็นเรื่องเฉพาะตัว มีประมวลกฏหมายแพ่งหลายมาตรา

            เฉพาะตัว 446 532 การให้ 584 *** จ้างแรงงาน ถ้านายจ้างตายสัญญาจ้างระงับหรือไม่ คำตอบ สาระสำคัญ  584 คู่กับมาตรา 606 อันนี้ไปทบทวนนิดหนึ่ง ข้อสอบ สมัย 57 เปิดตัวบท 1439 อันนี้ยังต้องสนใจต่อไปเป็นเรื่องการหมั้น

            1439 ผิดสัญญาหมั้น ดูตัวบทดีๆ เห็นชัดว่าถ้ามีการผิดสัญญาหมั้นเขาเรียกค่าสินไหมทดแทนใช่หรือไม่ เขาเรียกว่าค่าทดแทน ได้ ขีดเส้น ละเมิดใช้คำว่าค่าสินไหมทดแทน แต่ถ้าเป็นเรื่องหมั้นใข้คำว่าค่าทดแทน 1439 โยง 1440 1447 วรรคสอง สามมาตรานี้โยงซึ่งกันและกัน ว่าค่าทดแทนเหล่านี้ตกเป็นมรดกได้หรือไม่ คำตอบดู 1440 ไม่ตกเป็นมรดก ยกเว้น 1440 (2 ) ****** ตกเป็นมรดก

            มาดูอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องการเช่า การเช่า หลักผู้ให้เช่าตายมรดกตกทอดหรือไม่ ผมให้เช่าที่ดิน ผม ตาย ลูกผมต้องผูกพันหรือไม่ ด้านผู้ให้เช่าตกเป็นมรดก เพราะเป็นหน้าที่เป็นหนี้ไม่เป็นการเฉพาะตัว

            แต่ถ้าเป็นด้านผู้เช่าก็ระงับ

            ผู้ออกข้อสอบกรรมเข้าใจง่ายก็เลือก

            แต่มีฏีกาหลายฏีกา เรื่องสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญยาเช่าธรรมดานั้น เป็นมรดกตกทอดเพราะ ว่า เป็นการรับภาระเพิ่มขึ้นซึ่ง เป็นมรดกด้วย 537

ฎ.5770/2539

โจทก์เช่าอาคารเฉพาะชั้นที่1ถึงชั้นที่6จากจำเลยในอัตราค่าเช่าเดือนละ 200,000บาทต่อมาโจทก์ได้ปรับปรุงอาคารที่เช่าให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมเพื่อ ใช้เป็นห้องพักและสำนักงานสิ้นค่าใช้จ่ายไป6,000,000บาทและจะต้องชำระค่า เช่าให้จำเลยอีกเดือนละ200,000บาททั้งตามข้อสัญญาระบุว่าบรรดาสิ่งที่ผู้ เช่าได้นำมาตกแต่งในสถานที่เช่าถ้ามีลักษณะติดตรึงตรากับตัวอาคารแล้วผู้ เช่าซื้อจะรื้อถอนไปไม่ได้เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ให้ เช่าการปลูกสร้างหรือดัดแปลงต่อเติมที่ผู้เช่าได้กระทำขึ้นนั้นต้องตกเป็น กรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าทั้งสิ้นในการลงทุนปรับปรุงอาคารพิพาทประกอบกับข้อ สัญญาดังกล่าวบ่งชี้ว่าสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยเป็นสัญญาต่าง ตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา

            ผู้เสียหาย ตาย  ทายาทถอนคำร้องทุกข์ได้หรือไม่ อันนี้ต้องใช้ความรู้วิอาญาได้  สิทธิในการร้องทุกข์เป็นสิทธิอันเกี่ยวกับทรัพย์สิน ถอนคำร้องทุกข์ได้เพราะเป็นมรดกตกทอดได้ เพราะเป็นสิทธิอันเกี่ยวกับทรัพย์สิน

            1598/29

            มาตรา 1600 ที่มีว่าภายใต้บังคับ มีหลายมาตรา แต่ยังไม่ได้อธิบาย ชอบออกการรับบุตรบุญธรรมไม่ก่อให้เกิดสิทธิการรับมรดกของบุตรบุญธรรมในฐานนะทายาทโดยธรรม 1627 บุตรบุญธรรมรับ มรดกของผู้รับบุตรบุญธรรมได้

            1598/20 บุตรบุญธรรม 1.ไม่มีคู่สมรส 2. ไม่มีผู้สืบสันดาน ถามว่าถ้าบุตรบุญธรรมตายก่อน ผู้รับบุตรบุญธรรมถามว่าเกิดสิทธิอะไร

            ขีดเส้น มีสิทธิเรียกร้องทรัพย์ที่ตนให้คืนได้ อันนี้คนละเรื่องกับเรื่องการเรียกคืนการให้โดยเหตุเนรคุณ

            ระวัง 1598/30 อย่าไปเผลอตอบ 531 ซวยเลย

            อีกอันหนึ่ง วิแพ่งมาตรา 42 รับมรดกความไม่ใช่การรับมรดกนะ ทายาทของคู่ความฝ่ายผู้ตายต้องเข้ามาภายใน 1 ปี ไม่ใช่มรดกเป็นบทบัญญัติเฉพาะ วิแพ่ง 271 ลูกหนี้ตามคำพิพากษา

            ถ้าเจ้าหนี้ตายใครจะบังคับคดี คำตอบ 1600 ทายาทของเจ้าหนี้ อย่ามั่วถ้าวิแพ่ง 42 เป็นเรื่องคดีความ แต่ 271  เป็นทายาทของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา

            เปิดตัวบท 1599 วรรค 1 ไล่ภาพ เวลาผมเรียกจะไล่ภาพ

1.มรดกตกทอดเมื่อใด 1599 วรรค 1 เมื่อเจ้ามรดกตาย

2.มรดกจะตกทอดแก่ใคร ถ้าเป็นมรดกจะถูกกำกับ ทายาทโดยธรรม 1603

ทายาทโดยธรรมอาจารย์เคยโยงแล้วมีกี่มาตรา 1629 นอกจากนั้นแล้วยังมีกรณีผุ้สืบสิทธื 1615 วรรคสองเป็นเรื่องสละมรดกแล้วตกทอด หรือคือสืบสิทธิไปสู้ผู้สืบสันดาน ( ไม่มีคำว่าโดยตรง )

            ทายาทโดยธรรม มีมาตราอะไรอีก 1639  ไปท่องให้ได้เลยเรียกว่าการรับมรดกแทนที่กัน เน้นการรับมรดกแทนที่กัน 1639 1642 1643 และขีดเส้น 1643 ว่าต้องเป็นผู้สืบสันดานโดยตรง ไม่เหมือนกันนะ ต่างแค่คำว่าโดยตรงเนี่ย เข้าห้องสอบต้องนึกถึงทายาทพวกนี้ให้หมด

            ทายาทโดยธรรมอยู่ที่ข้อสอง 1603 วรรค 2 กับ วรรค 3

            คำว่าตายคืออะไร ********

1.ตายโดยธรรมชาติ ธรรมดามากไม่ได้เรียนแพทย์ไม่ต้องอธิบายลึก

2.ตายโดยกฎหมายสมมุติ **** อันนี้ต่างหากที่สำคัญกับกฎหมายมรดก

1602 วรรค 1 เป็นการตายประเภทที่สอง มีปัญหามาก ย้ำการตายประเภทนี้เพราะศาลสั่งให้เป็นคนสาปสูยอยู่ที่มาตรา 62 ย้ำ เพราะศาลสั่ง ถือว่าตายแล้ว

            ดุมาตรา 61 ทำไมศาลจะสั่งสาบสูญก็เพราะสองกรณี จากไปจากภูมิลำเนา 37 47 ไม่มีใครเห้นเลย ไปมาตั้ง 5 ปี แล้ว อาจารยืหม่อมมีสิทธิร้องเป้นคนสาบสูญได้

            ตัวอย่างง่ายๆครบ 5 ปี 1 ม.ค. 52 อาจารย์มีสิทธิโดน

            ดูมาตรา 61 วรรคสอง มีอยู่สามวงเล็ก กรณีเช่นนี้กฎหมายเหลือ 2 ปี

            ขณะนี้อาจารย์หม่อมยังไม่สาบสูญตาม 1602 เพราะศาลยังไม่สั่ง มรดกยังไม่ตกทอด จะตกทอดก็ต่อเมื่อศาลสางเป็นคนสาบสูญ อัยการหรือทายาทต้องร้องขอต่อศาลให้เป็นคนสาบสูญ

            วิแพ่งมาตรา 55 ไม่ทะเลาะกับใครต้องใช้คำว่าร้องขอ

            พวกญาติผมก็อยากรับมรดก ลูกผมเลยร้องขอต่อศาลว่าไม่รู้ไปไหน ก็ร้องขอต่อศาลตามมาตรา 61 ศาลสั่งวันนี้ 8 มิ.ย 52 มรดกตกทอดยัง คำตอบ ตกทอดแล้ว เพราะเข้า องค์ประกอบ 5 ปีก็แล้ว ร้องขอก็แล้ว ศาลสั่งแล้ว

            จุดสำคัญอยู่ตรงนี้ มรดกของอาจารยืหม่อมตกทอดเมื่อวันไหน 8.มิย 52 หรือ 1.ม.ค52 ครบ 5ปี หรือ 1.ม.ค 47 ที่ออกจากบ้านไป คำตอบ ย้อนไปวันที่ครบ 5 ปี 1.มค.52 ******** ย้ำหนักๆไม่ใช่วันที่ศาลมีคำสั่งสาบสูญแต่เป็นวันที่ครบกำหนด 5 ปี หรือ 2 ปี ถามว่าที่พูดมาอะไรมายันคำตอบ มาตรา 61 62 นั่นเอง

            เอาหล่ะ หากอาจารย์หม่อม ดู 63 วรรค 1 ศาลสั่งสาบสูญ 8 มิ.ย 52 แบ่งมรดกไปแล้วหมด อาจารย์หม่อม เบื่อกลับมา ไม่ได้ตายจริง หรือ ตายแต่ไม่ได้ตายวัน ที่ 1 ม.ค.52 ตายผิดเวลาไป ทำอย่างไรหล่ะ มรดกก็แบ่งไปแล้ว

            คำตอบ เขาบอกว่าให้มีการเพิกถอนคำสั่งสาบสูญนี้น เมื่อเพิกถอนแล้วก็ไม่มีก็ต้องถือวันที่ตายจริงก็ต้องถือวันที่มรดกตกทอดนั้นแหละ เพิกถอนแล้วที่ให้ไป เป็นยังไง

            ก็ให้นำเรื่องของลาภมิควรได้มาใช้ สุจริตแค่ไหนก็คืนแค่นั้น

            เปิดตัวบท 1516 ศาลสั่งการสาบสูญดู 1501 ด้วย ล

            ศาลสั่งสาบสูญไม่ทำให้การสมรสสิ้นสุด จากไป 5 ปี เมียว้าเหว่ ก็ยังเป็นเมียผม อยากไปแต่งงานใหม่ ก็ 1516 ใช้เป็นเหตุฟ้องหย่าสิ

            ทางมรดกตกทอดแต่ทางครอบครัว 1501 เป็นคำตอบ จะเป็นการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาก็ ตาย หย่า ศาลเพิกถอน

            เพื่อความสมบูรณ์จริงๆเมื่อสามปีก่อนเกิดเหตุการณ์ ซึนามิใช่หรือไม่ ข้อสอบออกมาต้องเปนหกจังหวัดที่ได้รับผลซึนามิเท่านั้น

            …………………………………………………………………………………………………

 

เป็นอันจบต่อไปนี้จดใส่กระดาษไว้  

            ฏีกาใหม่เอี่ยมของปี 51

                                                1854/2551

            ผู้ตายเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 1627 แต่ผลของบทกฎหมายดังกล่าวเพียงแต่ให้ถือว่าบุตรนั้นเป็นผู้สืบสันดานเหมือน กับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิได้รับมรดกของบิดาเท่านั้น หาได้มีผลทำให้บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลับเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายมีสิทธิ ได้รับมรดกของบุตรในฐานะทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 ด้วยไม่ ผู้คัดค้านซึ่งเป็นบิดาผู้ตายจึงมิใช่ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดก ของผู้ตาย ไม่มีสิทธิคัคค้านหรือร้องขอต่อศาลให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ได้ และปัญหาดังกล่าวมีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้อยู่แล้ว กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 4 ที่จะต้องวินิจฉัยคดีตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น หรืออาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หรือวินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

 อันนี้อธิบายว่าอะไรคือคดีมรดกเพื่อรองรับ

ฏีกา 2102/2551 ฏีกานี้แรงมาก การทำพินัยกรรมแบบเขียนเองกับธรรมดาค้นไม่พบ

1397-1399/2551 วินิจฉัย 1629 ( 4 ) กับ ( 6 ) ว่าพี่น้องร่วมบิดาหรือมารดา ให้ถือตามความเป็นจริง

6671/2551 *** อันนี้อาจารย์ชอบมาก วินิจฉัย 1750 วรรค 1 เกี่ยวกับการแบ่งมรดกการปันมรดก บอกว่าให้ระวังใช้กับสละมรดก 1612 1613 กาดอกจันทร์เลย

            สับสนการแบ่งปันมรดกกับสละมรดกเป็นอย่างไร

6306/2551 หนี้ร่วมคืออะไร 1490 (1 )

6829/2551 เป็นฏีกาสุดท้ายก็วินิจฉัย 1490 หนี้ร่วมเช่นกัน

                             ฏีกาเด่น

2259/2529***ของขวัญที่ให้ใช้ในครอบครัว เป็นข้อสอบสมัย 57 หรือ 58

5736/2534

2039/2522

489/2586

413/2506

561/2510*******

5750/2533

370/2506 ออกสอบแล้ว

678/2535

8485/2544 กรีดยาง ย้ำดอกผลของทรัพย์มรดก

2401/2515 คำว่าเสมือนมรดกหมายถึงอะไร

4714/2542 ฏีกาของอาจารย์ประสพสุข

และ 3208/2538

477/2514

1209/2549

3208/38

 477/14

1212/49

สามฏีกานี้ 433 วรรค 1 ค่าปลงศพ

1602/2548 ฏีกาคำมั่นเผื่อออกเรื่องเช่า

ตอนนี้ยังไม่ได้อธิบาย มาตรา 1622 -1623 เพื่อวันนี้มีเหตุจำเป็นเรื่องพระ 1622 -1623

1064/2532

903/2536

997/2540

1648/2492

คราวหน้าพูดเรื่องนี้ เนฯบอกว่าคำอธิบาย สีชมพูครั้งที่ 15 มิ.ย ไม่เลื่อน

 

Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages