...ข้อแตกต่างระหว่างวิ่งราวทรัพย์กับชิงทรัพย์
อยู่ที่มีการใช้กำลังประทุษร้ายหรือไม่...??
พิจารณาศึกษาจากคำพิพากษาฎีกาที่ 11865/2554
การกระทำที่จะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม
ป.อ. มาตรา 339 วรรคแรกนั้น
ต้องเป็นการลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย
เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป
หรือให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้นฯลฯ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะพวกของจำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่กำลังขับตามผู้เสียหายไป
ถามผู้เสียหายว่าจะรีบไปไหน
พวกของจำเลยดังกล่าวเพียงแต่มีมีดถืออยู่ในมือและในขณะผู้เสียหายวิ่งหนี
พวกของจำเลยได้วิ่งไล่ตามผู้เสียหายไปจนทันแล้วกระชากสร้อยคอทองคำที่ผู้เสียหายสวมอยู่ขาดติดมือพวกของจำเลยไป
โดยพวกของจำเลยไม่ได้ใช้มีดที่ถืออยู่จี้ขู่เข็ญ หรือแสดงท่าทีใดๆ
ให้เห็นว่าเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้มีดที่ถืออยู่ฟันหรือแทงประทุษร้ายหากผู้เสียหายขัดขืนไม่ให้พวกของจำเลยกระชากเอาสร้อยคอทองคำไป
พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์
หากแต่เป็นเพียงการร่วมกันลักทรัพย์ของผู้เสียหายโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าโดยใช้รถจักรยานยตน์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิดพาทรัพย์นั้นไปหรือให้พ้นการจับกุมอันเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตาม
ป.อ. มาตรา 336 วรรคแรก
ประกอบมาตรา 336 ทวิ และมาตรา 83
หมายเหตุ
1. ก่อนหน้านั้นได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่า
การขู่เข็ญโดยพฤติการณ์สามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่ ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 286/2546
ป.วิ.อ. มาตรา 227
ป.อ. มาตรา 1 (6), 339
แม้จำเลยจะมิได้พูดจาข่มขู่หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายแต่พฤติการณ์ของจำเลยที่เดินเข้าหาผู้เสียหายจนทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวจนต้องดึงสร้อยคอทองคำโยนทิ้ง
บ่งบอกให้เห็นว่าจำเลยแสดงอาการขู่เข็ญผู้เสียหายแล้วโดยไม่จำต้องพิจารณาว่าจำเลยจะได้พูดจาขู่เข็ญผู้เสียหายหรือไม่
และเมื่อผู้เสียหายโยนสร้อยคอทองคำทิ้งเพื่อมิให้จำเลยแย่งเอาไปได้
จำเลยยังใช้มีดปลายแหลมจ่อที่หน้าอกผู้เสียหายอีก
กรณีถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญผู้เสียหายมิให้ขัดขืนต่อการที่จำเลยจะลักเอาสร้อยคำทองคำและเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายแล้วการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
339 วรรคสาม
คำพิพากษาฎีกาที่ 1060/2545
ป.อ. มาตรา 1 (6), 335, 339
จำเลยเพียงแต่ถือมีดปลายแหลมเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ
2 เมตร และขณะที่ผู้เสียหายตกใจวิ่งหลบหนี จำเลยวิ่งไล่ตามไปจนทันแล้วกระชากสร้อยข้อมือที่ผู้เสียหายสวมอยู่จนขาดติดมือจำเลยไป
โดยไม่ได้ใช้มีดจี้ขู่เข็ญหรือแสดงท่าทีให้เห็นว่าเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้มีดแทงประทุษร้ายผู้เสียหาย
การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายเพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์
และการที่จำเลยกระชากสร้อยข้อมือที่ผู้เสียหายสวมอยู่เป็นเพียงการลักเอาทรัพย์สินไปจากความครอบครองของผู้เสียหายเท่านั้นไม่เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายตามความหมายของกฎหมายแต่อย่างใด
การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์แต่ผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธและโดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดเท่านั้น
คำพิพากษาฎีกาที่ 3846/2543
ป.อ. มาตรา 1 (1), 339
จำเลยมิได้ถืออาวุธปืนจ้องมาทางผู้เสียหาย
ก่อนหยิบเสื้อของ ว. ไป จำเลยพูดว่าเอาเสื้อไปนะ ขณะหยิบเสื้อของ ว.
ซึ่งแขวนอยู่ที่ไม้แขวนเสื้อและเครื่องรับโทรศัพท์ไร้สาย
จำเลยถืออาวุธปืนอยู่ในมือข้างเดียวกับที่ถือไม้แขวนเสื้อแสดงว่าจำเลยมิได้หยิบเสื้อของ
ว. ไปโดยพลการ
จำเลยถือไม้แขวนเสื้อในมือที่ถืออาวุธปืนมีลักษณะไม่อยู่ในสภาพที่จะทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวได้
ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายไม่กล้าขัดขวางจำเลยเพราะเหตุที่จำเลยถืออาวุธปืน
จำเลยเอาทรัพย์ของผู้เสียหายและว.
ไปจึงมิใช่เกิดจากการที่จำเลยใช้อาวุธปืนขู่เข็ญผู้เสียหายอันจะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
จำเลยเอาทรัพย์ไปก็เพื่อให้ ว.
เอาฝาถังน้ำมันรถยนต์ของจำเลยไปแลกทรัพย์คืนมา จำเลยมีฐานะดี
การที่เอาทรัพย์ของผู้เสียหายและ ว. ไป เพื่อต้องการให้ ว.
เอาฝาถังน้ำมันรถยนต์ของจำเลยไปแลกทรัพย์คืนมา จึงไม่มีเจตนาทุจริต การกระทำ
ของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
2. ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 336 บัญญัติว่า ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ผู้นั้นกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์........
มีคำพิพากษาศาลฎีกาวางหลักเกี่ยวกับวิ่งราวทรัพย์ที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 653/2553
ป.วิ.อ. มาตรา 192, 195, 212,
225
ป.อ. มาตรา 33, 335 (7), 335
(1), 336 วรรคหนึ่ง
ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา
336 จะต้องเป็นการลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ผ.
ทำทีเป็นพูดโทรศัพท์เคลื่อนที่
และเอาโทรศัพท์ไปในขณะที่ผู้เสียหายให้บริการลูกค้าคนอื่นอยู่
เป็นการเอาไปในขณะเผลอ มิใช่เป็นการฉกฉวยทรัพย์ไปโดยซึ่งหน้าแต่ประการใด
การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เมื่อเหตุเกิดในเวลากลางคืนและร่วมกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป
เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 335 (1) และ 335 (7) ต้องรับโทษตาม ป.อ. มาตรา 335 วรรคสอง
ซึ่งมีโทษหนักกว่าความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ตามมาตรา 336 วรรคหนึ่ง
ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 แต่จะพิพากษาลงโทษจำเลยหนักขึ้นไม่ได้
เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212
อนึ่ง ทรัพย์ที่ศาลจะสั่งริบตาม ป.อ.
มาตรา 33 ได้
ต้องปรากฏว่าเป็นทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด
ตามทางนำสืบของโจทก์ได้ความแต่เพียงว่าจำเลยใช้รถจักรยานยนต์เพื่อความสะดวกในการพาทรัพย์หลบหนี
มิได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นเครื่องมือหรือเป็นส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์
จึงเป็นทรัพย์ที่ไม่อาจริบได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 ประกอบมาตรา
225
คำพิพากษาฎีกาที่ 10344/2550
ป.อ. มาตรา 336
จำเลยใช้อุบายเข้าไปขอซื้อสินค้า เมื่อ
น. ไปหยิบสินค้าและเผลอ พวกของจำเลยลงจากรถลักบุหรี่ไปจากร้านค้าของผู้เสียหาย
ผู้เสียหายอยู่อีกฟากถนนและเห็นเหตุการณ์ในระยะห่าง 20 เมตร
ลักษณะการกระทำดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าพวกของจำเลยเอาบุหรี่ของผู้เสียหายไปต่อหน้าผู้เสียหาย
การกระทำของพวกของจำเลยไม่เป็นการฉกฉวยเอาซึ่งหน้า
ไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันวิ่งราวทรัพย์
คำพิพากษาฎีกาที่ 12584/2547
ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
ป.อ. มาตรา 295, 335 วรรคสอง, 335 (1), 335 (7)
โจทก์บรรยายฟ้องว่า
จำเลยกับพวกร่วมกันชิงทรัพย์ผู้เสียหาย โดยโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า
จำเลยฉกฉวยเอาเงินของผู้เสียหายหนีไปซึ่งหน้าอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานวิ่งราวทรัพย์ คงลงโทษจำเลยได้ในข้อหาลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 335 (1) (7) วรรคสอง
ซึ่งเป็นความผิดที่เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม ป.วิ.อ.
มาตรา 192 วรรคท้ายเท่านั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องโจทก์สืบสม
แต่อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคห้า
คำพิพากษาฎีกาที่ 6624/2545
ป.วิ.อ. มาตรา 43, 213, 225
ป.อ. มาตรา 33, 80, 83, 336 วรรคแรก, 336 ทวิ
แม้ขณะจำเลยที่ 1 กระชากสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหายสร้อยคอพร้อมพระดังกล่าวจะอยู่ที่มือจำเลยที่
1 แต่ก็เป็นเพียงการกระทำที่มุ่งหมายจะให้สร้อยคอพร้อมพระขาดหลุดจากคอผู้เสียหาย
เมื่อปรากฏว่าสร้อยคอทองคำดังกล่าวตกอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ
ส่วนพระเลี่ยมทองคำนั้นหาไม่พบ
ทั้งขณะเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นตัวจำเลยก็ไม่พบพระเลี่ยมทองคำดังกล่าวแสดงว่าหลังจากกระชากแล้วสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำหลุดจากมือจำเลยที่
1 ตกลงพื้น จำเลยที่ 1 ยังไม่ทันเข้ายึดถือครอบครองสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำดังกล่าว
เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1ได้ลงมือกระทำความผิดแล้วแต่ยังไม่อาจยึดถือครอบครองสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำนั้นได้
การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์
แม้จำเลยที่ 1 จะไม่สามารถเอาพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหายไปได้แต่ผลจากการกระทำความผิดของจำเลยที่
1 ทำให้ผู้เสียหายสูญเสียพระเลี่ยมทองคำไป จำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดคืนหรือใช้ราคาพระเลี่ยมทองคำแก่ผู้เสียหาย
สำหรับรถจักรยานยนต์ของกลาง เมื่อปรากฏว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายขับรถยนต์อยู่
จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ของกลางเข้าประกอบแล้วจำเลยที่ 1
ซึ่งนั่งซ้อนท้ายกระชากสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหาย
พฤติการณ์เห็นได้ว่าเป็นการใช้รถจักรยานยนต์ของกลางในการกระทำความผิดโดยตรง
จึงต้องริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 เมื่อฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่
1 เป็นความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์
จึงเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาฎีกาที่ 831/2532
ป.วิ.อ. มาตรา 192
ป.อ. มาตรา 335, 336, 339
จำเลยที่ 1 ใช้
มือซ้ายกระชากคอเสื้อผู้เสียหาย แล้วใช้ มือขวากระชากสร้อยคอทองคำหนัก 1
สลึง ของผู้เสียหายขาดออกจากกัน และเอาสร้อยคอกับพระเลี่ยมทองคำซึ่ง
แขวนอยู่ 1 องค์ไป เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันในทันใดเพื่อประสงค์จะเอาสร้อยคอของผู้เสียหายเป็นสำคัญ
และเป็นเพียงวิธีการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายเท่านั้นมิใช่เป็นการใช้
กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายอันจะเป็นความผิดฐาน ชิงทรัพย์ แต่
เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ใช้ กิริยาฉกฉวย
เอาสร้อยคอและพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหายไปซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐาน
วิ่งราวทรัพย์ เมื่อโจทก์มิได้บรรยายองค์ประกอบความผิดฐาน
นี้มาและคำขอท้ายฟ้องก็มิได้ขอให้ลงโทษฐาน วิ่งราวทรัพย์
จึงเป็นเรื่องทีโจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษในความผิดฐาน วิ่งราวทรัพย์
คงลงโทษจำเลยได้ เฉพาะ ฐาน ลักทรัพย์เท่านั้น.
คำพิพากษาฎีกาที่ 2103/2521
ป.อ. มาตรา 1 (6), 335, 339
จำเลยขึ้นไปบนเรือนผู้เสียหายแล้วลักเอานกเขาพร้อมกรงของผู้เสียหายนางสาวดำเห็นเข้าจึงเข้าแย่งกรงนั้นแต่สู้กำลังจำเลยไม่ได้ จำเลยจึงแย่งเอากรงและนกเขาของผู้เสียหายไปได้ ดังนี้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
เพราะจำเลยไม่ได้ใช้กำลังประทุษร้ายแก่กายหรือจิตใจของนางสาวดำแต่ประการใด
จำเลยคงมีความผิดฐานลักทรัพย์
จำเลยปัดไฟฉายที่ผู้เสียหายถืออยู่จนหลุดจากมือผู้เสียหายก้มลงเก็บไฟฉาย
จำเลยกระชากสร้อยคอพาหนีไปการปัดไฟฉายเป็นการกระทำแก่เนื้อตัวหรือกาย
เป็นการใช้กำลังประทุษร้าย เป็นชิงทรัพย์
คำพิพากษาฎีกาที่ 393/2519
ป.วิ.อ. มาตรา 172
ป.อ. มาตรา 80, 83
ผู้เสียหายจับสร้อยที่สวมคอไว้ ม.
กระชากสร้อยขาดแต่ยังติดมือผู้เสียหายอยู่
ยังเป็นแต่จะทำให้สร้อยขาดหลุดจากคอเท่านั้น การเอาไปยังไม่บรรลุผล ผู้เสียหายร้องขึ้น
ม.
วิ่งไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยติดเครื่องคอยอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามขับหนีไปตามแผนการณ์ที่ร่วมกันวางไว้เป็นการพยายามวิ่งราวทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ
จำเลยเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน2514 ข้อ 13 ด้วย
คดีที่ ม. เป็นจำเลย
ศาลลงโทษตามคำรับสารภาพฐานวิ่งราวทรัพย์เป็นความผิดสำเร็จ
คดีที่ศาลสั่งให้แยกฟ้องจำเลยนี้ได้ความว่าการกระทำเป็นเพียงพยายาม
ศาลลงโทษคดีนี้ฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์
คำพิพากษาฎีกาที่ 1315/2513
ป.อ. มาตรา 83, 336
จำเลยที่ 1 กระชากสร้อยคอผู้เสียหายได้แล้ววิ่งหนีไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยที่
2 จอดติดเครื่องคอยอยู่ห่างที่เกิดเหตุ 10 วาเศษแล้วจำเลยที่ 2 ขับรถนั้นพาจำเลยที่ 1 หนีไปในทันใด พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่
1 ในการกระทำผิดฐานวิ่งราวทรัพย์โดยแบ่งหน้าที่กันทำ
คำพิพากษาฎีกาที่ 1200/2481
ป.อ. มาตรา 297
ทรัพย์วางอยู่ห่างตัวเจ้าทรัพย์ 5 วา จำเลยคว้าทรัพย์ที่วางไว้พาวิ่งหนีไป
ไม่เรียกว่าเป็นการฉกฉวยพาทรัพย์หนีไปต่อหน้าจะลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์มิได้
ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์กฎหมายมุ่งประสงค์ว่าเจ้าทรัพย์จะต้องอยู่ใกล้ชิดกับทรัพย์ขณะที่ถูกลัก
Credit : รพี ๕๖//ทบทวนหลักกฎหมายกับ อ.ประยุทธ
.............................................................................................................................................................
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++