ชุดที่ 4
ครั้งที่ 11 . (กรรมการ ประชุมใหญ่ )
ก็ต่อคราวที่แล้วนะครับค้าง1168 ข้อย้ำที่ 1666 คือเรื่องที่กรรมการทำไปแต่กรรมการแต่งตั้งไม่ถูกต้องก็คุ้มฯบุคคลภายนอกผู้สุจริต
4057/2550 บอกว่าความสุจริตของบุคคลภายนอกคุ้มครองขนาดไหน ก็ กรรมการคนหนึ่งเข้ามาเป็นกรรมการโดยการปลอมหนังสือแล้วก็มาลงนาม โดยไม่ชอบกระทรวงพาณิชย์ก็ไม่ชอบ ถือว่าบุคคลภายนอกได้คุ้มครองหรือไม่ ศาลก็บอกว่าไม่ถึงขนาดปลอมเอกสารที่ ก็เป็นฎีกาที่ใหม่ มาตรา 1168 1169 ก็บอกว่าคืออะไรกันแน่ก็ไม่เคยฏีกากันมาก ว่าหน้าที่นี้ใช้ทั้งกรรมการที่กินเงินเดือนมาด้วยกับกรรมการไม่บริการ
2191/2541 ตีความไว้อย่างระเอียดว่ากรรมการที่ต้องใช้ความระมัดระวัง ว่าถ้าเป็นธนาคารก็ต้องใช้ความระมัดระวังเช่นผู้ค้าลักษณะนั้นมาใช้ เอาตัวเองมาเป้นที่ตั้งไม่ได้
วรรคสอง ด้วย สมัยก่อนก็ตีความกันว่าหน้าที่ที่ต้องระมัดระวังเนี่ยพูดง่ายๆว่า ลูกหนี้ร่วมเฉพาะความผิดเรื่องแรกหรือเปล่า
ปัญหาก็เกิดว่าอายุความเท่าไหร่กันแน่ ฏีกาฉบับนี้ก็ตีความว่า
1 มาตรฐานมีขนาดไหน ก็ตามแต่อาชีพนั้น
2 การเป็นหนี้ร่วมนั้น ไม่เฉพาะวรรคสองนะครับ วรรคหนึ่งก็เป็นหนี้ร่วมด้วย
3 การวางรากฐานว่า 4546/2540 มีข้อสังเกต ว่าละเมิดก็ 1 ปีนับแต่รู้ 10 ปีนับแต่ทำ ทีนี้หน้าที่ประการต่อไปวรรคสาม คือห้ามทำอย่างแข่งกับบริษัทและเข้าเป็นหุ้นส่วนในการทำกิจการอย่างเดียวกัน ก็คือป้องกันการคัดแย้งผลประโยชน์ จำกัดไม่ว่านะครับเพราะว่าจะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการไม่ได้ไงครับ
ที่นี้ 1169 บอกว่า กฎหมายบริษัทไทยก็คือเสียงข้างมากเป็นหลัก จะโกงจะเลวก็ปลดไม่ได้แต่ มีมาตรานี้ตอบโต้คือ จะฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ เป็นบทคุ้มครองผู้ถือหุ้นข้างน้อย ต้องบริษัทไม่ฟ้องก่อนนะครับ
ปัญหาว่าการก่อให้เกิดความเสียหายของบริษัทคืออะไร 4546/2540 คดีแก๊ซระเบิด ค่าเสียหายเป็นร้อยล้าน ก็ปรากฏว่าโดยหลักก็ต้องฟ้องบริษัทใหรับผิดค่าเสียหายทางการที่จ้าง บริษัทก็รับผิดเท่าทุนจดทะเบียน ทนายคดีนี้ก็ต้องชมว่าไปทำให้บริษัทเสียหาย คือไปทำผิดหน้าที่ แต่ไปดู1169 วรรคสอง โดยหลักเจ้าหนี้ฟ้องทรัพย์สินบริษัท แต่ประเด็นนี้ก้ไปเรียกเอาจากกรรมการแทน
สรรพากรก็เป็นเจ้าหนี้ได้ ให้กรรมการชดใช้เงินคืนมาให้ อายุความสิบปี
มาดูคดีโรงงานแก๊ซ โดยหลักก้ฟ้องบริษัทคดีนี้ก็ฟ้องกรรมการทำผิดหน้าที่ เพราะรถที่มาวิ่งเซฟไม่ดี คนขับไม่ดี กรรมการไม่ตรวจสอบ 1168 ก็เลยต้องมารับผิด ศาลฏีกาตีความว่าต้องเป็นผลโดยตรงจากการดูแลกิจการบริษัท กรณีนี้ไม่ใช่ผลโดยตรงจากกรรมการที่รับผืดต่อบริษัท
มาดูมาตรา 1670 คือ
เอาหลัก การปลดเปลื้องความรับผิดของกรรมการ คือ กิจการที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นที่จะอนุมัติก่อน พ้นเฉพาะในส่วนของผู้ถือหุ้นที่อนุมัตินะครับ และก็มีการตัดอายุความคือภายในหกเดือน นับแต่วันที่ประชุมใหญ่อนุมัติ
จึงมีเทคนิคอย่างคือก่อนขายกิจการให้สัตยาบันให้หมดก่อนนะครับ ก่อนจะโอนหุ้นให้บุคคลภายนอก
ต่อไปเรื่องที่ประชุมใหญ่
กรรมการคือ ครม ผู้ถือหุ้นคือ สส ที่ประชุมใหญ่ก็คือที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นนั้นเอง
ประชุมสามัญก็คือการทำงบดุล กับ เรื่องเงินปันผล
ถ้าเรียกประชุมวิสามัญส่วนใหญ่ ก็เปลี่ยนกรรมการ
ถ้าขาดทุนถึงครึ่งนึงต้นทุนต้องเรียกทันที
ฎ บริษัทประกันจะล้มละลาย ข้อเท็จจริงคือขาดทุนเกินกึ่งแล้วไม่เรียกก็ทำผิดหน้าที่
การประชุมวิสามัญก็ อาจเริ่มโดยผู้ถือหุ้น ยี่สิบเปอร์เซ็นขอ
ถ้าประธาน ไม่เรียกภายในสามสิบวัน ก็เรียกเองได้
1174 บอกให้เรียกประชุมโดยพลัน ต้องเรียกนะครับจะใช้ดุลพินิจไม่ได้จะอ้างเหตุผลไม่ได้ ถ้าไม่เรียก คนที่ต้องการนั้นก็ออกหนังสือเชิญประชุมเองได้
คือถ้าเรียกประชุมวิสามัญนั้นก็เป็นสัญญาณอันตรายแล้ว จะปลดกรรมการก็ไม่ค่อยต้องการจะเรียกกันนะครับ
ประชุมวิสามัญปลดกรรมการ ใช้องค์ประชุม กฎหมาย 1178 คือหนึ่งในสี่ของทุน รับรอง
1175 เป็นกฎหมายแก้ใหม่บอกว่าให้ลงพิพในหนังสือพิพอย่างน้อยหนึ่งคราวและส่งไปรษณีย์
ไปยังผู้มีชื่อในทะเบียน เท่านั้น เพราะว่า ที่เคยบอกว่าการโอนหุ้นก็ต้องมีการแจ้งไปสู้นายทะเบียนนะครับ
7 วันมติธรรมดา 14 วัน พิเศษ
ที่น่าสังเกตคือการตั้งบริษัท ง่ายขึ้น แต่การประชุมใหญ่ยากขึ้นนะครับ เปลื้องเพราะต้องเสียค่าโมษณา นะครับ
1176 ผู้ถือหุ้น
2123/2537 เกิดเรื่องเมื่อผู้ถือหุ้น โอนถูกทุกอย่างแต่ลืมแจ้งนายทะเบียน วันดีคืนดี ก็ มาประชุมผู้ถือหุ้นก็จะเข้าประชุม ประธานก็ไม่ให้เข้าเพราะไม่ได้บอกกล่าวไปทางบริษัท ก็เข้าจาม1129 วรรค 3 ไม่มีสิทธิเข้าเพราะยันบริษัทไม่ได้นะครับ
ที่นี้ 1178 องค์ประชุมใช้แค่ 1 ใน สี่ การออกเสียงนับจากไหน ก็ลงทุนมากก็อยากได้ ในการประชุมให้ถือผู้ถือหุ้นทุกคนมีเสียงหนึ่งคะแนนแต่ถ้าเป็นการลงคะแนนลับนับจำนวนหุ้น แต่ถ้าเป็น 1184 ออกเสียงไม่ได้เพราะค้างค่าหุ้น
1185 เป็นเรื่องมีส่วนได้เสียพิเศษในมติใดๆ ก็ห้ามออกเสียง ปัญหาเรื่องอะไรคือส่วนได้เสียพิเศษก็เคยบอกไปแล้วว่าการตั้งกรรมการไม่ใช่การมีส่วนได้เสียพิเศษ
575/2539 มีประเด็นขึ้นมาว่า ตัวเองเป็นเจ้าหนี้บริษัท และเป็นผู้ถือหุ้นได้ มติที่ประชุมมีมติว่าให้ชำระหนี้ในอัตราเท่าใด ในการประชุมข้อเท็จจริงว่าทุกรายได้เท่ากัน ก็ไม่เป็นส่วนได้เสียพิเศษ
การมอบฉันทะ 1187 1188 ก็คือผู้ถือหุ้นจะมอบฉันทะมาก็ได้ ชีวิตจรริงผู้ถือหุ้นไม่ค่อยไปก็มอบฉันทะให้ทนายบ้างไปแทน
310/2510 แม้ผู้ถือหุ้นที่ร้องขอให้ลงคะแนนลับไม่ได้เข้าประชุมก็ต้องทำตาม
มติธรรมดาเสียงข้างมาก ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็เอาไป
มติพิเศษง่ายขึ้น 1194 คือไม่ต่ำกว่า สามในสี่ของผู้ที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียง คือเจ็ดสิบห้า
มีหกเรื่อง
1 คือตั้งข้อบังคับหรือเปลี่ยนแปลง หนังสือบริคน
2เพิ่มทุน
3 เพิ่มทุนในการออกหุ้นใหม่
4ลดทุน
5เลิกบริษัท
6 ควบรวมบริษัท
ก็ที่เคยบอกว่าการลงหุ้น ถ้าลงให้ลงอย่างน้อย ยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์
โดยหลักมติ ถ้าบอกกล่าวไม่ชอบ ประชุมก็ไม่ชอบ ดู1195 ผลักภาระให้ผู้เสียหายมาฟ้องถ้าไม่ฟ้องภายใน หนึ่งเดือนเท่านั้น ให้กรรมการกลุ่มหนึ่ง หรือ ผู้ถือหุ้นกลุ่มหนึ่ง นับแต่วันลงมตินั้น
กฎหมายบริษัทเป็นกฎหมายที่แปลกว่า ให้คนเสียหาย ไปฟ้อง เท่านั้น
ปัญหามันเกิดว่าจะรู้ไหมเนี่ยว่าประชุมวันไหน ปัญหามันเกิดว่าถ้าปลอมรายงานการประชุม ไปลงมติหล่ะ หรือประชุมกันเอง ไม่บอกกล่าวผมเลย นับแต่วันลงมตินะครับไม่ใช่ตั้งแต่วันที่ผมทราบ แต่ก็มีศาลฏีกาก็แปลความให้เป็นธรรมสักหน่อยคือถ้าไม่ได้มีการประชุมเลยไม่เข้ามาตรานี้ครับ
ครั้งหน้าเพิ่ม เพิ่มทุนลดทุน ครับ
ครั้งที่ 12 . (เพิ่มทุน ลดทุน )
คราวที่แล้วหน้าที่กรรมการ ก็คราวนี้ก่อนที่จะพูดเรื่องเงินปันผลก็ขอพุดถึงเรื่องหน้าที่กรรมการคือกรรมการบริหารกับกรรมอีกกลุ่มหนึ่งคือ กรรมการไม่บริหาร
กรรมการไม่บริหารก็ได้แค่เบี้ยประชุม ประชุมที่เป้นมติกรรมการก็คือต้องประชุมสองกลุ่ม จะเห็นที่กรรมการสองกลุ่มมาประชุมก็คืออนุมัติงบดุล
กฎหมายบริษัทมันมีที่ใช้เยอะนะครับ
ก่อง 2191/2541 ก็มีคนต่อสู้กันมาก เข้าใจผิด แต่ที่จริงก็คือใช้ให้กรรมการรับผิดได้หมดไม่ว่าบริหารหรือไม่บริษัท
ข้อสอบก็ไม่มีใครทราบว่าจะออกบริษัทหรือ ห้างฯ แต่ถ้าเป็นทางบริษัทก็ออกฏีกาใหม่และ ออกหลักไม่ออกน้ำ
มาตรา1200 คือหุ้นก็ได้เท่ากัน ยกเว้นแต่ในตอนจัดตั้งมีหุ้นบุริมสิทธิ์
มาตรา 1201 ก็คือจะออกโดยมติผู้ถือหุ้นในประชุมใหญ่เท่านั้นนะครับ วรรคสอง โดยหลักวรรคแรกต้องรอมติผู้ถือหุ้น แต่วรรคสองคือกรรมการอาจปันผลว่า มีกำไรเยอะ ก็ให้อำนาจกรรมการ ที่เป็นบริหาร และไม่บริหารออกมา เป็นมติระว่างกลางไม่ต้องรอผู้ถือหุ้นนะครับ
วรรคสามระวังให้ดีบอกไม่ให้ปันผลจากอื่นนอกจากกำไร และถ้าขาดทุนสะสมมาตลอด พอปีที่สิบเอ็ดกำไร ก็ถามว่าจะจ่ายปันผลได้หรือไม่ ก็ต้องดูว่าล้างจากที่ขาดทุนสะสมได้หรือไม่
ในทางแก้ก็ลดทุนก็ว่าไป
มาตรา1202 ก็คือไม่ใช่จ่ายหมด ต้องกันเป็นทุนสำรอง หนึ่งในยี่สิบของกำไร แต่ถ้าทุนสำรอง ถึงหนึ่งในสิบของจำนวนทุนทั้งหมดก็ไม่ต้องสำรองแล้ว
พูดง่ายๆเวลาขายหุ้นสูงกว่าราคามูลค่าหุ้นทุนสำรองก็เอามาบวกได้
กติการเงินปันผล ถ้าจ่ายไม่ถูก ก็ 1203 ว่าเจ้าหนี้ทั้งหลายเรียกคืนได้ แต่ถ้าผุ้ถือหุ้นคนไหนสุจริตก็เอาคืนไม่ได้ ก็คล้ายๆกับการเพิกถอนกลฉ้อฉล 1204 คือการบอกกล่าวการปันผลก็ให้บอกไปทางตัวผู้ถือหุ้น แต่ถ้าเป้นผู้ถือก็แจ้งในหนังสือพิพ
นี่เป็นเหตุผลให้แจ้งว่าได้โอนไม่เช่นนั้นบริษัทเค้าก็ จะโอนเงินปันผลให้กับผู้มีชื่อในทะเบียนก็เป้นผู้ถือหุ้นเก่า
การเพิ่มทุน
มาตรา 1221 ต้องมีมติพิเศษตาม 1194 เจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป
1221 พิสดารว่าเพิ่มทุนโดยมติพิเศษแล้วชำระเป็นทรัพย์อื่นก็ได้ดู 1119 หลักทั่วไปในการชำระหุ้นต้องชำระเป้นเงินสด จะหักกลบลดหนี้ไม่ได้ การเพิ่มทุนก็
1102 ห้ามชี้ชวน เล่มหนึ่งต้นทุนเป็นร้อย การขายหุ้นก็แพงนะครับ กำไรมากนะครับเพราะกลัวหลอกประชาชนนะครัย
บริษัทจำกัดเพิ่มทุนทำอย่างไร ดู 1222 กำหรดกติกาไว้ง่ายๆก็เสนอผุ้ถือหุ้นเดิมตามอัตราส่วน ของผู้ถือหุ้นเดิมนั้น
ก็มีการเพิ่มทุนแต่ปรากฏว่ากรรมการบริหารอยากขายให้พันธมิตรบุคคลภายนอกจะทำได้ไม๊ครับก็ทำไม่ได้
ถ้าผู้ถือหุ้นนั้นไม่ซื้อ กรรมการจะนำหุ้นนั้นขายให้แก่ผุ้ถือหุ้นคนอื่นหรือรับซื้อไว้เองก็ได้ แต่ขายคนนอกไม่ได้เพราะหลักเกณฑ์คือ ห้ามชี้ชวนบุคคลภายนอก
อย่าจำสับสนกับบริษัทมหาชนที่มีการชี้ชวนได้
การลดทุนก็เหมือนกันคือต้องมีมติพิเศษ เงินเหลือมากก็ลดได้ แต่ จะลดลงต่ำกว่า 1225 บอก หนึ่งในสี่ของทุนทั้งหมดหาได้ไม่
เพราะกลัวยักย้าย ให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ปรัชยาคือคุ้มครองเจ้าหนี้ดูได้จาก 1226 ที่เพิ่งแก้ใหม่เพื่อคุ้มครองเจ้าหนี้
การลดทุนทำยากมากถ้ามีเจ้าหนี้คัดค้านก็จบ ต้องโมษณาพิพก็แล้วก็รอไปอีกสามสิบวันอีกจึงจะจดทะเบียนลดทุนได้
1227 ถ้าเจ้าหนี้ไม่ได้คัดค้านเพราะไม่ทราบและที่ไม่ทราบไม่ใช่ความผืดเจ้าหนี้ แล้วมีการจดลดทุน ก็ใช้แนวคิดว่าการฉ้อฉล ก็ให้คืน
1228 ทางปฏิบัติให้ไปจดทะเบียนภายใน 14 วันนับแต่มีมติ
โดยหลักที่จะลดทุน ก็จะขายต่ำกว่ามูลค่าหุ้นไม่ได้ ต้องลดทุนตามขั้นตอนนี้ ต้องลดทุนให้ได้ก่อน
1229 หุ้นกู้ไม่ควรอยู่ในเรื่องนี้ เป็นการกู้ยืมเงินประเภทหนึ่งเค้าบังคับว่าจะมีการระดมเงินหรือหลอกประชาชน หุ้นกู้ก็คือตราสารหนี้
เรื่องควบบริษัท
1238 ก็ต้องทำเป็นมติพิเศษ ดู 1240 ก็ยากคล้ายๆกับการลดทุน คล้ายๆ 1226 ก็คุ้มครองผู้ถือหุ้นข้างน้อยกับเจ้าหนี้ส่วนต่างคือการควบรวมบริษัทยากกว่าอีก เพราะต้องรอถึง 60 วัน 1243 เวลาควบกันเสร็จแล้วเป็นไง ก็รับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของบริษัทเดิม คล้ายๆการแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้
สำคัญหน่อยอีกเรื่องที่อยากพูดถึงก็คือการแปลสภาพห้าง 1247 เป็นต้นไป
ห้างหุ้นส่วนสามัญก็แปลงไม่ได้นะครับ ห้างหุ้นส่วนจำกัดก็ต้องมีผู้ถือหุ้นตั้งแต่สามคนขึ้นไปนะครับ
ผู้ถือหุ้นยินยอมทุกคน ประกาศหนังสือพิพ บอกเจ้าหนี้ รอไปสามสิบวัน ไม่มีการคัดค้าน หรือว่าถึงมีการคัดค้าน ก็ได้มีการชำระแล้ว เมื่อพอทำเสร็จก็จัดทำหนังสือบริคณฑ์สนธิก็ทำคล้ายๆการตั้งบริษัทใหม่นั่นเอง
อยากให้สังเกต และย้ำคือบริษัทจำกัดห้ามชี้ชวน เพิ่มทุนก็ต้องเสนอให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนพอซื้อแล้วจะไปขายให้คนอื่นก็ได้ การชำระค่าหุ้นห้ามหักกลบลบหนี้ก็ทำได้
เสนอขายสูงกว่าได้หรือไม่ จะได้ก็ต่อเมื่อข้อบังคับกำหนดไว้
การตอบข้อสอบก็เทคนิคสำคัญมาก บางครั้งตรงฏีกา เลยก็ให้ทำข้อนั้นก่อนเลยหาประเด็นให้เจอ ให้เขียนหลักกฎหมายทุกข้อ และข้อใดได้ทำก่อนเลย อย่าไปทำเรียงข้อนะครับข้อไหนได้ทำก่อน ขอให้โชคดีทุกท่านแล้วกันนะครับ
ครั้งที่ 13 . (ทบทวนหลักกฎหมาย )
ในชั่วโมงสุดท้ายก็เป็นภารกิจที่ สรุปหลักกฎหมาย ที่ตอกย้ำหรือเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ในเชิงคำพิพากษาศาลฏีกา เป็นบางประเด็นเท่านั้นไม่ได้หยิบยกมาทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับการออกข้อสอบหรือไม่ เนื่องจากมีอาจารย์ผู้ออกหลายท่าน นี่เป็นเพียงการดูหลักกฎหมายย้อนหลังไปสิบปี ว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เหตุการณ์ที่กว่าจะเกิดคำพิพากษาศาลฏีกาก็ต้องใช้เวลาสองถึงสามปี แต่ในโลกแห่งธุรกิจก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปทุกที
ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาก็มีหลักที่เปลี่ยนแปลง เรื่องแรกก็บทเบ็ดเสร็จทั่วไป การเปลี่ยนแปลงก็มีเรื่องหลัก ที่ไม่ได้เปลี่ยนแต่ตอกย้ำว่า วัตถุประงค์ สองเป็นเรื่องการเปลี่ยนเรื่องการจัดการนอกขอบอำนาจ นึกภาพว่าการเรียนเรื่องห้าง1012 -1024 ที่ย้ำมากคือ 1015 เรื่องการจดทะเบียนส่งผลให้เป็นนิติบุคคล แล้วถ้าเป็นนิติบุคคลแล้วก็ส่งผลถึงเรื่องหลัก ที่ต่างจากองค์กรที่ไม่จดทะเบียนก็คือ การจัดกิจการที่ต้องอยู่ในขอบวัตถุประสงค์ หรืออยู่ในขอบอำนาจ เอามาจากมาตรา เรื่องนิติบุคคล มาตรา 66 ขึ้นไป
ปัญหาเกิดขึ้นมาถ้าทำนอกขอบวัตถุประสงค์จะมีผลอย่างไร ก็นอกขอบสิทธิหน้าที่ส่งผลตามมาตรา 76
ทบทวนเรื่องดังกล่าวเพราะคำพิพากษาดังกล่าวจะตอกย้ำเช่นทำปั้มน้ำมันมีกรรมการสามคน ก ข ค การจำกัดอำนาจคือกรรมการสองคนลงนามผูกพัน ถ้าไปจดทะเบียนก้ต้องมีการจดวัตถุประสงค์ ค้าน้ำมันปิโตรเลี่ยม ปัญหากรณีนี้อาจโยงกับเรื่องว่าเมื่อใดก้ตามที่มีขอบวัตถุประสงค์แล้ว คนกิจการก็หลุดพ้นเป็นส่วนตัวและบุคคลภายนอกก็มาเรียกร้องเอากับห้างได้ สมมุติว่า ก ข ไปซื้อน้ำมันดีเซลมา ก็ดู ก็อยู่ในขอบวัตถุประสงค์ และอยุ่ในข้อจำกัดอำนาจ ก็เรียกร้องให้ห้างรับผิดได้
ตัวอย่างที่สองวัตถุประสงค์นั้นมีทั้งวัตถุประสงค์โดยตรง และวัตถุประสงต์โดยปริยาย เช่น การทำสัญญาซื้อรถยนต์เพื่อมาขนส่งน้ำมัน แม้ไม่ได้เขียนไว้ในวัตถุประสงค์โดยตรงก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำเพื่อให้สนองวัตถุประสงต์โดยตรง ได้ จึงเป็นวัตถุประสงค์โดยปริยาย เช่นการกู้ยืมเงินก็เป็นวัตถประสงค์โดยปริยายเช่นกัน
แล้วถ้าทำนอกวัตถุประสงค์หล่ะ เช่น ค ไปกู้เงินส่วนตัว จากธนาคาร แล้ว ให้ ห้างมาค้ำประกันหนี้เงินกู้ส่วนตัว ถามว่าสัญญาค้ำประกันดังกล่าวนั้นมีผลผูกพันหรือไม่เพียงใด คำตอบก็คือไม่มีผลผูกพันเพราะมันอยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลก็ไม่เข้ามาตรา 66 ธนาคารก็มาฟ้องให้รับผิดไม่ได้ ก็มาฟ้อง ก ข ให้มารับผิดเป็นการส่วนตัว ไปตามมาตรา 76 วรรค สอง
และจะให้สัตยาบรรณอย่างไรก็ไม่ได้เพราะมันนอกขอบวัตถุประสงค์
แล้วหากปั้มน้ำมัน ไปรับฝากรถจากนาย ง สัญญาดังกล่าวอยู่ในขอบหรือเปล่า ไม่อยู่ เพราะเค้าค้าน้ำมันไม่ได้กำหนดวัตถุประสงค์รับฝากรถ หลังจากนั้นรถมันหายไป ดังกล่าว นาย ง มาฟ้องให้รับผิดตามสัญญารับฝาก ก ข ค กับบริษัทปั้มก็สู้ว่าทำนอกขอบ ปั้มไม่ต้องรับผิด คนที่ไปทำสัญญาก็ไปรับผิดเป็นส่วนตัวสิ ก็สู้อย่างนี้ ก็เห็นได้ว่าแน่ๆ นอกขอบแน่ แล้ว ง จะเรียกร้องได้เพียงใด
กรณีนี้ สัญญาไม่มีผลผูกพันเพราะอยู่นอกขอบ แต่ ง มีทางสู้ได้สองทาง
ทางที่หนึ่งคือการเรียกคืนทรัพย์ ก็ขอทรัพย์คืน หากคืนไม่ได้ก็ให้ชดใช้ราคา ตาม 1336
ทางที่สอง ก็คือ ศาลฏีกายังยืนยันหลักว่าหากการทำนอกขอบวัตถุประสงค์ก็ตามแต่หากมีการรับเอาประโยชน์แล้วก็ปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ อย่าไปตอบว่าเป็นการ ให้สัตยายรรณนะ แต่เรื่องนี้เป็นการกระทำตามมาตรา 5
ขอให้สังเกตว่าสัญญาดังกล่าวไม่ได้มีผลผูกพันนะครับ
ตัวอย่างใหม่ ว่า กลายเป็นว่า ทำสัญญารับฝากทรัพย์กันแล้ว นาย ง ไม่เอารถมาฝากและไม่จ่ายค่าฝากรถ กรณีนี้ บริษัทก็จะไปให้สัตยาบรรณและให้เรียกค่าฝากรถก็ไม่ได้เพราะสัญญาดังกล่าวกระทำนอกขอบวัตถุประสงค์
หลักการดังกล่าวนี้ค่อนข้างที่จะยุติแล้ว
หลักการตัวที่สองที่ค่อนข้างเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงคือการ จดทะเบียนและประกาศในราชกิจจานุเบก แล้ว ก็อยากจำกัดอำนาจเพื่อเป็นการตรวจสอบซึ่งกันและกัน แล้วทำประกาศนั้นไปจดทะเบียนแล้วไปประกาศ 1021-1023
ก็ได้มีการแก้ 1023/1 มีการแปลความที่ยังไม่ทรงตัวและยังไม่ยุติ ในทางการศึกษาก็ยังไม่มีการออกสอบตรงนี้ เพราะความเห็นยังไม่ยุติเท่านั้น
เพราะมันตีกันเองกับ1022 1023 วรรคแรก
มันมีมาตราอะไรอีก ก็มาว่าที่ห้างฯสามัญ ประเด็นอีกประเด็นที่อยากย้ำก็คือ ห้างฯสามัญต่างกับองค์กรธุรกิจอื่นที่จดทะเบียนมาก
เพราะห้างฯเมื่อตั้งขึ้นมาแล้วก็แตกต่างกับเรื่องกรรมสิทธิ์ร่วมต่าง ๆ ที่พูดเพื่อจะอธิบายประเด็นว่าถ้ามีปัญหาแล้วก็ต้องนำเรื่องกฎหมาย ห้างฯ มาใช้โดยเฉพาะ
เพราะเคยมีปัญหาว่า เรื่องห้างฯ มีปัญหาแล้วจะฟ้องเรียกทุนคืนเลยทันทีไม่ได้จะต้องฟ้องเลิกห้างฯก่อน หลังจากนั้นจึงมีการชำระบัญชีแล้วคืนทุนได้
3134/2546
ประเด็นที่สามคือเรื่องของการลงหุ้น 1026 เป็นต้นไป ปัญหาที่จะมีหลักๆก็คื อ
หนึ่งการลงหุ้นด้วยทรัพย์ที่มีทะเบียนจะโอนมาเป็นทรัพย์ของห้างได้อย่างไรในเมื่อห้างไม่มีสถานะเป้นนิติบุคคล
ก็จดทะเบียนโอนให้ห้างไม่ได้ ในคำพิพากษาก็บอกว่ากรณีไม่สามารถโอนให้ได้หรอกแต่อย่างไรก็ตามการที่ที่ดินดังกล่าวนั้นมีชื่อเราอยู่แล้วก็เป็นการถือที่ดินแทนห้างฯ
ประเด็นที่สอง ปัญหาในเรื่องของการลงหุ้นด้วยทรัพย์ เราเป้นเจ้าของทรัพย์ดังกล่าวจะขายทรัพย์ดังกล่าวได้หรือไม่
คำตอบก็คือขายได้เนื่องจาก กรรมสิทธิ์ที่ดินยังเป้นของ ก และ นาย ง ผู้รับซื้อก้ไม่ได้เป็นหุ้นแต่อย่างใด
3740/2542
ห้างฯสามัญนิติบุคคลจะมีคำพิพากษาสวยๆอยู่หลายมาตรา
มาตรา 1068 ความรับผิดของห้างฯจดทะเบียน เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ คือห้างฯ ก ข ค เป็นห้างฯไก่ย่างสามสหายถ้าไม่ไปจดทะเบียน ก็ค้าขาย ได้ อยู่มาวันดีคืนดี ค ได้ทุนก็ตกลงขอออกจากห้าง ฯ ก ข ก็ยอมปัญหาก็เกิดขึ้นว่าแล้วหนี้สินเดิมหล่ะกรณีนี้บุคคลภายนอกฟ้อง ค ได้ไหม คำตอบก็คือฟ้องได้ เพราะเป็นหนี้ที่เกิดก่อน ห้างฯ ฟ้องได้จนกว่า จะเรียกคืนจนจบ หรือจนหนี้นั้นขาดอายุความ มาตา 1051 แต่ถ้าเป็นห้างฯนิติบุคคลก็มีการกำหนดแตกต่างออกไป ว่าจำกัดเพียงสองปี
ปัญหาที่จะเกิดได้ก็มีสองเรื่อง หนึ่งที่ว่าสองปีนั้นนับจากไหน
ก็บอกว่าสองปีนั้นนับแต่วันที่ได้ไปจดทะเบียนแจ้งเปลี่ยนแปลงแจ้งที่กระทรวงพาณิชย์
ปัญหาที่สอง เราจะตกลงยกเว้นให้เกินหรือน้อยกว่าสองปีได้หรือไม่ ก็ถามกลับไปว่าตกลงกับใคร
ก็เช่น เจ้าหนี้กับ ค ก็ตกลงกันว่า ต้องตกลงเพิ่ม เป้นสิบปีนับจากออกจากห้างฯนะ
เรื่องดังกล่าวไม่ใช่อายุความก็สามารถตกลงยกเว้นได้
ฎ2613/23
อีกประเด็นคือเรื่อง การเลิกห้างฯ มีประเด็นทั้งห้างฯนิติบุคคลและประเด็นห้างฯจำกัด ก็นึกภาพกระบวนการเลิกห้างฯของห้างฯก็เริ่มจากมีข้อตกลง
แล้วก็มีการตั้งผู้ชำระบัญชี แล้วก็ไปจดทะเบียนพ้นการชำระบัญชีอีกสองปีจึงจะสิ้นกระแสความ
ในการเลิกห้างฯแล้วนั้น หรือนายทะเบียนได้จำแนกออกจากสารบบทะเบียนก็ตาม ในช่วงตรงนี้เกิดมีหนี้สินมาเช่น หนี้ที่ปกติเลยคือภาษีอากร ตรงนี้ต้องรับผิดกันอย่างไร
ก็ต้องรับผิดตลอดไปจนกว่าจะจดทะเบียนสิ้นสุดก็ให้ระวังเอาไว้ว่าหากห้างฯเลิกแล้วก็ต้องรีบไปจดทะเบียนให้เสร็จเสีย
ประเด็นต่อมาเรื่องกฎหมายบริษัท ถามว่ามีประเด็นหลักๆ
หนึ่ง ความรับผิดของผู้เริ่มก่อการ หลังจากจองซื้อหุ้นกันเสร็จแล้ว 1108 ก็บอกว่าการประชุมตั้งบริษัทครั้งแรก ก็ต้องมีการให้สัตยาบรรณ กิจการที่ทำก่อน ตั้งบริษัท
ปัญหาว่าถ้าทำไปแล้วไม่ขอให้เค้าให้สัตยาบรรณผลจะเป็นอย่างไร
แม้ว่าบริษัทจะยอมรับเอากิจการนั้นภายหลังก็ตาม ผู้เริ่มก่อการก็ยังไม่หลุดพ้นความรับผิดแต่อย่างใด
ประเด็นที่สองคือประเด็นที่เกี่ยวกับหุ้น คือการ ออกหุ้น การเรียกให้ชำระเงินค่าหุ้น
กรณีนี้การออกหุ้น ก็เคยออกข้อสอบไปแล้วว่าออกหุ้นต่ำกว่ามูลค่าไม่ได้เลย 1105 1119
แต่ทีมีคำพิพากษาแล้วแต่ยังไม่ได้ออกข้อสอบเป็นเรื่องเป็นราวก็คือเรื่องการเรียกเก็บเงินค่าหุ้น ขั้นต่ำก็คือ 25 เปอร์เซ็นต์ สมมุติเรียกไปแล้ว 40 ยังไม่ได้เรียก อีก 60 ก็เขียนติดในบอจ 5 ถามว่า 60 เปอร์เซ็นต์นั้นมีอายุความหรือไม่
คำตอบก็คือ การเก็บเงินค่าหุ้นนั้นเก็บเมื่อใด ก้แล้วแต่ใจกรรมการไม่มีอายุความประเด็นที่หนึ่ง
แต่เมื่อใดก็ตามที่เรียกเก็บค้าหุ้นไปปั้งหนี้เกิดแล้ว ตรงนี้อายุความเกิดขึ้นทันที
และต้องมีการรับผิดในอัตราดอกเบี้ยเกิดขึ้นด้วย
ท้ายสุดก็คือความรับผิดตัวกรรมการและบุคคลที่มีสิทธิเรียกให้กรรมการรับผิด
มาตรา 1167 – 1170
คือห้ามค้าแข่ง
ดู1167 1168แล้ว สมมุติว่าบริษัทสามสหายค้าไก่ย่าง กรรมการมี ก ข ค เป็นกรรมการ ความรับผิดของ ก ข ค ก็คือ 1167 1168 คนที่เรียกให้รับผิดได้ก็คือ1169 1170
สมมุติว่ากรรมการ ก ข ค สามคนได้ขายไก่ย่างในราคาถูกมากให้ท่านอาจารย์ ถามว่ากรณีนี้การขายไก่ในราคาถูกมากโดยอาจารย์ก็สุจริตด้วย กรณีเช่นนี้ ปัญหาเกิดขึ้นมาว่า ก ข ค ทำเช่นนี้ผิดหรือไม่เพียงกรณีเช่นนี้ ก้จะเห็นว่าหากอาจารย์สุจริตและซื้อมาโดยชอบ สัญญาดังกล่าวก็ไม่มีผลเสียหายแต่อย่างใด แล้วใครรับผิดคำตอบก็คื 1168 กรรมการต้องค้าขายระมัดระวังเยี่ยงบุคคลมีอาชีพเช่นนั้น เมื่อไม่ใช้ความระมัดระวังก็ต้องรับผิด ต่อบริษัท หรือผู้ถือหุ้น ก็ต้องมารับผิดแต่จะมาเพิกถอนการขายหรือไม่ ก็ดูว่าเข้ามาตรา 237 ไหมเป็นการให้เปรียบเจ้าหนี้หรือไม่ ถ้าไม่ก็ฟ้องเพิกถอนไม่ได้ ( สังเกตประเด็นนี้ออกข้อสอบ ปี 2551 จริงๆ )
อาจารย์เร่งได้แค่นี้เวลาก็หมดแล้ว แม้ว่าเรื่องสำคัญอยู่ตอนท้ายแต่ก็สรุปไม่จบ
ปกติแล้ววิชาหุ้นส่วน ก้ได้คะแนนดี ก็หวังว่าจะได้คะแนนดีกันอย่างนี้ทุกท่านครับ