....การเข้าห้ามปรามไม่ใด้ทำร้ายคนอื่นเป็นการสมัครใจเข้าทะเลาะวิวาทหรือไม่ ??.พิจารณาศึกษาจากคำพิพากษาฎีกาที่ 4054/2554 (ฎีกานี้ไม่ได้จัดพิมพ์เผยแพร่)

525 views
Skip to first unread message

arunarun chitt

unread,
Sep 17, 2013, 12:27:29 PM9/17/13
to law...@googlegroups.com

     ....การเข้าห้ามปรามไม่ใด้ทำร้ายคนอื่นเป็นการสมัครใจเข้าทะเลาะวิวาทหรือไม่ ??....

         พิจารณาศึกษาจากคำพิพากษาฎีกาที่ 4054/2554 (ฎีกานี้ไม่ได้จัดพิมพ์เผยแพร่)

         ข้อเท็จจริง
         1. อัยการโจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงนาย อ. โดยเจตนาฆ่า 2 ครั้ง เป็นเหตุให้นาย อ. ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 288 ซึ่งจำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน 
              1.1 การที่จำเลยต่อสู้ว่าเป็นการป้องกันเท่ากับจำเลยปฏิเสธว่ามิได้กระทำความผิด

         2. เมื่อสืบพยานโจทก์และจำเลยเสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ให้จำคุก 15 ปี ลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี ริบอาวุธมีดของกลาง
              2.1 ผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นเช่นนี้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ จำเลยย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ 

         3. จำเลยยื่นอุทธรณ์ ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้อง
             3.1 การยกฟ้องของศาลอุทธรณ์เช่นนี้ เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด เป็นการใช้อำนาจตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185
             3.2 ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถือว่า ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาก โจทก์สามารถฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 

         4. อัยการโจทก์ยื่นฎีกา ซึ่งศาลฎีกาได้พิจารณาเรื่องนี้เรียงตามลำดับดังนี้
             4.1 ในคดีนี้ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมของกลาง แทงนาย อ. ผู้ตายซึ่งเป็นพี่เขยจำเลย 2 ครั้ง ที่บริเวณหน้าอกขวาและแขนซ้ายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย
             4.2 ศาลฎีกาพิจารณาต่อไปว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ตายเข้าไปในห้องนอนชกนาง ต. และถือมีดขู่จะฆ่านาง ต. จำเลยเข้าห้ามแต่ผู้ตายไม่ฟังยังกวัดแกว่งมีดเดินเข้าหาขู่จะฆ่าทั้งนาง ต. และจำเลย จำเลยจึงหยิบมีดที่ใช้เหลาตอกที่วางอยู่ข้างฝาแทงผู้ตาย 1 ครั้งที่หน้าอก จำเลยผลักผู้ตายและใช้มีดแทงผู้ตายอีก 1 ครั้ง การกระทำของจำเลยเข้าห้ามปรามจึงไม่เป็นการสมัครใจเข้าทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย แต่การที่ผู้ตายทำร้ายนาง ต. เดินกวัดแกว่งมีดเข้าหาขู่จะฆ่านาง ต. และจำเลย ย่อมทำให้จำเลยเข้าใจว่าผู้ตายจะใช้มีแทงจำเลยและนาง ต. จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันตนเองและนาง ต. ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แม้จำเลยจะใช้มีดแทงครั้งแรกถูกที่หน้าอกของผู้ตายแต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นฉับพลันทันที ในสภาวะเช่นนั้นจำเลยไม่มีโอกาสเลือกแทงได้ และการที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายอีกครั้งถูกที่แขนของผู้ตายก็เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกันเพราะผู้ตายมีมีดในมือซึ่งอาจใช้แทงจำเลยได้ ภยันตรายยังไม่ผ่านพ้นหรือสิ้นสุดลง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกัน เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตาม ป.อ. มาตรา 68 จำเลยไม่มีความผิด
             หมายเหตุ
             1. ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 ถือว่า เป็นบทบัญญัติยกเว้นความผิด หมายความว่า ผู้กระทำได้กระทำครบองค์ประกอบของมาตรา 68 แล้วก็จะไม่เป็นความผิด
             2. โดยทั่วไปการสมัครใจเข้าต่อสู้วิวาทอ้างป้องกันไม่ได้ พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
             คำพิพากษาฎีกาที่ 935/2554
             ป.อ. มาตรา 68
             การที่จำเลยพกมีดปลายแหลมไปตามหาผู้เสียหายที่บ้านเพราะโกรธผู้เสียหายที่ไปทำร้าย ส. บุตรเขยจำเลย เมื่อผู้เสียหายได้ยินจึงเดินออกจากบ้านและต่างฝ่ายต่างเดินเข้าหากัน ผู้เสียหายชกต่อยจำเลยไป 1 ครั้ง ขณะเดียวกันจำเลยก็ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายหลายครั้ง ตามพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยสมัครใจวิวาทกับผู้เสียหายจะอ้างเหตุว่าจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตัวไม่ได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
            คำพิพากษาฎีกาที่ 3238/2554
            ป.อ. มาตรา 68, 80, 288
            จำเลยที่ 1 กับพวกได้เข้าร่วมต่อสู้ชกต่อยกับผู้เสียหายด้วยจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อเหตุขึ้นก่อน ทั้งยังได้สมัครใจเข้าทะเลาะวิวาทต่อสู้กับผู้เสียหายอันเป็นการสมัครใจเข้าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน มิใช่ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย เพราะการป้องกันโดยชอบจะมีได้ก็ต่อเมื่อเป็นการป้องกันตนเองหรือผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายโดยที่ตนเองและผู้อื่นไม่ได้สมัครใจเข้าร่วมต่อสู้ทำร้ายกับอีกฝ่าย
            คำพิพากษาฎีกาที่ 1402/2553 
            ป.อ. มาตรา 68 
            ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของพยานทั้งสองว่า หลังจากผู้ตายเปิดประตูรถและเกาะประตูรถถีบจำเลยแล้ว ช. ได้เข้าไปดึงตัวผู้ตายจากรถของจำเลยในเวลานั้นหากจำเลยซึ่งนั่งอยู่ในรถไม่ประสงค์จะมีเรื่องกับผู้ตายก็น่าจะขับรถออกจากบริเวณนั้นไปเสีย แต่จำเลยกลับลงจากรถตามผู้ตายไปจนเกิดเหตุชกต่อยกันแสดงให้เห็นว่าจำเลยสมัครใจลงไปทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย ดังนั้น แม้จำเลยจะถูกผู้ตายใช้ไม้ตีที่ศีรษะก่อนและจะตีซ้ำอีกจำเลยจึงใช้มีดแทงผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยก็ไม่อาจอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.อ. มาตรา 68 ได้
            คำพิพากษาฎีกาที่ 424/2553 
            ป.อ. มาตรา 69 
ผู้เสียหายเป็นฝ่ายเริ่มต้นด่าว่าจำเลยก่อน แม้จำเลยโต้เถียงจนกลายเป็นทะเลาะกัน แต่ไม่ปรากฏว่ามีคำพูดที่เป็นการท้าทายให้ต่อสู้กัน ผู้เสียหายเดินไปหาจำเลยแล้วลงมือทำร้ายจำเลยก่อน จำเลยหยิบมีดปลายแหลมเป็นอาวุธใช้แทงผู้เสียหายย่อมเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยด้วยมือเปล่าและต่างเป็นผู้หญิงด้วยกัน น่าจะทำร้ายกันไม่รุนแรงเท่าใดนัก เพียงจำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงสักครั้งก็น่าจะหยุดยั้งผู้เสียหายได้แล้ว ฉะนั้นการที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 5 ที และแทงโดยแรงลึกถึงตับ ม้าม และลำไส้ใหญ่ย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันสิทธิของจำเลยเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยย่อมมีความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และมาตรา 69
           คำพิพากษาฎีกาที่ 2423/2533 
           ป.อ. มาตรา 68, 297 
          โจทก์ร่วมมีเรื่องขัดแย้งกับบุตรจำเลยและเป็นฝ่ายไปที่บ้านจำเลย ถึงแม้จำเลยด่าโจทก์ร่วมแต่ก็ยังไม่มีพฤติการณ์อื่นให้เห็นว่าจำเลยสมัครใจจะเข้าต่อสู้กับโจทก์ร่วมด้วยกำลังกายนอกจากนี้โจทก์ร่วมรูปร่างใหญ่ แข็งแรง และหนุ่มกว่าจำเลย หากสู้กันตัวต่อตัวแล้วจำเลยสู้โจทก์ร่วมไม่ได้ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยสมัครใจวิวาทต่อสู้กับโจทก์ร่วม ดังนั้น การที่โจทก์ร่วมเข้าชกและกอดปล้ำจำเลยไว้เป็นเวลานาน และหากยังกอดปล้ำจำเลยต่อไปอาจทำให้จำเลยได้รับอันตรายแก่กายได้จึงเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงจำเลยใช้มีดแทงโจทก์ร่วม 2 ที ก็เพื่อให้พ้นจากการกอดปล้ำของโจทก์ร่วมเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ.
          คำพิพากษาฎีกาที่ 1961/2528 
          ป.วิ.อ. มาตรา 185, 192, 215, 225
          ป.อ. มาตรา 59, 60, 68, 80, 288, 291, 297
          พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ, 72 ทวิ 
          การวิวาทหมายถึงการสมัครใจเข้าต่อสู้ทำร้ายกันคำพูดของจำเลยที่ว่าการย้ายตำรวจต้องมีขั้นตอนต้องมีคณะกรรมการอย่าไปเชื่อให้มากนักเป็นเพียงการแสดงความเห็นในการสนทนาเท่านั้น มิได้มีข้อความใดที่เป็นการท้าทายให้ผู้ตายหรือผู้เสียหายออกมาต่อสู้ทำร้ายกับจำเลยเพียงแค่นี้จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุวิวาทมิได้ จำเลยถูกตีที่ทัดดอกไม้ด้านขวาจนร่วงตกจากเก้าอี้เข่าทรุดลงกับพื้น ผู้ตายเข้าล็อกคอและดึงคอเสื้อจำเลยไว้พร้อมกับพูดว่าเอาให้ตายและมีคนอีกกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามาจะรุมทำร้ายจำเลยจำเลยสะบัดหลุดแล้วชักปืนออกมาขู่ โดยหันปากกระบอกปืนขึ้นฟ้าพร้อมกับตะโกนว่าอย่าเข้ามาทันใดนั้นมีคนเข้ามาตะปบปืนในมือจำเลยเพื่อจะแย่งปืนปืนลั่นขึ้น 1 นัด กระสุนถูกผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตายจำเลยวิ่งหนีแต่คนกลุ่มนั้นวิ่งไล่ตามจะ ทำร้ายจำเลย จำเลยยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าอีก 1นัดแล้ววิ่งไปได้หน่อยหนึ่งก็หมดสติล้มลงกระสุนปืนนัดที่สองพลาดไปถูกผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัส ดังนี้ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าหรือพยายามฆ่าจำเลยจึงไม่มีความผิดและจะถือว่าจำเลยกระทำให้ผู้อื่นตายโดยประมาทหรือรับอันตรายสาหัสโดยประมาทมิได้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยมีใบอนุญาตพกอาวุธปืนของกรมตำรวจซึ่งจำเลยมีสิทธิพกอาวุธปืนได้ทั่วราชอาณาจักรเพื่อปฏิบัติราชการสืบสวน กรณีของจำเลยจึงไม่อยู่ในบังคับแห่ง มาตรา 8ทวิ และจำเลยย่อมไม่มีความผิดตาม มาตรา 72ทวิ แห่ง พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯเมื่อปรากฏแก่ศาลฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้อง
          คำพิพากษาฎีกาที่ 528/2526 
          ป.อ. มาตรา 68, 288 
          แม้จำเลยและผู้ตายจะได้โต้เถียงกันก่อน แต่การโต้เถียงก็หาใช่เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายสมัครใจทำร้ายซึ่งกันและกันไม่ การที่ผู้ตายจะใช้ขวานฟันจำเลยจึงเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เมื่อจำเลยใช้มีดแทงผู้ตายไปเพียงทีเดียว แม้จะถูกที่สำคัญก็เป็นที่เห็นได้ว่าเป็นการฉุกเฉินเพื่อให้ตนเองพ้นอันตราย จำเลยย่อมไม่มีโอกาสไตร่ตรองว่าอวัยวะส่วนใดสำคัญหรือไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ
          คำพิพากษาฎีกาที่ 2127/2533 
          ป.อ. มาตรา 68 
          ผู้เสียหายเป็นผู้ก่อเหตุร้ายขึ้นโดย ตบ หน้าจำเลยก่อน จำเลยไม่ได้สมัครใจต่อสู้ วิวาททำร้ายร่างกายกับผู้เสียหายด้วย การที่จำเลยเข้ากอดปล้ำตบ ตี ผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้ รับบาดเจ็บนั้น ย่อมถือ ได้ ว่าการกระทำของจำเลยพอสมควรแก่เหตุเป็นการป้องกันโดย ชอบด้วย กฎหมายตาม ป.อ. มาตรา 68.

          3. หากเป็นกรณีสมัครใจวิวาทแต่ขาดตอนแล้วอ้างป้องกันได้ ให้พิจารณาศึกษาจากคำพิพากษาฎีกาต่อไปนี้
           คำพิพากษาฎีกาที่ 805/2528 
           ป.อ. มาตรา 68, 69, 288 
           จำเลยกับพวกเกิดวิวาทชกต่อยกับโจทก์ร่วมและพวกในวงสุราหน้าบ้านโจทก์ร่วมมีผู้ห้ามก็เลิกกัน จำเลยพกปืนกลับมาที่วงสุราอีก แต่ถูกโจทก์ร่วมค้นตัวจนหนีกลับบ้านการที่โจทก์ร่วมกับพวกตามไปถึงใต้ถุนบ้านจำเลย จึงเป็นเพราะอยากหาเรื่องกับจำเลย เป็นการตามไปคุกคามจะทำร้ายจำเลยถึงในบ้าน จำเลยใช้ปืนยิงโจทก์ร่วมกับพวกจึงเป็นการป้องกันตัว แต่โจทก์ร่วมกับพวกไม่มีอาวุธอะไรหากจำเลยยิงปืนเพียงนัดเดียวก็น่าจะเป็นเหตุให้หลบหนีไปแล้ว แต่จำเลยยิงปืนถึง 4 นัด กระสุนปืนถูก ว.ถึงแก่ความตาย และถูกโจทก์ร่วมได้รับบาดเจ็บ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,69
           คำพิพากษาฎีกาที่ 1254/2510 
           ป.อ. มาตรา 68, 295, 297 
           จำเลยกับผู้เสียหายมีปากเสียงกัน ผู้เสียหายท้าทายจำเลย ๆไม่ยอมรับคำท้ามุ่งหน้าจะกลับบ้าน ผู้เสียหายตามไปกระชากแขนและต่อยจำเลยก่อน จำเลยจึงเข้ากอดปล้ำและตกลงไปในคลองด้วยกันจำเลยถูกผู้เสียหายกดให้จมน้ำและถูกกัด จำเลยจึงกัดผู้เสียหายหูขาดดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าการโต้เถียงเป็นปากเสียงกันได้ขาดตอนไปแล้วโดยจำเลยไม่ยอมรับคำท้า แต่ผู้เสียหายได้ตามไปต่อยจำเลยก่อน มิใช่เป็นการสมัครใจวิวาทกัน และเมื่อตกลงในคลอง จำเลยก็ถูกผู้เสียหายกดให้จมน้ำและถูกกัดอีก จำเลยจึงกัดไปบ้างเพื่อมิให้ถูกผู้เสียหายกดจมน้ำตาย ถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 จำเลยไม่มีความผิด
           คำพิพากษาฎีกาที่ 2508/2529 
           ป.อ. มาตรา 68 
           ต. กับพวกเข้าชกต่อยทำร้ายจำเลยกับเพื่อนแล้ววิ่งหนีไปจำเลยกับเพื่อนวิ่งไล่ตามโดยจำเลยถือปืนไปด้วยแต่เมื่อไล่ไม่ทันจำเลยก็วิ่งกลับนำเพื่อนขึ้นนั่งบนรถยนต์สองแถวเพื่อจะกลับบ้านแสดงว่าจำเลยไม่สมัครใจที่จะวิวาททำร้ายกับต. และพวกต่อไปแล้วเมื่อต. ไปตามผู้เสียหายกับพวก7-8คนซึ่งมีมีดเป็นอาวุธติดตัวทุกคนวิ่งกรูกันกลับมายังจำเลยซึ่งกำลังอยู่บนรถสองแถวจำเลยพูดห้ามไม่ให้เข้ามาแต่ผู้เสียหายกับพวกไม่ฟังเสียงกลับถือมีดเข้ามาจะทำร้ายจำเลยจำเลยจึงใช้ปืนยิงผู้เสียหายกับพวกในขณะที่จำเลยอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ10เมตรและอยู่ห่างต. ประมาณ5เมตรเท่านั้นหากผู้เสียหายกับพวกวิ่งเข้ามาถึงตัวอาจทำร้ายจำเลยถึงตายได้นับเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้จึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุจำเลยไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าและฐานยิงปืนโดยใช่เหตุในเมืองหมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน.

        4. ถ้าสมัครใจวิวาทแบบต่อเนื่อง ไม่อาจอ้างป้องกันได้ ให้พิจารณาศึกษาจากคำพิพากษาฎีกาต่อไปนี้
            คำพิพากษาฎีกาที่ 1983/2544 
            ป.วิ.อ. มาตรา 212, 225
            ป.อ. มาตรา 68, 69
            การที่จะกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ต้องเป็นภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง หากภยันตรายยังไม่ใกล้จะถึงเสียแล้วย่อมไม่อาจกระทำการเพื่อป้องกันได้ แม้ผู้ตายกับผู้เสียหายจะกระทำการประทุษร้ายกระชากคอเสื้อ ส. และข่มขู่ท้าทายให้ชกต่อยอันเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมายและไม่มีอำนาจก็ตาม แต่เมื่อจำเลยสมัครใจเข้าวิวาท จำเลยก็ไม่อาจยกข้อต่อสู้ว่าจำต้องแทงทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายเพื่อป้องกันสิทธิของ ส. หรือจำเลยได้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาและพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยถือว่าจำเลยกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของ ส. ในขณะที่ภยันตรายยังไม่ใกล้จะถึงเป็นการกระทำการเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายอันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 เป็นการไม่ชอบ
แม้การกระทำของจำเลยจะไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายแต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาศาลฎีกาจึงปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องเท่านั้นไม่มีอำนาจแก้โทษจำเลยเพื่อกำหนดโทษใหม่ตามความผิดที่ถูกต้องและลงโทษจำเลยเกินกว่าที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดไว้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
            คำพิพากษาฎีกาที่ 5698/2537 
            ป.อ. มาตรา 68, 72 
            จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยที่ 2 ได้สมัครใจวิวาทชกต่อยกับผู้เสียหายจำเลยที่ 2 เข้าห้ามปรามมิให้ผู้เสียหายทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 ผู้เสียหายกลับชกต่อยและเตะจำเลยที่ 2 จนเซไปแม้ผู้เสียหายจะหวนกลับไปทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 อีก ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในขณะที่วิวาทกัน จำเลยที่ 2จึงไม่มีสิทธิที่จะใช้เก้าอี้ตีผู้เสียหายเพื่อป้องกันจำเลยที่ 1ได้ ทั้งไม่อาจอ้างได้ว่าจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองด้วยเพราะภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่เกิดแก่จำเลยที่ 2 เองคือการถูกผู้เสียหายชกต่อยและเตะจนเซไปได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำโดยบันดาลโทสะเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
            คำพิพากษาฎีกาที่ 5640/2533 
            ป.อ. มาตรา 59 วรรคสอง, 68, 80, 288 
            ภริยาจำเลยกับผู้เสียหายสมัครใจทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันมิใช่เป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่า การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของภริยาจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 68 ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน มีดปลายแหลมที่จำเลยใช้ยาวทั้งด้าม ถึง 1 ฟุต อาจใช้แทงประทุษร้ายถึงตาย ได้ จำเลยเลือกแทงตรงอวัยวะสำคัญและแทงโดยแรง ผู้เสียหายได้รับบาดแผลยาว 2 เซนติเมตรกว้าง 1 เซนติเมตร ลึกทะลุเยื่อบุ ช่องท้องอาจทำให้ถึงตาย ได้จำเลยจะแทงซ้ำอีก แต่มีผู้วิ่งมาถึงที่เกิดเหตุเสียก่อน จำเลยจึงวิ่งหนีไป เช่นนี้ ถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า.
            คำพิพากษาฎีกาที่ 298/2533 
            ป.วิ.อ. มาตรา 192
            ป.อ. มาตรา 59, 68, 288, 290 วรรคแรก, 295 
            จำเลยใช้มีดวิ่งเข้าไปจะแทงผู้ตายเพราะโกรธที่พี่ชายจำเลยถูกผู้ตายต่อย และจำเลยยังแทงทำร้ายผู้เสียหายซึ่งใช้เหล็กแป๊บน้ำตีขัดขวางถึงบาดเจ็บเป็นกรณีที่จำเลยสมัครใจเข้าร่วมวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ไม่เป็นการป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น ส่วนการที่จำเลยวิ่งหนีแล้วผู้ตายซึ่งไม่มีอาวุธวิ่งไล่ตาม และมีผู้เสียหายวิ่งตามหลังผู้ตายไป ก็เป็นพฤติการณ์ต่อสู้เกี่ยวเนื่องติดพันกัน จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุดังกล่าวว่าจำต้องกระทำเพื่อต่อสู้ป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นได้ จำเลยวิ่งหนีแล้วหันกลับมาแทงผู้ตายซึ่งวิ่งไล่ตามเพียงครั้งเดียวแล้ววิ่งหนีต่อไป แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตายเพียงแต่แทงผู้ตายเพื่อให้พ้นการติดตามของผู้ตายกับพวก โดยไม่มีโอกาสเลือกแทงอวัยวะส่วนใดของผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192.

                                                                                                                     Credit : รพี ๕๖//ทบทวนหลักกฎหมายกับ อ.ประยุทธ

..........................................................................................................................................................................

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

           

.....................................................................................................................................................

ขอแนะนำ !!

รวมคำบรรยายเนติฯ (ภาคปกติ /ภาคค่ำ/ภาคทบทวนวันอาทิตย์) ภา 1/65 และ 2/65

++  กลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา (ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์)

  พร้อมไฟล์เอกสาร 

  - เอกสารสรุปคำบรรยายเนติ 1/65 

  -  เอกสารประกอบคำบรรยาย1/65 

  -  บทบรรณาธิการ 1/63-1/65 

  -  ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายแพ่งแลอาญา (สมัยที่ 56-65) 

  -  New !! ทบทวนสรุปประเด็นน่าสนใจ 1/66

  -  New !!  รวมคำพิพากษาฎีกาใหม่ (พร้อมข้อสังเกตน่าสนใจ)1/66

  -  New !!  เทคนิคการเขียนคำตอบแบบถูกต้องที่สุด ตลอดจนเทคนิคการปรับบทกฎหมายต่างๆสำหรับทุกสนามสอบ (การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ู้ช่วยฯ/อัยการ)  

++ กลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา (ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์) 

  พร้อมไฟล์เอกสาร 

 -  เอกสารสรุปคำบรรยายเนติ 2/65 

 -  เอกสารประกอบคำบรรยาย 2/65 

 -  บทบรรณาธิการ 2/63-2/65 

 -  ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาควาอาญา (สมัยที่ 56-65) 

 -  New !! ทบทวนสรุปประเด็นน่าสนใจ 1/66

 - New !!  รวมคำพิพากษาฎีกาใหม่ (พร้อมข้อสังเกตน่าสนใจ)1/66

 - New !!  เทคนิคการเขียนคำตอบแบบถูกต้องที่สุด ตลอดจนเทคนิคการปรับบทกฎหมายต่างๆสำหรับทุกสนามสอบ (การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ู้ช่วยฯ/อัยการ)  

...............................................................................................................................................

  ค่ารวบรวม ภาคละ 350.-บาท  (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี !! + แถมฟรี !! แผ่นรองเม้าท์) 

   หมายเหตุ  สั่งซื้อทั้ง 2  ค่ารวมรวมราคาพิเศษ 650.- บา  (ส่ง EMS ฟรี !! + แถมฟรี !! แผ่นรองเม้าท์ + CD แบบร่างสัญญามากกว่า 400 แบบ (file word) + แบบฟอร์มศาลแบบฟอร์มเอกสารงานบุคคล,เอกสารงานบัญชีและภาษี) 

   สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ดต่อ ตุ้ย มือถือ 085-801-0725,E-mail : siripit...@gmail.com

 +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


               ไม่เก่ง..แต่พยายาม  เจ๋ง ! กว่า  เก่ง....แต่ขี้เกียจ

                                        ขอให้โชคดีและประสบความสำเร็นทุกคะคับ...

สัญญาทางปกครอง.jpg
ห้ามเปลือยกาย.jpg
Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages