สรุปคำบรรยาย กฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน (ภาคค่ำ) ครั้งที่ 3

661 views
Skip to first unread message

nobita kwang

unread,
Dec 13, 2010, 9:17:24 PM12/13/10
to LAWSIAM

ใครเล่นบอร์ด thaijustice รบกวนโพสลงให้ด้วยนะครับ พอดีเปลี่ยนคอมใหม่เลยโพสไม่ได้วันไม่พอครับ ขอบคุณครับ

หากเอกสารสรุปคำบรรยายนี้ มีข้อผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้า  kankokub  ขออภัยและน้อมรับแต่เพียงผู้เดียว หากจะมีประโยชน์อยู่บ้างขอมอบให้แก่ ท่านอาจารย์ศ.(พิเศษ ) พรเพชร วิชิตชลชัย ผู้บรรยาย   , ผู้มีน้ำใจส่ง flie เสียงที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้ฟังคำบรรยาย , บิดามารดาข้าพเจ้า ขอบคุณ. http://www.muansuen.com และคุณ admin ที่นำ flie เสียงมาลงแบ่งปันให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
ครั้งที่ 3 วันเสาร์ 11 ธันวาคม  2553

          สวัสดีครับอาจารย์ย้ำเสมอว่าเวลาเรียนเราควรมีตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาเปิดดูได้ ตัวบทมีข้อความยาวในบางครั้ง ก็อาจทำให้นักศึกษา ไม่เข้าใจได้

            บางคนมาเรียนตัวเปล่าแล้วบอกว่า พาวเวอร์พ้อยอาจารย์อ่านไม่ออกจากแบบประเมินผล ก็แสดงว่าเป็นการเรียนที่ผิดวิธี เพราะพาวเวอร์พ้อย มีเพียงเพื่อช่วยเน้นในส่วนการให้ตั้งใจในการเรียน และพาวเวอร์พ้อยของอาจารย์ก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์สามารถจะไปปริ้น ไปโหลดจากเวปเนฯได้ในขณะเดียวกัน ถ้านักศึกษาไม่สนใจ ไม่มีประมวล ไม่มีบันทึก วิชากฎหมายเลคเชอร์คือการเลคเชอร์ความเข้าใจ ไม่ใช่มาจดลอกตัวบท ที่เขามีขายอยู่แล้ว

            ฏีกาก็มีอยู่แล้วสามารถค้นคว้าได้ อ่านthaijustice บอกว่าอ่านจูริสสิบรอบ ก็เป็นฏีกาที่มีอยู่แล้ว การเรียนที่ถูกต้องก็ต้องเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดออกไป อาจารย์พูดผิดจากตัวบทไปสักนิดก็ผิดไปหมด

            ถ้ายังไม่เข้าใจก็ต้องศึกษาค้นหาเพิ่มเติม

            วันนี้ก็ยังไม่พ้นมาตรา 84 ซึ่งเป็นหัวใจกฎหมายพยาน เพิ่งผ่านไปวรรคแรก การค้นหาข้อเท็จจริงใด ต้องอาศัยพยานหลักฐานในสำนวนนั้น เป็นหลักที่ไม่มีวันลืม ว่าพยานหลักฐานต้องวินิจฉํย ข้อเท็จจริง พยานหลักฐานนั้นต้องเป็นพยานหลักฐานในสำนวน

            คราวนี้มาพูดข้อยกเว้น กฎหมายคือโครงสร้างของการวางข้อกำหนดของการมีหลักการและข้อยกเว้น การมีข้อยกเว้นเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นการทำให้กฎหมายละเอียดมีความเป็นธรรมมากขึ้น ถ้ากฎหมายสามารถเข้าไปได้ก็มีข้อยกเว้นของข้อยกเว้น ถ้ากฎหมายไม่สามารถเขียนได้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลในการตีความ

            ดังนั้นองค์ประกอบของกฎหมายคือ หลักกฎหมายและข้อยกเว้น ก็หมายความว่าไม่จำเป็นต้องนำสืบเนื่องจากมันเป็นข้อเท็จจริงที่เข้าองค์ประกอบและข้อยกเว้นสามประการ หนึ่งข้อเท็จจริงที่รับหรือถือว่ารับในศาล

            แล้วที่อาจารย์เห็นคนเข้าไปถามในกระทู้ว่า จะต้องตีความแม่นยำแค่ไหนในเรื่องของหลักกฎหมาย ก็ถ้ายิ่งแม่นคะแนนก็ยิ่งดี เช่นหลักกฎหมายบอกว่าข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไปอาจารย์เรียนมาสี่สิบปี แล้วก็ยังใช้คำนี้ ข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป ตอบตามตัวบทก็ได้คะแนนเต็ม

            อาจารย์สอนที่เนฯก็ต้องเน้นมากเพราะสนามต่อไปนี่คือการแข่งขันกันแล้ว การเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตาม 288 ป.อ. ถูกธงแต่ถ้าถามว่าแล้วคนตอบว่าการที่นายดำใช้อาวุธจ้องยิงไปที่ฝูงชนเป็นการที่นายดำรู้สำนึกในการที่กระทำแล้วนายดำย่อมเล็งเห็นผล ว่าถูกคนที่อยู่ในรำวงถึงแก่ความตาย นายดำจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น กรรมการหน้าไหนจะมาหักคะแนน นี่คือสิ่งที่อาจารย์ก็เน้นอยู่เรื่อยว่าการตอบข้อสอบก็ต้องให้เห็นว่าเราเป็นักกฎหมาย

            อาจารย์อ่านฏีกาก็ไม่เห็นจะแปลกแหวกแนวจากตัวบทกฎหมายอย่างไหน ถ้าเราพลาดธงแสดงว่าเรามีสิทธิแก้ตัว มาตรา 84 ต้องแม่น ข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไปหมายความว่าอย่างไร ไม่มีคำนิยาม

            คือคนที่มีสติปัญญาก็รู้ได้ คนทั่วไปต้องรู้ ไม่ได้หมายความว่าเด็กสองขวบต้องรู้ คอมพิวเตอร์คืออะไรต้องรู้ได้

            บางอย่างถ้าตรวจสอบข้อมูลได้ วันเสาร์หน้าวันที่เท่าไหร่ อาจารย์ก็ต้องรู้ จะบอกไม่รู้ไม่ได้อย่างนี้เป็นต้นคำนวนได้ ที่คำนวนได้ ศาลฏีกาไปไกลนะครับ เวลาน้ำขึ้นน้ำลง เวลาขึ้นของพระอาทิตย์ดวงจันทร์ เป็นข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป ดูเหมือนง่ายๆ

            แต่ความเห็นอาจารย์ แปลความจำกัดมาก ข้อเท็จจริงที่ศาลรู้ประกอบ ไม่เหมือนของเรา ศาลอังกฤษมีระบบลูกขุน ระบบของเขามองว่า ข้อเท็จจริงนี้เป็นอย่างนี้คู่ความไม่ต้องนำสืบ ก็ดีสิ มันรู้กันชัดเจน ภาษาของเขาก็คือ ข้อความที่ศาลรับรู้ แต่พอมาไทยเราใช้คำว่าข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป ก็ทำให้เขาใจยาก ไม่แน่ใจว่าข้อเท็จจริงใดศาลถือว่าเป็นข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป คู่ความไม่กล้าเสี่ยงดังนั้น ในทางปฏิบัติ แล้วคู่ความมักจะสืบทุกอย่าง ไม่ยอมเสี่ยงหรอกว่าข้อเท็จจริงนี้ถือเป็นข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไปหรือไม่ ทำให้ไม่ตรงตามเจตนารมย์ของกฎหมาย ที่บอกว่าคู่ความไม่ต้องนำสืบข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป ก็ส่งสัญญาณว่าการสืบพยานอันนี้ไม่จำเป็น

            ในระบบกล่าวหานั้นอันตราย เราไม่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไปได้ บางเรื่อง โอเค ภาษาไทยคู่ความไม่ต้องนำสืบได้ ถ้าใครมัวมานั่งแปลไทยเป็นไทยอยู่ก็แน่นอนศาลไม่ยอม

            สิ่งที่ศาลรับว่าเป็นข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป ก็คือข้อเท็จจริงทางภูมิศาสตร์ โดยมีเงื่อนไขว่าข้อเท็จจริงทางภูมิศาสตร์ต้องเป็นเรื่องพื้นๆ โดยคนทั่วไปรู้โดยไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ เช่น น้ำเดือดต้องร้อน แม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ที่ใด

            แต่ที่น่าสังเกตคือ เวลาขึ้นของดวงจันทร์ เป็นข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไปคำนวนได้ ถามว่าใครในห้องคำนวนได้ ก็น้อยมาก ดวงจันทร์ขึ้นท้องฟ้าเวลาใดศาลรู้เอง

            จึงเป็นทฤษฏีของอาจารย์เอง เหตุการณ์บ้านเมือง ประวัติศาสตร์ แน่นอน ศาลยอมรับ ฏีกาปี 32 บอกว่าวันใดเป็นวันหยุดราชการ เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป  ศาลรู้ได้เอง

            ที่ตั้งข้อสังเกตคือ ศาลไม่ยอมรับข้อเท็จจริงซึ่งเป็นสถานะของบุคคล 

            จารีตประเพณีท้องถิ่นอันนี้ศาลยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป เพลงลูกทุ่งเป็นเพลงอย่างไร เรือหางยาว เมื่อเทียบฏีกาอย่างนี้สมัยอาจารย์ อาจารย์ไม่รู้แต่สมัยนี้คงไม่มีปัญหา

            แต่นักศึกษาจะสังเกตได้ว่า คู่ความต้องนำสืบไว้ก่อน ต้องอธิบาย อาจารย์ก็เคยนำสืบคดีทรัพย์สินทางปัญญา ก็อธิบายไว้หมด ว่าเพลงลูกทุ่งมีลักษณะอย่างไร ลูกกรุงมีลักษณะอย่างไร

            ประเด็นว่าข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไปก็เกิดขึ้นน้อยมาก เรือหางยาวอันนี้ดีศาลยอมรับ สถานีรถไฟมีที่ใดบ้าง อันนี้ก็รวมถึงสถานีรถไฟฟ้า สถานีรถไฟใต้ดิน ถ้าพวกเหล่านี้รู้เฉพาะกลุ่มคน ต้องนำสืบ คงจะพอจำได้ว่า ศาลรับข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไปน้อยมาก ต้องเป็นภูมิศาสตร์ จริงๆ ที่เราและแปลกๆ คือดวงจันทร์ขึ้นจากท้องฟ้าเวลาใด ใครตอบไม่ถูกนี่แย่เลย ที่ยุ่งและผิดบ่อยๆ ก็คือ กฎหมายลำดับรอง ที่เรียกว่าระเบียบประกาศคำสั่ง กฎหมายลำดับรองมีปัญหา อาจารย์พูดค้างตั้งแต่ครั้งที่แล้ว ว่ากฎหมายลำดับรองที่อยู่ในรูปพระราชกฤษฏีกา กฎกระทรวงเป็นกฎหมายลำดับรอง ที่เรียกชื่ออย่างอื่น ก็ไม่รู้ทำไมเรียนชื่ออย่างอื่น ประกาศระเบียบข้อบังคับข้อกำหนด

            ศาลฏีกาบอกว่าไม่ใช่ข้อกฎหมาย ดังนั้นคู่ความต้องนำสืบแม้ว่าจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็ตามฏีกาปี 50 ก็สำคัญนะครับ

            460/2550 ยืนยันเพราะมีฏีกาปี 45 ทำความไขว่เขวให้เกิดขึ้น ฏีกาปี 50 เอาจากหนังสืออาจารย์จรัลก็แล้วกัน ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย มิใช่ข้อกฎหมายที่ศาลจะรู้ได้เอง แต่เป็นสิ่งที่คู่ความต้องนำสืบพิสูจน์ เพราะเคยว่าในบทที่สองแล้ว 

            ฏีกานี้อยู่ในหัวข้อ 2.2 คราวที่แล้ว

            อาจารย์จรัลบอกว่าจริงๆแล้วก็คือข้อกฎหมายถ้าใช้ให้ถูกต้องต้องบอกว่าความมีอยู่หรือไม่ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นข้อเท็จจริง นี่คือทฤษฏีของอาจารย์

            ความมีอยู่ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นข้อเท็จจริง ต้องนำสืบ เป็นการเล่นคำเล่นอะไรนิดหน่อยเพื่อให้สบายใจ แต่ผลคือต้องนำสืบประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ธงไม่เปลี่ยน

            เขาจะกำหนดเขตว่าที่ใดมีป่าไม้ชุมก็ห้ามแปลรูปไม้ห้ามตั้งโรงเลือยเยอะแยะเขตอุทยานแห่งชาติ เวลาอาจารย์ขับรถผ่านก็เห็นไร่ข้าวโพด นี่คือข้อเท็จจริงนอกสำนวน อาจารย์ก็พูดให้ตลกไปอย่างนั้นเอง ก็มีอีกเยอะแยะเรื่องกฎหมายลำดับรอง หลักคือ ต้องนำสืบ ไม่อย่างนั้นศาลไม่รู้

            ยังไม่นำสืบ 2023/2530 ก็ยกฟ้อง

            นี่คือความผิดพลาดหรือความไม่เข้าใจของกฎหมายอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นจุดอ่อนของระบบกล่าวหา นั่นก็คือ สถานะการดำรงตำแหน่งของบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีใครไม่ทราบว่า นายกรัฐมนตรีไทยตอนนี้ คือใคร ก็รู้ทุกคน แล้วในห้องนี้นั้น ใครรู้บางว่าเมื่อเช้าดวงอาทิตย์ขึ้นเมื่อใด

            แต่ตามแนวฏีกา สถานะของบุคคล ยังไม่ยอมรับ สถานะนายกฯ ยังไม่มีฏีกา แต่อาจารย์สรุปล่วงหน้าเลย สถานะของบุคคลไม่ถือเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป

            อธิบดีกรมต่างๆ ก็ไม่รับ 2548/2534

            กฎหมายลำดับรอง ต่างๆไม่สืบก็ยกฟ้องเลย พวกนี้อยู่ในกฎหมายลำดับรองเท่านั้น ไม่บอกศาลไม่รู้

            แต่ถ้าสืบไปแล้วมันไม่ตรงศาลก็ต้องฟังข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไปเช่นแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านกรุงเทพมหานคร

            ต่อไป ข้อเท็จจริงอันไม่อาจโต้แย้งได้ เกิดขึ้นได้อย่างไร ก็เกิดขึ้นได้โดยผลของกฎหมาย ต้องมีกฎหมายกำหนด ไม่ให้โต้แย้งให้ฟังเป็นยุติ ดังนั้นถ้ากฎหมายบอกให้ฟังเป็นยุติข้อเท็จจริงนั้นก็จะนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์หักล้างไม่ได้ ถึงปล่อยให้มีการนำสืบไปก็นำสืบแล้ว ไม่มีผลอย่างใด ไม่มีประโยชน์ต้องฟังข้อเท็จจริงยุติตามที่กฎหมายบอกให้ยุติ บางคนชอบเรียกว่า เป็นข้อสันนิฐานเด็ดขาด แต่อาจารย์เห็นว่าอย่าเลี่ยงดีกว่า เหตุที่อาจารย์ไม่อยากเลี่ยงเพราะว่าถ้าเราดูตัวบทกฎหมายแล้วมันไม่เคยแบ่งว่ามีข้อสันนิฐานเด็ดขาดกับไม่เด็ดขาด ไม่มีกฎหมายมาตราใด แบ่งข้อสันนิฐานเป็นเด็ดขาดกับไม่เด็ดขาด แต่มีทฤษฏีในตำรากฎหมายเท่านั้นแหละ ดังนั้นอาจารย์อยากให้ทำความเข้าใจเพราะมีกฎหมายบัญญัติให้มีผลเป็นเด็ดขาด ถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติย่อมไม่ใช่ นี่คือหลักของมันนะครับเด็ดขาดก็คือเด็ดขาด สืบโต้แย้งไม่ได้ เมื่อใดก็ตามที่กฎหมายใช้คำว่าให้ถือว่า มาตรา 4 วรรค 2 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 60 กระทำโดยพลาด ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำต่อบุคคลที่เจตนาโดยพลาด ให้ถือว่า จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ บางทฤษฏีเรียกว่าข้อสันนิฐานโดยเด็ดขาด หลักของข้อสันนิฐานคือ นำสืบพยานหลักฐานโต้แย้งได้ ทฤษฏีของอาจารย์คือ ถ้าให้ถือว่าคือบทบัญญัติอันเด็ดขาดที่ไม่อาจโต้แย้งได้ ดังนั้นนิติวิธีหรือการคิดต่างอย่างไรก็ตามแต่ธงคือ ฟังเป็นยุติ ก็ลามไปถึงกฎหมายอาญา ไปกระทบกับหลักนิติปรัชญาแล้ว อันนี้อาจารย์ก็ไม่อยากจะพูด เพราะหลักนิติปรัชญาบอกว่าการพิสูจน์ความผิดต้องพิสูจน์ทุกองค์ประกอบความผิด ก็แปลว่ากฎหมายนี้เกิดได้โดยยาเสพติดให้โทษเป็นเรื่องร้ายแรงเหลือเกิด ดังนั้นกระบวนการนิติวิธีจะฝ่าฝืนเสียบ้างจะเป็นไรไป มันคือกระทบต่อหลักนิติปรัชญาแต่ถ้าเราไม่สนใจกฎหมายเราจะไม่สงสัยมาตรา 17 วรรคสองเลย แต่ถ้าเราศึกษากฎหมายสูงขึ้นเราย่อมตั้งข้อสงสัย ว่าทำไมการมียาเสพติดไว้ในครอบครองเมื่อคำนวนสารบริสุทธิ์จึงเป็นการครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งมีโทษหนักขึ้น

            ส่วนอีกทฤษฏีหนึ่งบอกว่ามันมีกรณีที่กฎหมายปิดปากไม่ให้สืบพยานโต้แย้ง หนังสืออาจารย์จรัลก็อ้างหลายเรื่อง ไม่ได้โต้แย้ง เช่นฟ้องซ้ำ  มาตรา 148 ผลของคำพิพากษาผูกพันธุบุคคลภายนอก

            ฟ้องซ้ำในคดีอาญา ข้อเท็จจริงคดีอาญาผูกพันคดีแพ่ง สี่เรื่องเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้อีกประเภทหนึ่ง แต่ในความคิดอาจารย์เห็นว่าสี่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องห้ามสืบพยานหลักฐาน แต่เป็นเรื่องวิธีพิจารณาความที่คู่ความไม่อาจรื้อฟื้น ดังนั้นสี่เรื่องที่อาจารย์จรัลบอก มันมีกฎหมายของมันอยู่แล้ว เช่นในฟ้องซ้ำ ดังนั้นมันไม่ต้องอาศัย 84 อนุมาตรา 2 เป็นเรื่องวิธีพิจารณาการสืบพยานที่ไม่มีประเด็นอย่างไรก็ตามธงคำตอบก็เหมือนกันก็คือทำไมได้ ในกรณีสี่เรื่องนี้ก็เป็นเหตุผลของการฟ้องซ้ำ เหตุผลของ 148 คำพิพากษาคดีอาญา ผูกพันคดีแพ่ง เป็นเรื่องที่ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล ดังนั้นอาจาย์ไม่จัดอยู่ในมาตรา 84 อนุมาตรา 2 ตกลงอาจารย์พูดไปมาตรา 84 ได้ 2 อนุมาตราแล้วไม่มีอะไรยาก มันเรื่องยากที่อนุมาตรา 3 เริ่มยาก อนุมาตรา 1 อ่านแล้วเข้าใจอย่างที่อาจารย์ว่าไว้ว่าศาลฏีกายอมรับข้อเท็จจริงใดบ้าง ข้อเท็จจริงใดเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ จุดที่อาจารย์เน้นคือใช้ถ้อยคำให้ถูกต้อง

            อนุมาตรา 3 ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือ ถือว่ารับในศาล และมีผลต่อข้อสอบที่ออกเป็นประจำคือภาระการพิสูจน์ โดยเฉพาะข้อสอบผู้ช่วยดูว่าเป็นเรื่องอะไร ประเด็นใดใครมีภาระการพิสูจน์เป็นเรื่องยากพอสมควร ไอ้เรื่องนี้อ่านแล้วชักงงไม่รู้ใครรับใครปฏิเสธ ฏีกาหลายเรื่องทำเราเขวทำเรางง คำรับ ประโยคที่สำคัญอยู่ในศาล รับนอกศาลไม่ใช่ ก็จำประการแรก ส่วนในศาลไม่ใช่ภาษาสามัญก็ต้องดูว่าในศาลคือกระบวนการที่ถูกต้องประการที่สองคือ 84 อนุมาตรา 3 เป็นคำรับในคดีแพ่ง

            ก็คงต้องไปดูกันต่อเมื่อมีปัญหาต่อไปในเรื่องการกำหนดประเด็นข้อพิพาท พาวเวอร์พ้อยของอาจารย์อยากจะเปลี่ยนเป็นคำรับ หรือเต็มๆคือข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับในศาล ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วข้อเท็จจริงยุติแล้วก็ดูองค์ประกอบ เวลามีความรู้เรื่องคำรับ เรื่องประเด็นข้อพิพาทเรื่องภาระการพิสูจน์ไม่ใช่ตอบได้แต่คำถามของกฎหมายพยาน มีบ่อยครั้งที่ไปตอบ ไปใช้ประโยชน์ได้ในวิแพ่ง อาจารย์เคยดูข้อสอบเนฯ ข้อสอบผู้ช่วยหลายข้อ ไปตอบในวิแพ่ง เพราะถ้าเราดูเฉพาะกฎหมายพยานว่าเป็นคำรับไม่ต้องสืบพยานแต่ในชีวิตจริงนั้น มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันมักมีการสืบพยาน ศาลมักจะปล่อยให้มีการสืบพยาน เพราะถ้าศาลเข้มงวดคดีจะเสร็จเร็วกว่านี้ แต่ศาลตามใจ ข้อเท็จจริง ก็สืบไป สืบไปไม่เป็นไร ในศาลชั้นต้น หลักกฎหมายไม่แม่น ข้อเท็จจริงเขารับแล้ว ไปฟังพยานหลักฐานยกฟ้องเลย ก็เป็นคำถามในชั้นอุทธรณ์ฏีกา ศาลฏีกาก็วินิจฉัยว่า คดีไม่มีประเด็น การพิพากษาศาลชั้นต้นในประเด็นหลักฐาน อันนั้นปล่อยไม่ได้ ฏีกาจำนวนมาก วินิจฉัย ซึ่งอาจารย์ก็อ่านให้ฟัง ก็ไม่จำเป็นต้องฟังพยานหลักฐานเกิดการบกพร่องขึ้นมา 2194/2522

            ตามข้อความในเอกสาร ฟังว่าจำเลยกู้โดยมีพยานหลักฐานเป็นหนังสือ ฏีกาใช้คำว่าใช้พยานหลักฐาน เมื่อได้มีการนำสืบ ไมได้ปิดอากรแสตมป์ก็ถูกบทตัดพยานตามประมวลรัษฏากรณ์มาตรา 118 ก็รับแล้วว่าได้กู้ยืมแล้ว ลงชื่อ ก็ได้ ไม่มีการกรอกข้อความแต่ข้อเท็จจริงฟังคำให้การแก่จำเลย ว่าโจทก์ไปกรอกก็จริงแต่กรอกตามความเป็นจริงแล้วดอกเบี้ยไม่เกิน อันนี้ก็เป็นอันที่ว่าจำเลยรับข้อเท็จจริงตามเอกสาร 742/2538

            สรุปว่าคำรับเป็นอย่างไรก่อนดีกว่า ก็เป็นคำรับของคู่ความในศาล คู่ความในศาลจะรับได้เมื่อไหร่คำรับเกิดจากคำคู่ความ เพราะว่าคู่ความถูกบังคับตามมาตรา 147 วรรคสองประการที่สอง คำรับเกิดจากการชี้สองสถาน เป็นกระบวนการที่ศาลตรวจสอบคำคู่ความ ในประเด็นที่ควรรับกันได้ ประการที่สามการแถลงรับข้อเท็จจริงของคู่ความ คือเมื่อสืบพยานไปได้สักพักหนึ่ง หรือไม่ได้สืบพยานต้องสอบถาม อย่างไรก็ตามคำรับ ของพยาน ถึงแม้จะเป็นคู่ความก็ไม่ใช่คำรับที่ฟังเป็นยุติ คำเบิกความในศาลเป็นพยานหลักฐาน ส่วนจะมีน้ำหนักมากเพียงใด ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อันนี้ก็มา เป็นมาตรา หัวใจ เป็นมาตราสำคัญ

            คือมาตรา 177 วรรคสอง เป็นบทมาตราที่เราเอามาใช้เป็นเหตุผลในการตอบรับข้อเท็จจริงนั้นเป็นคำรับ ที่ฟังเป็นยุติมาก สำคัญ หรือไม่ได้ เพราะมาตรา 177 วรรคสอง ให้จำเลยแสดงเป็นคำชัดแจ้ง รวมทั้งมาตรา 177 วรรคสอง จึงพิจารณาว่าเป็นสองประการ ประการแรก ข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้งไม่จำเป็นต้องยอมรับแต่ไม่ปฏิเสธโดยชัดแจ้งถือว่ายอมรับ

            คือ ก็เกิดการปฏิเสธจำเลย จะมีข้อต่อสู้เพื่อลบล้างคำฟ้องของโจทก์ ก็ต่อสู้ของจำเลยต้องมีเหตุแห่งการนั้น คือเหตุผลนั่นเอง หรือพูดง่ายๆจำเลยจะยกข้อต่อสู้ขึ้นมาต้องมีเหตุผลโดยชัดแจ้งดังนั้นในการพิจารณาคำรับที่เกิดจากกระบวนการยื่นคำคู่ความต้องดูสองประการประการแรกจำเลยรับหรือไม่

            ประการที่สองจำเลยยังมีสิทธิยกข้อต่อสู้หรือไม่ ที่หักล้างข้ออ้างของโจทก์การยกข้อต่อสู้ต้องมีเหตุโดยชัดแจ้งการยกข้อต่อสู้ปฏิเสธคำฟ้องของโจทก์ต้องชัดแจ้ง

            ฏีกาปี 35 จำเลยให้การว่าไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ไม่ได้ปฏิเสธโจทก์อ้างว่าเป็นธนาคารพาณิชย์มีอำนาจให้การกู้ยืมหมายความว่า ข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์จำเลยไม่ได้ปฏิเสธ ปฏิเสธเพียงว่าไม่ได้กู้

            แต่ทางปฏิบัติที่เห็น แม้จำเลยจะไม่ได้ปฏิเสธ ท่านทนายทั้งหลายก็ร่ายยาวมาตลอด เวลานำสืบจำเลยก็ไม่ได้ต่อสู้ แต่โจทก์ก็สืบศาลก็ไม่เคยว่า ก็เข้าหลักว่ากันเหนี่ยวไว้ก่อน

            คำให้การระบุว่าไม่ทราบไม่รู้ไม่เห็น เลิกใช้ได้แล้วอันนั้นสำนวนในวรรณคดี ไม่เอาไม่ทราบไม่รับรอง ปฏิเสธก็ปฏิเสธไปให้ชัดแจ้ง 3504/2542

            มีสัญญาจำนวนมากที่จำเลยไม่ปฏิเสธ เช่นสัญญาประกันภัย เกิดขึ้นเมื่อใดจำเลยไม่กล้าปฏิเสธ แต่จำเลยผิดสัญญาเป็นประจำ เช่นทำสัญญาประกันไว้ บ้านเราถูกไฟไหม้ก็ฟ้องบริษัทประกัน ขอชดใช้ค่าเสียหาย แต่เขาจะปฏิเสธว่า เขาไม่ต้องจ่าย เนื่องจากไฟไหม้นี้คือการเผาบ้านตนเองก็คือยกข้อต่อสู้ว่า แล้วปฏิเสธ

            การปฏิเสธข้อต่อสู้จำเลย เป็นผ้าบางๆ ไม่มีใครที่ว่าคำฟ้องได้บรรยายอยู่ในตัวโดยปริยาย ฟ้องไม่ขาดอายุความ จำเลยต้องปฏิเสธ เป็นข้อที่จำเลยลืมบ่อยที่สุด ถ้าไม่ปฏิเสธ จำเลยก็ถือว่ารับแล้ว ไม่มีประเด็นในเรื่องการต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ ได้ฟ้องเคลือบคลุมโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องฟ้องโจทก์ขาดอายุความต้องมีเหตุผลประกอบเสมอ ฟ้องเคลือบคลุมเพราะอะไรเพราะไม่เข้าองค์ประกอบของกฎมหายอย่างไร ฟ้องโจทก์ขาดอายุความอย่างไร เริ่มนับอายุความเมื่อใด ต้องยกเหตุผล ถ้าไม่ยกเหตุผล ศาลฏีกาบอกว่าไม่มีประเด็น  การยกต้องยก ไม่มีเหตุผลเท่ากับรับเลย เมื่อยกแล้วและมีเหตุผลแล้วกลับไปดูข้อ 2 ถ้าจำเลยต่อสู้เรื่องความสมบูรณ์ของฟ้องโจทก์โดยชอบแล้ว ยกเว้น ในประเด็นเรื่อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ยกเว้นในเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมก็เป็นเรื่องฟ้องโจทก์ขาดอายุความภาระการพิสูจน์เป็นของโจทก์ ส่วนฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่เป็นการวินิจฉัยข้อกฎหมาย เหตุใดจึงเป็นการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ก็เพราะว่าใช้หลักสามัญสำนึกที่อาจารย์พูดก็เพราะการพิจารณาคำฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ ศาลเพียงแต่ตรวจดูคำฟ้องของโจทก์ ไม่จำเป็นต้องนำสืบพยานหลักฐาน ศาลตรวจดูคำฟ้องของโจทก์แล้วก็สามารถวินิจฉัยได้ว่า ฟ้องโจทก์ครบถ้วนตาม ป.วิ.พ.ในเรื่องคำฟ้องหรือไม่ ดังนั้นถ้าศาลตรวจคำฟ้องได้เอง ก็ออกเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ทุกปี แต่เราต้องเก็บเกี่ยวให้หมด ภาระการพิสูจน์เป็นของใคร เราต้องตอบให้หมด ประเด็นปลีกย่อย ประเด็นละคะแนนไม่ยากเลยอันนี้ต้องจำ มันมีฏีกาสนับสนุน ฏีกาเยอะแยะ มีการอ้างว่าอาจารย์ไม่ได้วางหลักเอง มาจากฏีกาทั้งนั้น การที่ไม่ยกขึ้นจึงไม่มีประเด็นให้วินิจฉัย อาจารย์บอกแล้วว่ามันต้องแยกกัน

            คือหมายความว่าเมื่อจำเลยปฏิเสธแล้ว โจทก์ต้องมีภาระการพิสูจน์เช่นจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กู้สัญญากู้ปลอม จำเลยไมได้อ้างเหตุประเด็นว่าปลอมอย่างไร ก็หมายความว่าจำเลยไม่มีสิทธิสืบประเด็นว่าปลอม

            ก็ชัดเจน การต่อสู้ว่าสัญญากู้ปลอมเป็นเหตุผลที่จำเลยปฏิเสธสัญญากู้ของโจทก์โดยชัดแจ้ง แยกให้ได้นะครับ พอฏีกานี้จะเข้าใจชัดแจ้งยิ่งขึ้น

            คือคำให้การที่ขัดแย้งกัน ดูให้ดีคำให้การที่ขัดแย้งกัน จำเลยให้การ โจทก์ฟ้องเป็นสัญญากู้ว่าไม่เคยกู้สัญญากู้ปลอม โอเคโจทก์ต้องสืบ หากฟังว่ากู้จริง ถูกข่มขู่ว่าไป 189 ในนี้บอกว่าถูกข่มขู่ถูกขัดแย้งกัน ตอนแรกบอกว่าไม่ได้กู้สัญญากู้ปลอมตอนหลังบอกว่าถ้าหากกู้จริง ขัดแย้งกัน ผลของกคำให้การที่ขัดแย้งกันเป็นเหตุแห่งการปฏิเสธนั้นใช้ไม่ได้ตาม 177 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีประเด็นจะนำสืบเพราะคำให้การของจำเลยขัดแย้งกันนั้นจำเลยได้ปฏิเสธแล้วว่าโดยชัดแจ้งว่าไม่ได้กู้ยืมโจทก์ โจทก์ก็สืบมาฝ่ายเดียวคดียังมีประเด็นข้อพิพาทโจทก์ต้องนำสืบว่ามีสัญญากู้กันจริง นำสืบกันไม่ได้ทั้งสิ้น ฏีกาที่ 10662/2551 เดินตาม ตอนแรกก็อ้างว่าเป็นที่ดินสาธารณะประโยชน์ตอนหลังบอกว่าจำเลยได้กรรมสิทธิโดยการครอบครองปรปักษ์ ก็เป็นที่ดินโดยไม่ชอบ โจทก์ก็พิสูจน์ได้ฝ่ายเดียว พอแล้ว มีข้อควรระวัง อย่าถูกหลอก จะรับรองเขตอำนาจ ปีที่แล้วก็หลอกไปทีหนึ่งแล้วเรื่องมาตรา 94 คำให้การที่ขัดแย้งกันทำให้จำเลยไม่มีประเด็นต้องดูลักษณะของการขัดแย้งกันโดยอาศัย สามัญสำนึกของเรา แต่ฏีกา 1603/2551 จำเลยให้การตอนแรกว่า ไมได้กู้สัญญากู้ปลอม แล้วมาให้การตอนหลังว่าสัญญากู้นี้ขาดอายุความดูผิวเผินเหมือนขัดแย้งกัน ถ้าพิจารณาให้ลึกซึ้งไม่ขัดแย้ง 1603/2551 น่าระวังมาก เพราะเขามีสิทธิต่อสู้ทั้งสองอย่าง ก็ต้องต่อสู้ว่าไม่ได้กู้ในขณะเดียวกันก็มีสิทธิต่อสู้เรื่องอายุความ อาจารย์ก็เทียบเคียงกับคดีศาลรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกันนะ พยายามเทียบให้เป็นตรรกะ อาจารย์ก็ฝากการบ้าน ให้วิเคราะห์เพราะว่าระยะหลังมันน่าสนใจมากในเรื่องการให้การที่ขัดแย้งกัน 1603/2551 อาจารย์ก็ต้องสะดุดเลยว่าขัดแย้งกันหรือไม่ ไม่ขัดแย้งโจทก์ต้องสืบทั้งสองประเด็น

            วันนี้คงพอเพียงเท่านี้ ยังไม่หมดกระบวนการคำรับ กับการชี้สองสถานไม่ได้พูด วันนี้พอแค่นี้นะครับ ขอบคุณครับ คราวหน้าอาจารย์สอนแปดโมงนะครับ

Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages