...การบอกกล่าวบังคับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 728 คำว่า “จดหมาย” ต้องทำเป็นหนังสือหรือไม่และหากเจ้าหนี้ผู้รับจำนองใช้สิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 ต้องปฏิบัติอย่างไร... ?

2,242 views
Skip to first unread message

arunarun chitt

unread,
Jul 11, 2013, 12:23:00 PM7/11/13
to law...@googlegroups.com

...การบอกกล่าวบังคับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 728 คำว่า จดหมายต้องทำเป็นหนังสือหรือไม่และหากเจ้าหนี้ผู้รับจำนองใช้สิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 ต้องปฏิบัติอย่างไร... ?


    ศึกษาวิเคราะห์จากคำพิพากษาฎีกาที่ 4015/2555
    ข้อเท็จจริง (กรุณาเปิดตัวบทกฎหมายทุกครั้งที่มีการอ้างถึงเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการทำความเข้าใจ)
    1. เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2543 จำเลยกู้ยืมเงินไปจากโจทก์ จำนวน 980,000 บาท ยินยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โดยจำเลยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 35629 พร้อมสิ่งปลูกสร้างจดทะเบียนจำนองไว้เป็นประกัน โดยให้ถือเอาหนังสือสัญญาจำนองเป็นสัญญากู้ยืมเงินด้วย ก่อนฟ้องโจทก์มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองและจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระหนี้ให้กับโจทก์

    2. โจทก์จึงยื่นฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,715,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 980,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
    2.1 ตามคำฟ้องของโจทก์ในตอนท้ายที่ระบุว่า หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยเป็นกรณีคู่สัญญาได้ยกเว้นไม่ปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 733 
    2.2 ในการยื่นฟ้องคดีเกี่ยวกับการบังคับจำนองนั้นโดยหลักทั่วไปแล้วจะเห็นว่านิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์ผู้รับจำนองกับจำเลยลูกหนี้ผู้จำนองนั้นจะเกิดสัญญา 2 ฉบับ โดยสัญญาฉบับแรกคือสัญญากู้ยืมเงินซึ่งเรียกว่าสัญญาประธาน ส่วนสัญญาฉบับที่สอง คือสัญญาจำนองซึ่งเรียกว่าสัญญาอุปกรณ์ เมื่อมีสัญญาสองสัญญาเช่นนี้ผู้เป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองมีอำนาจจะเลือกฟ้องเฉพาะสัญญากู้หรือจะฟ้องเฉพาะสัญญาจำนองหรืออาจฟ้องทั้งสองสัญญาพร้อมกันเช่นคดีนี้ก็ได้ ให้ศึกษาเพิ่มเติมจากฎีกาต่อไปนี้
     คำพิพากษาฎีกาที่ 3262/2527 
     ป.พ.พ. มาตรา 214, 733 
     การกู้เงินที่มีจำนองเป็นประกัน เจ้าหนี้อาจใช้สิทธิเรียกร้องอย่างหนี้สามัญโดยบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินทั่วไปของลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 214 หรือจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์ที่นำมาจำนองอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้การจำนองไม่ห้ามเจ้าหนี้ผู้รับจำนองต้องผูกพันที่จะบังคับชำระหนี้เอาเฉพาะทรัพย์สินที่จำนองแต่ทางเดียว
โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยมูลหนี้เดิมคือหนี้ตามสัญญากู้มิได้ฟ้องบังคับโดยอาศัยสัญญาจำนอง ฉะนั้น บทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 ที่ว่าถ้าเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดได้เงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนที่ค้างชำระกันอยู่ ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินที่ขาด จึงนำมาใช้บังคับเกี่ยวกับคดีนี้ไม่ได้
      คำพิพากษาฎีกาที่ 932/2550 
      ป.พ.พ. มาตรา 213, 214, 728, 733 
      การจำนองเป็นสัญญาเอาทรัพย์สินตราไว้เป็นการประกันหนี้โดยมีหนี้ประธานและจำนองอันเป็นอุปกรณ์ของหนี้นั้น ซึ่งอาจแยกออกเป็นคนละส่วนต่างหากจากกันได้ เจ้าหนี้จึงชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องอย่างหนี้สามัญ คือ บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินทั่วไปของลูกหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 213 หรือจะบังคับจำนอง คือ ใช้บุริมสิทธิ์บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองตามมาตรา 728 ก็ได้ ทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับว่าในกรณีซึ่งเป็นหนี้จำนองแล้ว ผู้เป็นเจ้าหนี้จะฟ้องร้องบังคับลูกหนี้อย่างหนี้สามัญตามมาตรา 214 ไม่ได้ เป็นแต่เพียงกฎหมายบังคับว่า ในกรณีที่โจทก์ใช้สิทธิบังคับจำนองสิทธิของโจทก์ย่อมตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 733 เท่านั้น ประกอบกับมาตรา 733 มิได้บังคับว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับจำนองได้แต่ทางเดียว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินได้ เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีแก่ทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยรวมทั้งทรัพย์ที่จำนองได้ มิใช่โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้แต่เฉพาะที่ดินที่จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้เท่านั้น
     2.3 ในขณะเดียวกันเจ้าหนี้ผู้รับจำนองอาจไม่ต้องยื่นฟ้องลูกหนี้ไม่ว่าจะเป็นการยื่นฟ้องตามสัญญากู้หรือสัญญาจำนองก็ได้ เพียงแต่รอให้เจ้าหนี้สามัญคนอื่นของลูกหนี้นั้นยื่นฟ้องจนศาลพิพากษาแล้วในชั้นบังคับคดีเจ้าหนี้ผู้รับจำนองก็สามารถใช้สิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 ขอรับชำระหนี้จำนองก็ได้ซึ่งหากผู้รับจำนองเลือกใช้สิทธินี้ เจ้าหนี้ผู้รับจำนองก็ไม่ต้องบอกกล่าวบังคับจำนองตาม ป.พ.พ. มาตรา 728 ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
     คำพิพากษาฎีกาที่ 9075/2551 
     ป.พ.พ. มาตรา 728
     ป.วิ.พ. มาตรา 289 ตาราง 1 (ค) (เดิม) 
     ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองโดยขอให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองมาชำระหนี้จำนองแก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ซึ่งเป็นการร้องขอตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 แม้จะถือเสมือนหนึ่งว่าเป็นคำฟ้องบังคับจำนองซึ่งผู้ร้องจะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 (ค) (เดิม) ท้าย ป.วิ.พ. ก็ตาม แต่ก็มิใช่เป็นการฟ้องบังคับจำนองโดยวิธีทั่วไป เพราะทรัพย์จำนองดังกล่าวได้ถูกโจทก์ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์ไว้แล้ว และแม้โจทก์กับผู้ร้องจะเป็นบุคคลคนเดียวกัน แต่การที่ผู้ร้องร้องขอรับชำระหนี้จำนอง เป็นการร้องขอเข้ามาตามสิทธิที่กฎหมายบัญญัติรับรองไว้ในฐานะที่แตกต่างกัน เมื่อผู้ร้องมิได้ขอให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดตาม ป.พ.พ. มาตรา 728 ผู้ร้องจึงไม่จำต้องบอกกล่าวบังคับจำนองก่อน
      คำพิพากษาฎีกาที่ 1759/2530 
      ป.วิ.พ. มาตรา 287, 289 
      การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้รับจำนองตาม ป.วิ.พ.มาตรา 287 เมื่อหนี้ระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้ร้องยังไม่ถึงกำหนดชำระผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนองจะอาศัยอำนาจแห่งการจำนองบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของ น. ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 หาได้ไม่.
       คำพิพากษาฎีกาที่ 3575/2534 
       ป.วิ.พ. มาตรา 287, 289 
       โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 2 ได้นำยึดที่ดินซึ่งจำเลยที่ 2 จำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ผู้ร้องอยู่มาบังคับคดีชำระหนี้ตามคำพิพากษา เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอบังคับชำระหนี้จำนอง ก่อนกำหนดชำระหนี้ตามสัญญากู้ 1 วัน ซึ่งจำเลยที่ 2ยังไม่ผิดนัดชำระหนี้ หนี้จำนองของผู้ร้องจึงยังมิใช่หนี้จำนองที่อาจบังคับได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 ดังนี้ผู้ร้องจะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองหาได้ไม่ แต่การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็ไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้อง (ผู้รับจำนอง)ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287.
       คำพิพากษาฎีกาที่ 684/2513 
      ป.วิ.พ. มาตรา 289 
      การขอหักเงินที่ได้มาจากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อเอาเงินชำระต้นเงินและดอกเบี้ยอันเกิดจากการจำนองเป็นกรณีใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289ซึ่งวรรค 2 กำหนดระยะเวลาให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาด เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาภายหลังจากที่ได้ขายทอดตลาดทรัพย์นั้นไปเสร็จสิ้นแล้ว ชอบที่ศาลจะต้องยกคำร้องเพราะเป็นคำร้องขอที่ยื่นมาพ้นกำหนดระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคสอง
      คำพิพากษาฎีกาที่ 3043/2528 
     ป.วิ.พ. มาตรา 287, 289 
     ผู้ร้องขอรับชำระหนี้จำนองจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองโดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองซึ่งผู้ร้องมีบุริมสิทธิในการที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 หาใช่ร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์จำนองตามมาตรา 287 ไม่ เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ตามมาตรา 289 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งศาลชอบที่จะยกคำร้องของผู้ร้องเสีย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 684/2513)
     คำพิพากษาฎีกาที่ 3655/2538 
     ป.พ.พ. มาตรา 732
     ป.วิ.พ. มาตรา 289 
     ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา289วรรคแรกให้สิทธิแก่ผู้รับจำนองที่จะเลือกว่าให้นำทรัพย์สินจำนองออกขายโดยปลอดจำนองแล้วนำเงินที่ได้มาชำระหนี้ตนก่อนเจ้าหนี้อื่นก็ได้ส่วนวรรคสองได้บัญญัติเพื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจะได้ดำเนินการไปได้โดยถูกต้องตามเจตนาของผู้รับจำนองการที่ผู้รับจำนองไม่ได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลก่อนเอาทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดหาทำให้หมดสิทธิในฐานะผู้รับจำนองไม่ฉะนั้นเมื่อเอาทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดโดยปลอดจำนองแล้วก็ต้องชำระหนี้จำนองให้แก่ผู้รับจำนองก่อน
     คำพิพากษาฎีกาที่ 3332/2527 
     ป.พ.พ. มาตรา 702, 736, 744
     ป.วิ.พ. มาตรา 289, 319, 320 
     เมื่อมีการบังคับคดีขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์ซึ่งติดจำนองไม่มีบทบัญญัติบังคับผู้รับจำนองให้จำต้องแสดงหลักฐานการเป็นหนี้หรือยอดหนี้ของผู้จำนองต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือต่อศาล เมื่อผู้รับจำนองไม่ประสงค์จะใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ซึ่งให้สิทธิแก่ผู้รับจำนองที่จะยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาดในกรณีที่จะขอให้เอาเงินจากการขายทอดตลาดชำระ แก่ผู้รับจำนองก่อนหรือจะเอาทรัพย์จำนองหลุด สิทธิของผู้รับจำนองหาได้ระงับไปไม่ เพราะสัญญาจำนองจะระงับสิ้น ไป ก็เฉพาะกรณีที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744เท่านั้น จำนองเป็นทรัพย์สิทธิติดไปกับตัวทรัพย์เสมอ แม้ประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะระบุว่าไม่มียอดหนี้จำนองก็ หมายความเพียงเจ้าหนี้จำนองมิได้แจ้งยอดหนี้มาให้ทราบมิใช่เป็นการปลอดหนี้จำนอง เมื่อประกาศขายทอดตลาดของ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีเงื่อนไขในการขายว่าไม่รับรองและ ไม่รับผิดในการรอนสิทธิ จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ผู้ซื้อจะต้องระวังและสอบสวนถึงจำนวนหนี้จำนอง การละเลยจึงเป็น การเสี่ยงต่อความเสียหายของโจทก์เอง โจทก์ผู้รับโอนที่ดินซึ่งติดจำนองอยู่กับจำเลย ย่อมมีสิทธิที่จะปลดเปลื้องภาระจำนองโดยการไถ่ถอนจำนองตามบทบัญญัติ ลักษณะ 12 หมวด 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
     คำพิพากษาฎีกาที่ 110/2553
     ป.วิ.พ. มาตรา 289
     ป.วิ.พ. มาตรา 287 บัญญัติว่า ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 288 และ 289 บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่นๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมายส่วนมาตรา 289 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้าบุคคลใดชอบที่จะบังคับการชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาฎีกาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ หรือชอบที่จะได้เงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินเหล่านั้นได้โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองที่อาจบังคับได้ก็ดีหรืออาศัยอำนาจแห่งบุริมสิทธิก็ดี บุคคลเหล่านั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้เอาเงินที่ได้มานั้นชำระหนี้ตนก่อนเจ้าหนี้อื่นๆ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และ ป.พ.พ. มาตรา 702 วรรคสอง บัญญัติว่า ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่เมื่อพิเคราะห์ตามคำร้องของผู้ร้องที่ยื่นต่อศาลก่อนเอาทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดแล้ว การที่ผู้ร้องขอให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินจำนองโดยปลอดจำนองมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องตามจำนวนภาระหนี้จำนองที่จำเลยมีต่อผู้ร้อง ถือได้ว่าเป็นการที่ผู้ร้องขอรับชำระหนี้จำนองจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองโดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองตาม ป.พ.พ. มาตรา 702 วรรคสอง ซึ่งผู้ร้องมีบุริมสิทธิในการที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 แม้ผู้ร้องจะอ้างว่าเป็นการร้องขอกันส่วนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 แต่เมื่อคำร้องของผู้ร้องต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 289 ก็ไม่ทำให้คำร้องของผู้ร้องเสียไป ศาลมีอำนาจรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา
    2.4 มองในแง่ของการยื่นคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. ว่า คดีฟ้องบังคับจำนองจะนำคดีไปยื่นที่ศาลใด พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีประเภทนี้สามารถยื่นฟ้องยังศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาหรือที่มูลคดีเกิด (ที่ทำสัญญากู้หรือที่ทำสัญญาจำนอง) ทั้งนี้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4(1) และการยื่นคำฟ้องเพื่อบังคับจำนองนั้นยังถือว่าเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 ทวิ ด้วย
    2.5 ประเด็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือไม่ ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
    คำพิพากษาฎีกาที่ 680/2532 
    ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1), 5  การที่โจทก์ฟ้องบังคับจำนองแก่ที่ดินที่จำเลยที่ 2นำมาจำนองประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 นั้น จะต้องพิจารณาว่าโจทก์มีสิทธิบังคับจำนองได้หรือไม่ จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์หรือไม่ และจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ อันเป็นการพิจารณา ถึงสิทธิที่โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำนอง คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 จะมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดเชียงใหม่ก็ตาม แต่เมื่อที่ดินที่จำนองอยู่ที่กรุงเทพมหานคร โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลที่ทรัพย์ตั้งอยู่ในเขตได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 4(1).
     คำพิพากษาฎีกาที่ 1134/2514 
     ป.พ.พ. มาตรา 213
     ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1), 55, 172, 249  ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท เป็นคำฟ้องเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เสนอคำฟ้องต่อศาลที่บ้านพิพาทตั้งอยู่ในเขตศาลได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อบ้านเลขที่ 55/21 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินที่โจทก์เช่าจากวัดเขมาภิรตาราม ตำบลบางซ่อน อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร ค่าเช่าซื้อ 100,000 บาท ตามสำเนาสัญญาเช่าซื้อท้ายฟ้อง จำเลยผิดสัญญาในข้อที่ว่า เมื่อปลูกบ้านเสร็จพอที่จำเลยจะเข้าอยู่ได้ โจทก์จะต้องมอบบ้านให้จำเลยครอบครอง และจำเลยต้องชำระราคาให้แก่โจทก์อีก 10,000 บาท จำเลยไม่ชำระ ขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว ไม่เคลือบคลุม ไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าโจทก์สร้างเสร็จครบถ้วนและถูกต้องตามสัญญาทุกประการ หรือมีรายละเอียดเกี่ยวกับขนาดวัสดุ คุณภาพวัสดุก่อสร้างแบบแปลนแผนผังท้ายสัญญาอีกด้วย
     เมื่อโจทก์ส่งมอบบ้านพิพาทให้จำเลยเข้าครอบครองอันเป็นการปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว แม้บ้านพิพาทยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีจำเลยพอใจรับมอบบ้านพิพาทจากโจทก์ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องใช้เงินจำนวน 10,000 บาทให้โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ
โจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหายโจทก์จึงฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในประเด็นข้อนี้ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาเรื่องค่าเสียหายของโจทก์ไว้ ไม่เป็นฎีกาที่ต้องพิจารณา
     คำพิพากษาฎีกาที่ 1783/2527 
     ป.วิ.พ. มาตรา 4, 55, 224, 248
     พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 มาตรา 122 
     โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ ได้รับความเสียหายต้องสูญเสียที่ดินของโจทก์ไป จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่ดินที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ มิใช่ของโจทก์ และจำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์แม้จำเลยจะมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ว่าที่ดิน เป็นของจำเลย และตามคำฟ้องของโจทก์มิได้มีคำขอที่จะ บังคับแก่ที่ดินที่พิพาท แต่การที่จะพิจารณาว่าจำเลย กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ก็จะต้องพิจารณาด้วยว่าที่ดินที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ อันเป็นการพิจารณาถึงความเป็นอยู่แห่งอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์และฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ที่อันเป็นสาธารณประโยชน์อยู่ในอำนาจดูแลปกปักรักษาของนายอำเภอท้องที่ แม้โจทก์จะมีชื่อเป็นผู้ครอบครองและทำ ประโยชน์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แต่เมื่อนายอำเภอโต้แย้งว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะและดำเนินการที่จะเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ ก็ชอบที่โจทก์จะฟ้องร้องนายอำเภอเพื่อขอให้ระงับการกระทำอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เพราะโจทก์จะเสียสิทธิในที่พิพาทหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะหรือไม่ มิใช่อยู่ที่การกระทำของจำเลยซึ่งไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับที่อันเป็นสาธารณประโยชน์และถึงหากจำเลยจะมาช่วยเหลือในการรังวัดปักหลักเขตด้วย ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ทำละเมิดต่อโจทก์  (วรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2527)
    คำพิพากษาฎีกาที่ 4657/2532 
    ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) 
    คดีฟ้องให้ส่งมอบที่ดินตามสัญญาซื้อขาย เป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ต้องยื่นคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นที่ที่ดินนั้นตั้งอยู่ แต่ถ้าโจทก์ประสงค์จะยื่นคำฟ้องนี้ต่อศาลชั้นต้นที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล โจทก์ก็ต้องยื่นคำร้องต่อศาลนั้นพร้อมกับคำฟ้องแสดงให้เห็นว่าการพิจารณาคดีในศาลนั้นจะเป็นการสะดวก เพื่อให้ศาลดังกล่าวไว้ดุลยพินิจอนุญาตเสียก่อนที่จะรับคำฟ้อง โจทก์จะยกเหตุเช่นนี้ขึ้นกล่าวอ้างในภายหลังในชั้นฎีกาโดยให้ถือเป็นคำร้องดังกล่าวหาได้ไม่
    2.6 คำฟ้องไม่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
     คำพิพากษาฎีกาที่ 2334/2517 
     ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1), 4 (2) 
     คำฟ้องเรียกเงินค่าขายที่ดิน มิได้บ่งถึงการที่จะบังคับแก่ตัวทรัพย์คือที่ดินนั้น จึงไม่ใช่คำฟ้องที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใดๆ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น จะฟ้องต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) หาได้ไม่ ต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล ถ้าโจทก์ประสงค์จะฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น ก็ต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง แสดงให้เห็นว่าการพิจารณาคดีในศาลนั้นๆ จะเป็นการสะดวก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) เสียก่อน
     คำพิพากษาฎีกาที่ 683/2534 
     ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1), 4 (2) 
     โจทก์ฟ้องเรียกเงินมัดจำตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคืน กับเรียกค่าเสียหายเพราะจำเลยผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วเป็นการฟ้องให้บังคับตัวจำเลยเป็นหนี้เหนือบุคคลไม่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เพราะไม่ได้ฟ้องขอให้บังคับเกี่ยวกับตัวทรัพย์ดังกล่าว โจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาได้.
     คำพิพากษาฎีกาที่ 955/2537 
     ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1), 151 
     คำฟ้องของโจทก์เพียงแต่ขอให้บังคับจำเลยไปถอนคำคัดค้านการขอโอนมรดกที่โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองปราจีนบุรีเท่านั้น มิได้บ่งถึงการที่จะบังคับแก่ตัวทรัพย์คือที่ดิน จึงไม่ใช่คำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น โจทก์จะฟ้องต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ในเขต ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) เดิม หาได้ไม่ ต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนา แต่เนื่องจากขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งใช้บังคับแล้วแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 4(1)บัญญัติว่าคำฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มีมูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล ไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ เช่นนี้จึงทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรีซึ่งเป็นศาลที่มูลคดีเกิดได้ด้วยศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้ศาลจังหวัดปราจีนบุรีรับคดีของโจทก์ไว้พิจารณาได้ อนึ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคแรกกำหนดให้ศาลสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมด ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยประเด็นแห่งคดี ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับจึงเป็นการไม่ถูกต้องแต่เมื่อศาลฎีกาสั่งให้รับคำฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาแล้ว จึงไม่ต้องสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้โจทก์อีก

      3. จำเลยยื่นคำให้การขอให้ยกฟ้อง ซึ่งต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 980,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 5 ปี และไม่เกินจำนวน 735,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 35629 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมำระหนี้แก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์......
      3.1 คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเช่นนี้จะส่งผลถึงการอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ เมื่อสังเกตคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่กำหนดจำนวนเงินให้จำเลยชำระแก่โจทก์นั้นจะกลายเป็นทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ของจำเลย ซึ่งในคดีนี้ ทุนทรัพย์เกินกว่า 50,000 บาททำให้จำเลยยื่นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 224
      3.2 ในการที่จำเลยจะยื่นอุทธรณ์นั้น ต้องดำเนินการตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 โดยจำเลยจะต้องยื่นอุทธรณ์ภายใน 1 เดือน จำเลยต้องเตรียมเงินเพื่อใช้ในการยื่นอุทธรณ์ 3 จำนวน ประกอบไปด้วยค่าขึ้นศาล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรคสอง ค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 และค่านำหมายและส่งสำเนาอุทธรณ์

      4. จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
      4.1 คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เช่นนี้ส่งผลถึงการยื่นฎีกาของจำเลยในเรื่องทุนทรัพย์ หากสังเกตแล้วจะเห็นว่า หากจำเลยฎีกาทุนทรัพย์ชั้นฎีกาของจำเลยจะเท่ากับทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ ดังนั้น จำเลยจึงสามารถยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 แต่การที่จำเลยจะยื่นฎีกาได้นั้นก็ต้องพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 อีกด้วย
      4.2 การที่จำเลยจะยื่นฎีกาก็ต้องยื่นภายในกำหนด 1 เดือน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ประกอบมาตรา 247 แต่จากผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เช่นนี้ ส่งผลให้ชั้นฎีกาจำเลยจะต้องเตรียมเงินเพียง 2 จำนวนเท่านั้น คือ ค่าขึ้นศาล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรคสอง และค่านำหมายฯ แต่จำเลยไม่ต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์มาวางศาลพร้อมฎีกา เนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ

      5. ปรากฏว่าจำเลยยื่นฎีกา ประเด็นขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกามีดังต่อไปนี้ 
      5.1 จำเลยฎีกาข้อแรกมีว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด หนี้ดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะ ซึ่งศาลฎีกาได้พิจารณาฎีกาของจำเลยแล้ววินิจฉัยว่า ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง กำหนดให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธนั้นด้วย คดีนี้จำเลยให้การยอมรับว่า ทำสัญญาจำนองกับโจทก์จริงแต่จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ในต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวนตามฟ้อง จำเลยจึงต้องแสดงเหตุผลแห่งการปฏิเสธในข้อดังกล่าวว่า ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเพราะเหตุใด โดยจำเลยให้การว่าจำนำเสนอหลักฐานในชั้นพิจารณาจึงเป็นคำให้การปฏิเสธที่ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้งตามกฎหมาย ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังว่า จำเลยกู้ยืมเงินโดยยินยอมเสียดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้ในสัญญาจำนองดังกล่าว และไม่มีประเด็นว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยกับจำเลยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและตกเป็นโมฆะหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอย และถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามไม่ได้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
      5.2 ปัญหาต่อไปมีว่า โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา 728 มิได้บัญญัติว่า การบอกกล่าวบังคับจำนองต้องทำเป็นหนังสือ กรณีจึงไม่ตกอยู่ในบังคับมาตรา 798 วรรคหนึ่งที่กำหนดให้การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการนั้นต้องทำเป็นหนังสือแต่อย่างใดแม้โจทก์จะไม่ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ทนายความบอกกล่าวบังคับจำนองก็ตามแต่การที่ทนายโจทก์ทำหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยเป็นการกระทำในนามของโจทก์ ทั้งต่อมาโจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความดำเนินคดีแก่จำเลยแสดงให้เห็นว่าโจทก์ยอมรับเอาการบอกกล่าวบังคับจำนองของทนายโจทก์เป็นการบอกกล่าวในนามของโจทก์ ถือได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นตัวการซึ่งให้สัตยาบันแก่การกระทำของทนายโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนที่บอกกล่าวบังคับจำนองตาม ป.พ.พ. มาตรา 823 วรรคหนึ่งแล้ว จึงถือว่าโจทก์ในฐานะผู้รับจำนองมีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยผู้จำนองตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 728 โดยชอบแล้ว
     หมายเหตุ
     การบอกกล่าวบังคับจำนองเป็นเงื่อนไขสำคัญของการบังคับคดีบังคับจำนอง หากไม่ได้บอกกล่าวหรือบอกกล่าวไม่ชอบศาลก็จะยกฟ้องโจทก์เสมอ ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
     คำพิพากษาฎีกาที่ 462/2550 
     ป.พ.พ. มาตรา 728, 861
     ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ 
     ป.พ.พ. มาตรา 728 บัญญัติไว้เพียงว่า เมื่อจะบังคับจำนอง ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่า ให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรเท่านั้น โจทก์จึงไม่ต้องระบุทรัพย์สินซึ่งจำนองไปในคำบอกกล่าวด้วย เมื่อจำเลยเป็นทั้งลูกหนี้และผู้จำนองย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าทรัพย์สินซึ่งจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ไว้แก่โจทก์คือ ห้องชุดเลขที่ 54/225 หาใช่ห้องชุดเลขที่ 0225 การที่หนังสือบอกกล่าวระบุทรัพย์สินซึ่งจำนองเป็นห้องชุดเลขที่ 0225 เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องการพิมพ์ตัวเลขห้องชุดผิดพลาดอันเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทำการไถ่ถอนจำนองให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าผู้รับจำนองมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ว่าให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวแล้ว การบอกกล่าวบังคับจำนองของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย
ข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองข้อ 5. ระบุไว้ว่า ...ถ้าผู้จำนองไม่จัดการเอาประกันอัคคีภัยและผู้รับจำนองได้จัดการเอาประกันอัคคีภัยเอง ผู้จำนองยินยอมนำเงินค่าเบี้ยประกันภัยที่ผู้รับจำนองได้จ่ายไปมาชำระจนครบถ้วนภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ผู้รับจำนองได้แจ้งให้ทราบ... ตามข้อสัญญาดังกล่าวแสดงให้เห็นได้ว่าโจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยได้ก็ต่อเมื่อได้ทดรองจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยไปก่อนแล้วเท่านั้น ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าเบี้ยประกันภัยในอนาคตที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ
     คำพิพากษาฎีกาที่ 2761/2549 
     ป.พ.พ. มาตรา 798 วรรคหนึ่ง, 806
     ป.วิ.พ. มาตรา 55  โจทก์ที่ 1 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำนิติกรรมแทนโจทก์ที่ 2 การที่โจทก์ที่ 1 รับจำนองที่ดินจากจำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้ยืมไปจากโจทก์ที่ 2 เป็นการกระทำแทนโจทก์ที่ 2 แม้ตามหนังสือสัญญาจำนองระบุชื่อโจทก์ที่ 1 เป็นผู้รับจำนองเท่านั้น โดยไม่ได้ระบุว่ากระทำการแทนโจทก์ที่ 2 ก็เป็นกรณีที่โจทก์ที่ 2 ตัวการซึ่งยังไม่เปิดเผยชื่อแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาจำนองซึ่งโจทก์ที่ 1 ได้ทำไว้แทนตน ซึ่งโจทก์ที่ 2 มีสิทธิกระทำได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 806 และเป็นกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 798 วรรคหนึ่ง ที่การตั้งตัวแทนเพื่อทำสัญญาจำนองเป็นหนังสือ ดังนั้นแม้การตั้งตัวแทนของโจทก์ที่ 2 เพื่อทำสัญญาจำนองกับจำเลยจะมิได้ทำเป็นหนังสือ แต่เมื่อสิทธิของโจทก์ที่ 2 ตามสัญญาจำนองเป็นสิทธิที่มีอยู่ในฐานะตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อตาม ป.พ.พ. มาตรา 806 โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้องบังคับจำนองได้
     คำพิพากษาฎีกาที่ 5553/2542 
     ป.พ.พ. มาตรา 728, 735, 1599, 1600 
     ในกรณีที่เจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้รับจำนองประสงค์จะฟ้องบังคับจำนองประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728 บังคับให้เจ้าหนี้ต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้จำนองซึ่งเป็นลูกหนี้ ในคำบอกกล่าวนั้นเจ้าหนี้จะต้องกำหนดเวลาให้ผู้จำนองชำระหนี้จำนอง และกำหนดเวลาดังกล่าวจะต้องเป็นกำหนดเวลาอันสมควรด้วย เพื่อให้โอกาสผู้จำนองชำระหนี้จำนอง ทำให้ไม่ต้องถูกฟ้องให้ศาลสั่งยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองไปขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้ การบอกกล่าวจึงเป็นเงื่อนไขที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจำนองจะต้องกระทำให้ถูกต้องก่อนจึงจะฟ้องบังคับจำนองได้ การบอกกล่าวดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาที่จะต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา คือผู้จำนอง เมื่อผู้จำนองถึงแก่กรรมก่อนผู้รับจำนองมีหนังสือบอกกล่าว แม้จะมีผู้อื่นรับหนังสือนั้นไว้ ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728
เมื่อผู้จำนองถึงแก่กรรม มรดกของผู้จำนองซึ่งรวมตลอดถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดของผู้จำนองย่อมตกทอดแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599,1600ถ้ามีผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองแล้ว โจทก์ผู้รับจำนองประสงค์จะบังคับจำนองโจทก์ต้องมีจดหมายบอกกล่าวแก่ผู้รับโอนล่วงหน้าเดือนหนึ่งก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 735ถ้ายังไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนอง แต่ผู้จำนองมีทายาทหรือผู้จัดการมรดก โจทก์ต้องบอกกล่าวแก่บุคคลดังกล่าวซึ่งเป็นเสมือนผู้รับโอนทรัพย์สินที่จำนอง การบอกกล่าวนี้ต้องทำเป็นจดหมายหรือหนังสือ และต้องบอกกล่าวล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนโจทก์จึงจะฟ้องบังคับจำนองได้ โจทก์มิได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยซึ่งเป็นทายาทของผู้จำนองก่อนฟ้อง และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำนอง

คำพิพากษาฎีกาที่ 1608/2506 
ป.พ.พ. มาตรา 728 
โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยเพียงว่าให้จำเลยชำระเงินและไถ่ถอนการจำนองเสียภายในเร็ววันที่สุดนั้นเห็นได้ว่าไม่ได้กำหนดให้ไถ่ถอนการจำนองเมื่อใด เอาความแน่นอนในการที่จะพิเคราะห์ว่าภายในเวลาอันสมควรหรือไม่ ไม่ได้ จึงไม่เป็นคำบอกกล่าวบังคับจำนองที่ชอบ
     คำพิพากษาฎีกาที่ 1133/2520 
     ป.พ.พ. มาตรา 154, 728
     ป.วิ.พ. มาตรา 88, 142, 249 
     เมื่อจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ไถ่ถอนจำนองภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับหนังสือจำเลยก็พูดกับผู้ส่งหนังสือว่า ไม่มีเงิน ถ้าอยากได้เร็ว ๆ ให้ฟ้องเอา เห็นได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาไม่ถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่โจทก์กำหนดให้ เมื่อโจทก์ได้ให้เวลาแก่จำเลยหลังทราบคำบอกกล่าวแล้วถึง 13 วัน อันเป็นระยะเวลาพอสมควรโจทก์มีอำนาจฟ้องได้โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบอกกล่าว    

     จำเลยฎีกาว่า สมควรอนุญาตให้จำเลยอ้างพยานเพิ่มเติมตามคำร้องของจำเลย เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะอนุญาตให้จำเลยสืบพยานตามที่ระบุไว้นั้น ก็ไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลง ไม่มีความจำเป็นต้องสืบพยานเช่นนั้น ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกว่าสมควรจะรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยนั้นหรือไม่                              


                                                                (ขอขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับที่า : ทบทวนหลักกฎหมายกับอาจารย์ประยุทธ)

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ขอแนะนำ !! 

       สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆทุกท่าน ที่กำลังศึกษาชั้นเนติบัณฑิต ซึ่งกำลังทำงานและไม่มีเวลาเข้เรียน , ไม่ได้ลงทะเบียนมาเป็นเวลานาน อย่าเพิ่งรีบท้อถอย ครับ เพราะกว่าเราจะเรียนจบชั้นนิติาสตร์ได้ใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน การเรียนเนติบัณฑิตสมัยปัจจุบัค่อนข้างยากพอสมควร หรือสำหรับน้องๆบางท่านที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดวึ่งยังไม่มีแนวทางในการเรียน หรือยังไม่สามารถรับสื่อ หนังสือ หรือเอกสาร ซึ่งบางท่านมีความตั้งใจแต่ขาดโอกาส  และวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับท่านที่ยังอยากเรียนจบ แต่ไม่มีเวลา กำลังทำงาน หรือไม่ได้สอบมานาน ขอแนะนำ, รวบรวมข้อมูล สำหรับการเริ่มต้นใหม่ ...

รวมคำบรรยายเนติฯ (ภาคปกติ /ภาคค่ำ/ภาคทบทวนวันอาทิตย์) ภา 1/65 และ 2/65

 กลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา (ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์)

  พร้อมเอกสาร สรุปคำบรรยายเนติ 1/65 + เอกสารประกอบคำบรรยาย1/65 + ทบรรณาธิการ 1/63, 1/64 และ 1/65 + ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา (สมัยที่ 56-64) พร้อม เคล็ดลัการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเนติฯ + ระเบียบการเรีนเนติฯ +เทคนิคและแนวการเขียนข้อสอบการเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ู้ช่วยฯ/อัยการ

  ราคา 380.00 บา  (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี) ฟรี ! สมุดบันทึก

 - กลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา (ฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์) 

 พร้อมเอกสาร สรุปคำบรรยายเนติฯ 2/65 + เอกสารประกอบคำบรรยาย 2/65 + บทบรรณาธิการ 2/63, 2/64 และ 2/65 + ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา (สมัยที่ 56-64) พร้อม เคล็ดลัการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเนติฯ + ระเบียบการเรียนเนติฯ +เทคนิคและแนวการเขียนข้อสอบการเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่วยฯ/อัยการ

  ราคา  380.00 บาท  (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี) ฟรี ! สมุดบันทึก

Ø หมายเหตุ  : สั่งซื้อทั้ง 2 าค าคาพิเศษ 700 บาท (ส่ง EMS ให้ฟรี) ฟรี !!! สมุดบันทึก + CD แบบร่างสัญญามากกว่า 400 แบบ (file word) + แบบฟอร์มศาลแบบฟอร์มเอกสารงานบุคคล,เอกสารงานบัญชีและภาษี


   สนใจติดต่อ ตุ้ย มือถือ 085-801-0725,  E-mail : siripit...@gmail.com

                                                                                                                                                 

                                    

                                                             ไม่เก่ง..แต่พยายาม  เจ๋ง ! กว่า  เก่ง....แต่ขี้เกียจ

                                                                                          ขอให้โชคดีและประสบความสำเร็กันทุกคะคับ....

-- 
ภาพพุทธประวัติ S.20.jpg
ภาพพุทธประวัติ S6.jpg
ภาพพุทธประวัติ S.1.jpg
ภาพพุทธประวัติ S.3.jpg
ภาพพุทธประวัติ S.5.jpg
ภาพพุทธประวัติ S.17.jpg
ภาพพุทธประวัติ S.14.jpg
Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages