...การบอกกล่าวบังคับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 728 คำว่า “จดหมาย” ต้องทำเป็นหนังสือหรือไม่และหากเจ้าหนี้ผู้รับจำนองใช้สิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 ต้องปฏิบัติอย่างไร... ?
ศึกษาวิเคราะห์จากคำพิพากษาฎีกาที่ 4015/2555
ข้อเท็จจริง
(กรุณาเปิดตัวบทกฎหมายทุกครั้งที่มีการอ้างถึงเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการทำความเข้าใจ)
1. เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2543 จำเลยกู้ยืมเงินไปจากโจทก์ จำนวน 980,000 บาท ยินยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15
ต่อปี โดยจำเลยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 35629 พร้อมสิ่งปลูกสร้างจดทะเบียนจำนองไว้เป็นประกัน
โดยให้ถือเอาหนังสือสัญญาจำนองเป็นสัญญากู้ยืมเงินด้วย ก่อนฟ้องโจทก์มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองและจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว
แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระหนี้ให้กับโจทก์
2. โจทก์จึงยื่นฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน
1,715,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 980,000 บาท
นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
หากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์
หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
2.1 ตามคำฟ้องของโจทก์ในตอนท้ายที่ระบุว่า
“หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลย” เป็นกรณีคู่สัญญาได้ยกเว้นไม่ปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 733
2.2 ในการยื่นฟ้องคดีเกี่ยวกับการบังคับจำนองนั้นโดยหลักทั่วไปแล้วจะเห็นว่านิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์ผู้รับจำนองกับจำเลยลูกหนี้ผู้จำนองนั้นจะเกิดสัญญา
2 ฉบับ โดยสัญญาฉบับแรกคือสัญญากู้ยืมเงินซึ่งเรียกว่าสัญญาประธาน
ส่วนสัญญาฉบับที่สอง คือสัญญาจำนองซึ่งเรียกว่าสัญญาอุปกรณ์
เมื่อมีสัญญาสองสัญญาเช่นนี้ผู้เป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองมีอำนาจจะเลือกฟ้องเฉพาะสัญญากู้หรือจะฟ้องเฉพาะสัญญาจำนองหรืออาจฟ้องทั้งสองสัญญาพร้อมกันเช่นคดีนี้ก็ได้
ให้ศึกษาเพิ่มเติมจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 3262/2527
ป.พ.พ. มาตรา 214, 733
การกู้เงินที่มีจำนองเป็นประกัน เจ้าหนี้อาจใช้สิทธิเรียกร้องอย่างหนี้สามัญโดยบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินทั่วไปของลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 214 หรือจะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์ที่นำมาจำนองอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้การจำนองไม่ห้ามเจ้าหนี้ผู้รับจำนองต้องผูกพันที่จะบังคับชำระหนี้เอาเฉพาะทรัพย์สินที่จำนองแต่ทางเดียว
โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยมูลหนี้เดิมคือหนี้ตามสัญญากู้มิได้ฟ้องบังคับโดยอาศัยสัญญาจำนอง
ฉะนั้น บทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 ที่ว่าถ้าเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดได้เงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนที่ค้างชำระกันอยู่
ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินที่ขาด จึงนำมาใช้บังคับเกี่ยวกับคดีนี้ไม่ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 932/2550
ป.พ.พ. มาตรา 213, 214, 728,
733
การจำนองเป็นสัญญาเอาทรัพย์สินตราไว้เป็นการประกันหนี้โดยมีหนี้ประธานและจำนองอันเป็นอุปกรณ์ของหนี้นั้น
ซึ่งอาจแยกออกเป็นคนละส่วนต่างหากจากกันได้
เจ้าหนี้จึงชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องอย่างหนี้สามัญ คือ
บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินทั่วไปของลูกหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 213 หรือจะบังคับจำนอง คือ
ใช้บุริมสิทธิ์บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองตามมาตรา 728 ก็ได้ ทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับว่าในกรณีซึ่งเป็นหนี้จำนองแล้ว
ผู้เป็นเจ้าหนี้จะฟ้องร้องบังคับลูกหนี้อย่างหนี้สามัญตามมาตรา 214 ไม่ได้ เป็นแต่เพียงกฎหมายบังคับว่า
ในกรณีที่โจทก์ใช้สิทธิบังคับจำนองสิทธิของโจทก์ย่อมตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 733
เท่านั้น ประกอบกับมาตรา 733 มิได้บังคับว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับจำนองได้แต่ทางเดียว
โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินได้ เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา
โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีแก่ทรัพย์สินอื่น ๆ
ของจำเลยรวมทั้งทรัพย์ที่จำนองได้
มิใช่โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้แต่เฉพาะที่ดินที่จดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้เท่านั้น
2.3 ในขณะเดียวกันเจ้าหนี้ผู้รับจำนองอาจไม่ต้องยื่นฟ้องลูกหนี้ไม่ว่าจะเป็นการยื่นฟ้องตามสัญญากู้หรือสัญญาจำนองก็ได้
เพียงแต่รอให้เจ้าหนี้สามัญคนอื่นของลูกหนี้นั้นยื่นฟ้องจนศาลพิพากษาแล้วในชั้นบังคับคดีเจ้าหนี้ผู้รับจำนองก็สามารถใช้สิทธิตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 289 ขอรับชำระหนี้จำนองก็ได้ซึ่งหากผู้รับจำนองเลือกใช้สิทธินี้
เจ้าหนี้ผู้รับจำนองก็ไม่ต้องบอกกล่าวบังคับจำนองตาม ป.พ.พ. มาตรา 728 ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 9075/2551
ป.พ.พ. มาตรา 728
ป.วิ.พ. มาตรา 289 ตาราง 1 (ค) (เดิม)
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองโดยขอให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองมาชำระหนี้จำนองแก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้รายอื่น
ซึ่งเป็นการร้องขอตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 แม้จะถือเสมือนหนึ่งว่าเป็นคำฟ้องบังคับจำนองซึ่งผู้ร้องจะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง
1 (ค) (เดิม) ท้าย ป.วิ.พ. ก็ตาม
แต่ก็มิใช่เป็นการฟ้องบังคับจำนองโดยวิธีทั่วไป
เพราะทรัพย์จำนองดังกล่าวได้ถูกโจทก์ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์ไว้แล้ว
และแม้โจทก์กับผู้ร้องจะเป็นบุคคลคนเดียวกัน
แต่การที่ผู้ร้องร้องขอรับชำระหนี้จำนอง เป็นการร้องขอเข้ามาตามสิทธิที่กฎหมายบัญญัติรับรองไว้ในฐานะที่แตกต่างกัน
เมื่อผู้ร้องมิได้ขอให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดตาม ป.พ.พ. มาตรา 728 ผู้ร้องจึงไม่จำต้องบอกกล่าวบังคับจำนองก่อน
คำพิพากษาฎีกาที่ 1759/2530
ป.วิ.พ. มาตรา 287, 289
การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้รับจำนองตาม
ป.วิ.พ.มาตรา 287 เมื่อหนี้ระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้ร้องยังไม่ถึงกำหนดชำระผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนองจะอาศัยอำนาจแห่งการจำนองบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของ
น. ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 หาได้ไม่.
คำพิพากษาฎีกาที่ 3575/2534
ป.วิ.พ. มาตรา 287, 289
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่
2 ได้นำยึดที่ดินซึ่งจำเลยที่ 2 จำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ผู้ร้องอยู่มาบังคับคดีชำระหนี้ตามคำพิพากษา
เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอบังคับชำระหนี้จำนอง ก่อนกำหนดชำระหนี้ตามสัญญากู้ 1
วัน ซึ่งจำเลยที่ 2ยังไม่ผิดนัดชำระหนี้
หนี้จำนองของผู้ร้องจึงยังมิใช่หนี้จำนองที่อาจบังคับได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289
ดังนี้ผู้ร้องจะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองหาได้ไม่ แต่การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็ไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้อง
(ผู้รับจำนอง)ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287.
คำพิพากษาฎีกาที่ 684/2513
ป.วิ.พ. มาตรา 289
การขอหักเงินที่ได้มาจากการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อเอาเงินชำระต้นเงินและดอกเบี้ยอันเกิดจากการจำนองเป็นกรณีใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 289ซึ่งวรรค 2 กำหนดระยะเวลาให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาด
เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาภายหลังจากที่ได้ขายทอดตลาดทรัพย์นั้นไปเสร็จสิ้นแล้ว
ชอบที่ศาลจะต้องยกคำร้องเพราะเป็นคำร้องขอที่ยื่นมาพ้นกำหนดระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 289 วรรคสอง
คำพิพากษาฎีกาที่ 3043/2528
ป.วิ.พ. มาตรา 287, 289
ผู้ร้องขอรับชำระหนี้จำนองจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองโดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองซึ่งผู้ร้องมีบุริมสิทธิในการที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 289 หาใช่ร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์จำนองตามมาตรา 287
ไม่ เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ตามมาตรา
289 วรรคสอง
แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งศาลชอบที่จะยกคำร้องของผู้ร้องเสีย
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 684/2513)
คำพิพากษาฎีกาที่ 3655/2538
ป.พ.พ. มาตรา 732
ป.วิ.พ. มาตรา 289
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา289วรรคแรกให้สิทธิแก่ผู้รับจำนองที่จะเลือกว่าให้นำทรัพย์สินจำนองออกขายโดยปลอดจำนองแล้วนำเงินที่ได้มาชำระหนี้ตนก่อนเจ้าหนี้อื่นก็ได้ส่วนวรรคสองได้บัญญัติเพื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีจะได้ดำเนินการไปได้โดยถูกต้องตามเจตนาของผู้รับจำนองการที่ผู้รับจำนองไม่ได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลก่อนเอาทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดหาทำให้หมดสิทธิในฐานะผู้รับจำนองไม่ฉะนั้นเมื่อเอาทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดโดยปลอดจำนองแล้วก็ต้องชำระหนี้จำนองให้แก่ผู้รับจำนองก่อน
คำพิพากษาฎีกาที่ 3332/2527
ป.พ.พ. มาตรา 702, 736, 744
ป.วิ.พ. มาตรา 289, 319, 320
เมื่อมีการบังคับคดีขายทอดตลาดอสังหาริมทรัพย์ซึ่งติดจำนองไม่มีบทบัญญัติบังคับผู้รับจำนองให้จำต้องแสดงหลักฐานการเป็นหนี้หรือยอดหนี้ของผู้จำนองต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือต่อศาล
เมื่อผู้รับจำนองไม่ประสงค์จะใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289
ซึ่งให้สิทธิแก่ผู้รับจำนองที่จะยื่นคำร้องขอก่อนเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาดในกรณีที่จะขอให้เอาเงินจากการขายทอดตลาดชำระ
แก่ผู้รับจำนองก่อนหรือจะเอาทรัพย์จำนองหลุด สิทธิของผู้รับจำนองหาได้ระงับไปไม่
เพราะสัญญาจำนองจะระงับสิ้น ไป
ก็เฉพาะกรณีที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 744เท่านั้น จำนองเป็นทรัพย์สิทธิติดไปกับตัวทรัพย์เสมอ
แม้ประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีจะระบุว่าไม่มียอดหนี้จำนองก็ หมายความเพียงเจ้าหนี้จำนองมิได้แจ้งยอดหนี้มาให้ทราบมิใช่เป็นการปลอดหนี้จำนอง
เมื่อประกาศขายทอดตลาดของ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีเงื่อนไขในการขายว่าไม่รับรองและ
ไม่รับผิดในการรอนสิทธิ
จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ผู้ซื้อจะต้องระวังและสอบสวนถึงจำนวนหนี้จำนอง การละเลยจึงเป็น
การเสี่ยงต่อความเสียหายของโจทก์เอง โจทก์ผู้รับโอนที่ดินซึ่งติดจำนองอยู่กับจำเลย
ย่อมมีสิทธิที่จะปลดเปลื้องภาระจำนองโดยการไถ่ถอนจำนองตามบทบัญญัติ ลักษณะ 12
หมวด 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
คำพิพากษาฎีกาที่ 110/2553
ป.วิ.พ. มาตรา 289
ป.วิ.พ. มาตรา 287 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 288
และ 289 บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่นๆ
ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย” ส่วนมาตรา 289 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ถ้าบุคคลใดชอบที่จะบังคับการชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาฎีกาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้
หรือชอบที่จะได้เงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินเหล่านั้นได้โดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองที่อาจบังคับได้ก็ดีหรืออาศัยอำนาจแห่งบุริมสิทธิก็ดี
บุคคลเหล่านั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้เอาเงินที่ได้มานั้นชำระหนี้ตนก่อนเจ้าหนี้อื่นๆ
ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์” และ ป.พ.พ.
มาตรา 702 วรรคสอง บัญญัติว่า “ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ
มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่”
เมื่อพิเคราะห์ตามคำร้องของผู้ร้องที่ยื่นต่อศาลก่อนเอาทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดแล้ว
การที่ผู้ร้องขอให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินจำนองโดยปลอดจำนองมาชำระหนี้แก่ผู้ร้องตามจำนวนภาระหนี้จำนองที่จำเลยมีต่อผู้ร้อง
ถือได้ว่าเป็นการที่ผู้ร้องขอรับชำระหนี้จำนองจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองโดยอาศัยอำนาจแห่งการจำนองตาม
ป.พ.พ. มาตรา 702 วรรคสอง
ซึ่งผู้ร้องมีบุริมสิทธิในการที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ตาม ป.วิ.พ.
มาตรา 289 แม้ผู้ร้องจะอ้างว่าเป็นการร้องขอกันส่วนตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 287 แต่เมื่อคำร้องของผู้ร้องต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา
289 ก็ไม่ทำให้คำร้องของผู้ร้องเสียไป
ศาลมีอำนาจรับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา
2.4 มองในแง่ของการยื่นคำฟ้อง ตาม
ป.วิ.พ. ว่า คดีฟ้องบังคับจำนองจะนำคดีไปยื่นที่ศาลใด
พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีประเภทนี้สามารถยื่นฟ้องยังศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาหรือที่มูลคดีเกิด
(ที่ทำสัญญากู้หรือที่ทำสัญญาจำนอง) ทั้งนี้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4(1) และการยื่นคำฟ้องเพื่อบังคับจำนองนั้นยังถือว่าเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 ทวิ ด้วย
2.5 ประเด็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือไม่
ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 680/2532
ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1), 5 การที่โจทก์ฟ้องบังคับจำนองแก่ที่ดินที่จำเลยที่
2นำมาจำนองประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 นั้น
จะต้องพิจารณาว่าโจทก์มีสิทธิบังคับจำนองได้หรือไม่ จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์หรือไม่ และจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่
1 หรือไม่ อันเป็นการพิจารณา
ถึงสิทธิที่โจทก์จะฟ้องขอให้บังคับจำนอง คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์
ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 จะมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดเชียงใหม่ก็ตาม
แต่เมื่อที่ดินที่จำนองอยู่ที่กรุงเทพมหานคร
โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลที่ทรัพย์ตั้งอยู่ในเขตได้ตาม
ป.วิ.พ.มาตรา 4(1).
คำพิพากษาฎีกาที่ 1134/2514
ป.พ.พ. มาตรา 213
ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1), 55, 172,
249 ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท เป็นคำฟ้องเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เสนอคำฟ้องต่อศาลที่บ้านพิพาทตั้งอยู่ในเขตศาลได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อบ้านเลขที่
55/21 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินที่โจทก์เช่าจากวัดเขมาภิรตาราม
ตำบลบางซ่อน อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร ค่าเช่าซื้อ 100,000 บาท
ตามสำเนาสัญญาเช่าซื้อท้ายฟ้อง จำเลยผิดสัญญาในข้อที่ว่า
เมื่อปลูกบ้านเสร็จพอที่จำเลยจะเข้าอยู่ได้ โจทก์จะต้องมอบบ้านให้จำเลยครอบครอง
และจำเลยต้องชำระราคาให้แก่โจทก์อีก 10,000 บาท จำเลยไม่ชำระ
ขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย
เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว ไม่เคลือบคลุม
ไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าโจทก์สร้างเสร็จครบถ้วนและถูกต้องตามสัญญาทุกประการ
หรือมีรายละเอียดเกี่ยวกับขนาดวัสดุ คุณภาพวัสดุก่อสร้างแบบแปลนแผนผังท้ายสัญญาอีกด้วย
เมื่อโจทก์ส่งมอบบ้านพิพาทให้จำเลยเข้าครอบครองอันเป็นการปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว
แม้บ้านพิพาทยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีจำเลยพอใจรับมอบบ้านพิพาทจากโจทก์
จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องใช้เงินจำนวน 10,000 บาทให้โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ
โจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น
สำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหายโจทก์จึงฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในประเด็นข้อนี้ไม่ได้
ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาเรื่องค่าเสียหายของโจทก์ไว้ ไม่เป็นฎีกาที่ต้องพิจารณา
คำพิพากษาฎีกาที่ 1783/2527
ป.วิ.พ. มาตรา 4, 55, 224, 248
พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457
มาตรา 122
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์
ได้รับความเสียหายต้องสูญเสียที่ดินของโจทก์ไป จำเลยให้การต่อสู้ว่า
ที่ดินที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ มิใช่ของโจทก์ และจำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์แม้จำเลยจะมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ว่าที่ดิน เป็นของจำเลย และตามคำฟ้องของโจทก์มิได้มีคำขอที่จะ
บังคับแก่ที่ดินที่พิพาท แต่การที่จะพิจารณาว่าจำเลย
กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ก็จะต้องพิจารณาด้วยว่าที่ดินที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่
อันเป็นการพิจารณาถึงความเป็นอยู่แห่งอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์
ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์และฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ที่อันเป็นสาธารณประโยชน์อยู่ในอำนาจดูแลปกปักรักษาของนายอำเภอท้องที่
แม้โจทก์จะมีชื่อเป็นผู้ครอบครองและทำ ประโยชน์ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์
แต่เมื่อนายอำเภอโต้แย้งว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะและดำเนินการที่จะเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์
ก็ชอบที่โจทก์จะฟ้องร้องนายอำเภอเพื่อขอให้ระงับการกระทำอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์
เพราะโจทก์จะเสียสิทธิในที่พิพาทหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะหรือไม่
มิใช่อยู่ที่การกระทำของจำเลยซึ่งไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับที่อันเป็นสาธารณประโยชน์และถึงหากจำเลยจะมาช่วยเหลือในการรังวัดปักหลักเขตด้วย
ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ทำละเมิดต่อโจทก์ (วรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่
6/2527)
คำพิพากษาฎีกาที่ 4657/2532
ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1)
คดีฟ้องให้ส่งมอบที่ดินตามสัญญาซื้อขาย
เป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์
ต้องยื่นคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นที่ที่ดินนั้นตั้งอยู่
แต่ถ้าโจทก์ประสงค์จะยื่นคำฟ้องนี้ต่อศาลชั้นต้นที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล
โจทก์ก็ต้องยื่นคำร้องต่อศาลนั้นพร้อมกับคำฟ้องแสดงให้เห็นว่าการพิจารณาคดีในศาลนั้นจะเป็นการสะดวก
เพื่อให้ศาลดังกล่าวไว้ดุลยพินิจอนุญาตเสียก่อนที่จะรับคำฟ้อง
โจทก์จะยกเหตุเช่นนี้ขึ้นกล่าวอ้างในภายหลังในชั้นฎีกาโดยให้ถือเป็นคำร้องดังกล่าวหาได้ไม่
2.6 คำฟ้องไม่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 2334/2517
ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1), 4 (2)
คำฟ้องเรียกเงินค่าขายที่ดิน
มิได้บ่งถึงการที่จะบังคับแก่ตัวทรัพย์คือที่ดินนั้น จึงไม่ใช่คำฟ้องที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใดๆ
อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น จะฟ้องต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) หาได้ไม่
ต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล
ถ้าโจทก์ประสงค์จะฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น ก็ต้องยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง
แสดงให้เห็นว่าการพิจารณาคดีในศาลนั้นๆ จะเป็นการสะดวก
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) เสียก่อน
คำพิพากษาฎีกาที่ 683/2534
ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1), 4 (2)
โจทก์ฟ้องเรียกเงินมัดจำตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคืน
กับเรียกค่าเสียหายเพราะจำเลยผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วเป็นการฟ้องให้บังคับตัวจำเลยเป็นหนี้เหนือบุคคลไม่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
เพราะไม่ได้ฟ้องขอให้บังคับเกี่ยวกับตัวทรัพย์ดังกล่าว
โจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาได้.
คำพิพากษาฎีกาที่ 955/2537
ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1), 151
คำฟ้องของโจทก์เพียงแต่ขอให้บังคับจำเลยไปถอนคำคัดค้านการขอโอนมรดกที่โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองปราจีนบุรีเท่านั้น
มิได้บ่งถึงการที่จะบังคับแก่ตัวทรัพย์คือที่ดิน
จึงไม่ใช่คำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น
โจทก์จะฟ้องต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ในเขต
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) เดิม
หาได้ไม่ ต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนา
แต่เนื่องจากขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ซึ่งใช้บังคับแล้วแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 4(1)บัญญัติว่าคำฟ้อง
ให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มีมูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล
ไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่
เช่นนี้จึงทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรีซึ่งเป็นศาลที่มูลคดีเกิดได้ด้วยศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้ศาลจังหวัดปราจีนบุรีรับคดีของโจทก์ไว้พิจารณาได้
อนึ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 วรรคแรกกำหนดให้ศาลสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมด
ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยประเด็นแห่งคดี ดังนั้น
ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับจึงเป็นการไม่ถูกต้องแต่เมื่อศาลฎีกาสั่งให้รับคำฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาแล้ว
จึงไม่ต้องสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้โจทก์อีก
3. จำเลยยื่นคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ซึ่งต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 980,000 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน
5 ปี และไม่เกินจำนวน 735,000 บาท
หากจำเลยไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 35629 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมำระหนี้แก่โจทก์
กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์......
3.1 คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเช่นนี้จะส่งผลถึงการอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์
เมื่อสังเกตคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่กำหนดจำนวนเงินให้จำเลยชำระแก่โจทก์นั้นจะกลายเป็นทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ของจำเลย
ซึ่งในคดีนี้ ทุนทรัพย์เกินกว่า 50,000 บาททำให้จำเลยยื่นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 224
3.2 ในการที่จำเลยจะยื่นอุทธรณ์นั้น ต้องดำเนินการตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 โดยจำเลยจะต้องยื่นอุทธรณ์ภายใน 1 เดือน จำเลยต้องเตรียมเงินเพื่อใช้ในการยื่นอุทธรณ์ 3 จำนวน ประกอบไปด้วยค่าขึ้นศาล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรคสอง ค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 และค่านำหมายและส่งสำเนาอุทธรณ์
4. จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์
ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
4.1 คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เช่นนี้ส่งผลถึงการยื่นฎีกาของจำเลยในเรื่องทุนทรัพย์
หากสังเกตแล้วจะเห็นว่า
หากจำเลยฎีกาทุนทรัพย์ชั้นฎีกาของจำเลยจะเท่ากับทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ ดังนั้น
จำเลยจึงสามารถยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 แต่การที่จำเลยจะยื่นฎีกาได้นั้นก็ต้องพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
อีกด้วย
4.2 การที่จำเลยจะยื่นฎีกาก็ต้องยื่นภายในกำหนด
1 เดือน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ประกอบมาตรา
247 แต่จากผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เช่นนี้
ส่งผลให้ชั้นฎีกาจำเลยจะต้องเตรียมเงินเพียง 2 จำนวนเท่านั้น
คือ ค่าขึ้นศาล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรคสอง และค่านำหมายฯ
แต่จำเลยไม่ต้องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์มาวางศาลพร้อมฎีกา
เนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
5. ปรากฏว่าจำเลยยื่นฎีกา
ประเด็นขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกามีดังต่อไปนี้
5.1 จำเลยฎีกาข้อแรกมีว่า
โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด หนี้ดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะ
ซึ่งศาลฎีกาได้พิจารณาฎีกาของจำเลยแล้ววินิจฉัยว่า “ตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง
กำหนดให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า
จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน
รวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธนั้นด้วย คดีนี้จำเลยให้การยอมรับว่า
ทำสัญญาจำนองกับโจทก์จริงแต่จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ในต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวนตามฟ้อง
จำเลยจึงต้องแสดงเหตุผลแห่งการปฏิเสธในข้อดังกล่าวว่า
ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยเพราะเหตุใด
โดยจำเลยให้การว่าจำนำเสนอหลักฐานในชั้นพิจารณาจึงเป็นคำให้การปฏิเสธที่ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้งตามกฎหมาย
ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังว่า จำเลยกู้ยืมเงินโดยยินยอมเสียดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้ในสัญญาจำนองดังกล่าว
และไม่มีประเด็นว่า
โจทก์คิดดอกเบี้ยกับจำเลยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและตกเป็นโมฆะหรือไม่
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอย
และถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
ต้องห้ามไม่ได้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
5.2 ปัญหาต่อไปมีว่า
โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 728 มิได้บัญญัติว่า การบอกกล่าวบังคับจำนองต้องทำเป็นหนังสือ
กรณีจึงไม่ตกอยู่ในบังคับมาตรา 798 วรรคหนึ่งที่กำหนดให้การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการนั้นต้องทำเป็นหนังสือแต่อย่างใดแม้โจทก์จะไม่ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ทนายความบอกกล่าวบังคับจำนองก็ตามแต่การที่ทนายโจทก์ทำหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยเป็นการกระทำในนามของโจทก์
ทั้งต่อมาโจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความดำเนินคดีแก่จำเลยแสดงให้เห็นว่าโจทก์ยอมรับเอาการบอกกล่าวบังคับจำนองของทนายโจทก์เป็นการบอกกล่าวในนามของโจทก์
ถือได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นตัวการซึ่งให้สัตยาบันแก่การกระทำของทนายโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนที่บอกกล่าวบังคับจำนองตาม
ป.พ.พ. มาตรา 823 วรรคหนึ่งแล้ว
จึงถือว่าโจทก์ในฐานะผู้รับจำนองมีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยผู้จำนองตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา
728 โดยชอบแล้ว
หมายเหตุ
การบอกกล่าวบังคับจำนองเป็นเงื่อนไขสำคัญของการบังคับคดีบังคับจำนอง
หากไม่ได้บอกกล่าวหรือบอกกล่าวไม่ชอบศาลก็จะยกฟ้องโจทก์เสมอ
ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 462/2550
ป.พ.พ. มาตรา 728, 861
ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ
ป.พ.พ. มาตรา 728 บัญญัติไว้เพียงว่า เมื่อจะบังคับจำนอง
ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่า ให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรเท่านั้น
โจทก์จึงไม่ต้องระบุทรัพย์สินซึ่งจำนองไปในคำบอกกล่าวด้วย
เมื่อจำเลยเป็นทั้งลูกหนี้และผู้จำนองย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าทรัพย์สินซึ่งจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ไว้แก่โจทก์คือ
ห้องชุดเลขที่ 54/225 หาใช่ห้องชุดเลขที่ 0225 การที่หนังสือบอกกล่าวระบุทรัพย์สินซึ่งจำนองเป็นห้องชุดเลขที่ 0225
เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องการพิมพ์ตัวเลขห้องชุดผิดพลาดอันเป็นเรื่องเล็กน้อย
เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทำการไถ่ถอนจำนองให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าผู้รับจำนองมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ว่าให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวแล้ว
การบอกกล่าวบังคับจำนองของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย
ข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองข้อ 5.
ระบุไว้ว่า ...ถ้าผู้จำนองไม่จัดการเอาประกันอัคคีภัยและผู้รับจำนองได้จัดการเอาประกันอัคคีภัยเอง
ผู้จำนองยินยอมนำเงินค่าเบี้ยประกันภัยที่ผู้รับจำนองได้จ่ายไปมาชำระจนครบถ้วนภายใน
1 เดือน นับแต่วันที่ผู้รับจำนองได้แจ้งให้ทราบ...
ตามข้อสัญญาดังกล่าวแสดงให้เห็นได้ว่าโจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเบี้ยประกันภัยได้ก็ต่อเมื่อได้ทดรองจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยไปก่อนแล้วเท่านั้น
ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าเบี้ยประกันภัยในอนาคตที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ
คำพิพากษาฎีกาที่ 2761/2549
ป.พ.พ. มาตรา 798 วรรคหนึ่ง, 806
ป.วิ.พ. มาตรา 55 โจทก์ที่ 1 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำนิติกรรมแทนโจทก์ที่
2 การที่โจทก์ที่ 1 รับจำนองที่ดินจากจำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้ยืมไปจากโจทก์ที่
2 เป็นการกระทำแทนโจทก์ที่ 2 แม้ตามหนังสือสัญญาจำนองระบุชื่อโจทก์ที่
1 เป็นผู้รับจำนองเท่านั้น
โดยไม่ได้ระบุว่ากระทำการแทนโจทก์ที่ 2 ก็เป็นกรณีที่โจทก์ที่
2 ตัวการซึ่งยังไม่เปิดเผยชื่อแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาจำนองซึ่งโจทก์ที่
1 ได้ทำไว้แทนตน ซึ่งโจทก์ที่ 2 มีสิทธิกระทำได้ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 806 และเป็นกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 798
วรรคหนึ่ง ที่การตั้งตัวแทนเพื่อทำสัญญาจำนองเป็นหนังสือ
ดังนั้นแม้การตั้งตัวแทนของโจทก์ที่ 2 เพื่อทำสัญญาจำนองกับจำเลยจะมิได้ทำเป็นหนังสือ
แต่เมื่อสิทธิของโจทก์ที่ 2 ตามสัญญาจำนองเป็นสิทธิที่มีอยู่ในฐานะตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อตาม
ป.พ.พ. มาตรา 806 โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้องบังคับจำนองได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5553/2542
ป.พ.พ. มาตรา 728, 735, 1599,
1600
ในกรณีที่เจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้รับจำนองประสงค์จะฟ้องบังคับจำนองประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 728 บังคับให้เจ้าหนี้ต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้จำนองซึ่งเป็นลูกหนี้
ในคำบอกกล่าวนั้นเจ้าหนี้จะต้องกำหนดเวลาให้ผู้จำนองชำระหนี้จำนอง
และกำหนดเวลาดังกล่าวจะต้องเป็นกำหนดเวลาอันสมควรด้วย
เพื่อให้โอกาสผู้จำนองชำระหนี้จำนอง
ทำให้ไม่ต้องถูกฟ้องให้ศาลสั่งยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองไปขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้
การบอกกล่าวจึงเป็นเงื่อนไขที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจำนองจะต้องกระทำให้ถูกต้องก่อนจึงจะฟ้องบังคับจำนองได้
การบอกกล่าวดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาที่จะต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา คือผู้จำนอง
เมื่อผู้จำนองถึงแก่กรรมก่อนผู้รับจำนองมีหนังสือบอกกล่าว
แม้จะมีผู้อื่นรับหนังสือนั้นไว้
ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 728
เมื่อผู้จำนองถึงแก่กรรม
มรดกของผู้จำนองซึ่งรวมตลอดถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดของผู้จำนองย่อมตกทอดแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1599,1600ถ้ามีผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองแล้ว
โจทก์ผู้รับจำนองประสงค์จะบังคับจำนองโจทก์ต้องมีจดหมายบอกกล่าวแก่ผู้รับโอนล่วงหน้าเดือนหนึ่งก่อน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 735ถ้ายังไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนอง
แต่ผู้จำนองมีทายาทหรือผู้จัดการมรดก
โจทก์ต้องบอกกล่าวแก่บุคคลดังกล่าวซึ่งเป็นเสมือนผู้รับโอนทรัพย์สินที่จำนอง
การบอกกล่าวนี้ต้องทำเป็นจดหมายหรือหนังสือ และต้องบอกกล่าวล่วงหน้าอย่างน้อย 1
เดือนโจทก์จึงจะฟ้องบังคับจำนองได้
โจทก์มิได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยซึ่งเป็นทายาทของผู้จำนองก่อนฟ้อง
และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองตามกฎหมาย
โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำนอง
คำพิพากษาฎีกาที่ 1608/2506
ป.พ.พ. มาตรา 728
โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยเพียงว่าให้จำเลยชำระเงินและไถ่ถอนการจำนองเสียภายในเร็ววันที่สุดนั้นเห็นได้ว่าไม่ได้กำหนดให้ไถ่ถอนการจำนองเมื่อใด
เอาความแน่นอนในการที่จะพิเคราะห์ว่าภายในเวลาอันสมควรหรือไม่ ไม่ได้
จึงไม่เป็นคำบอกกล่าวบังคับจำนองที่ชอบ
คำพิพากษาฎีกาที่ 1133/2520
ป.พ.พ. มาตรา 154, 728
ป.วิ.พ. มาตรา 88, 142, 249
เมื่อจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวให้ไถ่ถอนจำนองภายใน
30 วันนับแต่วันได้รับหนังสือจำเลยก็พูดกับผู้ส่งหนังสือว่า
ไม่มีเงิน ถ้าอยากได้เร็ว ๆ ให้ฟ้องเอา
เห็นได้ว่าจำเลยได้แสดงเจตนาไม่ถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่โจทก์กำหนดให้
เมื่อโจทก์ได้ให้เวลาแก่จำเลยหลังทราบคำบอกกล่าวแล้วถึง 13 วัน
อันเป็นระยะเวลาพอสมควรโจทก์มีอำนาจฟ้องได้โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบอกกล่าว
จำเลยฎีกาว่า สมควรอนุญาตให้จำเลยอ้างพยานเพิ่มเติมตามคำร้องของจำเลย เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะอนุญาตให้จำเลยสืบพยานตามที่ระบุไว้นั้น ก็ไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลง ไม่มีความจำเป็นต้องสืบพยานเช่นนั้น ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอีกว่าสมควรจะรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยนั้นหรือไม่
(ขอขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับที่มา : ทบทวนหลักกฎหมายกับอาจารย์ประยุทธ)
สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆทุกท่าน ที่กำลังศึกษาชั้นเนติบัณฑิต ซึ่งกำลังทำงานและไม่มีเวลาเข้าเรียน , ไม่ได้ลงทะเบียนมาเป็นเวลานาน อย่าเพิ่งรีบท้อถอย ครับ เพราะกว่าเราจะเรียนจบชั้นนิติศาสตร์ได้ใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน การเรียนเนติบัณฑิตสมัยปัจจุบันค่อนข้างยากพอสมควร หรือสำหรับน้องๆบางท่านที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดวึ่งยังไม่มีแนวทางในการเรียน หรือยังไม่สามารถรับสื่อ หนังสือ หรือเอกสาร ซึ่งบางท่านมีความตั้งใจแต่ขาดโอกาส และวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับท่านที่ยังอยากเรียนจบ แต่ไม่มีเวลา กำลังทำงาน หรือไม่ได้สอบมานาน ขอแนะนำ, รวบรวมข้อมูล สำหรับการเริ่มต้นใหม่ ...
รวมคำบรรยายเนติฯ (ภาคปกติ /ภาคค่ำ/ภาคทบทวนวันอาทิตย์) ภาค 1/65 และ 2/65
- กลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา (ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์)
พร้อมเอกสาร สรุปคำบรรยายเนติฯ 1/65 + เอกสารประกอบคำบรรยาย1/65 + บทบรรณาธิการ 1/63, 1/64 และ 1/65 + ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา (สมัยที่ 56-64) พร้อม เคล็ดลับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเนติฯ + ระเบียบการเรียนเนติฯ +เทคนิคและแนวการเขียนข้อสอบ, การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่วยฯ/อัยการ
ราคา 380.00 บาท (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี) ฟรี ! สมุดบันทึก
- กลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา (ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์)
พร้อมเอกสาร สรุปคำบรรยายเนติฯ 2/65 + เอกสารประกอบคำบรรยาย 2/65 + บทบรรณาธิการ 2/63, 2/64 และ 2/65 + ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา (สมัยที่ 56-64) พร้อม เคล็ดลับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเนติฯ + ระเบียบการเรียนเนติฯ +เทคนิคและแนวการเขียนข้อสอบ, การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่วยฯ/อัยการ
ราคา 380.00 บาท (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี) ฟรี ! สมุดบันทึก
Ø หมายเหตุ : สั่งซื้อทั้ง 2 ภาค ราคาพิเศษ 700 บาท (ส่ง EMS ให้ฟรี) ฟรี !!! สมุดบันทึก + CD แบบร่างสัญญามากกว่า 400 แบบ (file word) + แบบฟอร์มศาล, แบบฟอร์มเอกสารงานบุคคล,เอกสารงานบัญชีและภาษี
สนใจติดต่อ ตุ้ย มือถือ 085-801-0725, E-mail : siripit...@gmail.com
ไม่เก่ง..แต่พยายาม เจ๋ง ! กว่า เก่ง....แต่ขี้เกียจ
ขอให้โชคดีและประสบความสำเร็จกันทุกคนนะคับ....