ฟ้องซ้ำ ( มาตรา 39(4)
หลักเกณฑ์ เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้อง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับ
1. คำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดเป็นคำพิพากษาของศาลใด
- คำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด ในความผิดซึ่งได้ฟ้อง หมายถึง คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ไม่ใช่คำพิพากษาถึงที่สุดเหมือนฟ้องซ้ำในคดีแพ่ง ( ป.วิ.พ.มาตรา 148) ดังนั้นคดีอาญาที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ถือว่าคดีนั้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้องแล้ว แม้คดีนั้นยังไม่ถึงที่สุดเพราะอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ หรือฎีกาก็ตาม (ฎ.3488/29, 3116/25) คำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดนี้อาจเป็นคำพิพากษาของศาลทหารก็ได้ (ฎ. 937/87, 764/05)
2. จำเลยในคดีก่อนและคดีหลัง ต้องเป็นคนเดียวกัน
- ในความผิดอาญาเรื่องเดียวกัน แม้โจทก์จะไม่ใช่คนเดียวกัน เช่นผู้เสียหายและอัยการต่างฟ้องจำเลยต่อศาล หากศาลชั้นต้นพิพากษาคดีหนึ่งคดีใดแล้ว สิทธิในการนำคดีมาฟ้องอีกคดีหนึ่งย่อมระงับไป แม้จะฟ้องคดีไว้ก่อนก็ตาม (ฎ. 1037/01, 1438/27) หรือจำเลยหลายคนถูกพนักงานอัยการฟ้องจนศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป จำเลยคนใดคนหนึ่งในคดีนั้นจะไปฟ้องจำเลยด้วยกันในเรื่องเดียวกันเป็นคดีใหม่ไม่ได้เช่นกัน (ฎ. 738/93, 999/12)
- ศาลลงโทษจำเลยฐานละเมิดอำนาจศาลไปแล้ว พนักงานอัยการและผู้เสียหายมาฟ้องเป็นความผิดตาม ป.อ. ได้อีก ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะที่ศาลลงโทษจำเลยฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นการลงโทษโดยไม่มีโจทก์ฟ้อง (ฎ. 1120/39, 87/84)
3. คำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้อง
- ** จำเลยต้องถูกดำเนินคดีในคดีก่อนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นการสมยอมกัน โดยคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในคดีก่อนอันจะมีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามมาตรา 39 (4) นั้น ต้องเป็นกรณีที่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลยอย่างแท้จริง ดังนี้หากคดีก่อนเป็นการฟ้องร้องคดีกันอย่างสมยอม เพื่อหวัง ผลมิให้มีการฟ้องร้องแก่จำเลยได้อีก ไม่ใช่เป็นการดำเนินคดีแก่จำเลยอย่างแท้จริง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงยังไม่ระงับ (ฏ. 6446/47, 9334/38)
- ** คำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง จะต้องเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงความผิดของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ต้องเป็นการวินิจฉัยถึงเนื้อหาของความผิดด้วย จึงจะถือว่าศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว เช่น ศาลชั้นต้นยกฟ้องเพราะพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจะเลยกระทำผิดตามฟ้อง หรือ ศาลยกฟ้องโดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบมีผลเท่ากับโจทก์พิสูจน์ความผิดของจำเลยไม่ได้ ดังนี้ฟ้องใหม่ไม่ได้ (ฎ. 1382/92)
- แม้จะเป็นการพิพากษายกฟ้องในชั้นตรวจฟ้อง หากมีการวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งการกระทำของจำเลยแล้วว่าการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องไม่เป็นความผิด ก็ถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้องแล้ว ฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 2757/44)
- ศาลยกฟ้องเพราะขาดองค์ประกอบความผิด เท่ากับฟังว่าการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องไม่เป็นความผิด แม้จะเป็นคำวินิจฉัยในชั้นตรวจคำฟ้อง ก็ถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด ในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว(ฎ. 6770/46)
- ** ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะเพราะฟ้องมิได้กล่าวถึง เวลา สถานที่ ซึ่งจำเลยกระทำผิด เท่ากับฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าจำเลยกระทำผิดในเวลาใด สถานที่ใด เป็นการวินิจฉัยความผิดของจำเลยแล้ว ฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 687/02 ป. , 776/90 ป.) การที่ศาลยกฟ้องเพราะฟ้องไม่ระบุเวลากระทำผิด ถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว แต่ถ้าศาลพิพากษายกฟ้องเพราะฟ้องบรรยาย เวลาที่เกิดการกระทำ ผิดในอนาคต ซึ่งเป็นฟ้องเคลือบคลุม ถือว่าศาลยังมิได้วินิจฉัยความผิดที่ได้ฟ้อง ฟ้องใหม่ได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 39(4) (ฎ. 1590/24)
- ศาลยกฟ้องเพราะฟ้องเคลือบคลุม เช่น การบรรยายเวลากระทำความผิดในอนาคต หรือการบรรยายฟ้องขัดกัน ถือว่ายังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้อง จึงฟ้องใหม่ได้ (ฎ. 2331/14)
- กรณีโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดตามมาตรา 166 ศาลจะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 132, 174 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ย่อมไม่ถูกต้อง ควรพิพากษายกฟ้อง แต่อย่างไรก็ตามถ้าศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี ดังนี้ ฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 162-3/16)
- ศาลยกฟ้องเพราะคดีไม่อยู่ในอำนาจศาล(ฎ. 3981/35) หรือศาลยกฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง (ฎ. 2294/17) ไม่ได้วินิจฉัยถึงการกระทำผิดของจำเลย ถือว่ายังไม่ได้วินิจฉัยความผิดซึ่งได้ฟ้อง จึงฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
- ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะคำฟ้องไม่ได้ลงชื่อโจทก์ หรือผู้เรียง ดังนี้ย่อมไม่ได้วินิจฉัยความผิดซึ่งได้ฟ้อง ฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 3096/24, 5834/30)
ข้อสังเกต
1) แม้การที่ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ถือว่ายังมิได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง ฟ้องใหม่ไม่เป็นฟ้องซ้ำก็ตาม แต่ระหว่างที่คดีเดิมยังไม่ถึงที่สุด การที่โจทก์ฟ้องใหม่ ย่อมเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 ประกอบ ป.วิ.อ.มาตรา 15 (ฎ. 1012/27)
2) ฟ้องซ้อน ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 173(1) โจทก์ต้องเป็นคนเดียวกัน แต่หากคดีก่อนผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้อง คดีหลังพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง กรณีดังกล่าวถือว่าโจทก์เป็นคนละคนกัน ไม่เป็นฟ้องซ้อนตามมาตรา 173(1) ดังนั้นถ้าผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องทั้งสองคดี ถือว่าโจทก์เป็นคนเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้อน
4. ในความผิดซึ่งได้ฟ้อง
- ในความผิดซึ่งได้ฟ้อง หมายถึง การกระทำที่ก่อให้เกิดความผิดนั้นๆ ไม่ได้หมายถึงฐานความผิด ดังนั้น การกระทำความผิดในคราวเดียวกัน หรือการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินคดีแล้ว โจทก์จะฟ้องจำเลยอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ แม้จะขอให้ลงโทษคนละฐานความผิดก็ตาม (ฎ. 4656/12)
- การกระทำกรรมเดียวกันมีผู้เสียหายหลายคน เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งได้ฟ้องคดีจนศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับ ผู้เสียหายคนอื่นก็จะนำคดีมาฟ้องใหม่อีกไม่ได้ เช่น รับของโจรไว้หลายรายการในคราวเดียวกัน แม้จะเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายต่างรายกัน ก็เป็นความผิดกรรมเดียวกัน เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว โจทก์จะฟ้องจำเลยฐานรับของโจรทรัพย์รายการอื่นอีกไม่ได้ (ฎ. 7296/44ล 4747/33,) หรือหมิ่นประมาทบุคคลหลายคนในคราวเดียวกัน เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องคดีจนมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามมาตรา 39(4) ผู้เสียหายคนอื่นจะมาฟ้องจำเลยอีกไม่ได้ (ฎ. 1853/30) แต่ถ้าผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องจำเลยและได้ถอนฟ้องแล้ว ผู้เสียหายคนอื่นก็ยังฟ้องคดีได้อีก (ฎ. 5934/33)
ข้อสังเกต ดังนั้นจึงได้หลักว่าการกระทำที่เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อโจทก์ฟ้องและศาลได้มีคำพิพากษาในความผิดบทใดบทหนึ่งไปแล้ว ถือว่าได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้องแล้ว โจทก์จะนำการกระทำเดียวกันมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยอีกไม่ได้ แม้จะฟ้องคนละฐานความผิดกันก็ตาม ดังนั้นจึงต้องศึกษาว่ากรณีใดเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือเป็นความผิดหลายกรรม เช่น
- จำเลยลักทรัพย์ของผู้เสียหายหลายคนในคราวเดียวกัน เช่นทรัพย์อยู่ในฟ้องเดียวกัน จึงลักเอาไปพร้อมกัน เป็นกรรมเดียวกัน (ฎ. 6705/46, 1104/04) แต่การลักทรัพย์ของผู้เสียหายทีละคนแม้จะเป็นเวลาต่อเนื่องใกล้ชิดกัน เป็นความผิดหลายกรรม (ฎ. 1281/46)
- การที่จำเลยใช้ไม้ตีทำร้ายผู้เสียหายหลายคนติดต่อกัน ถือว่าเป็นต่างกรรม (ฎ. 1520/06) แต่การทำร้ายโดยไม่แยกแยะว่าใครเป็นใคร เป็นเจตนาเดียวกัน เป็นกรรมเดียว (ฎ. 2879/46) เช่นวางระเบิดครั้งเดียว มีคนเจ็บหลายคน
- กระทำชำเราหญิงในแต่ละครั้งใหม่ เนื่องจากต้องปกปิดมิให้ผู้อื่นรู้ ไม่ต่อเนื่องกัน แยกต่างหากจากกันได้ เป็นความผิดต่างกรรมกัน (ฎ. 4232/47)
- บุกรุกที่ดินของผู้เสียหายหลายคน (โดยเขตที่ดินอยู่ติดกัน) เป็นการกระทำผิดต่างกรรมกัน (ฎ. 2725/35)
- คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยฐานทำร้ายร่างกายต่อมาในระหว่างการพิจารณาของศาล ผู้เสียหายถึงความตาย ดังนี้ โจทก์จะฟ้องจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ ตามมาตรา 39(4) เพราะทั้งสองคดีเกิดจากการกระทำอันเดียวกันของจำเลย (ฎ. 3116/25, 1124/96 ป.)
- จำเลยบุกรุกอสังหาริมทรัพย์เพื่อเข้าไปกระทำความผิดอาญาข้อหาอื่น เช่นบุกรุกเพื่อเข้าไปลักทรัพย์ เป็นความผิดกรรมเดียวกัน เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยบางข้อหาจนศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดนั้น โจทก์จะนำข้อหาอื่นมาฟ้องอีกไม่ได้ (ฎ. 1193/29, 1949/47)
- ความผิดฐานมีอาวุธปืนกระบอกเดียวกันไว้ในความครอบครองฯ ครั้งก่อนและครั้งหลังต่อเนื่องกัน เป็นกรรมเดียว เมื่อศาลพิพากษาลงโทษการกระทำครั้งหลังไปแล้ว โจทก์ก็ไม่มีสิทธินำการกระทำครั้งแรกมาฟ้องอีก (ฎ. 2083/39) เพราะตราบใดที่ยังคงครอบครองอาวุธปืนกระบอกเดียวกัน และเครื่องกระสุนปืนรายเดียวกัน ก็เป็นกรรมเดียวกัน แต่ความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านฯ ตาม ป.อ. มาตรา 371 ในแต่ละครั้งเป็นความผิดต่างกรรมกัน
- จำเลยลักเอาเช็คหรือรับของโจรแล้วนำไปปลอม เพื่อเบิกถอนเงินจากธนาคารเป็นเจตนาเดียวกัน เพื่อให้ได้เงินไปจากธนาคาร จึงถือว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท เมื่อคดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยฐานลักทรัพย์ รับของโจร และฐาน เอาเอกสารของผู้อื่นไป และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดลงโทษจำเลยไปแล้ว โจทก์มาฟ้องจำเลยอีกในข้อหาปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอมอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำตามมาตรา 39(4)
- จำเลยปลอมและใช้เอกสารปลอมก็เพื่อใช้ยักยอกเงินของโจทก์ร่วม เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อโจทก์ฟ้องข้อหายักยอกจนศาลพิพากษาไปแล้ว จะมาฟ้องจำเลยในข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอมอีกไม่ได้ เพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยระงับไปแล้ว (ฎ. 3238/36)
- ทำความผิดข้อหาปลอมเอกสาร แล้วผู้ทำนำเอกสารนั้นไปใช้ กฎหมายให้ลงโทษข้อหาใช้หรืออ้างเอกสารปลอมนั้นอย่างเดียว ดังนั้น เมื่อคดีก่อนโจทก์ฟ้องข้อหาปลอมเอกสาร ศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ก็ต้องถือว่าความผิดในข้อหาใช้หรืออ้างเอกสารปลอม คดีถึงที่สุดเสร็จเด็ดขาดไปแล้วด้วย ฟ้องใหม่ในข้อหานี้อีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 11326/09 ป.)
- ในความผิดที่รวมการกระทำหลายอย่าง เมื่อมีการฟ้องเฉพาะการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งจนศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว จะฟ้องการกระทำอื่นที่รวมอยู่ด้วยอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 424/20)
- เบิกความเท็จหลายตอนในคราวเดียวกันเป็นความผิดหลายกรรม (ฎ. 908/96)
- ความผิดฐานลักปืนของผู้เสียหายกับความผิดฐานมีอาวุธปืนดังกล่าวไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดต่างกรรมกัน (ฎ. 888/07 ป.)
- ในความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ถ้าความผิดบทหนึ่งเสร็จไปเพราะศาลชั้นต้น “จำหน่ายคดี เนื่องจากผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์” ถือไม่ได้ว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้อง จึงไม่ทำให้สิ ทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องในความผิดอื่นที่เป็นกรรมเดียวกันนั้น ระงับไปด้วย (ฎ. 7320/43)
คดีขาดอายุความ (มาตรา 39(6)
- ฟ้องข้อหาฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อ. 343 ได้ความว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ.มาตรา 341 แม้ศาลจะลงโทษได้ในความผิดฐานนี้ได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192 วรรคท้าย ก็ตาม แต่เมื่อความผิดตามมาตรา 341 เป็นความผิดอันยอมความได้ หากไม่ได้ร้องทุก๘ภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่ รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 96 คดีย่อมขาดอายุความ (ฎ. 4752/45)
- อายุความฟ้องร้องในคดีอาญา มีบัญญัติไว้ใน ป.อ.โดยเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาใช้บังคับได้ ดังนั้นแม้โจทก์จะได้ฟ้องจำเลยในครั้งแรกต่อศาลชั้นต้นแห่งหนึ่งภายในอายุความ แต่คดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นนั้น โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลชั้นต้นที่อยู่เขตอำนาจเมื่อพ้นกำหนดอายุความแล้ว คดีจึงขาดอายุความ (ฎ. 588/46)
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา (มาตรา 40-51)
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาคือ กรณีความรับผิดในทางแพ่ง มีมูลมาจากการกระทำผิดในทางอาญา โดยคดีดังกล่าวนี้จะฟ้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญา หรือต่อศาลที่มีอำนาจชำระคดีแพ่งก็ได้
- การพิจารณาคดีแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวีพิจารณาความแพ่ง เช่น คำให้การส่วนแพ่งต้องแสดงโดยชัดแจ้งว่ายอมรับหรือปฏิเสธ รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 ดังนั้น ถ้าจำเลยให้การต่อสู้ในคดีส่วนแพ่งพร้อมกับคำให้การต่อสู้คดีอาญารวมกันว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสิ้น ถือว่าคำให้การจำเลยในส่วนแพ่งเป็นคำให้การปฏิเสธลอยๆไม่มีประเด็นว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์และจำเลยซื้อรถยนต์มาโดยสุจริตในท้องตลาด จำเลยจะอุทธรณ์คดีส่วนแพ่งในประเด็นดังกล่าวไม่ได้ (ฎ. 5713/39)
- จำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ในคดีแพ่ง ถือว่าไม่มีประเด็นดังกล่าว (ฎ. 607/36)
- กำหนดเวลาให้ยื่นคำให้การในคดีแพ่งต้องยื่นคำให้การภายใน 15 วัน นับแต่ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ส่วนคดีอาญานั้นเมื่อศาลสั่งประทับฟ้องแล้ว จะมีคำสั่งให้หมายเรียกจำเลยมาให้การในวันนัดสืบพยานโจทก์ ซึ่งเท่ากับศาลอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การทั้งในส่วนอาญาและส่วนแพ่ง ในวันที่กำหนดนั้น จำเลยจึงไม่ต้องยื่นคำให้การแก้คดีภายใน 15 วัน นับแต่ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยตามมาตรา ป.วิ.พ.มาตรา 177 (ฎ. 3906/36, 1042/20)
- คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เมื่อสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป คำขอในส่วนแพ่งย่อมตกไปด้วย ศาลต้องจำหน่ายคดี (ฎ. 1916/47,1547/29) เช่น กรณีคดีที่อัยการเป็นโจทก์ ฟ้อง เมื่อจำเลยตาย ก็มีผลทำให้คำพิพากษาของศาลล่างในส่วนให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ระงับไปด้วย แม้ในคดีนั้นผู้เสียหายจะเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วยก็ตาม (ฎ. 3271/31) แต่ถ้าผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องเอง เมื่อจำเลยตาย คดีในส่วนแพ่งก็ต้องมีการรับมรดกความ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 42
- คำสั่งไม่ประทับฟ้อง จำเลยไม่อยู่ในฐานะจำเลย หมายถึงคดีส่วนอาญาเท่านั้น แค่ในคดีแพ่ง ถือว่าผู้ถูกฟ้องมีฐานะเป็นจำเลยแล้ว (ฎ. 1881/19)
- สิทธิในการอุทธรณ์ หรือฎีกา ในคดีส่วนแพ่งนั้น ต้องพิจารณาจากทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ หรือฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 และ 248 แล้วแต่กรณีดังเช่นคดีแพ่งทั่วไป แต่อย่างไรก็ดี ถ้าคดีส่วนแพ่งต้องห้ามอุทธรณ์ หรือฎีกา ในข้อเท็จจริง แต่ในส่วนคดีอาญาไม่ต้องห้าม การรับฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่ง ก็ต้องถือตามข้อเท็จจริงในส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ.มาตรา 46 (ฎ.3548/39)
- การที่ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องคดีอาญาที่มีคำขอในส่วนแพ่ง แล้วพิพากษายกฟ้องคดีส่วนอาญา ก็ไม่อาจรับคดีส่วนแพ่งไว้พิจารณาพิพากษาได้ ศาลต้องสั่งไม่รับคดีส่วนแพ่งและคืนค่าธรรมเนียมแก่โจทก์ (ฎ. 3050/44)
การเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหาย( มาตรา 43-44)
- พนักงานอัยการมีสิทธิเรียกทรัพย์สิน หรือ ราคา แทนผู้เสียหายในความผิด เฉพาะ 9 ฐาน คือ ลัก วิ่ง ชิง ปล้น โจร ยัก รับ กรร ฉ้อ เท่านั้น ( ความผิดยักยอกรวมเจ้าพนักงานยักยอกด้วย ฎ. 631/11 แต่ฐานฉ้อโกง ไม่รวมโกงเจ้าหนี้ ฎ. 392/06)
- การเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืน พนักงานอัยการ จะขอรวมไปกับคดีอาญา หรือจะยื่นคำร้องในขณะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นก็ได้ ( ถ้าศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว แม้คดีจะอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หรือฎีกา อัยการจะขอไม่ได้) คำพิพากษาในส่วนแพ่งฯ ให้รวมเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา (มาตรา 44)
- ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 147 แต่ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 148 โจทก์ไม่มีอำนาจขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ (ฎ. 3793/30)
- ในความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ถ้าความผิดบทเบาเป็นความผิดที่ระบุไว้ในมาตรา 43 แต่ความผิดบทหนักไม่ใช่ความผิดตามมาตรา 43 ถ้าศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดทั้งสองบท ลงโทษบทหนัก ศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ได้ (ฎ. 255/31) แต่ถ้าในความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท หากศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดบางฐานที่ไม่ใช่ฐานความผิดตามมาตรา 43 ส่วนฐานที่เป็นความผิดตามมาตรา 43 ศาลพิพากษายกฟ้อง ดังนี้อัยการไม่มีอำนาจเรียกทรัพย์หรือราคาแทนผู้เสียหาย (ฎ. 3530/43)
- ในบางกรณีแม้พนักงานอัยการจะไม่ได้ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดที่ระบุไว้ ในมาตรา 43 แต่ตามคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายความผิดตามมาตรา 43 รวมอยู่ด้วย ดังนี้ อัยการฯ ขอให้เรียกทรัพย์หรือราคาแทนผู้เสียหายได้ (ฎ. 476/15)
- ความผิดฐานตามมาตรา 149,157, 265 อัยการไม่มีสิทธิขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ (ฎ. 378/20)
- **ทรัพย์สินหรือราคาที่พนักงานอัยการจะเรียกแทนผู้เสียหายได้ จะต้องเป็น “ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำความผิด” ดังนี้ ในคดีฉ้อโกงแรงงานตาม ป.อ.มาตรา 344 ค่าแรงงานไม่ใช่ทรัพย์ที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำความผิด อัยการฯ จึงไม่มีอำนาจขอให้จำเลยใช้ค่าแรงงานที่ยังไม่จ่ายแก่ผู้เสียหาย (ฎ. 1051/10, 3303/31)
- ในคดีรับของโจร เงินที่ผู้เสียหายต้องเสียเป็นค่าไถ่ทรัพย์ให้จำเลย ไม่ใช่ทรัพย์หรือราคาทรัพย์ที่เสียไปเนื่องจากการกระทำความผิดฐานรับของโจร อัยการฯ จะขอเรียกเงินค้าไถ่ทรัพย์แทนผู้เสียหาย ไม่ได้ (ฎ. 942/07)
- เงินค่าเข้าอยู่โรงแรมก็เป็นเงินที่เจ้าของโรงแรมควรจะได้ ไม่ใช่ทรัพย์สินที่สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำความผิดตามมาตรา 345 (ฎ. 2197/16)
- จำเลยลักเอาหนังสือสัญญากู้เงินของผู้เสียหายไป ทรัพย์สินที่เสียไปคือหนังสือสัญญาเงินกู้ ไม่ใช่เงินตามสัญญากู้ ดังนี้พนักงานอัยการจะขอให้จำเลยใช้เงินตามสัญญาเงินกู้ไม่ได้ (ฎ. 40/08 ป.)
- เงินที่คนร้ายได้จากการขายทรัพย์สินที่ปล้นมา มิใช่ทรัพย์สินที่ผู้เสียหายถูกปล้น ศาลสั่งคืนให้ผู้เสียหายไม่ได้ (ฎ. 384/19)
- ในความผิดฐานฉ้อโกง ทรัพย์สินที่จะขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาได้ต้องเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการหลอกลวงเท่านั้น ทรัพย์สินที่จำเลยได้มาภายหลัง ที่ไม่ใช่การหลอกลวงของจำเลย อัยการฯ ย่อมไม่มีสิทธิขอให้คืนหรือใช้ราคาได้ คำขอของโจทก์ร่วมที่ขอถือเอาตามฟ้องของอัยการย่อมตกไปด้วย (ฎ. 3667/42)
- จำเลยหลอกลวงให้ผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศ ถือว่าเงินค่าตั๋วเครื่องบิน ที่ผู้เสียหายจ่ายให้จำเลยเพื่อให้ผู้เสียหายใช้เดินทางไปทำงานต่างประเทศ เป็นทรัพย์สิน ที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง แม้ผู้เสียหายจะใช้ตั๋วเครื่องบินเดินทางไปแล้วก็ตาม อัยการฯ เรียกให้จำเลยคืนแทนผู้เสียหายได้ (ฎ. 5401/42)
- สลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกรางวัลแล้ว มีราคาเท่ากับเงินรางวัลที่จะได้รับจึงถือว่าเงินรางวัลที่จะได้รับเป็นราคาทรัพย์ที่สูญเสียไปโดยแท้จริง อัยการฯขอให้คืนเงินรางวัลได้ (ฎ. 772/20 ป.)
- **อัยการฯ มีสิทธิเรียกได้เฉพาะทรัพย์หรือราคาเท่านั้น จะเรียกดอกเบี้ยไม่ได้ แต่ถ้าผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วม ด้วย ถือได้ว่าผู้เสียหายได้เรียกดอกเบี้ยแล้ว แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล (ฎ. 1976/05 ป.)
- ** แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นเพียงความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์ โดยจำเลยไมได้ทรัพย์ของกลางไป แต่ทรัพย์ของกลางสูญหายไปในขณะเกิดเหตุนั้น ถือว่าผลของการกระทำผิดของจำเลย ทำให้ผู้เสียหายต้องสุญเสียทรัพย์นั้นไป จำเลยจึงต้องรับผิดคืนหรือใช้ราคาทรัพย์นั้นแก่ผู้เสียหาย (ฎ. 6624/45)
- คดีที่โจทก์บรรยายฟ้องจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร และให้คืนหรือใช้ราคาแทนผู้เสียหาย ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ความรับผิดทางแพ่งของจำเลยคงจำกัดเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดฐานรับของโจรเท่านั้น (ฎ. 855/30 ป.) และเมื่อจำเลยได้รับทรัพย์ที่รับของโจรคืนไปแล้ว ก็ไม่อาจบังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้โจทก์ได้อีก (ฎ. 3098/43)
- ระหว่างพิจารณาโจทก์ร่วมแถลงติดใจให้จำเลยชำระหนี้บางส่วนเท่านั้น เมื่อจำเลยไม่ชำระ จำเลยต้องคืนเงินให้โจทก์เท่าที่แถลงเท่านั้น ไม่ใช่จำนวนตามคำขอท้ายฟ้อง เพราะถือว่าโจทก์ได้สละสิทธิเรียกร้องบางส่วนแล้ว (ฎ. 6916/42)
- แม้ศาลจะยกฟ้องคดีส่วนอาญา ศาลยังมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายได้ (ฎ. 1039/16 ป.) เช่น อัยการโจทก์ฟ้องจำเลยฐานยักยอก และให้คืนหรือใช้เงินที่จำเลยยักยอกแก่โจทก์ คดีส่วนอาญาศาลวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ไกระทำผิด แต่ศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ร่วมตามที่อัยการฯ ขอได้ (ฎ. 4881/39) แต่ถ้าศาลพิพากษายกฟ้อง เพราะเป็นความรับผิดทางแพ่งล้วนๆ กรณีมิใช่จำเลยได้ทรัพย์ไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา อัยการไม่มีสิทธิที่จะเรียกทรัพย์ได้ (ฎ. 3112/23)
-** สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับ เช่น กรณีฟ้องโจทก์ขาดอายุความ (ฎ. 3746/42) หรือ ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์หรือยอมความ (ฎ. 1061/45) หรือกรณีที่ผู้ต้องหาถึงแก่ความตาย (ฎ. 1547/29) ซึ่งทำให้คำขอในส่วนแพ่งตกไปด้วย อัยการฯ ไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหาย แม้ผู้เสียหายจะเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วยก็ตาม (ฎ. 2567/26)
- แต่ถ้าเป็นกรณีที่ผู้เสียหายฟ้องคดีเอง เมื่อจำเลยตายคดีในส่วนแพ่งต้องมีการรับมรดกความ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 42 (ฎ. 1238/93)
- ในส่วนการใช้ราคานั้น หากไม่ปรากฏว่ามีราคาเท่าใดศาลก็จะไม่สั่งให้ใช้ราคา (ฎ.2212/33) ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลว่า ผู้เสียหายได้รับชดใช้ค่าเสียหายเกินกว่าราคาทรัพย์ไปแล้ว ศาลก็จะพิพากษาให้คืนหรือใช้ราคาอีกไม่ได้(ฎ. 6553/41)
-ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการฟ้องและมีคำขอส่วนแพ่งให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย ตามมาตรา 43 ถือว่าอัยการฯ ฟ้องคดีแทนผู้เสียหายด้วย ดังนั้นถ้าคดีอาญายังไม่ถึงที่สุด ผู้เสียหายฟ้องจำเลยให้รับผิดในส่วนแพ่งอีก จึงเป็นฟ้องซ้อน ตามวิแพ่ง มาตรา 173(1) ทั้งนี้ไม่ว่าในคดีอาญาผู้เสียหายจะเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วยหรือไม่ก็ตาม (ฎ. 3080/44) ถ้าคดีอาญาถึงที่สุดไปแล้ว คำฟ้องของผู้เสียหายก็เป็นฟ้องซ้ำ ตาม วิแพ่ง มาตรา 148 (ฎ. 1207/10, 4615/43) แต่เป็นฟ้องซ้อนเฉพาะต้นเงินเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 12414/47 ป.)***
-*** มาตรา 44 วรรคสอง ที่ให้คำพิพากษาในส่วนเรียกทรัพย์สินหรือราคารวมเป็นส่วนหนึ่งแห่งคำพิพากษาคดีอาญา ทั้งนี้โดยไม่จำกัดว่าทรัพย์นั้นจะมีราคาเท่าใด ดังนี้คดีที่ฟ้องต่อศาลแขวง แม้ราคาทรัพย์สินที่เรียกจะมีราคามากน้อยเพียงใด ศาลแขวงก็มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำขอในส่วนนี้ได้ (ฎ. 180/90, 2952/27)
สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียหาย
เป็นการให้สิทธิแก่ผู้เสียหายที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกาย ชื่อเสียง หรือได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สิน อันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย โดยยื่นคำร้องเข้าไปในคดีอาญา โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีแพ่ง
ข้อสังเกต
1. ให้สิทธิแก่ผู้เสียหายที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลย ผู้เสียหายที่ได้รับอันตรายแก่ ชีวิต ร่างกาย จิตใจ เสรีภาพ ชื่อเสียง และทรัพย์สิน
2. ค่าสินไหมทดแทนที่ผู้เสียหายเรียกร้องนั้น เป็นค่าสินไหมแทนเพื่อการละเมิด จึงต้องเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 438-448
3. มาตรา 44/1 รวมถึงการขอให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาที่สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยด้วย ดังนั้นถ้าอัยการขอตามมาตรา 43 แล้ว ผู้เสียหาย จะขอให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาที่สุญเสียไปอีก ไม่ได้
4. กำหนดเวลา ยื่นคำร้อง ต้องก่อนเริ่มสืบพยานถ้าไม่มีการสืบพยานต้องก่อนศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดี (ถือว่าคำร้องเป็นคำฟ้อง ตามวิแพ่ง โดยผู้เสียหายอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่ง จึงต้องแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหาย และจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่เรียกร้อง และหากชนะคดี ถือว่าเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา)
คำพิพากษาในส่วนแพ่ง (มาตรา 47)
ต้องเป็นไปตามความรับผิดทางแพ่ง โดยไม่ต้องคำนึงว่าคดีอาญาศาลจะพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดหรือไม่ เช่น กรณีที่ศาลยกฟ้องโจทก์เพราะฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ ตาม วิ.อาญา มาตรา 158 ศาลก็มีอำนาจสั่งให้จะเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายได้ (ฎ. 2737/17)
- ถ้าศาลยกฟ้องเพราะเป็นความรับผิดทางแพ่งล้วนๆ โดยไม่มีมูลความผิดทางอาญา มิใช่จำเลยได้ทรัพย์ไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อัยการฯไม่มีสิทธิที่จะเรียกทรัพย์ได้ (ฎ. 3112/23)
- ในกรณีที่คำขอส่วนแพ่งยังเป็นปัญหาอยู่ ศาลอาจให้ไปฟ้องร้องกันในทางแพ่งต่อไปก็ได้ (ฎ. 504-5/43)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
** สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ 085-801-0725, E-mail : siripit...@gmail.com **