++ สรุปย่อ//และวิเคราะห์หลัก ป.วิ.อาญา มาตรา 39, 40, 43, 44, 47//(เหมาะสำหรับอ่านทบทวนก่อนสอบ)++

4,647 views
Skip to first unread message

arunarun chitt

unread,
Jan 21, 2014, 11:06:08 AM1/21/14
to law...@googlegroups.com

ฟ้องซ้ำ ( มาตรา 39(4)


หลักเกณฑ์   เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้อง  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับ

1. คำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดเป็นคำพิพากษาของศาลใด

- คำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด ในความผิดซึ่งได้ฟ้อง  หมายถึง  คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ไม่ใช่คำพิพากษาถึงที่สุดเหมือนฟ้องซ้ำในคดีแพ่ง ( ป.วิ.พ.มาตรา 148)  ดังนั้นคดีอาญาที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ถือว่าคดีนั้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้องแล้ว   แม้คดีนั้นยังไม่ถึงที่สุดเพราะอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ หรือฎีกาก็ตาม  (ฎ.3488/29, 3116/25)  คำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดนี้อาจเป็นคำพิพากษาของศาลทหารก็ได้  (ฎ. 937/87, 764/05)

2. จำเลยในคดีก่อนและคดีหลัง ต้องเป็นคนเดียวกัน

-  ในความผิดอาญาเรื่องเดียวกัน แม้โจทก์จะไม่ใช่คนเดียวกัน  เช่นผู้เสียหายและอัยการต่างฟ้องจำเลยต่อศาล หากศาลชั้นต้นพิพากษาคดีหนึ่งคดีใดแล้ว สิทธิในการนำคดีมาฟ้องอีกคดีหนึ่งย่อมระงับไป แม้จะฟ้องคดีไว้ก่อนก็ตาม  (ฎ. 1037/01, 1438/27)  หรือจำเลยหลายคนถูกพนักงานอัยการฟ้องจนศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป จำเลยคนใดคนหนึ่งในคดีนั้นจะไปฟ้องจำเลยด้วยกันในเรื่องเดียวกันเป็นคดีใหม่ไม่ได้เช่นกัน (ฎ. 738/93, 999/12)

- ศาลลงโทษจำเลยฐานละเมิดอำนาจศาลไปแล้ว พนักงานอัยการและผู้เสียหายมาฟ้องเป็นความผิดตาม ป.อ. ได้อีก   ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะที่ศาลลงโทษจำเลยฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นการลงโทษโดยไม่มีโจทก์ฟ้อง (ฎ. 1120/39, 87/84)

3. คำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้อง

    -   ** จำเลยต้องถูกดำเนินคดีในคดีก่อนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นการสมยอมกัน โดยคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในคดีก่อนอันจะมีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามมาตรา  39 (4) นั้น ต้องเป็นกรณีที่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลยอย่างแท้จริง    ดังนี้หากคดีก่อนเป็นการฟ้องร้องคดีกันอย่างสมยอม เพื่อหวัง ผลมิให้มีการฟ้องร้องแก่จำเลยได้อีก ไม่ใช่เป็นการดำเนินคดีแก่จำเลยอย่างแท้จริง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงยังไม่ระงับ  (ฏ. 6446/47, 9334/38)

  -  ** คำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง จะต้องเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงความผิดของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่   หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ต้องเป็นการวินิจฉัยถึงเนื้อหาของความผิดด้วย  จึงจะถือว่าศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว  เช่น ศาลชั้นต้นยกฟ้องเพราะพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจะเลยกระทำผิดตามฟ้อง   หรือ ศาลยกฟ้องโดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบมีผลเท่ากับโจทก์พิสูจน์ความผิดของจำเลยไม่ได้  ดังนี้ฟ้องใหม่ไม่ได้ (ฎ. 1382/92)

- แม้จะเป็นการพิพากษายกฟ้องในชั้นตรวจฟ้อง หากมีการวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งการกระทำของจำเลยแล้วว่าการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องไม่เป็นความผิด  ก็ถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้องแล้ว  ฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 2757/44)

- ศาลยกฟ้องเพราะขาดองค์ประกอบความผิด เท่ากับฟังว่าการกระทำของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องไม่เป็นความผิด แม้จะเป็นคำวินิจฉัยในชั้นตรวจคำฟ้อง  ก็ถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาด ในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว(ฎ. 6770/46)

- **  ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะเพราะฟ้องมิได้กล่าวถึง เวลา สถานที่ ซึ่งจำเลยกระทำผิด  เท่ากับฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าจำเลยกระทำผิดในเวลาใด สถานที่ใด  เป็นการวินิจฉัยความผิดของจำเลยแล้ว  ฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 687/02 ป. , 776/90 ป.)    การที่ศาลยกฟ้องเพราะฟ้องไม่ระบุเวลากระทำผิด ถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว แต่ถ้าศาลพิพากษายกฟ้องเพราะฟ้องบรรยาย เวลาที่เกิดการกระทำ ผิดในอนาคต ซึ่งเป็นฟ้องเคลือบคลุม  ถือว่าศาลยังมิได้วินิจฉัยความผิดที่ได้ฟ้อง  ฟ้องใหม่ได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา  39(4) (ฎ. 1590/24)

- ศาลยกฟ้องเพราะฟ้องเคลือบคลุม  เช่น  การบรรยายเวลากระทำความผิดในอนาคต หรือการบรรยายฟ้องขัดกัน ถือว่ายังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้อง  จึงฟ้องใหม่ได้  (ฎ. 2331/14)

- กรณีโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดตามมาตรา  166  ศาลจะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา  132, 174 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา  15   ย่อมไม่ถูกต้อง  ควรพิพากษายกฟ้อง  แต่อย่างไรก็ตามถ้าศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี ดังนี้ ฟ้องใหม่ได้  ไม่เป็นฟ้องซ้ำ  (ฎ. 162-3/16)

 - ศาลยกฟ้องเพราะคดีไม่อยู่ในอำนาจศาล(ฎ. 3981/35)  หรือศาลยกฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง (ฎ. 2294/17) ไม่ได้วินิจฉัยถึงการกระทำผิดของจำเลย  ถือว่ายังไม่ได้วินิจฉัยความผิดซึ่งได้ฟ้อง   จึงฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

- ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะคำฟ้องไม่ได้ลงชื่อโจทก์ หรือผู้เรียง  ดังนี้ย่อมไม่ได้วินิจฉัยความผิดซึ่งได้ฟ้อง ฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 3096/24, 5834/30)


ข้อสังเกต

                 1)  แม้การที่ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ถือว่ายังมิได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง ฟ้องใหม่ไม่เป็นฟ้องซ้ำก็ตาม  แต่ระหว่างที่คดีเดิมยังไม่ถึงที่สุด การที่โจทก์ฟ้องใหม่ ย่อมเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา  173 ประกอบ ป.วิ.อ.มาตรา  15  (ฎ. 1012/27)  

                2)  ฟ้องซ้อน ตาม ป.วิ.พ.มาตรา  173(1)  โจทก์ต้องเป็นคนเดียวกัน แต่หากคดีก่อนผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้อง คดีหลังพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง   กรณีดังกล่าวถือว่าโจทก์เป็นคนละคนกัน  ไม่เป็นฟ้องซ้อนตามมาตรา 173(1)  ดังนั้นถ้าผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องทั้งสองคดี  ถือว่าโจทก์เป็นคนเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้อน

4. ในความผิดซึ่งได้ฟ้อง     

   - ในความผิดซึ่งได้ฟ้อง  หมายถึง การกระทำที่ก่อให้เกิดความผิดนั้นๆ  ไม่ได้หมายถึงฐานความผิด  ดังนั้น การกระทำความผิดในคราวเดียวกัน หรือการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท  เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินคดีแล้ว  โจทก์จะฟ้องจำเลยอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ แม้จะขอให้ลงโทษคนละฐานความผิดก็ตาม (ฎ. 4656/12)

- การกระทำกรรมเดียวกันมีผู้เสียหายหลายคน  เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งได้ฟ้องคดีจนศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับ ผู้เสียหายคนอื่นก็จะนำคดีมาฟ้องใหม่อีกไม่ได้ เช่น  รับของโจรไว้หลายรายการในคราวเดียวกัน แม้จะเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายต่างรายกัน  ก็เป็นความผิดกรรมเดียวกัน เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว  โจทก์จะฟ้องจำเลยฐานรับของโจรทรัพย์รายการอื่นอีกไม่ได้ (ฎ. 7296/44ล 4747/33,)  หรือหมิ่นประมาทบุคคลหลายคนในคราวเดียวกัน เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องคดีจนมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามมาตรา  39(4)  ผู้เสียหายคนอื่นจะมาฟ้องจำเลยอีกไม่ได้ (ฎ. 1853/30)   แต่ถ้าผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องจำเลยและได้ถอนฟ้องแล้ว   ผู้เสียหายคนอื่นก็ยังฟ้องคดีได้อีก (ฎ. 5934/33)

ข้อสังเกต  ดังนั้นจึงได้หลักว่าการกระทำที่เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อโจทก์ฟ้องและศาลได้มีคำพิพากษาในความผิดบทใดบทหนึ่งไปแล้ว ถือว่าได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้องแล้ว โจทก์จะนำการกระทำเดียวกันมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยอีกไม่ได้ แม้จะฟ้องคนละฐานความผิดกันก็ตาม   ดังนั้นจึงต้องศึกษาว่ากรณีใดเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือเป็นความผิดหลายกรรม  เช่น

    -  จำเลยลักทรัพย์ของผู้เสียหายหลายคนในคราวเดียวกัน  เช่นทรัพย์อยู่ในฟ้องเดียวกัน จึงลักเอาไปพร้อมกัน เป็นกรรมเดียวกัน (ฎ. 6705/46, 1104/04) แต่การลักทรัพย์ของผู้เสียหายทีละคนแม้จะเป็นเวลาต่อเนื่องใกล้ชิดกัน เป็นความผิดหลายกรรม (ฎ. 1281/46) 

    -  การที่จำเลยใช้ไม้ตีทำร้ายผู้เสียหายหลายคนติดต่อกัน ถือว่าเป็นต่างกรรม  (ฎ. 1520/06)  แต่การทำร้ายโดยไม่แยกแยะว่าใครเป็นใคร  เป็นเจตนาเดียวกัน เป็นกรรมเดียว (ฎ. 2879/46)  เช่นวางระเบิดครั้งเดียว มีคนเจ็บหลายคน 

    - กระทำชำเราหญิงในแต่ละครั้งใหม่  เนื่องจากต้องปกปิดมิให้ผู้อื่นรู้  ไม่ต่อเนื่องกัน แยกต่างหากจากกันได้ เป็นความผิดต่างกรรมกัน (ฎ. 4232/47)

     - บุกรุกที่ดินของผู้เสียหายหลายคน (โดยเขตที่ดินอยู่ติดกัน)  เป็นการกระทำผิดต่างกรรมกัน (ฎ. 2725/35)

     -   คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยฐานทำร้ายร่างกายต่อมาในระหว่างการพิจารณาของศาล ผู้เสียหายถึงความตาย  ดังนี้ โจทก์จะฟ้องจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ ตามมาตรา  39(4)  เพราะทั้งสองคดีเกิดจากการกระทำอันเดียวกันของจำเลย (ฎ. 3116/25, 1124/96 ป.)

   -  จำเลยบุกรุกอสังหาริมทรัพย์เพื่อเข้าไปกระทำความผิดอาญาข้อหาอื่น เช่นบุกรุกเพื่อเข้าไปลักทรัพย์    เป็นความผิดกรรมเดียวกัน  เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยบางข้อหาจนศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดนั้น  โจทก์จะนำข้อหาอื่นมาฟ้องอีกไม่ได้ (ฎ. 1193/29, 1949/47)

   -  ความผิดฐานมีอาวุธปืนกระบอกเดียวกันไว้ในความครอบครองฯ ครั้งก่อนและครั้งหลังต่อเนื่องกัน เป็นกรรมเดียว เมื่อศาลพิพากษาลงโทษการกระทำครั้งหลังไปแล้ว โจทก์ก็ไม่มีสิทธินำการกระทำครั้งแรกมาฟ้องอีก (ฎ. 2083/39)   เพราะตราบใดที่ยังคงครอบครองอาวุธปืนกระบอกเดียวกัน และเครื่องกระสุนปืนรายเดียวกัน ก็เป็นกรรมเดียวกัน  แต่ความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านฯ  ตาม ป.อ. มาตรา  371   ในแต่ละครั้งเป็นความผิดต่างกรรมกัน 

    - จำเลยลักเอาเช็คหรือรับของโจรแล้วนำไปปลอม เพื่อเบิกถอนเงินจากธนาคารเป็นเจตนาเดียวกัน  เพื่อให้ได้เงินไปจากธนาคาร  จึงถือว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท   เมื่อคดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยฐานลักทรัพย์ รับของโจร และฐาน เอาเอกสารของผู้อื่นไป  และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดลงโทษจำเลยไปแล้ว โจทก์มาฟ้องจำเลยอีกในข้อหาปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอมอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำตามมาตรา  39(4)

    -  จำเลยปลอมและใช้เอกสารปลอมก็เพื่อใช้ยักยอกเงินของโจทก์ร่วม เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท  เมื่อโจทก์ฟ้องข้อหายักยอกจนศาลพิพากษาไปแล้ว จะมาฟ้องจำเลยในข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอมอีกไม่ได้ เพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องจำเลยระงับไปแล้ว   (ฎ. 3238/36)

- ทำความผิดข้อหาปลอมเอกสาร แล้วผู้ทำนำเอกสารนั้นไปใช้   กฎหมายให้ลงโทษข้อหาใช้หรืออ้างเอกสารปลอมนั้นอย่างเดียว  ดังนั้น เมื่อคดีก่อนโจทก์ฟ้องข้อหาปลอมเอกสาร ศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ก็ต้องถือว่าความผิดในข้อหาใช้หรืออ้างเอกสารปลอม คดีถึงที่สุดเสร็จเด็ดขาดไปแล้วด้วย ฟ้องใหม่ในข้อหานี้อีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ  (ฎ. 11326/09 ป.)

- ในความผิดที่รวมการกระทำหลายอย่าง เมื่อมีการฟ้องเฉพาะการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งจนศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว  จะฟ้องการกระทำอื่นที่รวมอยู่ด้วยอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำ (ฎ. 424/20)

- เบิกความเท็จหลายตอนในคราวเดียวกันเป็นความผิดหลายกรรม (ฎ. 908/96)

- ความผิดฐานลักปืนของผู้เสียหายกับความผิดฐานมีอาวุธปืนดังกล่าวไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดต่างกรรมกัน (ฎ. 888/07 ป.)  

- ในความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ถ้าความผิดบทหนึ่งเสร็จไปเพราะศาลชั้นต้น จำหน่ายคดี  เนื่องจากผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์   ถือไม่ได้ว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้อง  จึงไม่ทำให้สิ ทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องในความผิดอื่นที่เป็นกรรมเดียวกันนั้น ระงับไปด้วย (ฎ. 7320/43)

 

คดีขาดอายุความ (มาตรา  39(6)

- ฟ้องข้อหาฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อ. 343  ได้ความว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ.มาตรา  341  แม้ศาลจะลงโทษได้ในความผิดฐานนี้ได้ตาม  ป.วิ.อ.มาตรา  192 วรรคท้าย ก็ตาม  แต่เมื่อความผิดตามมาตรา 341 เป็นความผิดอันยอมความได้  หากไม่ได้ร้องทุก๘ภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่ รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 96  คดีย่อมขาดอายุความ (ฎ. 4752/45)

 - อายุความฟ้องร้องในคดีอาญา มีบัญญัติไว้ใน ป.อ.โดยเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาใช้บังคับได้  ดังนั้นแม้โจทก์จะได้ฟ้องจำเลยในครั้งแรกต่อศาลชั้นต้นแห่งหนึ่งภายในอายุความ แต่คดีไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้นนั้น  โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลชั้นต้นที่อยู่เขตอำนาจเมื่อพ้นกำหนดอายุความแล้ว  คดีจึงขาดอายุความ (ฎ. 588/46)

 

คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา (มาตรา 40-51)   

คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาคือ กรณีความรับผิดในทางแพ่ง มีมูลมาจากการกระทำผิดในทางอาญา    โดยคดีดังกล่าวนี้จะฟ้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญา หรือต่อศาลที่มีอำนาจชำระคดีแพ่งก็ได้ 

-  การพิจารณาคดีแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวีพิจารณาความแพ่ง   เช่น  คำให้การส่วนแพ่งต้องแสดงโดยชัดแจ้งว่ายอมรับหรือปฏิเสธ  รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา  177  ดังนั้น ถ้าจำเลยให้การต่อสู้ในคดีส่วนแพ่งพร้อมกับคำให้การต่อสู้คดีอาญารวมกันว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสิ้น  ถือว่าคำให้การจำเลยในส่วนแพ่งเป็นคำให้การปฏิเสธลอยๆไม่มีประเด็นว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์และจำเลยซื้อรถยนต์มาโดยสุจริตในท้องตลาด  จำเลยจะอุทธรณ์คดีส่วนแพ่งในประเด็นดังกล่าวไม่ได้ (ฎ. 5713/39)

- จำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ในคดีแพ่ง ถือว่าไม่มีประเด็นดังกล่าว (ฎ. 607/36) 

- กำหนดเวลาให้ยื่นคำให้การในคดีแพ่งต้องยื่นคำให้การภายใน 15 วัน นับแต่ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง  ส่วนคดีอาญานั้นเมื่อศาลสั่งประทับฟ้องแล้ว จะมีคำสั่งให้หมายเรียกจำเลยมาให้การในวันนัดสืบพยานโจทก์ ซึ่งเท่ากับศาลอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การทั้งในส่วนอาญาและส่วนแพ่ง ในวันที่กำหนดนั้น จำเลยจึงไม่ต้องยื่นคำให้การแก้คดีภายใน  15 วัน  นับแต่ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยตามมาตรา ป.วิ.พ.มาตรา  177 (ฎ. 3906/36, 1042/20)

- คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา  เมื่อสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป คำขอในส่วนแพ่งย่อมตกไปด้วย ศาลต้องจำหน่ายคดี (ฎ. 1916/47,1547/29) เช่น กรณีคดีที่อัยการเป็นโจทก์ ฟ้อง เมื่อจำเลยตาย ก็มีผลทำให้คำพิพากษาของศาลล่างในส่วนให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ระงับไปด้วย  แม้ในคดีนั้นผู้เสียหายจะเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วยก็ตาม (ฎ. 3271/31)   แต่ถ้าผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องเอง เมื่อจำเลยตาย  คดีในส่วนแพ่งก็ต้องมีการรับมรดกความ  ตาม ป.วิ.พ.มาตรา  42

- คำสั่งไม่ประทับฟ้อง  จำเลยไม่อยู่ในฐานะจำเลย หมายถึงคดีส่วนอาญาเท่านั้น แค่ในคดีแพ่ง  ถือว่าผู้ถูกฟ้องมีฐานะเป็นจำเลยแล้ว (ฎ. 1881/19)

- สิทธิในการอุทธรณ์ หรือฎีกา ในคดีส่วนแพ่งนั้น ต้องพิจารณาจากทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ หรือฎีกา  ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224  และ 248  แล้วแต่กรณีดังเช่นคดีแพ่งทั่วไป แต่อย่างไรก็ดี ถ้าคดีส่วนแพ่งต้องห้ามอุทธรณ์ หรือฎีกา ในข้อเท็จจริง  แต่ในส่วนคดีอาญาไม่ต้องห้าม  การรับฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่ง ก็ต้องถือตามข้อเท็จจริงในส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ.มาตรา  46  (ฎ.3548/39)

- การที่ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องคดีอาญาที่มีคำขอในส่วนแพ่ง แล้วพิพากษายกฟ้องคดีส่วนอาญา   ก็ไม่อาจรับคดีส่วนแพ่งไว้พิจารณาพิพากษาได้  ศาลต้องสั่งไม่รับคดีส่วนแพ่งและคืนค่าธรรมเนียมแก่โจทก์ (ฎ. 3050/44)

 

การเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหาย( มาตรา 43-44)

-  พนักงานอัยการมีสิทธิเรียกทรัพย์สิน  หรือ ราคา แทนผู้เสียหายในความผิด เฉพาะ  9 ฐาน  คือ ลัก  วิ่ง ชิง ปล้น  โจร ยัก รับ กรร ฉ้อ   เท่านั้น  ( ความผิดยักยอกรวมเจ้าพนักงานยักยอกด้วย ฎ. 631/11  แต่ฐานฉ้อโกง ไม่รวมโกงเจ้าหนี้ ฎ. 392/06)    

- การเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืน  พนักงานอัยการ จะขอรวมไปกับคดีอาญา หรือจะยื่นคำร้องในขณะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นก็ได้   ( ถ้าศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว แม้คดีจะอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หรือฎีกา อัยการจะขอไม่ได้)  คำพิพากษาในส่วนแพ่งฯ ให้รวมเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา  (มาตรา 44) 

  -  ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา   147   แต่ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 148   โจทก์ไม่มีอำนาจขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์  (ฎ. 3793/30)

- ในความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ถ้าความผิดบทเบาเป็นความผิดที่ระบุไว้ในมาตรา  43  แต่ความผิดบทหนักไม่ใช่ความผิดตามมาตรา  43  ถ้าศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดทั้งสองบท ลงโทษบทหนัก ศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ได้ (ฎ. 255/31)   แต่ถ้าในความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท หากศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดบางฐานที่ไม่ใช่ฐานความผิดตามมาตรา  43  ส่วนฐานที่เป็นความผิดตามมาตรา  43  ศาลพิพากษายกฟ้อง ดังนี้อัยการไม่มีอำนาจเรียกทรัพย์หรือราคาแทนผู้เสียหาย (ฎ. 3530/43)

- ในบางกรณีแม้พนักงานอัยการจะไม่ได้ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดที่ระบุไว้  ในมาตรา  43  แต่ตามคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายความผิดตามมาตรา 43 รวมอยู่ด้วย  ดังนี้ อัยการฯ ขอให้เรียกทรัพย์หรือราคาแทนผู้เสียหายได้ (ฎ. 476/15)

-  ความผิดฐานตามมาตรา 149,157, 265  อัยการไม่มีสิทธิขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ (ฎ. 378/20)

- **ทรัพย์สินหรือราคาที่พนักงานอัยการจะเรียกแทนผู้เสียหายได้ จะต้องเป็น ทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำความผิด    ดังนี้ ในคดีฉ้อโกงแรงงานตาม ป.อ.มาตรา 344  ค่าแรงงานไม่ใช่ทรัพย์ที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำความผิด อัยการฯ จึงไม่มีอำนาจขอให้จำเลยใช้ค่าแรงงานที่ยังไม่จ่ายแก่ผู้เสียหาย (ฎ. 1051/10, 3303/31)

- ในคดีรับของโจร เงินที่ผู้เสียหายต้องเสียเป็นค่าไถ่ทรัพย์ให้จำเลย ไม่ใช่ทรัพย์หรือราคาทรัพย์ที่เสียไปเนื่องจากการกระทำความผิดฐานรับของโจร อัยการฯ จะขอเรียกเงินค้าไถ่ทรัพย์แทนผู้เสียหาย ไม่ได้  (ฎ. 942/07)

- เงินค่าเข้าอยู่โรงแรมก็เป็นเงินที่เจ้าของโรงแรมควรจะได้  ไม่ใช่ทรัพย์สินที่สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำความผิดตามมาตรา  345 (ฎ. 2197/16)

- จำเลยลักเอาหนังสือสัญญากู้เงินของผู้เสียหายไป ทรัพย์สินที่เสียไปคือหนังสือสัญญาเงินกู้ ไม่ใช่เงินตามสัญญากู้  ดังนี้พนักงานอัยการจะขอให้จำเลยใช้เงินตามสัญญาเงินกู้ไม่ได้ (ฎ. 40/08 ป.)

- เงินที่คนร้ายได้จากการขายทรัพย์สินที่ปล้นมา  มิใช่ทรัพย์สินที่ผู้เสียหายถูกปล้น  ศาลสั่งคืนให้ผู้เสียหายไม่ได้ (ฎ. 384/19)

- ในความผิดฐานฉ้อโกง ทรัพย์สินที่จะขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาได้ต้องเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการหลอกลวงเท่านั้น  ทรัพย์สินที่จำเลยได้มาภายหลัง ที่ไม่ใช่การหลอกลวงของจำเลย  อัยการฯ ย่อมไม่มีสิทธิขอให้คืนหรือใช้ราคาได้  คำขอของโจทก์ร่วมที่ขอถือเอาตามฟ้องของอัยการย่อมตกไปด้วย (ฎ. 3667/42)

- จำเลยหลอกลวงให้ผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศ ถือว่าเงินค่าตั๋วเครื่องบิน ที่ผู้เสียหายจ่ายให้จำเลยเพื่อให้ผู้เสียหายใช้เดินทางไปทำงานต่างประเทศ เป็นทรัพย์สิน ที่ผู้เสียหายสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง   แม้ผู้เสียหายจะใช้ตั๋วเครื่องบินเดินทางไปแล้วก็ตาม  อัยการฯ เรียกให้จำเลยคืนแทนผู้เสียหายได้ (ฎ. 5401/42)

- สลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกรางวัลแล้ว  มีราคาเท่ากับเงินรางวัลที่จะได้รับจึงถือว่าเงินรางวัลที่จะได้รับเป็นราคาทรัพย์ที่สูญเสียไปโดยแท้จริง  อัยการฯขอให้คืนเงินรางวัลได้ (ฎ. 772/20 ป.)

- **อัยการฯ มีสิทธิเรียกได้เฉพาะทรัพย์หรือราคาเท่านั้น  จะเรียกดอกเบี้ยไม่ได้  แต่ถ้าผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วม ด้วย  ถือได้ว่าผู้เสียหายได้เรียกดอกเบี้ยแล้ว  แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล (ฎ. 1976/05 ป.)

- ** แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นเพียงความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์ โดยจำเลยไมได้ทรัพย์ของกลางไป แต่ทรัพย์ของกลางสูญหายไปในขณะเกิดเหตุนั้น  ถือว่าผลของการกระทำผิดของจำเลย ทำให้ผู้เสียหายต้องสุญเสียทรัพย์นั้นไป  จำเลยจึงต้องรับผิดคืนหรือใช้ราคาทรัพย์นั้นแก่ผู้เสียหาย  (ฎ. 6624/45)

- คดีที่โจทก์บรรยายฟ้องจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร และให้คืนหรือใช้ราคาแทนผู้เสียหาย ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ความรับผิดทางแพ่งของจำเลยคงจำกัดเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดฐานรับของโจรเท่านั้น  (ฎ.  855/30 ป.)   และเมื่อจำเลยได้รับทรัพย์ที่รับของโจรคืนไปแล้ว ก็ไม่อาจบังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้โจทก์ได้อีก (ฎ. 3098/43)

-  ระหว่างพิจารณาโจทก์ร่วมแถลงติดใจให้จำเลยชำระหนี้บางส่วนเท่านั้น เมื่อจำเลยไม่ชำระ จำเลยต้องคืนเงินให้โจทก์เท่าที่แถลงเท่านั้น ไม่ใช่จำนวนตามคำขอท้ายฟ้อง เพราะถือว่าโจทก์ได้สละสิทธิเรียกร้องบางส่วนแล้ว (ฎ. 6916/42)

- แม้ศาลจะยกฟ้องคดีส่วนอาญา  ศาลยังมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายได้ (ฎ. 1039/16 ป.) เช่น อัยการโจทก์ฟ้องจำเลยฐานยักยอก  และให้คืนหรือใช้เงินที่จำเลยยักยอกแก่โจทก์ คดีส่วนอาญาศาลวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ไกระทำผิด แต่ศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ร่วมตามที่อัยการฯ ขอได้ (ฎ. 4881/39)  แต่ถ้าศาลพิพากษายกฟ้อง เพราะเป็นความรับผิดทางแพ่งล้วนๆ  กรณีมิใช่จำเลยได้ทรัพย์ไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย   และไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา   อัยการไม่มีสิทธิที่จะเรียกทรัพย์ได้ (ฎ. 3112/23)       

  -**  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับ  เช่น กรณีฟ้องโจทก์ขาดอายุความ (ฎ. 3746/42) หรือ ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์หรือยอมความ (ฎ. 1061/45)  หรือกรณีที่ผู้ต้องหาถึงแก่ความตาย (ฎ. 1547/29)   ซึ่งทำให้คำขอในส่วนแพ่งตกไปด้วย    อัยการฯ ไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหาย  แม้ผู้เสียหายจะเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วยก็ตาม (ฎ. 2567/26)

- แต่ถ้าเป็นกรณีที่ผู้เสียหายฟ้องคดีเอง เมื่อจำเลยตายคดีในส่วนแพ่งต้องมีการรับมรดกความ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา  42  (ฎ. 1238/93)

- ในส่วนการใช้ราคานั้น หากไม่ปรากฏว่ามีราคาเท่าใดศาลก็จะไม่สั่งให้ใช้ราคา (ฎ.2212/33)   ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลว่า ผู้เสียหายได้รับชดใช้ค่าเสียหายเกินกว่าราคาทรัพย์ไปแล้ว ศาลก็จะพิพากษาให้คืนหรือใช้ราคาอีกไม่ได้(ฎ. 6553/41)

-ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการฟ้องและมีคำขอส่วนแพ่งให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย ตามมาตรา 43   ถือว่าอัยการฯ ฟ้องคดีแทนผู้เสียหายด้วย   ดังนั้นถ้าคดีอาญายังไม่ถึงที่สุด ผู้เสียหายฟ้องจำเลยให้รับผิดในส่วนแพ่งอีก จึงเป็นฟ้องซ้อน ตามวิแพ่ง มาตรา  173(1)  ทั้งนี้ไม่ว่าในคดีอาญาผู้เสียหายจะเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วยหรือไม่ก็ตาม (ฎ. 3080/44) ถ้าคดีอาญาถึงที่สุดไปแล้ว คำฟ้องของผู้เสียหายก็เป็นฟ้องซ้ำ ตาม วิแพ่ง มาตรา  148 (ฎ. 1207/10, 4615/43)  แต่เป็นฟ้องซ้อนเฉพาะต้นเงินเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 12414/47 ป.)*** 

-***  มาตรา  44 วรรคสอง ที่ให้คำพิพากษาในส่วนเรียกทรัพย์สินหรือราคารวมเป็นส่วนหนึ่งแห่งคำพิพากษาคดีอาญา  ทั้งนี้โดยไม่จำกัดว่าทรัพย์นั้นจะมีราคาเท่าใด   ดังนี้คดีที่ฟ้องต่อศาลแขวง แม้ราคาทรัพย์สินที่เรียกจะมีราคามากน้อยเพียงใด ศาลแขวงก็มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำขอในส่วนนี้ได้ (ฎ. 180/90, 2952/27)

 

สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนของผู้เสียหาย  

 เป็นการให้สิทธิแก่ผู้เสียหายที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกาย ชื่อเสียง หรือได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สิน อันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย  โดยยื่นคำร้องเข้าไปในคดีอาญา โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีแพ่ง  

ข้อสังเกต

1. ให้สิทธิแก่ผู้เสียหายที่จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลย ผู้เสียหายที่ได้รับอันตรายแก่ ชีวิต ร่างกาย จิตใจ เสรีภาพ ชื่อเสียง และทรัพย์สิน  

2. ค่าสินไหมทดแทนที่ผู้เสียหายเรียกร้องนั้น  เป็นค่าสินไหมแทนเพื่อการละเมิด จึงต้องเป็นไปตาม       ป.พ.พ. มาตรา 438-448

3.  มาตรา 44/1  รวมถึงการขอให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาที่สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยด้วย  ดังนั้นถ้าอัยการขอตามมาตรา 43 แล้ว ผู้เสียหาย จะขอให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาที่สุญเสียไปอีก ไม่ได้

4. กำหนดเวลา ยื่นคำร้อง  ต้องก่อนเริ่มสืบพยานถ้าไม่มีการสืบพยานต้องก่อนศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดี    (ถือว่าคำร้องเป็นคำฟ้อง ตามวิแพ่ง  โดยผู้เสียหายอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่ง  จึงต้องแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหาย และจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่เรียกร้อง   และหากชนะคดี ถือว่าเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) 

 

คำพิพากษาในส่วนแพ่ง  (มาตรา 47) 

 ต้องเป็นไปตามความรับผิดทางแพ่ง โดยไม่ต้องคำนึงว่าคดีอาญาศาลจะพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดหรือไม่  เช่น กรณีที่ศาลยกฟ้องโจทก์เพราะฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์  ตาม วิ.อาญา มาตรา  158  ศาลก็มีอำนาจสั่งให้จะเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายได้ (ฎ. 2737/17)

- ถ้าศาลยกฟ้องเพราะเป็นความรับผิดทางแพ่งล้วนๆ  โดยไม่มีมูลความผิดทางอาญา มิใช่จำเลยได้ทรัพย์ไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อัยการฯไม่มีสิทธิที่จะเรียกทรัพย์ได้ (ฎ. 3112/23)

- ในกรณีที่คำขอส่วนแพ่งยังเป็นปัญหาอยู่  ศาลอาจให้ไปฟ้องร้องกันในทางแพ่งต่อไปก็ได้ (ฎ. 504-5/43) 


 --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


       ถ้าเปรียบกับการสอบเนติบัณฑิต กับการทำศึกสงคราม มีกลยุทธ์ 3 อย่าง ดังนี้
        - ท่องตัวบท   คือ อาวุธ ที่เรา สะสมไว้ ต่อสู้ ยิ่งท่องตัวบทได้มาก ก็ มีอาวุธ เก็บไว้สำรองมาก หยิบใช้เมื่อไรก็ได้
        - จดฎีกา       คือการ ศึกษาแผนการรบว่าสถานการณ์แบบใดเราควรจะใช้อาวุธแบบใด ยิ่งจดจำฎีกาไว้มาก ก็มีแนวการตอบข้อสอบได้ตรงจุด ตรงประเด็น ได้มาก และไม่โดนข้อสอบหลอกล่อให้หลงทา
        -  ล่าข้อสอบ   คือ การหัดซ้อมรบก่อน เข้าสู้ศึกสงครามสนามสอบจริง ยิ่งหัดทำข้อสอบมากเท่าใด ก็เป็นการสั่งสมประสบการณ์การหัดทำข้อสอบมากขึ้นทำให้ จับประเด็นและเขียนตอบได้เร็วและทันเวลา
           -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------     
     ขอแนะนำ !!

     ชุดรวบรวมเอกสารคำบรรยายเนติฯ สำหรับเตรียมสอบ ภาค 1/66 และ 2/65
    ++  กลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา ++  
      - ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวน 1/66 New !!
      -  ไฟล์เอกสารสรุปคำบรรยายเนติฯ 1/66 
      -  ไฟล์เอกสารประกอบคำบรรยาย 1/66 
      -  ไฟล์บทบรรณาธิการ 1/63-1/66 
      -  ไฟล์ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและ อาญา (สมัยที่ 56-65) 
      -  ไฟล์เอกสารทบทวนสรุปประเด็นน่สนใจ 1/66
      -  ไฟล์เอกสารรวมคำพิพากษาฎีกาใหม่ (พร้อมข้อสังเกตน่าสนใจ)1/66
      -   เทคนิคการเขียนคำตอบแบบถูกต้องที่สุด ตลอดจนเทคนิคการปรับบทกฎหมายต่งๆสำหรับทุกสนามสอบ (การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่ยฯ/อัยการ)
    ..................................................................................................................................................
    ++ กลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา ++ 
      - ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์ 
      - ไฟล์เอกสารสรุปคำบรรยายเนติฯ 2/65 
      - ไฟล์เอกสารประกอบคำบรรยาย 2/65 
      - ไฟล์บทบรรณาธิการ 2/63-2/65 
      - ไฟล์ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความ อาญา (สมัยที่ 56-65) 
      - เทคนิคการเขียนคำตอบแบบถูกต้องที่สุด ตลอดจนเทคนิคการปรับบทกฎหมายต่งๆสำหรับทุกสนามสอบ (การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่ยฯ/อัยการ)  
    ..................................................................................................................................................
     ค่ารวบรวม  :   ภาคละ 350.-บาท  (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี !! + แถมฟรี !! แผ่นรองเม้าท์) 
     หมายเหตุ   :   สั่งซื้อทั้ง 2 ภาค ค่ารวมรวมพิเศษ 650.- บาท (ส่ง EMS ฟรี !! + แถมฟรี !! แผ่นรองเม้าท์ + CD แบบร่างสัญญามากกว่า 400 แบบ (file word) + แบบฟอร์มศาล, แบบฟอร์มเ อกสารงานบุคคล,เอกสารงานบัญชีและภาษี) 

   ** สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ 085-801-0725, E-mail : siripit...@gmail.com **

 

Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages