<A HREF="http://www.thaijustice.com/webboard.asp?sub=0&id=1501710">สรุปคำบรรยายวิชากฎหมายอาญา มาตรา 209-287, 367-398 (ค่ำ) ครั้งที่ 1</A>
<A HREF="http://www.thaijustice.com/webboard.asp?sub=0&id=1509521">สรุปคำบรรยายวิชากฎหมายอาญา มาตรา 209-287, 367-398 (ค่ำ) ครั้งที่ 2</A>
<A HREF="http://www.thaijustice.com/webboard.asp?sub=0&id=1524883">สรุปคำบรรยายวิชากฎหมายอาญา มาตรา 209-287, 367-398 (ค่ำ) ครั้งที่ 3 -4</A>
ชั่วโมงที่ 5 วันที่ 22 มิถุนายน 2553
ก็มีการขอให้อธิบาย 223 ใหม่ ก็อธิบายสั้นๆ ว่าเป็นเรื่องลดอัตราโทษตาม 217 -218 220
ก็เป็นความผิดสำเร็จและพยายามด้วย ส่วน 217 - 222 ตาม 223 ทรัพย์ราคาเล็กน้อย เป็นการกระทำความผิดตาม 217 218 220 ก็จะบังคับตามมาตรานี้ การกระทำนั้น ไม่น่าจะเป็นอันตรายต่อบุคคลอื่นก็แยกตัวทรัพย์กับตัวบุคคล ก็ไปดูว่ามาตราไหน ตั้งแต่ 217 – 222 เกี่ยวกับเรื่องทำให้เกิดเพลิงไหม้ ส่วน 221 กับ 222 ก็เป็นเรื่องเห็นชัด เพราะฉะนั้นก็ไม่แยกตรงที่ว่าน่าจะเป็นอัตรายกับไม่น่าจะเป็นอันตราย ก็ยกตัวอย่างเรื่องที่จะกระทบ หรือไม่ ก็มีฏีกาประกอบว่าบ้านนั้นจะมีคนอยู่อาศัยอย่างไร บางครั้งก็มีราคามากสำหรับบางคน
วันนี้จะมาว่ากันต่อ 230 เคยเกริ่นว่ากฎหมาย บัญญัติว่าผู้ใดเอาสิ่งขวางทางรถไฟหรือทางรถราง ต้องระวางโทษ รถรางเด๋วนี้ไม่ค่อยเห็นแล้ว จนน่าจะเป็นเหตุอันตรายแก่รถไฟหรือรถราง นั่นคือองค์ประกอบภายนอก ส่วนเจตนาคือองค์ประกอบเจตนาธรรมดา ข้อสำคัญประการหนึ่งต้องเป็นเรื่องทางรถไฟหรือรถราง ตรงนี้เป็นผลของการกระทำ ก็มีประกอบกันต้องดู ส่วนน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายเป็นฏีกาประกอบการกระทำ ไม่เฉพาะเรื่องสัญญาณ เป็นพฤติการณ์ก่อการกระทำ ในมาตรา 230 ก็อาจจะเป็นเหตุ แต่การเอาท่อนไม้เล็กๆ จริงๆก็เป็นการกีดขวาง แต่ไม่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตราย แก่การเดินรถไฟหรือรถราง ก็ไม่เป็นความผิดไม่เป็นพยายามด้วยนะครับ เป็นเรื่องขาดองค์ประกอบความผิด ของกฎหมายเลยนะครับ ตัวอย่างฏีกาเก่าที่ว่าเป็นอันตราย ลักถอนเอาเครื่องเชื่อมต่อรถไฟไป เป็นความผิดตามมาตรานี้ และก็เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ด้วย เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท 198/2463 ยกตัวอย่างว่ามีความผิดอื่นแฝงด้วยนะครับ ก็มัดข้อเท็จจริงเรื่องลักทรัพย์ไว้เลย อาจจะบอกว่านาย ก ลักเอาเครื่องต่อเชื่อม คะแนนส่วนใหญ่ถ้าเป็นเรื่องนี้ก็เป็นเรื่อง ความผิดต่อประชาชน ส่วนลักทรัพย์ก็มีคะแนนน้อย แต่ถ้าไม่ตอบเลยก็ไม่ได้เลย
ถ้าถอดไม่สำเร็จก็เป็นพยายามได้นะครับ ต่างกับการกระทำที่ไม่น่าจะให้เกิดอันตราย เลย ที่บอกว่าลักทรัพย์ เป็นพยายามลักทรัพย์ได้ จากตัวอย่างฏีกานี้ ก็มีการอ่านฏีกาการวินิจฉัย ก็พอเป็นตัวอย่างได้
ต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 นั่นคือมาตรา 230 ต่อไปมาตรา 231 ผู้ใดกระทำด้วยการใดๆให้ประภาคาร สิ่งที่ทำให้การจราจรทางบก หรือ การเดินเรือ หรือ การเดินอากาศมาตรานี้เป็นเรื่องด้วยการใดๆ กว้างมากๆ องค์ประกอบหนึ่ง คือทำการใดๆ
สอง ให้ประภาคาร สิ่งอื่นใดที่ทำให้เป็นสัญญาณเพื่อความปลอดภัยในการจราจร ทางบก ทางเรือ หรือการเดินอากาศ
สาม อยู่ในลักษณะที่น่าจะเกิดอันตราย ก็เป็นความรู้สึกของคนทั่วไปไม่ใช่ของผู้กระทำ
ส่วนมาตรา 232 กระทำด้วยการใดๆให้ยานต่อไปนี้น่าเกิดอันตรายแก่ตัวบุคคล ข้อหนึ่ง
อากาศยาน เรือกลไฟ หรือ เรือยนต์ตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ซึ่งได้แก่อนุมาตราหนึ่ง เรือเดินทะเล รถไฟหรือรถราง
เรือกลไฟหรือเรือยนต์ตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป
ในลักษณะที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายหรือบุคคล ยานพาหนะตามอนุมาตราหนึ่ง จะมีข้อสังเกตคือ ต่างจากอนุมาตราสองสาม คือไม่ต้องถึงขนาดขนส่งสาธารณะ เพราะอย่างไรก็ร้ายแรงในตัวของตนเองอยู่แล้ว ถ้าเกิดอันตรายจริงๆ ความสูญเสียมันมากมายอยู่ในตัวอยู่แล้ว
ต่อไป 233 คือใช้ยานพาหนะรับจ้างขนส่งโดยสาร เมื่อน่าจะเกิดอันตราย
ใช้ยานพาหนะรับจ้างขนส่ง แล้วน่าจะเกิดอันตราย องค์ประกอบภายในคือ เจตนาธรรมดา การขนส่งก็เป็นการมีบำเหน็จค่าจ้าง แต่ไม่ต้องถึงกับเป็นการค้าปกติในเรื่องรับขน เป็นเรื่องขนส่งโดยรับจ้าง ก็พอแล้ว ยานพาหนะตามมาตรานี้ พฤติการณ์ประกอบการกระทำ คือ มีการบรรทุก ในยานพาหนะนั้น
ตัวอย่างลักษณะ พวงมาลัยหลวม ยางไม่มีดอกยาง บรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายต่อบุคคล
พวกต่างๆเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่ผู้ใช้ยานพาหนะต้องรู้ พิจารณาจากความคิดความรู้ของคนทั่วๆไปอัตราบรรทุก อาจจะไม่น่าจะเป็นอันตราย อันนั้นเป็นเพียงเหตุผลประกอบ
ไม่ถึงเป็นอันตรายทันทีต้องดูเป็นเรื่องๆไป ยกตัวอย่าง 1073/2464 เพียงแต่บรรทุกคนโดยสารในเรือเกินอัตรา แต่ไม่เพียงผิดธรรมดาก็ไม่เป็นการผิด 153/2506 บรรทุกเกินกำหนด ในใบอนุญาต ขึ้นนั่งบนหลังคา ที่มีน้ำแข็งก้อนใหญ่เกินสิบก้อน เป็นการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตราย
จริงๆแล้วฏีกานี้ จำเลยขับรถไปได้ตั้งสามสิบกิโลเมตรโดยไม่เกิดอันตรายใด แต่ขับเร็วเกินจนคนได้สารได้รับอันตรายสาหัส
ก็เป็นเรื่องการกระทำโดยประมาท นอกจากนี้
บุคคลที่มากับยานพาหนะตาม 233 ไม่จำกัดเฉพาะผู้โดยสาร แต่ต้องน่าจะเป็นอันตรายต่อตัวบุคคลประจำยานพาหนะนี้ ดังนั้นอาจเป็นกระเป๋ารถก็ได้ ไม่ต้องเป็นผู้โดยสารก็ได้
ไม่รวมตัวผู้ใช้ยานพาหนะเองที่เป็นผู้กระทำผิด
อีกตัวอย่างหนึ่ง จำเลยที่สองถึงจำเลยที่สี่เป็น คนซื้อเรือเอี่ยมจุ้น ใช้ในการท่องเที่ยว จำเลยที่สองมีหน้าที่ติดต่อขอซื้อเรือ จำเลยที่สามติดต่อจดทะเบียน จำเลยที่สี่มีหน้าที่ออกแบบเรือ และได้จ้างจำเลยที่หนึ่งขนคนโดยสาร จึงเป็นตัวการร่วมกัน ผิด 233 แม้เรือยังไม่พลิกคว่ำและยังไม่มีผู้ใดเสียหายก็ตามเพราะการน่าจะเป็นอันตราย แม้ยังไม่มีความเสียหายก็เป็นการผิดสำเร็จ
เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ใช้ยานพาหนะ น่าจะเป็นอันตรายก็เป็นตัวการร่วมก็เป็นความผิดสำเร็จด้วย เทียบกับฏีกานี้ดูครับ คือ 1281-2/2538 เทียบกับฏีกานี้ดู 7547/2542 ศาลฏีกาวินิจฉัยว่า คล้ายๆกัน จำเลยที่สองถึงจำเลยที่สี่ ร่วมกันซื้อเรือเอี่ยมจุ้นมาต่อเติมดัดแปลงเพื่อใช้ในกิจการท่องเที่ยว โดยจำเลยที่สองมีหน้าที่ยื่นขอใบอนุญาติต่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จำเลยที่สามมีหน้าที่จัดหาผู้โดยสารเรือ จำเลยที่สี่ มีหน้าที่ออกแบบและต่อเติมเรือ และได้จ้างจำเลยที่หนึ่งขับเรือดังกล่าว ซึ่งมีลักษณะน่าจะเป็นอันตราย จึงเป็นตัวการร่วม ผิด 233 ประกอบ 83 เมื่อการกระทำนั้นเป็นเหตุให้คนตายก็ผิด 238 วรรคแรกไม่ผิด 291 เปรียบเทียบสองฏีกานี้ดู จะเห็นชัดเจนขึ้น
เรื่องมาตรา 83 ฟ้องไม่จำเป็นต้องร่วมกันบรรยายในการขอท้ายฟ้อง แต่ในคำพิพากษานั้น ต้องเขียนด้วย ถ้าไม่เขียนไม่ชอบ
ก็ยังโต้แย้งโต้เถียงกันอยู่ ถ้าตอบข้อสอบว่าเป็นตัวการตอบมาตรา 83 ด้วยก็จะสมบูรณ์
ต่อไป 234
ผู้ใดกระทำด้วยการใดๆ ต่อสิ่งที่ใช้ในการผลิต ส่ง พลังงาน จนเป็นเหตุให้ประชาชนขาดความสะดวก หรือ น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
กระทำด้วยการใดๆ ต่อสิ่งที่ใช้ในการส่งพลังงานไฟฟ้า หรือโรงไฟฟ้าย่อย หรือในการส่งน้ำเช่นการชลประทาน ข้อสามจนเป็นเหตุให้ประชาชนขาดความสะดวก หรือ น่าจะทำให้เกิดอันตรายแก่ประชาชน ส่วนองค์ประกอบภายในคือเจตนาธรรมดา
เช่นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เครื่องผลิตน้ำประปา หรือ น้ำที่ใช้ในการชลประธานจนเป็นเหตุให้ประชาชน ขาดความสะดวก เช่น พลังไฟฟ้าตก ทำงานที่ใช้ไฟฟ้าไม่ได้
น่าจะเกิดอันตรายต่อประชาชน ก็เป็นพฤติการณ์ประกอบการกระทำ
235 ผู้ใดทำให้การสื่อสาร สาธารณะขัดข้อง
แยกได้ดังนี้
1. กระทำประการใดๆ 2. ทำให้การสื่อสารสาธารณะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ไปรณียร์ โทรเลข โทรศัพท์ วิทยุ
3.เจนาธรรมดา การกระทำไม่จำกัดวิธีการ แต่ดูที่ผล
ยกตัวอย่างตัดสายโทรเลข สายโทรศัพท์ ส่งเคลื่อนวิทยุรบกวน
แต่ต้องไม่ใช่สายโทรศัพท์บ้านของเอกชนส่วนตัว
ต่อไป 236
นานๆจะออกสอบสักที
องค์ประกอบภายนอกมีสองการกระทำความผิด แยกเป็น
1.การกระทำความผิดที่หนึ่งองค์ประกอบภายนอกคือ ปลอมปน อาหารยาหรือเครื่องอุปโภคบริโภค การปลอมนั้นน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ
เจตนาคือเจตนาธรรมดา กับเจตตาพิเศษ ก็เพื่อให้เขาเสพ เขาใช้
ส่วนความผิดที่สอง คือ จำหน่ายหรือเสนอขาย อาหาร ยา หรือเครื่องอุปโภคบริโภคที่ถูกปลอมปน จนน่าจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ องค์ประกอบภายในคือ เพื่อให้บุคคลอื่นเสพหรือใช้ เสนอขายหรือจำหน่ายอาหารยาที่ถูกปลอมปนแล้ว อาหารก็ที่รุ้ทั่วไป ยาใช้รักษาโลก เครื่องอุปโภคบริโภค ก็น่าจะเป็นเครื่องกินเครื่องใช้ต่างๆ สุราเหล้าเบียร์ ปลอมปน ก็คือทำให้ไม่บริสุทธิ์
64/2465 ไม่ถึงขนาดปลอมให้หลงเชื่อว่าเป็นของจริงหรือของแท้ สิ่งที่ปลอมปนไปไม่จำเป็นต้องเป็นยาพิษหรือยาเบื่อเมา เอาปลอมปนไปก็เข้ามาตรานี้ แต่จริงๆแล้ว 236 ก็รวมเอาของมีพิษหรือน่าจะเป็นอันตรายอยู่ด้วย พฤติการณ์ประกอบการปลอมปน ก็คือ น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ
ถ้าเป็นเรื่องของมีพิษ ร้อนคอ อาเจียนอ่อนเพลีย เมาวิงเวียนไม่ทำให้ป่วยเจ็บ ยาแรงๆ ไปปลอมให้ยาอ่อนลงเช่นยาแก้อักเสบมีฤทธิ์แรงสักพันกรรม ก็ทำให้เหลือสัก 5 มิลลิกรรมไม่ผิดตามมาตรานี้ หรือที่ว่าร้อนคออาเจียน อ่อนเพลีย พวกนี้ก็มาจากฏีกาทั้งนั้นนะครับ
ความผิดที่สอง จำหน่ายหรือเสนอขาย จำหน่ายไม่ถือว่าขายอย่างเดียว อาจเป็นแลกเปลี่ยนให้ เสนอขายก็คือขายเอาเงิน การจำหน่ายหรือเสนอขายสิ่งที่เสื่อมคุณภาพ ซึ่งน่าจะเป็นอันตรายขึ้นเอง เอาของบูดเอง ก็ไม่ผิดตามมาตรานี้
การจำหน่ายการเสนอขายในความผิดที่สอง ใครจะเป็นคนปลอมปน คนที่เสนอขายก็ผิดทั้งนั้น
ดูเจตนาตามมาตรา 59 ที่จะปลอมปน เสนอขาย
และเจตนาพิเศษ คือ ให้บุคคลอื่นเสพหรือใช้สิ่งที่ปลอมปนนั้น
มาตรานี้ไม่เกี่ยวกับ สัตว์ ให้เฉพาะคนเท่านั้น ถ้าเกิดทำขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองเสพหรือใช้ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ก็คือบุคคลอื่นไม่ใช่ตัวเอง
บุคคลอื่นยอมให้กระทำเพื่อเอาไปเสพหรือใช้ไม่เป็นเหตุยกเว้นความผิดของผู้กระทำเพราะไม่ใช่ความยินยอมที่ชอบด้วยธรรมจรรยา แต่ถ้าปลอมปนเพื่อตนเองเสพ แต่มีบุคคลอื่นมาเสพด้วย ต้องดูนะครับ ว่าจะเป็นความผิดตามมาตรานี้หรือไม่
64/2465 วินิจฉัยว่า ช กับ ท เอา ยาเบื่อใส่ในแกง ท กิน แกงตาย ช มีความผิดฐานนี้ เพราะปลอมปนให้ ท กิน แต่ไม่มีความผิด ฐานฆ่าคน เพราะ ท กิน แกงนั้นเอง
นี่เป็นความยินยอม
884/2547 น่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ผู้ที่เป็นยาพิษอย่างแรงต้องเป็นการแสดงเจตนาแล้ว ว่าจะตาย
การจำหน่ายหรือเสนอ กระทำต่อคนอื่น แต่ไม่แน่ว่าใครจะเสพหรือใช้ไม่สำคัญ ถ้าเอาไปจำหน่ายเพื่อให้เสพหรือใช้ ก็ผิดแล้ว เพราะฉะนั้นคำว่าเพื่อก็ผิดแล้ว
2143/2536 วินิจฉัยว่า จำเลยเอายาเบื่อหนูใส่ในโอ่งน้ำของผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายทราบเสียก่อน จำเลยผิด 236 และ พยายามฆ่า 288 ประกอบ 80 ให้คงโทษบทหนักตาม 90
จริงๆเรื่องนี้เป็นเรื่องไตร่ตรองไว้ก่อนด้วย แต่ว่าในฟ้องไมได้ฟ้องมา
โอ่งน้ำ จะเป็น 237 ด้วยหรือไม่ ก็น่าจะเป็นได้ แต่ที่ไม่ผิดตาม 237 เพราะตามฏีกานี้ไม่ใช่น้ำที่มีอยู่หรือจัดไว้ให้ประชาชนบริโภค
ส่วนมาตรา 237 มาตรานี้เมื่อแยกองค์ประกอบ องค์ประกอบภายนอก เอาของที่มีพิษหรือน่าจะอันตรายต่อสุขภาพเจือไป
ในบ่อสระ น้ำนั้นเพื่อประชาชนทั่วไป ถ้าไม่ใช่เพื่อประชาชนบริโภคไม่เข้ามาตรานี้
มาตราที่สอนมันก็จะค่อยๆผิดมากขึ้นทีละนิดๆ
ชั่วโมงที่ 6 วันที่ 29 มิถุนายน 2553
วันนี้ก็มาว่ากันต่อ 238 ซึ่งจะไปพร้อม 224 สองมาตรานี้เป็นบทให้ผู้กระทำผิดตาม 217 218 221 222 226 ถึง 237 ต้องระวางโทษหนักขึ้นโดยอาศัยผล ถึงตายหรือรับอันตรายสาหัส
ส่วน 238 เป็นเรื่องทำผิดตาม 226 เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ถ้าเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามวรรคสอง ลักษณะบทบัญญัติคล้ายกัน กระทำมาตราต่างๆจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือรับอันตรายสาหัส
ดูจะเห็นว่า ไม่รวมมาตรา 220 เข้าไปด้วย เพราะว่าเป็นเรื่องรับโทษ ไม่มีความผิด เพราะฉะนั้นกฎหมายไม่รวม 220 วรรคสองด้วย จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 63 นั่นเอง เพราะฉะนั้นจะเป็นความผิดฐานฆ่าคนตายตรงนี้แยกออกจากกัน แต่ ไม่ใช่เรื่องประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผล เป็นความผิดฐานฆ่าคน ทำร้าย หรือ ทำอันตรายสาหัส
แล้วก็ แทบกับฏีกาเดิม 1412/2504 อธิบายแล้วในเรื่องจุดไฟเผา แล้วมีชาวบ้านสมัครใจช่วยดับเพลิง ที่อธิบายในเรื่องวางเพลิงเผาทรัพย์ ชาวบ้านสมัครใจช่วยดับเพลิง ถูกไฟลวก ตายเพราะการวางเพลิงเอง ไม่ได้เผาแล้วเป็นเหตุ เหตุแห่งการตายต้องเกิดจากการจุดไฟเผาตึกแถว ความตายไม่ได้เกิดจากการกระทำของ ฮ
เปรียบเทียบกับ 64/2465 สมัครใจเข้าไปดับไฟเอง ไม่ได้สมัครใจเข้าไปตาย
ก็เป็นผลตามธรรมดาตามมาตรา 63 ต่างกับ ฟ เข้าไปสมัครใจ ทำให้ไฟลวก จะต่างกันตรงที่ว่าข้อเท็จจริงเพราะนาย ท รู้อยู่แล้วว่ามียาเบื่อในแกง ส่วนนาย ฟ เข้าไปดับไฟ ไม่ใช่ไปให้ไฟไหม้ตาย เพราะฉะนั้นความผิดไม่เหมือนกัน ก็วินิจฉัยว่า ฟ ถูกไฟลวกเป็นผลตามธรรมดาหรือไม่ เช่นนาย ฟ เป็นธรรมดาหรือไม่ ศาลฏีกาก็ไม่ได้พูดถึงและวินิจฉัยไว้ จากตัวอย่างดังกล่าวถ้าเปลี่ยนตัวละครจากชาวบ้านธรรมดาเป็นพนักงานดับเพลิงที่เขามีหน้าที่ที่จะต้องเข้าไปดับเพลิง
ผู้วางเพลิงก็ต้องรับโทษฐานทำให้ผู้วางเพลิงตาย แม้พนักงานดับเพลิงจะสมัครใจเข้าดับเพลิงเอง หน้าที่ของบุคคลธรรมดากับ ทำให้เปลี่ยนไป ยกตัวอย่างให้เห็น อีกฏีกาหนึ่ง 501/2498
จุดไฟเผา นาย คตาย ผิดฐานวางเพลงทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 153/2506
รถคว่ำคนตาย เกิดจากขับรถเร็วแม้จะบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตราย
7547/2542
1281/2538
เรือเอี่ยมจุ้น ไม่ใช่เรื่อง 291 ก็เป็นเรื่อง กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2793/2543 นี่คือ 224 กับ 238 ต่อไปตาม 239 เป็นบทที่ทำให้ผู้กระทำการ ตาม 236 – 237 เป็นการกระทำโดยประมาทำให้ต้องรับผิด ถ้าได้กระทำดังกล่าวเป็นการกระทำโดยประมาท และใกล้ถึงชีวิต ใกล้จะเป็นอันตราย ไม่ต่างกัน
ทำกล้วยบวชชีขาย คนกินแล้วเมา แสดงว่ามียาเบื่อเมา แต่ไม่ได้ความว่าใส่ไป เป็นหน้าที่ของคนทำขนมต้องระวังตามสมควร ก็ถือว่ามีความผิดตามมาตรานี้
760/2468 ท้ายเรือยนต์บรรทุกคนโดยสารเกินอัตรา วินิจฉัยว่าเพราะเรือล่ม ทำให้คนตายโดยประมาท ไม่มีเหตุพิเศษอย่างใดเกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นความประมาทของนายท้ายเรือ
ท่านอาจารย์จิตติ หมายเหตุว่าเป็น 238 ด้วย แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องฐานนี้
จริงๆแล้วอาจเป็นตาม 233 การบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตราย
824/2499 เรือยนต์เสีย ใช้เรือหลงจู้ แต่ ผู้ที่ขัดท้ายประมาท ทำให้ชนสะพานข้ามคลอง สะพานชำรุด เป็นอันตราย แก่การไปมา ก็เป็นความผิดฐานนี้ ความผิดลักษณะ 6
ความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลง
หมวดหนึ่งก็ เงินตรา แล้วก็ดวงตรา แสตมป์
และก็มาเรื่องปลอมเอกสาร ซึ่งเป็นมาตราที่สำคัญที่สุด
วันนี้ขึ้น 240 ก่อน ไปไวสักนิดจะไปเน้นในเรื่องเอกสารจะดีกว่า
ปลอมเงินตรา
มีหลายชนิด ทำความผิดตามมาตรานี้ ถือว่าเลยนะครับ
แยกคือ ผู้ใดทำปลอมขึ้น ซึ่งเงินตราหรือพันธบัตรรัฐบาล หรือใบสำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันทบัตร
องค์ประกอบภายในคือเจตนาธรรมดา
และ เจตนาพิเศษเพื่อเป็นเอกสาร นี่คือเจตนาพิเศษซึ่งไม่ต้องการผลนะครับ เงินตราตามมาตรานี้ก็คือเอกสาร พันธบัตร ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
รัฐบาลในที่นี้ หมายถึงรัฐบาลไทยเท่านั้นนะครับ
หากเงินตราหรือพันธบัตรรัฐบาลเลิกใช้ไปแล้วไปปลอมก็ไม่ผิด
เหรียญกษาป ก็คือเหรียญที่เอาไปหยอดตู้ต่างๆ
ทำปลอมขึ้นก็คือตั้งใจทำให้เหมือนของจริง ส่วนวัตถุที่ใช้จะเหมือนกันหรือไม่ก็ไม่สำคัญ
241 แปลงเงินตรา แปลงให้ผิดไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นเหรียญกษาป หรือธนบัตร หรือ พันธบัตร ให้ผิดไปจากเดิม
ปลอมตั้งใจทำให้เหมือนของจริง
ส่วนแปลงคือทำให้ผิดไปจากเดิม เจตนาพิเศษ ก็คือให้ผู้อื่นเชื่อว่าเป็นของจริง ต้องกระทำกับเงินตราที่แท้จริงของรัฐบาล
เจตนาพิเศษที่ว่าคือเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่าราคาสูงขึ้นจริง
ต่อไป มาตรา 242 กระทำโดยทุจริต ให้เหรียญกษาปซึ่งรัฐบาลออกใช้มีน้ำหนักลดลง
วรรคสอง เป็นการนำเข้าราชอาณาจักร ซึ่งเหรียญกษาป ที่น้ำหนักลดลงนั้น ส่วนวรรคสองก็เป็นเรื่องผู้ใดนำเข้าราชอาณาจักรหรือนำออกใช้หรือมีไว้ เพื่อเจตนาดังกล่าว
เงินตราชนิดอื่นๆไม่รวม บางทีเราเห็นว่ารัฐบาลทำเหรียญ ที่มีมูลค่าสูง เจาะออกทำให้น้ำหนักลดลง แม้ความผิดสำเร็จไปจากเดิม พอน้ำหนักลดลง แม้นำ โลหะชนิดอื่นเข้าไป ก็ไม่สำคัญ พึงระลึกเสมอว่า ถ้าเจาะ หรือทำให้น้ำหนักลดลง เหรียญเงิน หรือ บาท ก็จะไปให้ร้านเงิน ต่อห่วงให้ ไม่ใช่ทำให้น้ำหนักลดลง แต่เพื่อทำเป็นเครื่องประดับ
น้ำหนักที่ลดลงไปต้องดูเจตนาด้วย
ในกรณีที่มีคนเจาะอยู่ก่อนแล้วแล้วไปอุดรู เพิ่มน้ำหนักเพื่อพลางว่าเป็นเหรียญดีก็ไม่ผิดตามมาตรานี้
แต่ถ้าเงินที่ถูกเจาะไปนั้นเจาะไปจนใช้ไม่ได้เลย ไม่เป็นเหรียญกษาปที่ใช้ได้แล้ว นายแดงไปทำให้ครบถ้วนก็เป็นเรื่องปลอมเงินตราเลยนะครับ ข้อเท็จจริงเปลี่ยนไปก็เป็นความผิด ใช้เหรียญนั้นเป็นมูลค่าเดิม เมื่อเจาะเหรียญเป็นเครื่องประดับ ก็ไม่ได้เอาไปใช้อย่างเงินตราก็ผิดตามมาตรานี้ มีไว้เพื่อนำออกใช้ ถ้าเก็บไว้เป็นตัวอย่างก็ไม่ผิดตามมาตรานี้
ต่างกับ ขณะที่ได้มา ถ้าได้มาแล้วรู้ว่าเป็นเหรียญกษาปถึงทำผิดตามวรรคแรก รู้แล้วนำออกใช้หรือมีไว้เพื่อนำออกใช้ผิดตามวรรคสองแล้ว ไม่ใช่ความหมายของ
ก็คือนำมาซึ่งเงินตราปลอม ซึ่งรู้เป็นของปลอมของแปลง มีเจตนาอยู่แล้วก็ต้องรู้ด้วย นี่เรื่อง 244แล้วนะครับ และ 243 นำซึ่งราชอาณาจักร เงินตราปลอมหรือเงินตราแปลง
มีไว้เพื่อนำออกใช้ปัญหาว่า ต้องขัดหรือไม่ เมื่อเอามาใช้เงินตราปลอมจริงๆแล้วก็ผิดตั้งแต่มีไว้เพื่อนำออกใช้ ยังไงก็ต้องมีไว้ก่อน เพื่อนำออกใช้นั่นเอง เพราะฉะนั้น การใช้ เงินตรา จนรู้ว่าได้มาของปลอมก็เป็นความผิด ถ้านายแดงปลอมเงินตราใช้ซื้อของ ผิด 248 244 หรือไม่ ในมาตรา 248 เพื่อนำออกใช้ เป็นเจตนาพิเศษ เกิดขึ้นเมื่อใดความผิดเกิดเมื่อนั้นไม่จำเป็นต้องเกิดจากการกระทำ ไม่ถือว่ามีเจตนาพิเศษ เมื่อมีเจตนาพิเศษเพื่อนำออกใช้แล้ว
1655/2503
143/2527
2484/2530
476/2542 วินิจฉัยว่าผู้ที่ทำธนบัตรปลอมของรัฐต่างประเทศไปแลกธนบัตรไทย เป็นเรื่องใช้ธนบัตรปลอม 244 + 247
แสดงว่าจำเลยไม่มีพิรุธอะไรเลย ฏีกานี้ก็วินิจฉัยอย่างนั้น ควรจะเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่ คือ ถ้ารู้จะได้หลบหนีได้ทัน ภายในระยะเวลา 13 ชั่วโมง แลกได้ก็ไม่หนีไปไหน เจ้าหน้าที่รับแลกเปลี่ยนก็บอกว่าดูไม่ออกเป็นตัวอย่างที่ดี
ต่อไปมาตรา 245 เงินตราปลอมหรือแปลง คือได้มาไม่รู้แต่ต่อมารู้แล้วนำออกใช้
มารตรา 246 ทำเครื่องมือ หรือวัตถุปลอมหรือแปลงเงินตรา หรือมีเพื่อใช้ในการปลอมหรือแปลง นี่หมายถึงผู้ทำเครื่องมือ หรือ มีเครื่องมือ ส่วนเจตนาพิเศษคือเพื่อใช้ในการปลอมหรือแปลง นี่คือความผิดส่วนแรก ก็คือเจตนาธรรมดาในการครอบครองวัตถุเช่นว่านั้น ส่วนเจตนาพิเศษคือ เพื่อความผิดของมาตรานี้ อยู่ที่การทำกับการมี ในที่นี้คือยึดถือครอบครองไว้ 244
1969/2545 วินิจฉัยว่า บุคคลอื่นนำเครื่องมือทำเงินตราปลอมไปทำเงินตราปลอมในบ้านจำเลย ถือว่าจำเลยมีความผิดตาม 246 แล้วกล่าวคือมีเครื่องมือเพื่อใช้ในการปลอมเงินตราแล้ว
ยังไม่เหมือน ก็คือเอามาปลอม คนอื่นก็ยึดถือครอบครองก็ผิดฐานมี เครื่องพิมพ์ธนบัตรปลอมแม้ขาดอุปกรณ์บางอย่าง แต่ถ้าแค่เอาอุปกรณ์บางอย่างมาประกอบแล้วก็พิมพ์ได้ ก็ถือว่า ทำหรือมีแล้ว ก็ผิดแล้วก็ผิดตาม 246แล้ว 744/2521 เจตนาพิเศษก็เพื่อการปลอมหรือแปลง จะใช้เองหรือคนอื่นใช้ก็ไม่สำคัญ ต่อไปก็คือเรื่องเหรียญธนบัตร ความรับผิดของรัฐบาลต่างประเทศก็ต้องรับผิดกึ่งนึงของโทษที่บัญญัติในมาตรานั้นๆ
1106/2511
อันนี้คือมีเพื่อนำออกใช้ก่อนใช้ก็คือมีไว้เพื่อใช้ แม้ต่อมารัฐต่างประเทศยกเลิกธนบัตรชนิดนั้นก็ไม่เป็นความผิดใดๆ 4103/2541
เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษบทหนัก เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ซึ่งเป็นบทหนักวิธีเขียนก็คือทั้งแดงผิด 244 247 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทที่หนักสุดตามมาตรา 90
วิธีเขียนคำตอบพอเจอแบบนี้ก็ไม่ได้บัญญัติโทษไว้โดยตรง กึ่งหนึ่งของธนบัตรรัฐไทย
ชั่วโมงที่ 7 วันที่ 6 กรกฏาคม 2553
วันนี้เราจะมาเริ่มต้น 248 คล้ายๆกับปลอมเอกสาร คือ ถ้าผู้กระทำผิด 240 241 247
ก็คือเป็นเรื่องปลอมหรือแปลงเงินตราแล้วได้ทำผิดอื่นในหมวดนี้ก็ให้ลงโทษฐานปลอมหรือแปลง หรือ 247 เพียงกระทงเดียว
กระทงกับกรรมความหมายเดียวกัน ต่างกับบท บางท่านสับสนเรื่องกระทงเรื่องกรรมแยกให้ออก ความหมายกระทง ก็เช่นเดียวกับกรรมนั่นเอง ซึ่งแต่และกรรมที่ทำความผิดก็อาจเป็นกรรมเดียวหลายบทได้ ตัวอย่างในเรื่องนี้เช่น นายแดงปลอมเงินบาท ถ้าปลอมก็ผิด 240 ถ้าใช้ซื้อของก็ผิด 244 จริงๆต่างกรรมต่างวาระตาม 91 ต้องลงโทษแต่ 248 บัญญัติยกเว้น
มีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งรวมถึงใช้ด้วย ความผิดตามมาตราอื่นต้องเป็นเรื่องที่ตนทำ ถ้านายแดงปลอมเงินบาทก็ผิด 240 แต่นำเงินบาทออกไปซื้อของ ก็ผิดอีกกระทงต่างหาก ไม่เข้า 248
เพราะจะเป็นเรื่อง 248 ต้องเป็นเรื่องใช้ของที่ตนปลอมขึ้น
1969/2509
จำเลยสนับสนุนให้ผู้อื่นปลอมเงินตรา นอกจากนั้นยังมีเครื่องมือในการปลอม แต่ผลของ 248 ให้ลงโทษบทเดียว ก็จะไปขยายความผู้ลงมือกระทำรวมถึงผู้สนับสนุนก็น่าจะขยายความเป็นผู้ใช้ด้วย
2846/2506
ทำเงินตราปลอมผิด 240 มีเครื่องทำเงินตราปลอมผิด 246 และมีไว้เพื่อออกใช้ด้วย ก็ลงโทษ ฐาน ปลอมฐานเดียว
จริงๆแล้วผิดสามกระทงก็ให้ลงโทษกระทงเดียว ตามตัวบทกระทำความผิดตามมาตราอื่นๆอันเกี่ยวกับสิ่งที่ตนปลอมหรือแปลงนั้น ก็ต้องเกี่ยวกับสิ่งที่ตนปลอมหรือแปลงจะเป็นผิดแต่ละกระทงไม่เข้า 248 ต้องรวมทุกกระทง
กรณีปลอมเหรียญห้า มีเครื่องมือเครื่องใช้ปลอมเหรียญสิบ ต่างกระทงเลยนะครับ
ต่อไป 249 ทำเลียนแบบเงินตรา
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามพันบาท ปลอมทำให้เหมือนของจริงแปลงแก้ไขให้เหมือนของแท้ ส่วนเลียนก็คือทำให้คล้าย
เมื่อแยกคือ 1. ทำให้มีลักษณะคล้ายคลึงเงินตรา องค์ประกอบภายในคือเจตนาธรรมดา จำหน่ายบัตรหรือโลหะธาตุ เป็นการจำหน่ายหรือนำออกใช้ ไม่ต้องทำเพื่อให้เหมือนของจริง ทำเลียนเพื่อทำให้คล้าย 332/2503
ทำให้คล้ายในการเลียนหรือทำมากยิ่งกว่าคล้าย อาจเป็นเรื่องปลอม ซึ่งไม่ผิดตาม 240 เพราะฉะนั้นทำให้คล้ายอาจไม่เหมือนของจริงอาจเป็นเรื่องปลอมเลย ถ้ามีเจตนาทำให้คล้ายแต่ไม่คล้ายเป็นการกระทำผิด เลียนเงินตรา
มาตรา 252 เอาไปใช้อย่างดวงตราหรือ รอยตราที่แท้จริง มาตรา 253 ผู้ใดได้มาซึ่งดวงตราหรือรอยตรา อันแท้จริงและใช้ดวงตราหรือรอยตรานั้นโดยไม่ชอบ ต้องระวางโทษ 2 ใน 3 ส่วน นั้น เอาไปใช้โดยมิชอบ จะมาผิดตาม 253 พูดง่ายๆคือใช้ดวงตราหรือรอยตราของจริงโดยไม่ชอบ องค์ประกอบภายในคือเจตนาธรรมดา ตัวอย่างปนๆ กับเรื่องปลอมเอกสาร จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ชำระค่าภาษีรถยนต์ ใบเสร็จรับเงินถือเป็นเอกสารสิทธิ ทำปลอมอย่างนี้แล้วจำเลยบังคับก็เป็นการใช้ดวงตราโดยไม่ชอบ แต่ว่าจุดประสงค์คือไม่แยกการกระทำ ก็เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทไม่ใช่หลายกรรมต่างกัน
ก็ไปดูระวางโทษ 2 ใน 3 ก็คือ แปดเดือนหรือ 4 ปี ต้องดูโทษมาตรานี้ ให้เป็นตัวอย่าง อีกตัวอย่างหนึ่ง เจ้าพนักงานตำรวจ มีเลขฉบับที่หรือเลขที่ ออกประทับตราเพื่อให้เห็นว่าเป็นใบเสร็จที่แท้จริง แต่ไม่ใช่เอกสารสิทธิ กับความผิดฐานใช้ดวงตราโดยไม่ชอบ กับ เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ 1921/2522
ปลอมเอกสาร ใช้ดวงตราโดยไม่ชอบ ใกล้เคียงกับฏีกาเมื่อสักครู่
ก็เป็นเรื่องยากพอสมควร ปลอมแล้วก็ใช้เช่นไปฉ้อโกงปลอมโฉนดที่ดิน บางครั้งก็บอกว่าเป็นกรรมเดียว บางครั้งก็บอกว่าเป็นกรรมเดียวหลายบท ศึกษาจากฏีกาเยอะๆ ก็เห็นชัดขึ้นทำให้การวินิจฉัยผิดไป ต่อไป 254 ผู้ตายทำปลอมขึ้นซึ่งแสตมป์รัฐบาล หรือแปลงแสตมป์รัฐให้ผิดไปจากเดิม สำหรับการไปรษณีย์หรือ แปลงให้ผิดจากเดิม ก็คล้ายๆกับที่พูดแล้วในเรื่องเงินตรา ถ้าแปลงก็เป็นเรื่องเจตนาพิเศษ ถ้าปลอมก็คือเจตนาปลอมธรรมดา แสตมป์ซึ่งใช้ในการเช่นว่านั้น คือใช้อยู่ยังไม่ยกเลิก อันนี้ของรัฐไทย คงไม่ต้องอธิบายยาว เพราะอธิบายในเรื่องปลอมแปลงเงินตราไทยแล้ว
ต่อไป 255 ผู้ใดนำเข้าราชอาณาจักร ดวงตราหรือ รอยตรา อันเป็นของปลอมหรือของแปลง
แสตมป์ที่ปิดแล้ว ก็มีตราประทับ ก็เหมือนแสตมป์ไปรษณีย์ เครื่องหมายที่ว่าคือ เครื่องหมายที่เอามาใช้อีกไม่ได้ แต่ถ้าบางครั้งเราเห็นว่าบนซองจดหมายบางทีไมได้ประทับตรา แล้วผู้รับเอาไปใช้ใหม่ ก็เอาไปใช้ได้อีก ขาดองค์ประกอบความผิด แล้วก็จะเป็นผิดมาตรานี้ต้อง ลบ ถอนหรือกระทำด้วยประการใดๆ ถ้ามีรอยประทับ ไม่ชัด ก็ยุติว่ามีตราประทับอยู่แล้ว ไม่ผิดตามมาตรานี้เหมือนกัน
ก็คือเจตนาพิเศษ ก็คือเพื่อให้ใช้ได้ อีก ก็เก็บไว้ไมได้เอาไปใช้ไม่ได้ผิด เพื่อคือเจตนาพิเศษ ก็ผิดสำเร็จแล้ว
257 ผธิใดใช้ ขายเสนอขายแลกเปลี่ยนซึ่งแสตมป์ตาม 254 ก็คือ ใช้ ขาย เสนอขาย แลกเปลี่ยนซึ่งแสตป์ หรือ 256 ลบถอนหรือกระทำใดๆ
ก็ถือว่าใช้ขายเสนอขาย ต่อไป 258 ผู้ใดทำปลอมซึ่งตั๋วโดยสารซึ่งทำขนส่งสาธารณะ หรือแปลงตั๋วโดยสารซึ่งขนส่งสาธารณะให้ผิดไปจากเดิม หรือ ลบถอน หรือกระทำใดๆของตั๋วเช่นว่านั้น ทำเพื่อให้ใช้ได้อีก ก็ต้องระวางโทษจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนที่ปลอมก็เป็นเรื่องเจตนาธรรมดา คือตั๋วโดยสารให้ผิดไปจากเดิม นั่นคือเจตนาธรรมดา ประกอบเจตนาพิเศษ อีกเรื่องหนึ่งคือ ลบถอนหรือกระทำใดๆแก่ตั๋วเพื่อให้ใช้ได้อีก ข้อสังเกตต่อไป นอกจากเอกสารแล้วยังถือว่าเป็นเอกสารสิทธิอีกด้วย
เพราะโทษจะสูงกว่ามาตรานี้ แต่ก็ยังมีปัญหาว่ากรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทหรือไม่ ก็เถียงกันพอสมควร บางท่านก็บอกว่าผิดบทเฉพาะแล้วไม่ต้องปรับบททั่วไปอีก ยกตัวอย่างให้ มาตรา 258 เป็นบทเฉพาะ แม้เป็นฐานปลอมเอกสารด้วยก็ถือว่าปลอมเอกสารเป็นบททั่วไป อันนี้ในกรณีความเห็นว่าเมื่อผิดบทเฉพาะแล้วไม่ผิดบททั่วไปอีก
258 ถ้าถือก็ถือว่ายกเว้นบททั่วไป ปลอมเอกสาร เป็นเอกสารสิทธิด้วยก็เป็นบททั่วไปก็ไม่ต้องอ้าง มาตรา 90 ตาม ประมวลกฎหมายอาญา
ต่อไป 259 ถ้าการกระทำตาม 258 ทำต่อตั๋วที่จำหน่ายแก่ประชาชนเพื่อผ่านเข้าสถานที่ใดๆ
ก็เช่นตั๋วชมภาพยนต์ คอนเสริฐ ดูกีฬาต่างๆ โทษก็น้อยลงกว่า 258
ส่วน 260 ใช้ ขายเสนอขายแลกเปลี่ยนซึ่งตั๋วตาม 258 หรือ 259 ก็เป็นเรื่องแสตมป์ อันนี้เป็นเรื่องตั๋ว คล้ายๆกัน ยกตัวอย่าง ตั๋วรถเมล์นายตรวจฉีกแล้ว แล้วเอาไปใช้อีก ถ้าไม่ได้กระทำใดๆเลย เพียงแต่หลอกใช้ไม่ผิดตาม 260 แต่จะผิดเรื่องฉ้อโกงหรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าฉีกแล้ว ไปผนึกรอยตรวจก็เป็นผิดตาม 258 เลยนะครับ ส่วน 261 ทำเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลงสิ่งใดๆ 254 258 259 ก็คือแสตมป์แล้วก็ตั๋วโดยสารขนส่ง สาธารณะ หรือมีเครื่องมือวัตถุเช่นว่านั้นก็ผิดตาม 261 ก็เป็นเรื่องขยายความมา ส่วน 262ถ้าการกระทำ เป็นการกระทำเกี่ยวกับ แสตมป์รัฐต่างประเทศก็ต้องรับโทษกึ่งหนึ่งของที่บัญญัติไว้
ให้ลงโทษตามมาตราต่างๆที่กล่าวมาแต่กระทงเดียว ก็เหมือนมาตราที่อธิบายไปเหมือนมาตรา 248 ถ้าทำหรือกระทำความผิดตามหมวดอื่นก็ทำผิดกระทงเดียว ที่ว่าเป็นต่างกรรมต่างวาระแต่กฎหมายให้ยกเว้นลงโทษมาตรานี้ ก็ให้ลงโทษตามมาตรา 268 กระทงเดียว ยกตัวอย่างเช่น ปลอมแสตมป์ไปรษณีย์
3121/2530 เป็นเรื่องปลอมเอกสารเกี่ยวด้วย คือ จำเลยเป็นคนต่างชาติเข้ามาในไทย ก็ต้องการให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเชื่อว่าตนเป็นคนไทย ก็คือปลอมเอกสารบัตรประชาชน สด9. ใบเกิด และปลอมดวงตราเจ้าพนักงาน และประทับตราเจ้าพนักงานในทะเบียนทหาร หรือใบคนเกิดปลอมที่มีรอยตราประทับแล้วไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเพื่อให้เชื่อว่าเป็นคนสัญชาติไทย
ใบสำคัญทะเบียนทหารก็ผิดเอกสารราชการ ผิด 251
มาตรา 263 บัญญัติว่า ให้ลงโทษ 251 คือปลอมดวงตราสถานเดียว
ต่อไปจะพูดอีกทีเรื่องปลอมเอกสาร สำหรับทะเบียนคนเกิดเป็นความผิดกระทงที่สาม ปลอมเอกสารตาม 265
กรณีนี้ 263 บอกว่าผู้ที่ปลอมรอยตราผิด 251 คือ ผิดตาม 252 263 ให้ลงโทษฐานปลอมรอยตราเพียงกระทงเดียว
3942/2525 เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ศาลฏีกาโดยที่ประชุมใหญ่ก็วินิจฉัยไว้ว่าเป็นอย่างนี้ ก็เป็นการใช้เอกสารราชการปลอมและใช้รอยตราปลอมไปด้วย ก็ได้
ชั่วโมงหน้าขึ้นเรื่องปลอมเอกสารแล้วนะครับซึ่งออกข้อสอบมากที่สุด
ชั่วโมงที่ 8 วันที่ 13 กรกฏาคม 2553
วันนี้เราก็เริ่มเรื่องปลอมเอกสารตามมาตรา 264 จะเห็นได้ว่า ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับ หรือ ส่วนหนึ่งส่วนใด หรือประทับตราปลอมลงในเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย ฯลฯ
ส่วนวรรคสองคือเรื่องกรอกข้อความในกระดาษโดยไม่ได้รับความยินยอมหรือฝ่าฝืน หรือนำไปใช้ในกิจการที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ตามวรรคแรกถ้าเราแบ่งองค์ประกอบความผิด ก็คือปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือ อื่นใด หรือ ประทับตราปลอม หรือ ลงชื่อในเอกสาร องค์ประกอบภายนอกข้อแรก คือทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือส่วนตัว
องค์ประกอบภายในคือเจตนาธรรมดา เพื่อ ให้ผู้อื่นเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
ส่วนความผิดที่สามองค์ประกอบภายนอกคือประทับตราปลอมหรือลงชื่อปลอม โดยประการที่น่าจะเกิดอันตรายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ส่วน วรรคสองจริงๆแล้วไม่ใช่การปลอมเอกสาร แต่ได้รับการถือว่า ให้สันนิฐานไว้ก่อนว่า ไปดูเรื่องความผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทางเปรียบเทียบดู ให้สันนิฐานไว้ก่อนว่า อันนี้นำสืบหักล้างได้ แต่ถ้าถือว่าอันนี้นำสืบหักล้างไม่ได้ เลย ก็สามารถนำสืบหักล้างได้
ส่วนเอกสารอะไรคือเอกสาร ไปดูคำนิยามในมาตรา 1 ( 7 ) คือกระดาษหรือวัตถุอื่นใดที่ทำให้เกิดความหมาย จะด้วยวิธีพิมพ์ถ่ายภาพหรือทำอย่างไรให้ปรากฎ หมายถึงทำให้สิ่งให้ถ้อยคำหรือความหมายของถ้อยคำปรากฎขึ้น เอกสารที่ทำให้เกิดความหมายโดยปกติก็ทำโดยกระดาษ วัตถุอื่นใดไม่ว่าเป็นไม้โลหะหิน ดินทราย ความหมายที่ทำให้ปรากฎก็คือ เครื่องหมาย ตัวอักษร ตัวเลข ต่างๆ เมื่อปรากฎความหมายตรงนี้ก็เป็นเอกสาร ฏีกา 1269/2503 หรือไม่ก็เครื่องหมายตัวเลขที่พนักงานป่าไม้ประทับไว้
เป็นเอกสาร เป็นการทำให้ปรากฎความหมาย 701/2470 ก็ถือเป็นหลักได้ สมัยก่อนมีโรงยาฝิ่น ก็มีหลอดฝิ่น กำหนดควบคุม เครื่องหมายที่ครั่นปิดขวดสุรา เดียวนี้เราเห็นในรูปแสตมป์ สมัยก่อนเป็นครั่นแล้วตีตรา จะกินได้ก็ต้องเอาครั่นออกก็เป็นเอกสาร
เลขทะเบียนรถ ทั้งในตัวถัง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเอกสารเพราะทำให้เกิดความหมายได้ก็เป็นเอกสาร 1141/2523 บัตรเอทีเอ็มก็เป็นเอกสาร
9/2543 ปฏิทินก็เป็นเอกสาร ท่านอาจารย์จิตติได้ให้คำอธิบายไว้ด้วยว่าเครื่องหมายที่ทำบนตัวสัตว์ ก็เป็นเอกสารเหมือนกัน
ก็เป็นความหมายแล้ว สมัยก่อนพวกนักศึกษาคงไม่เห็น สมัยก่อนทหารเกณฑ์จะสักเป็นตัวเลขไว้ที่ข้อมือ ที่แขนเป็นเอกสาร
ไม่หมายรวมถึงรอยสักที่เป็นเครื่องราง อย่างนั้นไม่เป็นเอกสาร หรือสักรูปต่างๆไว้ดูเล่นอย่างนั้นไม่เป็นเอกสาร
ซึ่งทำให้ปรากฎความ หมาย คือต้องมีการกระทำของบุคคลให้ปรากฎขึ้น จะปรากฎชั่วคราวหรือถาวรไม่สำคัญ ขอให้ปรากฎ ต้องทำโดยบุคคลให้ปรากฎขึ้น ถ้าปรากฎขึ้นเองอย่างนี้ไม่เป็นเอกสาร เช่น ปรอทแสดงสภาพอากาศ
ถ้าเป็นการแก้ไขให้เครื่องแสดงข้อความผิดจากที่เป็นจริงอันนี้คือแสดงข้อความเท็จนะครับ แต่ถ้าเครื่องเหล่านั้นแสดงไว้แล้ว แล้วไปแก้ไขตัวเลขนั้นเข้า แม้เราจะหมุนเข็มไปเรื่อยก็เป็นความหมายธรรมดา แต่เมื่อจับเวลาในการแข่งขันอาจเป็นปลอมได้นะครับ
แต่สมมุติสี่โมงเราไปแก้เป็นห้าโมง ก็อาจจะทำให้เปลี่ยนไปจากความเป็นจริง
ทำให้ปรากฎก็ต้องมีความหมายด้วยแสดงความคิดของผู้ทำ ความหมายก็คือแสดงความคิดของผู้ทำ รอยขีดที่จดเป็นคะแนนมีความหมายทั้งนั้น เป็นเอกสารแล้ว แต่เราจะเห็นเปรียบเทียบกับซื้อปากกาลูกลื่น ไปลองขีดอย่างนั้นไม่เป็นเอกสารเพราะมันไม่มีความหมายอย่างใดเลย อันนั้นไม่ใช่เอกสาร
บางครั้งเครื่องหมายที่ได้กาว่าได้ผ่านการตรวจแล้ว เขียนตัวอักษรกำกับไว้ ได้จัดเป็นหมวดหมู่แล้วเป็นเอกสาร เครื่องหมายแม้เป็นรหัส คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจได้ แต่แสดงความคิดของผู้ทำไว้ บางทีเราไม่เข้าใจแต่คนอื่นมาแสดงความคิดผู้ทำก็เป็นเอกสาร แบบเรียนหนังสือเรียนหนังสือนิยายโดยตัวของมันเองก็ไม่เป็นเอกสารความคิดของผู้เขียน เป็นเรื่องสมมุติขึ้น แบบเรียนก็ไปทำเพิ่ม ก็อาจเป็นเรื่องละเมิดลิขสิทธิแต่ถ้าหน้าแรกผิดโดยใครก็อาจเป็นปลอมเอกสารได้ ต้องดูตรงนี้ ตัวอย่าง เช่น ในหนังสือที่พิมพ์จำหน่ายไปประทับตราชื่อ จำลอง สง่า มั่งคั่ง ก็ลงลายมือชื่อแล้วไปปลอมส่วนนั้นเข้า ก็แสดงให้เห็นว่าหนังสือนั้นพิมพ์โดยนาย จำลอง สง่ามั่งคั่ง ถ้าเป็นการทำขึ้นทั้งเล่มก็ไม่ใช่ปลอม
เมื่อทำให้ปรากฎความหมายอย่างที่ว่าแล้ว ต่อไปภาพเขียนของศิลปิน แล้วไปจำลองไว้ เป็นภาพที่ศิลปินผู้นั้นวาดขึ้น ทางตำราไม่ได้อธิบายไว้แต่ในต่างประเทศตัดสินแล้วว่าไม่ใช่การปลอมเอกสาร แต่ในขณะเดียวกันแล้ว ชื่อศิลปินที่ปลอม ก็เป็นเอกสารที่แสดงว่าภาพเขียนได้โดยใคร ก็เป็นปลอมเอกสารแล้ว
ภาพถ่ายอาจมีความหมาย ใช้ภาพเป็นความหมาย เช่นภาพถ่ายรอยพิมพ์รายนิ้วมือ อาจเป็นเอกสารที่ปลอมได้ หรือภาพถ่ายที่ใช้ติดบัตร ก็เป็นปลอมได้
1530/2522 เอารูปผู้อื่นที่สวมครุยปริญญา เอาใบหน้าจำเลยมาทับ ตัวอักษรมหาวิทยาลัยแพทย์ ไม่ได้นำสืบว่ามีความหมายว่าอย่างไร เลยไม่มีความผิด
สืบไม่ดี ฏีกาบอกว่าไม่เป็นความผิดฐานปลอม อาจจะเป็นที่ระลึกเก็บไว้ดู
แต่ท่านอาจารย์จิตติ ให้ความเห็นว่า อาจจะเข้าใจในตัวว่าเป็นการแสดง จะเห็นว่าความหมายที่ปรากฎ อะไรอย่างไร ผู้ที่ทำขึ้นที่เป็นเจ้าของเอกสารก็เป็นเพียงที่ระลึก เช่นเราไปตัดต่อหน้าไป เพื่อให้ดูว่าเราจบ ก็ไม่ผิดฐานปลอม
แบบพิมพ์ที่ยังไม่กรอกข้อความ แบบพิมพ์เช็ค ยังไม่ได้เขียนข้อความ ว่าเป็นเช็คใคร กรอกเงินเท่าไหร่ เป็นเพียงแบบพิมพ์ยังไม่เป็นเอกสาร
เหตุที่ยังไม่เป็นปรากฎหลักฐานแห่งความหมาย เพราะยังไม่ปรากฎหรือเป็นหลักฐานแห่งความหมาย
เปรียบเทียบกับปลอมหนังสือเดินทาง 269/8 ที่ว่าทำหนังสือเดินทางปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือส่วนหนึ่งส่วนใด แต่ตัวหนังสือเดินทางคำนิยามให้รวมถึงหนังสือเดินทางที่ยังไม่กรอกด้วย ต่างกับเช็ค เป็นบทบัญญัติพิเศษนะครับ
ปลอมหนังสือเดินทาง ยังไมได้กรอกเลขก็ผิดแล้ว
ตัวอย่างหนึ่ง 1209/2522 ภาพถ่ายและของในห้อง เป็นเพียงภาพจำลองของเหล่านั้นไม่แสดงความหมายให้ปรากฎแต่อย่างใด ของเดิมมีสภาพอย่างใดภาพก็ปรากฎอย่างนั้น ไม่เป็นหลักฐานอย่างใดๆเลย การเอาไปไม่ผิดมาตรา 188 คือเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น ไม่ปรากฎความหมายใดๆเลย ภาพถ่ายไม่เป็นเอกสาร เมื่อบอกว่า ทำให้ปรากฎความหมายขึ้นด้วยตัวอักษรตัวเลขผังหรือแผนอย่างหนึ่ง ตรงนี้คืออาจเห็นความหมายได้ได้โดยการสัมพัส ทางตาที่มองเห็น ที่พานท้ายปืนตัวเลขตัวถังรถ ขวัญกระบือ ที่ลงในตั๋วพิมพ์รูปพรรณสัตว์
ก็จะทำเครื่องหมายว่าขวัญอยู่ตรงนี้ตรงนั้น เป็นการแสดงความหมายตรงนี้เป็นเอกสารแล้ว 36/2483 แผนที่แบบแพลน ภาพ เหล่านี้เป็นเอกสาร ต่างกับถ่ายภาพในห้อง แผนที่ตรงนี้หมายถึงตรงไหน อย่างนี้มีความหมายเป็นเอกสาร แผนที่หลังโฉนดเป็นเอกสารแล้ว ที่ว่า สัมผัสได้ด้วยตา รวมถึงคนที่พิการทางสายตาด้วย ตัวอักษรเหล่านั้นมีความหมาย ตัวเลขอันนั้นก็เป็นเอกสารแล้ว ที่เราเรียกว่าอักษรเบลก็เป็นเอกสารแล้ว ที่ว่าสัมพัสด้วยตาหรือด้วยมือเครือ่งหมายแสดงความร้อนเย็น โดยกายเสนอเครื่องหมาย ไม่เป็นเอกสาร สัมพัสร้อนหรือเย็นพวกนี้ไม่เป็น ความหมายของตัวอักษรตัวเลขโดยวิธีพิมพ์ถ่ายภาพ
ต่างเหล่านี้ พ่นสี พ่นขวัญ ทำให้เครื่องจับเวลาหยุด ก็มีความหมายแล้ว และเป็นการกระทำของคน ตรงนี้ก็เป็นเอกสารแล้ว เป็นหลักฐานแห่งความหมาย ก็คือปรากฎความ บางครั้งแม้พิจารณาว่ามีความหมายก็เป็นแล้ว บางครั้งพ่นเป็นตัวอักษรก็ผิดแล้ว
แต่ว่าต้องเป็นกรณีคนทำให้ปรากฎขึ้น เหล่านั้นจึงเป็นเอกสาร การเคลื่อนไหวร่างกายของมนุษย์ ตีธงยกมือ ยกไม้ บางครั้งอาจจะยังไม่เป็นเอกสาร แต่ถ้าถ่ายรูปการเคลื่อนไหว นั้นไว้ อย่างนี้เป็นเอกสารแล้ว สำเนาต้นขั่วใบเสร็จรับเงิน เป็นปลอมเอกสารแล้ว 1653/2520
ไม่ได้หมายความว่าความหมายเอกสารต้องมีความหมายจริงๆ เอกสารปลอมจะต่างจากเอกสารเท็จ เอกสารจริงๆ อาจจะมีเอกสารที่ข้อความเป็นเท็จก็ได้นะครับ ในเอกสารปลอมอาจจะเป็นตัวข้อความเอกสารจริงก็ได้ ตรงนี้จำให้ดีนะครับ เอกสารเกิดขึ้นได้โดยมีผู้ทำขึ้น จึงเพ่งเล็งถึงผู้ทำเอกสาร
อย่างสมมุติว่าเอกสารแสดงว่า ก เป็นผู้ทำแต่ ความจริง ข เป็นผู้ทำ โดย ก ไม่ได้มอบเอกสารให้ ข ทำ แม้ข้อความจะตรงตามความเป็นจริง โดยที่ผู้ทำมีเจตนาโดยปริสุทธิ์ใจ เอกสารนั้นก็เป็นเอกสารปลอม
795/2518
เอกสารปลอมคือ ไม่ได้เป็นผู้มีชื่อในเอกสารเป็นผู้ทำ
สองเอกสารที่ผู้มีชื่อไม่ได้มอบอำนาจ
เป็นการลวงให้หลงในตัวผู้ทำเอกสาร แม้ข้อความจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม แล้วก็ มีข้อน่าสังเกตคือ ผู้ทำเอกสารนั้นขึ้นเอง อาจปลอมเอกสารตัวเองได้
เป็นการทำเอกสารมอบให้ผู้อื่นเป็นหลักฐานต่อมาตนเองไปปลอมเอกสารนั้นเข้า ก็เป็นปลอม ตัวอย่าง ให้เห็นว่าเป็นเท็จหรือเป็นปลอม ตัวอย่าง นายแดงเช่าห้องแถวนายดำ โดยไม่มีหนังสือสัญญาเช่า นายขาวซื้อห้องแถวจากนายดำ แล้วฟ้องขับไล่นายแดง นายดำเจ้าของเดิมสงสาร นายแดงและนายดำจึงทำสัญญาเช่า โดยลงวันที่ทำสัญญาย้อนไปในอดีต กำหนดระยะเวลาเช่าหลังจากวันที่นายขาวฟ้องขับไล่ เพื่อนายแดงจะได้อยู่ในห้องแถวไปอีกระยะเวลาหนึ่ง เช่นนี้ การกระทำของนายแดงและนายดำไม่ผิดฐานปลอมเอกสาร แต่ผิดฐานแสดงพยานหลักฐานเท็จ ตาม 180
ข้อสังเกต สัญญาเช่าเป็นหนังสือที่ทำขึ้นจริงๆระหว่างแดงกับดำ แต่เพียงเอกสารเป็นเท็จเท่านั้นเอง
106/2479
ตัวอย่างที่ว่าเป็นปลอมเอกสาร ง กับพวก หลอกลวง ก ว่า ง คือ ย ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ ต ตกลงรับซื้อและทำสัญญาซื้อขาย โดยพวกลงชื่อ ย ในช่องผู้ขาย อย่างนี้เป็นปลอมเอกสาร 1895/2546
ครูใหญ่ออกใบสุทธิ ว่าสอบไล่ได้ ไม่ผิดฐานปลอมเอกสาร เพราะมีอำนาจออกใบสุทธิแล้ว
ทำแผ่นป้ายประกันภัยรถ และแผ่นวงกลมเสียภาษีทำปลอมขึ้นก็ผิดฐานปลอมเอกสาร
2642/2541
4073/2545
เอกสารถ้าเป็นของผู้ทำเอกสารเองก็เป็นเอกสารเท็จและอีกฏีกาหนึ่ง ผู้จัดการร้านขายจักรยานทำใบส่งของในหน้าที่ โดยไม่ได้ส่งของในนั้น เป็นเอกสารเท็จไม่ใช่การปลอมเอกสาร
เพราะตัวเองมีหน้าที่ทำ 484/2503 หรือไม่ก็ผู้จัดการสาขาธนาคารลงลายมือชื่อรับรองตั๋วแลกเงินเกินอำนาจที่จะทำได้ ก็เป็นเรื่องแต่ไม่ผิดปลอมเอกสารเพราะตนเองมีหน้าที่ทำได้
1751/2515 ทำเอกสารขายและเช่าซื้อรถยนต์ลงชื่อตนเอง
มีอำนาจหน้าที่ ลงลสยมือขื่อตนเองเป็นเอกสารแท้จริง แม้ข้อความในต้นฉบับและสำเนาไม่เหมือนกัน ก็เป็นเอกสารเท็จไม่ใช่เอกสารปลอม 45/2535
ที่ถือว่าเป็นปลอม ฏีกาแรก 1653/2520 ก เจ้าหน้าที่รับเงิน ทำใบเสร็จท่อนที่สามให้ผู้ชำระเงิน 35 บาทตามความจริง แต่ทำต้นขั่ว วันอื่น และยักยอกเงิน เป็นการปลอมเอกสารสิทธิ
ล เป็นเจ้าพนักงานธนาคาร รับเงินจาก จ แล้วเขียนต้นฉบับฝากเงินสด เพื่อนำเข้าบัญชี ฉีกต้นฉบับเก็บไว้ ต่อมาแก้ไขเงินในต้นฉบับแล้วแก้ไขเงินในต้นฉบับ ชุดฝากเงินสุด ใหม่อีกสามฉบับให้จำนวนเงินน้อยลงกว่าที่ฝากแล้วนำเอกสารที่แก้ไขใหม่ให้หัวหน้าหน่วยต่อไป เป็นการแก้ไขเป็นการปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารปลอม ศาลฏีกามองว่าเป็นอย่างอื่น และทำให้ต้นฉบับใหม่อีกฉบับเป็นการปลอมเอกสารสิทธิ 4964/2542
เอกสารที่ทำปลอมต้องเป็นเอกสารที่แท้จริงของคนอื่น คนอื่นที่ว่าอาจจะไม่มีตัวตนอยู่จริงก็ได้ หนังสือนั้นทำให้ผู้อื่นหลงเชื่อ
ตัวอย่าง เสมียนหลอกพนักงานห้างว่ามีผู้ต้องการซื้อสินค้า โดยประทับตราและลงลายมือชื่อเป็นปลอมเอกสาร ทำให้เข้าใจว่าเป็นเอกสารของผู้อื่นถือว่าเป็นปลอมแล้ว
ส่วนเรื่องทำเอกสารโดยลงวันที่ไม่ตรงความจริงเป็นเอกสารเท็จเช่นเรื่องทำสัญญาเช่าแล้วลงวันที่ย้อนหลังไม่ตรงความจริง หรือไม่ยกตัวอย่างเรื่องครูใหญ่คัดลอกใบสุทธิเดิมขึ้นใหม่เพราะตนย้ายโรงเรียนแล้ว
339/2483 ไม่เป็นการปลอมเอกสารใครและไม่เป็นความผิด