สรุปคำบรรยายวิแพ่ง 2 อาจารย์ทองธาร ครั้งที่ 3 - 4 08/12/09,15/12/09

309 views
Skip to first unread message

nobita kwang

unread,
Dec 22, 2009, 10:33:51 PM12/22/09
to LAWSIAM
หากเอกสารสรุปคำบรรยายนี้ มีข้อผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้า kankokub ขออภัยและน้อมรับแต่เพียงผู้เดียว หากจะมีประโยชน์อยู่บ้างขอมอบให้แก่ ท่านอาจารย์ ทองธาร เหลืองเรืองรอง ผู้บรรยาย ,  บิดามารดาข้าพเจ้า ขอบคุณ. http://www.muansuen.com และคุณ admin ที่นำ flie เสียงมาลงแบ่งปันให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

สรุปคำบรรยาย  สัปดาห์ที่ 3 ชั่วโมงที่ 3 อังคาร 08/12/52

เนื้องจากว่าการร้องสอดมาชั้นบังคับคดี ก็มีสถานะเป็นคำฟ้อง ศาลก็ต้องให้โจทก์จำเลยมาให้การแก้คำร้องสอดถือว่าคำร้องสอดเป็นคำฟ้อง

ฎ.6383/2550

ปัญหาเรื่องฟ้องซ้อนหรือไม่เป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ผู้ร้องชอบที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหานี้ไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้ก่อนได้

แม้ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องสอดเข้ามาในชั้นบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) แต่สิทธิที่ผู้ร้องอ้างว่าถูกโจทก์และจำเลยโต้แย้งนี้ ปรากฏว่าก่อนยื่นคำร้องสอดผู้ร้องได้ยื่นฟ้องโจทก์และจำเลยคดีนี้ต่อศาลชั้นต้น คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอย่างเดียวกันกับที่อ้างในคำร้องสอดว่า จำเลยเป็นตัวแทนของผู้ร้องกับพวกในการทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ จึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยอย่างเดียวกันว่า จำเลยเป็นตัวแทนของผู้ร้องกับพวกทำสัญญาเช่าหรือไม่ คำร้องสอดจึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)

 

คำถามนี้ก็น่าออกสอบนะครับ เพราะถามได้สองประเด็นเชียวคือ ร้องสอดได้หรือไม่ และก็ถ้าร้องสอดเข้ามาเป็นฟ้องซ้อนหรือไม่

เรื่องการร้องสอดนี้ถ้าเพราะถูกเรียกเข้ามา ไม่สมัครใจอันนี้จะ ทำให้คดีหลังเป็นฟ้องซ้อนหรือเปล่า

ฎ.1337/2519

คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ต่อศาลขอแบ่งมรดก คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคนละคนกัน จำเลยที่ 2 เข้ามาเป็นจำเลยในคดีนี้ก็ด้วยการที่ศาลเรียกให้เข้ามาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3)ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน

การที่ทายาทของผู้ตายรวมทั้งจำเลยทั้งสองทำบันทึกข้อตกลงของทายาทว่า ทายาททุกคนไม่ถือว่าจะต้องแบ่งทรัพย์กันตามพินัยกรรมแต่หากต่างตกลงแบ่งกันตามที่เห็นสมควรเพื่อเป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งจะมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 แต่ละฝ่ายจึงได้สิทธิตามที่ได้แสดงไว้ในสัญญานั้น และแม้ทรัพย์บางส่วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจะเป็นสินสมรสส่วนของจำเลยที่ 2 ก็ตาม ก็มิใช่เป็นการที่จำเลยที่ 2 ยกสินสมรสส่วนของตนให้ผู้อื่นจึงไม่ต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับการยกให้

 

แต่เดิมมันไม่ซ้อนคดีแรกโจทก์ฟ้องจำเลยที่สองคนเดียว แต่เหตุที่ว่าจำเลยที่สอง นี้คือในคดีหลัง ถ้าดูแต่เดิมที่โจทก์ฟ้องทั้งสองคดีก็เป็นฟ้องซ้อน แต่ปรากฏว่าในคดีที่สองนี้ ระหว่างพิจารณา ศาลได้หมายเรียกจำเลยที่สอง ก็เกิดการซ้อนบางส่วนได้

ฏีกานี้ก็วินิจฉัยว่าไม่เป็นฟ้องซ้อนเพราะเข้ามาในคดีนี้เพราะศาลชั้นต้นเรียกให้เข้ามา ไม่ได้เกิดจากการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่สองมาแต่แรก ไม่เป็นฟ้องซ้อน กรณีที่เราจะดูว่าโจทก์เป็นคนเดียวกันหรือไม่ ประเด็นที่ออกสอบมักเกิดจากโจทก์เป็นคนเดียวกันหรือไม่เสียมากกว่า เพราะแนวฏีกาต่อไปนี้จำเลยเป็นคนเดียวกันอยู่แล้วแหละ

การที่จะดูว่าโจทก์คนเดียวกันหรือไม่ ดูในกรณีที่ว่าเดิมเค้าได้ฟ้องในคดีหนึ่งแล้ว แต่มาฟ้องในคดีระหว่างพิจารณา เขาฟ้องในฐานะเดิมหรือไม่ เพราะถ้าฟ้องในฐานะเดิม ก็ถือว่าเป็นคนเดียวกันนะครับ

คนหน้าเดิมฐานะใหม่ก็ไม่เป็นฟ้องซ้อนนะครับ

1.ฟ้องในนามส่วนตัว อีกคดีหนึ่งฟ้องในนามคนอื่นการฟ้องแทนคนอื่น อย่างน้อยๆก็ไม่ต่ำกว่าสามเรื่อง

1.1 ตัวการตัวแทน 797 เพราะการฟ้องคดีเป็นกิจการที่ตั้งตัวแทนได้ มาตรา 60 ตาม ป.วิ.พ.

1.2 โดยผลของกฎหมาย วิแพ่ง มาตรา 56 เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้หย่อนความสามารถ

1.3 ไม่ได้ฟ้องแทนมาแต่แรก แต่เข้ามาเป็นโจทก์แทนระหว่างคดี มาตรา 42

ดูตัวอย่างตั้งแต่เรื่องแรกนะครับ

ฎ.6920/2537

ฎ.3051/2516

เดิมจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องบิดาโจทก์เป็นจำเลย อ้างว่าบิดาโจทก์อาศัยปลูกเรือนและรั้วในที่ดินของจำเลย ขอให้บิดาโจทก์รื้อสิ่งปลูกสร้างออกไป บิดาโจทก์ต่อสู้ว่าปลูกสร้างในที่ดินของตนเอง ศาลล่างพิพากษาให้บิดาโจทก์แพ้คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้อ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนหนึ่งของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ประเด็นในคดีก่อนมีว่าสิ่งปลูกสร้างของบิดาโจทก์อยู่ในที่ดินของจำเลยหรือไม่ ส่วนคดีนี้มีประเด็นว่าโจทก์ครอบครองที่ดินของจำเลยโดยปรปักษ์หรือไม่อันเป็นประเด็นคนละอย่างต่างกัน ทั้งโจทก์ในคดีนี้ก็มิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน การยื่นฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 และไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) แม้โจทก์คนหนึ่งในคดีนี้จะเข้าแทนที่บิดาโจทก์ผู้มรณะในคดีก่อนนั้น ก็ไม่มีผลให้โจทก์ในคดีนี้เป็นคู่ความในคดีก่อนด้วย

 

ฎ.1010/2551

กรณีจะเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 นั้น คู่ความทั้งสองคดีต้องเป็นคู่ความเดียวกัน เมื่อคดีก่อน ก. เป็นโจทก์มีโจทก์คดีนี้เป็นผู้ฟ้องแทนในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของ ก. ผู้เยาว์ แต่คดีโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นส่วนตัวในฐานะเป็นคู่สัญญาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ มิใช่คู่ความเดียวกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

บันทึกข้อตกลงชดใช้ค่าเสียหายที่จำเลยกระทำละเมิดต่ออำนาจปกครองของโจทก์โดยพรากผู้เยาว์ไปจากโจทก์ ไม่มีข้อความตอนใดระบุว่าคู่กรณีประสงค์จะระงับคดีอาญาที่เป็นความผิดต่อแผ่นดิน สัญญาประนีประนอมยอมความตามบันทึกดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย มิได้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอันจะเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150

 

ทั้งสามอันนี้เราจะเห็นได้ว่าคนเดียวกันฟ้องในสองคดี ต่างฐานะกัน ไม่เป็นฟ้องซ้อน

แต่ตัวอย่างต่อไปคือตรงกันข้าม คือ โจทก์คนละคนแต่ศาลกลับบอกว่าเป็นคนเดียวกันนะครับ มันเกิดจากเหตุผลอะไรครับ

คนที่ได้รับประโยชน์ ก็มีโจทก์ในคดีแรกฟ้องให้อยู่แล้ว ถ้าอยากมาฟ้องอีกก็เป็นฟ้องซ้อนครับ  การฟ้องแทนในกรณีของเจ้าของรวม ผมขอยกตัวอย่างๆ ละเรื่องในกรณีเจ้าของรวม

ฏีกา 966/2518

โจทก์กับ ส.ท.ภ. และ ล. มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกัน จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวจาก ส.ครบกำหนดแล้วส. ฟ้องขับไล่จำเลยดังนี้ เป็นเรื่องที่ ส. เจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์เรียกร้องเอาทรัพย์สินคืนจากจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1356,1359 ประกอบด้วยมาตรา 302 กล่าวคือเจ้าของรวมแต่ละคนมีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์คืนโดยไม่จำต้องให้เจ้าของรวมทุกคนร่วมกันฟ้อง และจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่เจ้าของรวมหมดทุกคน จึงเท่ากับเป็นการฟ้องคดีแทนเมื่อ ส. ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่เช่าแล้วและคดีอยู่ระหว่างพิจารณาโจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินเช่นเดียวกับคดีที่ ส. ฟ้องนั้นอีกจึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 (ปัญหาเรื่องฟ้องซ้อนนี้ จำเลยมิได้ฎีกา แต่ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเอง)

 

อันนี้เป็นเรื่องมีต่างคนกันแต่คดีแรกมีคนฟ้องให้อยู่แล้วก็เหมือนว่าตัวเองได้ฟ้องอยู่แล้ว ตัวอย่างต่อไปที่ชอบถามคือ คดีระหว่างผู้จัดการมรดกกับทายาท

ถือว่าผู้จัดการมรดกฟ้องแทน ทายาททุกคน อ้าง มาตรา 1736 กรณีเหล่านี้ก็ถือว่าทายาทเป็นโจทก์อยู่แล้ว ทายาทมาฟ้องเองก็เป็นฟ้องซ้อน

แต่ถ้าระหว่างทายาทคนหนึ่ง แล้ว ทายาทอีกคนหนึ่งมาฟ้อง อันนี้ก็อาจจะมีบางตำราเขียนว่า ปกติแล้วทายาทไม่ถือว่าทำแทนทายาท

ฎ.3146/2533

ท. ทายาทของเจ้ามรดกคนหนึ่งเคยฟ้องจำเลยขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรมเป็นโมฆะ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกแทนที่ทายาทอีกคนหนึ่งมาฟ้องคดีนี้ขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรมฉบับเดียวกันนั้นเป็นโมฆะอีกเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ท. เป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกอันจะถือว่ากระทำในฐานะตัวแทนทายาททั้งหมดรวมทั้งโจทก์ด้วยแล้วโจทก์ย่อมไม่ใช่โจทก์คนเดียวกับคดีก่อน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน.

 ก็เลยผู้เรียบเรียงบางท่านก็เลยสรุปว่า ไม่แทนทายาท

แต่อาจารย์เห็นว่าไม่ถูกบางส่วน บางอย่างแม้ว่าไม่มีกฎหมายเขียนไว้ อย่างกรณีผู้จัดการมรดกแต่ระหว่างทายาทนั้น บางกรณีสิทธิที่ทายาทเรียกร้องมันมีลักษณะไม่ใช่สิทธิเฉพาะตัวแต่เป็นเจ้าของร่วม คดีแรกฟ้องโดยทายาทคนหนึ่ง คดีที่สองฟ้องกับทายาทอีกคนหนึ่ง

ฎ.6641/2548

คดีก่อน ศ. พี่สาวโจทก์ทั้งสอง ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา กรณีจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้ ม. บิดาโจทก์ทั้งสองและ ศ. ถึงแก่ความตาย ขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าปลงศพ ค่าขาดไร้อุปการะและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ โดยปรากฏว่า ศ. ฟ้องในฐานะเป็นบุตรผู้ตายที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 เช่นนี้ สำหรับค่าปลงศพและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ จึงเป็นการฟ้องเพื่อประโยชน์ของทายาท ม. ผู้ตาย ทุกคนรวมถึงโจทก์ทั้งสองด้วย ส่วนค่าขาดไร้อุปการะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของทายาทแต่ละคนที่ได้รับความเสียหาย และตามคำฟ้องคดีก่อนไม่ปรากฏข้อความว่า ศ. ฟ้องแทนโจทก์ทั้งสอง แม้ต่อมาศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าขาดไร้อุปการะของโจทก์ทั้งสองแก่ ศ. ก็เป็นการพิพากษาโดยไม่ชอบไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสองซึ่งมิใช่เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว เมื่อได้ความจากคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองว่าขณะโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยที่ 1 คดีนี้ เรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้ ม. บิดาโจทก์ทั้งสองถึงแก่ความตายขอให้ชดใช้ค่าปลงศพ ค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ อันเป็นเรื่องเดียวกันกับคดีก่อนที่ ศ. ฟ้องจำเลยที่ 1 และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณา คดีระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 1 ในเรื่องเรียกค่าปลงศพและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์เป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) และได้ความว่า ต่อมาศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาในคดีก่อนให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าปลงศพและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์แก่ ศ. ตามคำฟ้องแล้ว อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเรื่องค่าปลงศพและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์เรื่องเดียวกับคดีนี้แล้ว ฟ้องของโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยที่ 1 ได้เฉพาะค่าขาดไร้อุปการะเท่านั้น ส่วนฟ้องโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในฐานจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยินยอมให้จำเลยที่ 1 ใช้รถในกิจการของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัย รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับนั้น ศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดค่าปลงศพ ค่าขาดไร้อุปการะและค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ของผู้ตายหรือไม่ เพียงใด ทั้งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ไม่ได้เป็นคู่ความเดียวกันกับคดีก่อนที่ ศ. ฟ้องจำเลยที่ 1 ดังนี้ คดีโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144

 

มองในแง่เจ้าของรวมก็ดี คงไม่เป็นฟ้องซ้อน ในเรื่องค่าขาดไร้อุปการะ บางปีข้อสอบฟ้องซ้อนแค่บางคน แต่บางปีก็อาจออกว่าฟ้องซ้อนแค่บางข้อหาก็ได้

ฎ.5487/2550

ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 423/2537 ของศาลชั้นต้น มีโจทก์ 3 คน คือ โจทก์ในคดีนี้ ห. และ ส. ฟ้องจำเลยในฐานะเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ พ. โดยขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในโฉนดที่ดินพิพาทที่จำเลยได้ยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์จนศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยมีกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินพิพาท ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องในฐานะผู้จัดการเรียกเอาทรัพย์มรดกจากจำเลยเพื่อมาแบ่งปันแก่ทายาท แต่มีการบรรยายความเป็นมาว่าจำเลยกระทำการโดยไม่สุจริตอย่างไรเพื่อตัดสิทธิจำเลยมิให้รับมรดกด้วย สถานะของโจทก์ในคดีทั้งสองจึงแตกต่างกัน และประเด็นแห่งคดีทั้งสองก็แตกต่างกันด้วยฟ้องโจทก์คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้อนกับฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 423/2537 ของศาลชั้นต้น

แม้รายการในสารบัญจดทะเบียนตามโฉนดที่ดินพิพาทจะเป็นเอกสารมหาชนก็ตาม แต่ก็มิใช่ข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาดที่จะให้รับฟังตามนั้น โจทก์สามารถนำพยานเข้าสืบหักล้างได้ว่าความจริงเป็นเช่นใด ซึ่งเป็นการนำสืบถึงความเป็นมาอันแท้จริงว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของ พ. นั้นจึงหาฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 94 แห่ง ป.วิ.พ. ไม่

 

ไม่เป็นฟ้องซ้อนเหตุผลถึงสองข้อ หนึ่งคือไม่ถือว่าโจทก์เป็นคนเดียวกัน เหตุผลที่สองคือ ทั้งสองข้อหานั้น ไม่ใช่ประเด็นอย่างเดียวกัน คือคดีแรกสภาพแห่งข้อกล่าวหาเป็นเรื่องอ้างว่าจำเลยเปลี่ยนแปลงชื่อเป็นของจำเลย อ้างว่าครอบครองปรปักษ์ไม่ชอบ ประเด็นคือครอบครองปรปักษ์จนได้สิทธิจริงหรือไม่ ส่วนประเด็นแห่งคดีหลัง โจทก์ฟ้องเรียกคืนเพื่อแบ่งปันทายาทอื่นๆ และสิทธิฐานเป็นผู้ไม่สมควรด้วย จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน สำหรับตัวอย่างอันต่อไป ก็คือ

ตัวอย่างเกี่ยวกับเจ้าของรวม กับเจ้ามรดกแล้ว ที่เจอบ่อยที่สุดคือ พนักงานอัยการ

อัยการมีบทบาทเยอะครับ ซึ่งคราวหน้าอาจารย์จะมาอธิบายถึงบทบาทที่เรียกร้องแทนผู้เสียหาย

เช่นกรณีตามมาตรา 1713 ตามประมวลแพ่ง คือ อัยการมาร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกแทนได้

ฎ.6066/2546

คดีแพ่งเรื่องก่อนพนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของพระภิกษุ ท. โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาก่อนเวลาที่อยู่ในสมณเพศ จำเลยคดีนี้ยื่นคำคัดค้านว่าเป็นทรัพย์สินของพระภิกษุ ท. ที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศตกเป็นสมบัติของวัดจำเลย จึงมีประเด็นว่า พระภิกษุ ท. ได้ทรัพย์สินมาก่อนเวลาที่อยู่ในสมณเพศหรือไม่และเป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่โจทก์หรือไม่ ขณะคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้โดยกล่าวอ้างทำนองเดียวกันกับคดีก่อน แม้คดีก่อนพนักงานอัยการจะเป็นผู้ร้องขอให้ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก แต่เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นทายาทมีสิทธิร้องขอให้ตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกได้อยู่แล้วให้พนักงานอัยการร้องขอแทน จึงถือได้ว่าเป็นการร้องขอแทนโจทก์ เมื่อคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นดำเนินคดีอย่างคดีมีข้อพิพาทย่อมถือได้ว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีแทนโจทก์ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188(4) ดังนั้นการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามมาตรา 173 วรรคสอง (1)

 

เมื่ออัยการร้องแทนทายาท จึงเป็นฟ้องซ้อน

ขึ้นตัวอย่างไว้หนึ่งคดีคือ คดีผู้บริโภค คดีแรกฟ้องแทนได้ อีกคดีฟ้องแทนไม่ได้

สรุปคำบรรยาย  สัปดาห์ที่ 4 ชั่วโมงที่ 4 อังคาร 15/12/52

ก็ขออารัมบท บางอย่างสักเล็กน้อยนะครับ ครั้งที่แล้วได้พูดว่าข้อสอบภาคสองยากนิดหนึ่ง เพราะภาคแรกผ่านเยอะ ก็ไปพูดว่าภาคสองคงได้รับการแนะนำให้ออกยากหน่อย ในข้อสอบภาคสองให้เตรียมดูหนังสือแต่เนิ่นๆ ก็มีการเผยแพร่คำเตือนผมด้วยความหวังดี ทำให้แพร่กระจาย กระทบต่อสถาบันการศึกษา แต่จริงๆเนฯไม่ได้มีนโยบายอย่างนี้นะครับ เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวนะครับ

แต่ว่าไม่ต้องวิตกว่าจะยากระดับสอบผู้ช่วย ไม่เป็นอย่างนั้นหรอกครับ อันไหนยากไปอาจารย์ก็จะไม่ออก ข้อสอบที่ได้รับเลือกก็เป็นข้อสอบกลางๆ ที่พูดมาเจตนาก็ต้องการอันเดียว คือต้องการให้พวกเราตั้งใจศึกษาก็แล้วกันนะครับ

จะยากจะง่ายเราก็ต้องตั้งใจให้เต็มที่นะครับ อาจารย์มาสอนก็เพื่อมาบอกข้อสอบ ถ้าทำหน้าที่อาจารย์บอกข้อสอบเสร็จเมื่อไหร่ ก็ปิดคอร์สทันทีเลยครับ

เพราะว่าในเนื้อหาส่วนที่อาจารย์ได้รับออกข้อสอบอาจารย์อาวุโสน้อยที่สุดเลยครับ แนวโน้มข้อสอบของอาจารย์ได้รับเลือกน้อยมาก ก็ต้องสอนให้ทำข้อสอบได้ทุกข้อ

มาว่ากันต่อในเรื่องฟ้องซ้อน มันยาวนิดหนึ่งเพราะมีฏีกาที่น่าสนใจเยอะ แต่ก็ไม่พูดหมดทุกฏีกาหรอกครับ

ฏีกาที่นำเสนอก็เป็นประเภท ที่สำคัญๆ และยังไม่เคยออกสอบ

ก็นำเสนอในหลักเกณฑ์ประการที่สอง คือ คดีที่จะต้องห้ามในฟ้องซ้อนต้องฟ้องในระหว่างคดีแรกอยู่ระหว่างการพิจารณา และคู่ความในคดีหลังต้องเป็นคนเดียวกัน

กรณีจะเป็นฟ้องซ้อนนั้น เงื่อนแง่อีกประการหนึ่งก็คือว่า อาจทำให้เราเข้าใจผิดว่าเป็นคนละคนกัน แม้จะต่างคนกัน นั่นคือแม้ต่างคนต่างกันแต่ว่าคนที่มาฟ้อง มาฟ้องแทน กรณีนี้ คดี่หลังมาฟ้องอีกคน คดีแรกโจทก์ฟ้องแทนมาแล้ว เป็นฟ้องซ้อน

เช่นกรณีพนักงานอัยการฟ้องชาวบ้าน ฏีกาที่ผมพูด

ต่อไปก็พูดถึงมีอำนาจฟ้องแทนชาวบ้านต่อไป เช่นกรณีที่อัยการเป็นเจ้าหน้าคุ้มครองผู้บริโภค

เรามาดูฏีกาตัวอย่างในเรื่องนี้ ปรากฏว่าบรรดา ผู้บริโภค มาทำสัญญาวางเงินดาวน์และก็ซื้อบ้านจัดสรร เมื่อชำระค่างวดเสร็จแล้วเจ้าของโครงการ ก็สร้างบ้านไม่เสร็จ ก็เป็นการผิดสัญญาที่จองซื้อบ้าน ก็มาฟ้องสำนักงานผู้บริโภค ทำเรื่องไกล่เกลี่ยแล้วไม่สำเร็จ แล้วไปฟ้องร้องที่ศาล ปรากฏว่าเวลาอัยการฟ้องแล้วฟ้องแทนผู้ที่ซื้อบ้านในโครงการนั้นหมด เป็นคดีเดียวกันเลย แต่ก็มีบัญชีแนบมาท้ายฟ้องว่าเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคฟ้องในนามผู้บริโภค ปรากฏว่าผู้ที่จองซื้อบ้าน ก็ต้องการไปดำเนินคดีเองก็ไปจ้างทนาย ในคดีแรกก็ต้องถือว่าผู้ซื้อรายนี้ได้เป็นโจทก์แล้ว ในคดีแรกนี้พออัยการรู้ว่า ยื่นคำร้องต่อศาลขอเปลี่ยนแปลง แก้ไข บัญชีรายชื่อผู้ที่อัยการฟ้องแทน โดยตัดผู้มีชื่อรายนี้ออกจากรายชื่อในบัญชีท้ายฟ้องไปแล้ว เราก็ต้องถือว่าคดีแรกอัยการไม่ได้ฟ้องแทนแล้ว แต่เป็นเรื่องที่ พึ่งจะมาไม่ซ้อนภายหลัง

อย่างที่เราทราบแล้วว่า ซ้อนเพียงบางวัน คดีหลังมายื่นฟ้องในขณะที่อัยการยังไม่ถอนชื่อของตนออกเมื่อฟ้องของตนในคดีหลังเป็นฟ้องที่ไม่ชอบแม้ภายหลังอัยการจะเปลี่ยนแปลงโดยถอนชื่อออกจากคดีก็ไม่ทำให้ฟ้องในคดีที่สองเป็นฟ้องที่ชอบในภายหลัง ในประเด็นที่หนึ่ง ถือว่าอัยการฟ้องแทนโจทก์ ระหว่างที่อัยการมาถอนชื่อในคดีที่สองออกจากในคดีแรกจะทำฏีกานี้ก็เคยนำเรียนเสนอมาทุกปีแต่ไม่ได้รับเลือกสักที

1577/2548

คดีก่อนคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคโดยพนักงานอัยการในฐานะเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคเป็นโจทก์ฟ้องคดีแทนโจทก์คดีนี้ในกรณีที่โจทก์คดีนี้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารจากจำเลย โดยชำระเงินจองและผ่อนชำระราคาไปแล้ว ขอให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้จำเลยคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยที่โจทก์ได้ชำระไปตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารรายเดียวกันอีก จึงเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันเป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อนต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) แม้ต่อมาโจทก์ในคดีก่อนจะขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอตัดรายชื่อโจทก์คดีนี้จากคำฟ้อง ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์คดีนี้ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่ต้นกลับเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย

ฏีกาอีกเรื่องหนึ่งอยากให้เปรียบเทียบ 279/2551

คดีก่อนคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฟ้องคดีแทนผู้บริโภคทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ทำสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินกับจำเลยทั้งสอง แต่โจทก์ในคดีนี้มิใช่ลูกค้าหรือผู้ซื้อบ้านและที่ดินในโครงการของจำเลยทั้งสอง จึงไม่ใช่ผู้บริโภคที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อนได้ฟ้องคดีแทน กรณีจึงไม่อาจถือว่าคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้ฟ้องคดีแทนโจทก์คดีนี้ด้วย ย่อมไม่ไช่คู่ความรายเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อนกับคดีก่อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 และ 173 วรรคสอง (1)

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคมาฟ้องแทนผู้บริโภคทั้งหลาย ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับหมู่บ้านจัดสรรเนี่ยแหละครับ ปรากฏว่าดำเนินโครงการเสร็จแล้วไม่ยอมที่จะรื้อถอนเอาเต็นท์ผ้าใบสามหลังซึ่งกีดขวางเส้นทาง ออกสู่ถนนสาธารณะ ก็มีเต็นท์ของโครงการ ก็ทำให้ผู้บริโภคซึ่งตอนซื้อก็โฆษณาดิบดีว่า มีถนน แต่มันไม่ใช่ เจ้าของโครงการก็ไม่ยอมทำตาม ก็เลยไปร้องเรียนคณะกรรมการผู้บริโภค คดีอยู่ระหว่างพิจารณา โจทก์คดีนี้ไม่ได้ซื้อบ้าน แต่เพียงผ่านแล้วเข้าออกไม่สะดวก เขาอยู่ในชุมชนที่อยู่ติดกับหมู่บ้านจัดสรร ของโครงการนี้ ก็เอาเรื่องเดียวกันนี้มาฟ้องจำเลย ฟ้องระหว่างคดีแรกอยู่ระหว่างพิจารณา เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่

คณะกรรมการฟ้องแทนคนที่ได้รับความเดือนร้อนทุกคน แต่ไม่ใช่ผู้ที่ซื้อบ้านในโครงการนี้ จึงไม่ใช่ผู้บริโภคครับ จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน

จบเรื่องนี้เรามาดูเรื่องอื่นต่อ มาดูเกี่ยวกับกรณีที่อัยการ นอกจากมีอำนาจในการฟ้องแพ่ง อัยการฟ้องคดีอาญาและในคดีอาญาก็มีคำขอทางแพ่ง แทนเช้าบ้านได้ด้วยนะครับคือมาตรา 43 ในมาตราต่างๆที่มาตรา 43 กำหนดไว้ ในคดีอาญาก็มีคำขอให้ศาล มีคำพิพากษาสั่งให้จำเลยคืนทรัพย์หรือใช้ราคาให้แก่ผู้เสียหายด้วย

ในการเรียกดอกเบี้ยตั้งแต่วันทำละเมิดก็มีปัญหาว่าอัยการฟ้องในเรื่องของต้นเงิน ได้ แล้วดอกเบี้ยของต้นเงิน ร้อยละเจ็ดครึ่งหล่ะ ผู้เสียหาย จะมาขอในส่วนดอกเบี้ยได้หรือไม่ ถ้าผู้เสียหายจะมาขอในส่วนดอกเบี้ย ไปฟ้องในอีกคดีหนึ่งจะฟ้องซ้อนหรือไม่ เราก็พิจารณาอย่างนี้ครับ คดีที่อัยการมาฟ้องผู้กระทำความผิด ให้ศาลสั่งให้จำเลยคืนทรัพย์หรือใช้ราคา

1976-1977/205 ค้นไม่พบ

คดีอัยการมีคำขอในส่วนดอกเบี้ยได้นะครับ

เพียงแต่ว่ากรณีนี้ที่ประชุมใหญ่ บอกว่าได้ ถ้าได้เสียค่าขึ้นศาลมาครบ อันนี้ก็เท่ากับว่า เป็นเรื่องแปลกตรงที่ว่าคำขอไม่ชอบกับกลายเป็นชอบ

เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากได้ดอกเบี้ยผู้เสียหายฟ้องเองเกิดฏีกาอีกแนวหนึ่ง

991/2529

โจทก์ในคีดนี้เข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์และเรียกให้จำเลยที่1ใช้ค่าทดแทนความเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา43,44,47ย่อมต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวซึ่งมีคดีส่วนแพ่งปนอยู่ด้วยและโจทก์ย่อมมีสิทธิบังคับคดีส่วนแพ่งตามคำพิพากษานั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา249,253อยู่แล้วโจทก์จะรื้อฟื้นคดีส่วนแพ่งนั้นมาฟ้องใหม่โดยเรียกค่าดอกเบี้ยเพิ่มเติมในคดีนี้อีกย่อมเป็นฟ้องซ้ำอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148

696/2542

คดีแพ่งเรื่องนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลอมใบรับน้ำมันแล้ว นำใบรับน้ำมันปลอมไปขอรับน้ำมันจากสถานีคลังน้ำมันของโจทก์โดยไม่ชอบ รวมเป็นเงินค่าน้ำมันทั้งสิ้น 724,239.38 บาทขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน946,037.69 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 724,239.38 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จแก่โจทก์ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาและคำขอโจทก์ในคดีอาญาเรื่องก่อนคือการคืนหรือให้จำเลยใช้ราคาทรัพย์ ซึ่งเป็นคำขอส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับ คดีอาญาที่ศาลในคดีอาญามีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษา ได้และเมื่อศาลในคดีอาญาได้รับคำขอส่วนแพ่งของโจทก์ ดังกล่าวไว้พิจารณาโดยชอบแล้วย่อมมีผลตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน หรือศาลอื่นอีก ศาลจึงไม่อาจรับวินิจฉัยคำขอเรื่องดอกเบี้ย ในคดีนี้ได้ แม้ในส่วนดอกเบี้ยที่โจทก์มิได้มีคำขอในคดีอาญา ก็ตาม แต่ดอกเบี้ยนี้เป็นดอกผลที่เกิดตามเงินต้นตามกฎหมายการฟ้องร้องในคดีแพ่งเรื่องนี้ที่ขอบังคับจำเลยในส่วนดอกเบี้ยจึงอาศัยและพึงต้องฟ้องมาในคราวเดียวกับเงินต้นจึงต้องห้ามตามคำฟ้องในส่วนเงินต้นด้วย

เป็นการฟ้องทางแพ่งแทนชาวบ้านผู้เป็นผู้เสียหาย

ฏีกาเรื่องนี้ก็ทำนองเดียวกัน พนักงานอัยการฟ้องทหารว่ายักยอกเงินค่าน้ำมันกองทัพบก เป็นเรื่องคดีแรกไม่อาจขอดอกเบี้ยได้ คดีที่สองผู้เสียหายมาขอดอกเบี้ยเอง จึงไม่เป็นร้องสอด

เราต้องลอกเหตุผลจากการอ่านฏีกามาตอบ ลอกมาเลยครับ

 

 

 


Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages