สรุปคำบรรยาย วิแพ่ง 4( บังคับคดี ) ภาค 2/61 ชั่วโมงที่ 1-4 เอาไว้อ่านเล่นๆก่อนเรียนชั่วโมงที่ 5-6 ต่อไปครับ

2,855 views
Skip to first unread message

nobita kwang

unread,
Dec 11, 2008, 2:41:24 AM12/11/08
to LAWSIAM

หากเอกสารสรุปคำบรรยายนี้ มีข้อผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้า  kankokub  ขออภัยและน้อมรับแต่เพียงผู้เดียว หากจะมีประโยชน์อยู่บ้างขอมอบให้แก่ ท่านอาจารย์ทวี ประจวบลาภ ผู้บรรยาย   , ผู้ก่อตั้ง lawsiamgooglegroups และ คุณแบ่งปัน ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้ฟังคำบรรยาย , บิดามารดาข้าพเจ้า

 

วิแพ่ง4 การบังคับคดี ( อ. ทวี ประจวบลาภ )

ครั้งที่ 1 สามชั่วโมงรวด

 

            แต่ก่อนอาจารย์สอนเฉพาะวันอาทิตย์  วิฯแพ่งภาคบังคับคดีอาจารย์จะสอนร่วมกับอาจารย์ สมพงษ์  โดยจะสอนอาทิตย์ล่ะ สองชั่วโมงสลับกันไป เทอมนี้อาจารย์จะพบนักศึกษาประมาณ 7 ครั้ง วันนี้กรณีพิเศษ ท่านอาจารย์  นพพร ติดภารกิจ จึงสอนวันนี้สามชั่วโมง

            สำหรับการสอบภาคแรกสำหรับผู้ที่ไม่ผ่าน อย่าไปท้อ อย่าไปยึดติดกับความผิดพลาด อาจารย์เองก็ใช้เวลาสามปีในการเรียน เนฯ สอบผู้ช่วยผู้พิพากษา สองครั้ง  อาจารย์เคยเจอผู้ช่วยคนหนึ่ง สอบเนฯ สิบครั้ง สอบผู้ช่วยผู้พิพากษา ห้าครั้ง ก็ยังได้เป็นผู้พิพากษา ต้องมีความมานะ อย่าไปกังวล บางทีมันอาจจะไม่ใช่จังหวะของเรา แต่สักวันต้องเป็นวันของเราถ้าเรายังสู้ต่อไป

            วิชานี้มีข้อสอบ สองข้อ คือข้อหกและข้อเจ็ด ข้อหก เป็นเรื่องวิธีการชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา ส่วน ข้อเจ็ดจะออกเรื่องการบังคับคดี( ม.271-.323 ) แน่นอน

            คุ้มครองชั่วคราว ม.253 –.270  กฎหมายบังคับคดีในส่วนอาญา ก็กรมบังคับคดีจัดการ บังคับคดีเป็นกฎหมายที่เข้าใจค่อนข้างยาก อาจารย์จะพยายามเน้นในส่วนที่สำคัญให้

            การคุ้มครองชั่วคราว ก็เพื่อให้เกิดการบังคับคดีที่มีประสิทธิภาพ

ม.271 สำคัญ

มาตรา 271  ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา)มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา หรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยอาศัยและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น

            มันจะเชื่อมโยง พนักงานบังคับคดี กับศาล จะเชื่อมโยงกัน ตัวความจะต้องรักษาประโยชน์ของตนเอง ต้องคอยระวังอย่าให้ขั้นตอนใดบกพร่อง หากเกิดก็ต้องให้ศาลชี้ขาด   

            บางคดีไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะคดี การบังคับคดีในคดีแพ่ง อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 883/2508

           

          คดีเดิม โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุก ขอให้ขับไล่และชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยทำยอม ให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทนั้นให้โจทก์จึงเป็นคนละประเด็นกันไม่เป็นฟ้องซ้ำ

จำเลยกล่าวอ้างลอยๆ ว่าประนีประนอมยอมความแล้วจะฟ้องโดยตั้งข้อหาเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ ชอบที่จะบังคับไปตามสัญญายอม โดยมิได้ยกกฎหมายสนับสนุนก็คงหมายถึงว่าเป็นฟ้องซ้ำนั่นเอง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อนี้อีก

ในคดีที่จำเลยยอมให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ที่พิพาทก็ตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นโดยไม่จำต้องบังคับอะไรอีกฉะนั้น การที่โจทก์มิได้ขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี จึงหาทำให้สิทธิของโจทก์ที่ได้ที่พิพาทดังกล่าวแล้วต้องเสียไปแต่อย่างใดไม่

โจทก์ร้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้แบ่งแยกที่ดินตามยอมให้โจทก์ โดยที่คำขอท้ายฟ้องมิได้ขอให้แบ่งแยกไว้ด้วยเช่นนี้เป็นเรื่องเกินคำขอ

เมื่อศาลตัดสินแล้วจะไม่ใช่หนี้ตามสัญญาแล้ว จะกลายเป็นหนี้ตามคำพิพากษา ค่าฤชาธรรมเนียมก็ถือเป็นหนี้ตามคำพิพากษาด้วย

            ผู้ร้องสอดก็ดี ผู้ร้องขัดทรัพยก็ดี ผู้ขอเฉี่ยทรัพย์ก็ดี  ก้สามารถที่จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพพากษาซึ่งจะมาร้องขอให้บังคับคดีได้เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1381/2492

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับ ร.และด. จำเลยขายที่นาพิพาทให้โจทก์ ศาลพิพากษาว่า ร.จำเลยเป็นเจ้าของนา ส่วนด. จำเลยเป็นแต่เพียงตัวแทนไม่ต้องรับผิด จึงให้ ร. จำเลยขายนาให้แก่โจทก์ๆ ได้ครอบครองที่นานั้นอยู่แล้ว โจทก์มีหน้าที่ชำระราคาให้แก่ ร. ตามคำพิพากษา แต่โจทก์กลับไปชำระราคาให้แก่ ด. จำเลยอีกคนหนึ่ง ซึ่งศาลพิพากษายกฟ้องไปแล้ว ดังนี้ โจทก์ไม่พ้นความรับผิด. ร. จำเลยมีสิทธิขอให้ศาลยึดที่นาของโจทก์ขายชำระหนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3090/2549

ป.วิ.พ. มาตรา 271 บัญญัติให้บุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) เท่านั้นที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง จำเลยไม่ใช่บุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะจึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลออก คำบังคับให้โจทก์ไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินที่โจทก์และจำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันให้แก่โจทก์ตามส่วนในคำพิพากษา

กรณีผู้ที่ได้ประโยชน์จากสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ดังนั้นจึงมาขอบังคับคดีไม่ได้ เพราะไม่ใช่คู่ความ (  เป็นประเด็นที่ยังไม่เคยออกข้อสอบ )

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3137/2549

ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นและยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งอนุญาตโดยไม่รอว่าคู่ความฝ่ายอื่นจะยื่นอุทธรณ์และคัดค้านคำร้องดังกล่าวภายในกำหนดเวลาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 วรรคหนึ่ง หรือไม่ แต่เมื่อปรากฏว่าคู่ความฝ่ายอื่นได้รับสำเนาคำร้องและสำเนาอุทธรณ์แล้วก็ไม่มีผู้ใดยื่นคัดค้านคำร้อง การจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นปฏิบัติตามขั้นตอนให้ถูกต้อง กล่าวคือรอให้ล่วงพ้นเวลาที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งมาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง แล้ว จึงมีคำสั่งอนุญาต ผลก็เป็นเช่นเดียวกัน ศาลฎีกาไม่ย้อนสำนวนและวินิจฉัยคดีไปเสียทีเดียว

ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 ผู้มีอำนาจขอให้บังคับคดีได้คือคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) เจ้าตามคำพิพากษาดังกล่าวอาจเป็นโจทก์หรือจำเลยในคดีนั้น หรือเป็นบุคคลภายนอกซึ่งร้องสอดเข้ามาในคดีนั้นก็ได้ แต่ผู้ร้องมิได้เป็นโจทก์ เป็นจำเลยหรือเป็นผู้ร้องสอด ผู้ร้องมีฐานะเป็นแต่เพียงผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอมเท่านั้น จึงมิใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ไม่มีสิทธิบังคับคดีได้

อธิบายฏีกาเพิ่งเติม กรณีบุคคลภายนอกจะทำไง ก็ต้องมาฟ้องเป็นคดีใหม่เพราะถูกโต้แย้งสิทธิ ตาม ม.55

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2093/2517( เคยออกข้อสอบผู้ช่วย แต่ปัจจุบันใช้ไม่ได้แล้ว เนื่องจาก มี ม.309 ตรี บัญญัติให้สิทธิไว้ )

(  มาตรา 309 ตรี เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีโอนอสังหาริมทรัพย์ที่ขายให้แก่ผู้ซื้อ หากทรัพย์สินที่โอนนั้นมีลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารอยู่อาศัย และลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารไม่ยอมออกไปจากอสังหาริมทรัพย์นั้น ผู้ซื้อชอบที่จะยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาลให้ออกคำบังคับให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารออกไปจากอสังหาริมทรัพย์นั้นภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนด แต่ไม่น้อยกว่าสามสิบวัน ถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ให้บังคับตามมาตรา ๒๙๖ ทวิ มาตรา ๒๙๖ ตรี มาตรา ๒๙๖ จัตวา มาตรา ๒๙๖ ฉ มาตรา ๒๙๖ สัตต มาตรา ๒๙๙ มาตรา ๓๐๐ มาตรา ๓๐๑ และมาตรา ๓๐๒ โดยอนุโลม ทั้งนี้ ให้เจ้าพนักงานศาลเป็นผู้ส่งคำบังคับโดยผู้ซื้อมีหน้าที่จัดการนำส่ง และให้ถือว่าผู้ซื้อเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารที่อยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามบทบัญญัติดังกล่าว

-                         ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด บังคับเอาได้เลย แม้การบังคับคดีจะไม่เกี่ยวกับคดีเดิมก็ตาม กฎหมายให้ถือว่าเป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้กันตามคำพิพากษาเลย

-                         มีข้อสังเกตว่าหากเป็นกรณีของซื้อที่ดินมาแล้วโอนไปต่ออีกทอดจะได้สิทธิตามม.309 ตรีได้หรือไม่ ตามแนวคิดอาจารย์เห็นว่าน่าจะถือว่าผู้รับโอนนั้นรับโอนซึ่งสิทธิตามม.309ตรีไปด้วย    )

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2093/2517

ผู้ร้องเป็นผู้รับซื้อที่ดินของจำเลยได้จากการขายทอดตลาดเป็นบุคคลภายนอกคดี ไม่ใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาขนย้ายเครื่องจักรออกจากที่ดินซึ่งผู้ร้องซื้อไว้ ผู้ร้องชอบที่ไปฟ้องร้องเป็นคดีต่างหาก จะใช้สิทธิขอบังคับในคดีนี้ไม่ได้

กำหนดการบังคับคดี

มาตรา 271  ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา)มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษา หรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยอาศัยและตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น

-                         10 ปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษา ( ของศาลที่มีการทำคำพิพากษาสูงสุด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3442/2547

จำเลยมิได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาจนล่วงพ้นระยะเวลา 10 ปี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 จำเลยย่อม สิ้นสิทธิที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษาอีกต่อไป แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าการจำนองที่ดินได้ระงับสิ้นไป การจำนองที่ดิน จึงยังคงมีอยู่ แม้จำเลยสิ้นสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแต่หนี้จำนองตามคำพิพากษาแล้วก็ตาม แต่จำเลยยังคงมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จำนองตามกฎหมายกับดอกเบี้ยที่ค้างชำระในการจำนองเป็นเวลา 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 745

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 638/2531 ( เป็นฎีกาหลักที่ผมหาไม่เจอครับ )

- เป็นฏีกาที่ บอกว่าต้องอยู่ภายใต้สามเงื่อนไข ในการบังคับคดี   ( 1. ขอหมาย 2. ส่งหมาย 3. จพงบังคับดคียึด ) แม้จะเกิน10 ปีในขั้นขายทอดตลาดก็ได้  และก็ต้องยึดให้เพียงเท่าที่พอกับคำพิพากษาเท่านั้น และหากจะมีการยึดใหม่ให้พอกับคำพิพากษาก็ต้องยึดภายใน 10 ปีเช่นเดียวกัน

            - ปัญหา ( เป็นข้อสอบปีที่แล้ว ) สัญญายอมความ นั้นเป็นกรณียกเว้น คือไม่ได้นับแต่มีคำพิพากษา แต่นับแต่วันที่ทำสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 888/2540

จำเลยนำสมุดเงินฝากของธนาคารมาเป็นหลักฐานประกันในการขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างฎีกาศาลชั้นต้นมีหนังสือห้ามจำเลยถอนเงินจากสมุดเงินฝากดังกล่าวสมุดเงินฝากของธนาคารซึ่งจำเลยนำมาวางต่อศาลชั้นต้นเป็นเพียงหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างฎีกาเท่านั้นว่าจำเลยมีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์สมุดเงินฝากดังกล่าวจึงมิใช่เป็นตัวเงินซึ่งจำเลยนำมาวางต่อศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาแม้จำเลยแถลงต่อศาลขอชำระหนี้โดยยอมให้โจทก์รับเงินฝากดังกล่าวไปจากศาลชั้นต้นได้ก็ตามโจทก์ไม่อาจขอให้ศาลมีคำสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามสมุดเงินฝากนั้นให้โจทก์ได้วิธีการที่ศาลจะให้ธนาคารส่งเงินตามสมุดเงินฝากมาเพื่อจ่ายให้โจทก์จำต้องดำเนินการตามหมายบังคับคดีถือไม่ได้ว่าจำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าเมื่อจำเลยแถลงต่อศาลขอให้โจทก์รับเงินจากสมุดเงินฝากดังกล่าวไปจากศาลชั้นต้นย่อมเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องให้โจทก์แล้วหนี้ตามคำพิพากษาย่อมระงับโจทก์จึงไม่อาจบังคับคดีแก่จำเลยได้อีกนั้นประเด็นข้อนี้จำเลยมิได้อุทธรณ์ไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคแรก

-                         จะเห็นได้ว่าจากฏีกานั้น คือจะต้องมีหมายบังคับคดีในกรณีที่ต้องการให้เจ้าพนักงานไปอายัด การขอทุเลาเป็นเพียงขั้นตอนก่อนศาลตัดสินเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5810/2548

ในวันที่ยื่นฎีกาโจทก์ได้ยื่นคำร้องลักษณะเดียวกันต่อศาลชั้นต้นด้วย แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องโดยเห็นว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาในเรื่องดังกล่าวชอบแล้ว หากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้นก็ต้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 โจทก์จะใช้สิทธิฎีกาคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวโดยตรงต่อศาลฎีกาไม่ได้เพราะเป็นการปฏิบัติผิดขั้นตอนของลำดับชั้นศาลไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความ

การที่จำเลยที่ 2 นำสมุดเงินฝากของธนาคารมาเป็นหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์พร้อมกับทำสัญญาค้ำประกันต่อศาลชั้นต้นว่า ถ้าจำเลยทั้งสองแพ้คดีและไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 2 ยอมให้บังคับคดีเอาจากหลักทรัพย์คือสมุดเงินฝากที่นำมาวางศาลนั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์จะอ้างว่าเมื่อโจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์และจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์เงินในสมุดเงินฝากดังกล่าวจึงตกเป็นของโจทก์โดยปริยายหาได้ไม่ แม้สัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำต่อศาลชั้นต้นจะยังมีผลบังคับอยู่ แต่สัญญาดังกล่าวก็ระบุว่าถ้าจำเลยทั้งสองแพ้คดีและไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 2 ยอมให้บังคับคดีเอาจากหลักทรัพย์คือสมุดเงินฝากที่นำมาวางศาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจะต้องมีการบังคับคดีเสียก่อนศาลจึงจะมีคำสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามสมุดเงินฝากนั้นแก่โจทก์ได้ เมื่อโจทก์มิได้ร้องขอให้บังคับแก่จำเลยที่ 2 ให้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จนล่วงพ้นระยะเวลา 10 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 โจทก์ก็ย่อมสิ้นสิทธิบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะยึดสมุดเงินฝากดังกล่าวไว้เป็นหลักประกันหรือเพื่อบังคับคดีอีกต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 800/2537

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องดำเนินวิธีการบังคับคดีตามขั้นตอนให้ครบถ้วนภายในกำหนด 10 ปี คือต้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีก่อน ขั้นต่อไปต้องแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าศาลได้ออกหมายบังคับคดีแล้ว จากนั้นต้องแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา บทบัญญัตินี้ไม่ได้หมายความว่าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเพียงแต่ขอหมายบังคับคดีภายใน10 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้วเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะดำเนินวิธีบังคับอย่างไรต่อไปเมื่อพ้นกำหนดเวลา 10 ปีแล้วก็ได้เพราะจะเป็นผลให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องถูกบังคับคดีโดยไม่มีกำหนดเวลา และกำหนดเวลา 10 ปีตามมาตรานี้ ตามปกติย่อมต้องนับตั้งแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุดเป็นต้นไป มิใช่นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่จำเลยคัดค้านการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลย แต่โดยที่หนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่มีคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติซึ่งโจทก์ร้องขอให้บังคับคดีนี้นั้น จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยผ่อนชำระเป็นงวดตามจำนวนเงินที่ระบุและภายในระยะเวลาที่กำหนดเป็นคราว ๆโดยกำหนดเริ่มชำระงวดแรกในวันที่ 30 เมษายน 2524 หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีเช่นนี้ หากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมเลย กำหนดเวลา 10 ปี ที่โจทก์จะต้องขอให้บังคับคดีแก่จำเลยจึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2524อันเป็นวันแรกที่โจทก์อาจขอให้บังคับคดีแก่จำเลยได้เป็นต้นไปโจทก์ได้ยื่นคำแถลงขอให้ทำการยึดทรัพย์ของจำเลย เมื่อวันที่ 14กันยายน 2534 จึงล่วงเลยเวลาที่บังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3529/2541

ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมและมีคำสั่งท้ายคำพิพากษาว่าบังคับตามยอม ทั้งมีคำสั่งไว้ที่หน้าสำนวนว่า บังคับ ตามยอม หากไม่ปฏิบัติตามจะถูกยึดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยโจทก์กับจำเลยได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ ถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้มีคำบังคับกำหนดวิธีที่จะปฏิบัติตามคำบังคับนั้นไว้และจำเลยทราบคำบังคับนั้นแล้ว เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์จะ ต้องร้องขอให้บังคับคดีอีกชั้นหนึ่ง โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ประสงค์จะบังคับคดีโดยนำเงิน18,200,000 บาท มาวางศาลเพื่อชำระแก่จำเลยตามคำพิพากษาตามยอมและคำบังคับ อันเป็นการชำระหนี้ต่างตอบแทนในการขอให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมแต่คำบังคับของศาลไม่มีกรณีต้องดำเนินการทางเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือต้องยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดี การยื่นคำร้องดังกล่าวของโจทก์ถือได้ว่าเป็นการร้องขอให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 เมื่อเป็นการร้องขอให้บังคับคดีของโจทก์ชอบด้วยกฎหมาย การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีเพื่อให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมและคำบังคับก็ย่อมชอบ ด้วยกฎหมายด้วย แม้การบังคับคดีจะยังไม่แล้วเสร็จภายใน สิบปีก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2393/2536

ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อวันที่16 ธันวาคม 2531 ความว่า โจทก์ยอมให้ที่ดินที่เป็นเกาะมีบ้านจำเลยปลูกอยู่เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ในโฉนดเลขที่ 1924 เป็นของจำเลย และจะไปขอแบ่งแยกให้ ทั้งสองฝ่ายจะไปยื่นขอแบ่งแยกภายในเดือนมกราคม 2514 แต่จำเลยยื่นคำร้องขอให้บังคับคดีเมื่อวันที่17 ตุลาคม 2533 เป็นเวลาเกินกว่าสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา จึงหมดสิทธิบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271แม้กรณีเป็นดังที่จำเลยอ้างว่าเป็นเรื่องการแบ่งทรัพย์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ทั้งโจทก์เป็นฝ่ายเพิกเฉยไม่ไปขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินแล้วกลับมาฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีใหม่ และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทด้วยการครอบครองปรปักษ์แล้วก็ตาม ก็หามีบทกฎหมายใดบัญญัติให้มีการขอบังคับคดีเกินกว่าสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1862/2523

ที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังแล้วสั่งบังคับภายใน 30 วัน มีความหมายว่าให้คู่ความปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาภายในกำหนดนั้น ถ้าไม่ปฏิบัติจะถูกบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 หากว่าเจ้าหนี้ ตามคำพิพากษาขอให้บังคับคดีเมื่อโจทก์และจำเลยต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ตามคำพิพากษาด้วยกันทั้งสองฝ่ายย่อมมีสิทธิขอบังคับคดีภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาไม่ใช่ว่าเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามคำบังคับแล้วจะบังคับคดีไม่ได้

เรื่องการบังคับคดีเมื่อศาลมีคำสั่งไปครั้งหนึ่งแล้ว แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งนั้นโจทก์ก็ยื่นคำร้องขอใหม่ได้โดย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144(5) บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้

 

-.ในเรื่องของระยะเวลาการบังคับคดี ในทางวิชาการมีความเห็นว่าไม่ใช่อายุความจึงสามารถย่นหรือขยายได้แต่ทางปฏิบัติ ไม่เคยมีฏีกาที่อนุญาตให้มีการขยายระยะเวลาออกไปมากกว่า 10 ปี เพราะเหตุเป็นการทำให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเสียเปรียบ

และมีกรณีเรื่องเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาถึงแก่ความตาย ก็มีแนวฏีกาว่าทายาทสามารถบังคับได้ แต่ปัญหาที่น่าคิดว่า ทายาทก็ไม่ใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะมาบังคับได้อย่างไร ก็เป็นแนวคิดถึงเรื่องมรดก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 604/2549

คำฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ น. เพื่อให้แบ่งทรัพย์มรดกและขอให้ถอดถอนจำเลยจากการเป็นผู้จัดการมรดกของ น. อันเป็นการพิพาทในฐานะจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของ น. ซึ่งต้องแบ่งปันทรัพย์มรดกของ น. ให้แก่โจทก์ หาได้พิพาทกันในฐานะส่วนตัวไม่ ดังนั้นการที่ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิของโจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้ฟ้องมารดาซึ่งเป็นบุพการีของตน กรณีจึงไม่ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1562

แม้ผู้ร้องจะไม่อาจเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ได้เพราะคดีถึงที่สุดในศาลชั้นต้นก่อนแล้วก็ตาม แต่การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ก็เพื่อมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลยในฐานะจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของ น. และโจทก์มีสิทธิดังกล่าวก่อนที่จะถึงแก่กรรม เมื่อโจทก์ถึงแก่กรรมจึงตกทอดแก่ผู้ร้อง ผู้ร้องอยู่ในฐานะเป็นผู้รับมรดกของโจทก์และเป็นผู้รับพินัยกรรมย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 และมาตรา 1600 จึงมีสิทธิที่จะเข้าเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์และดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้

-                         ก็มีปัญหา ว่าถ้าไม่ใช่กรณีตายล่ะจะเข้ามาได้หรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 761/2544

จำเลยเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลย 450,000 บาท แต่สิทธิในการบังคับคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271 กำหนดให้เป็นสิทธิของคู่ความฝ่ายที่ชนะคดี (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) เท่านั้น ที่จะร้องขอให้บังคับคดีได้ โจทก์มิใช่บุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดี จึงไม่มีสิทธิตามมาตรา 271 และโจทก์ไม่อาจเข้าสวมสิทธิในการบังคับคดีของจำเลย ซึ่งเป็นสิทธิที่กฎหมายให้ไว้แก่บุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดี

โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยก่อนวันที่พระราชบัญญัติล้มละลาย(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2542 ใช้บังคับและคดียังคงค้างพิจารณาอยู่ในศาลจึงต้องบังคับตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ที่เป็นกฎหมายว่าด้วยล้มละลายซึ่งใช้อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2542 ใช้บังคับตามพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2542มาตรา 34 จึงไม่อาจนำหลักเกณฑ์จำนวนหนี้ขั้นต่ำที่อาจฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลายฉบับดังกล่าวมาเปรียบเทียบและถือเป็นเหตุอันไม่สมควรให้จำเลยล้มละลายในคดีนี้ได้ กรณีจึงไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 14

แต่ต่อมามีฏีกา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3044/2545

โจทก์โอนสิทธิเรียกร้องที่จะได้รับเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้นตามคำพิพากษาให้แก่ผู้ร้อง โดยโจทก์และผู้ร้องได้มีหนังสือแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทราบแล้ว การโอนสิทธิเรียกร้องรายนี้ย่อมสมบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306 วรรคหนึ่ง ดังนั้น สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับชำระหนี้จากจำเลยทั้งสามตามคำพิพากษาในคดีนี้จึงตกเป็นของผู้ร้อง โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะรับเงินตามคำพิพากษาจากจำเลยทั้งสาม การที่โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับเงินที่จำเลยที่ 2 นำมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา ซึ่งศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับตามคำแถลงของโจทก์อันเป็นการดำเนินการในชั้นบังคับตามคำพิพากษาทั้ง ๆ ที่โจทก์สิ้นสิทธิดังกล่าวไปแล้ว เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต กรณีนี้ผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งและถูกโต้แย้งสิทธิ จึงชอบที่จะร้องสอดเข้ามาในชั้นบังคับตามคำพิพากษาได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1)

แต่ต่อมาก็มีกา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7567/2547 ( หาไม่เจอครับ ) ก็เป็นปัญหาเนื่องจากมีฏีกากลับไปมาอยู่ โดยฏีกาปี 47 บอกว่ากรณีอย่างนี้ไม่ได้แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5842/2549

ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 โจทก์ต้องดำเนินการบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสองภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา แม้ผู้ร้องจะได้รับโอนสิทธิเรียกร้องของโจทก์โดยการประมูลซื้อสิทธิเรียกร้องรายนี้มาจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้ร้องก็ได้สิทธิมาเท่าที่โจทก์มีอยู่ ผู้ร้องจึงตกอยู่ในบังคับที่จะต้องบังคับคดีภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอม

การอนุญาตให้บุคคลใดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 เป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาตามความจำเป็นและความสะดวกในการพิจารณาคดี เมื่อผู้ร้องไม่อาจใช้สิทธิบังคับคดีเอาแก่จำเลยทั้งสองเพราะเกินกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายแล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3008/2549

เมื่อโจทก์ตกเป็นบุคคลล้มละลาย พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 123 บัญญัติให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะขายทรัพย์สินที่รวบรวมได้มาตามวิธีที่สะดวกและเป็นผลดีที่สุด โดยมีเงื่อนไขว่าการขายโดยวิธีอื่นนอกจากการขายทอดตลาดต้องได้รับความเห็นชอบของกรรมการเจ้าหนี้ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกาศขายสิทธิเรียกร้องของโจทก์โดยวิธีอื่นตามมติของที่ประชุมเจ้าหนี้ในคดีล้มละลายเป็นการดำเนินการตามบทกฎหมายดังกล่าว ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินและได้มาซึ่งสิทธิเรียกร้องของโจทก์รวมถึงสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้จากการขายดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าเป็นผู้มีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งในอันที่จะร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีเพื่อยังให้ได้รับความคุ้มครองและบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) ได้

โจทก์ได้เสียค่าขึ้นศาลไว้แล้ว และการร้องสอดของผู้ร้องเพื่อเข้ามาแทนที่โจทก์เดิม การที่ผู้ร้องจะต้องเสียค่าขึ้นศาลอีกหรือไม่จะต้องพิจารณาว่าผู้ร้องได้เรียกร้องอะไรหรือไม่ด้วย เมื่อผู้ร้องขอเข้าสวมสิทธิแทนโจทก์โดยไม่ได้เรียกร้องอะไรเพิ่มเติมอีก จึงไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาล

 

กรณีนี้ก็คือ สถาบันการเงิน ไม่เหมือนกับฏีกาตาม แรกๆที่เป็นเพียงบุคคลธรรมดา ตามฎีกา ปี 47 ที่ทำไม่ได้ บางคนว่าเป็นการขายความรึเปล่าไม่ใช่เพราะความมันจบไปแล้ว เป็นประเด็นเรื่องการสวมสิทธิการบังคับคดีที่อยากพูดถึง และประเด็นนี้ยังไม่มีการออกเป็นข้อสอบ

การบังคับคดีตาม ม.271  การบังคับลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็ให้ลูกหนี้ทำตามลำดับ ไม่ใช่ให้ลูกหนี้เลือกอย่างตามกฎหมายหนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำตามลำดับ

ใน 271 ใช้ในคดีอาญาด้วย ( คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องอาญา หรือ คดีอาญาก่อให้เกิดสัญญาทางแพ่ง เช่นการประกันตัว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3798/2533 หาไม่เจอครับ

ระยะเวลา 10 ปีนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบ คู่ความไม่อาจตกลงแก้ไขกันได้

การดำเนินคดีแพ่ง เป็นเรื่องระหว่างเอกชนกับเอกชน สิ่งที่ตกลงกันไม่ฝ่าฝืนกฎหมายก็ตกลงกันได้เลย

            การบังคับคดีแม้บังคับแล้วเกิน 10 ปีก็สามารถบังคับต่อเนื่องได้ การบังคับคดีนั้นถ้าคู่กรณีจะบังคับคดีมีปัญหาว่าศาลใดจะบังคับคดี ดูมาตรา 302 คือ ศาลชั้นต้นนั่นเอง เว้นแต่ว่าศาลสูงจะให้ย้อนสำนวน แล้วให้ศาลชั้นต้นอื่นบังคับคดีแทน

            บางคดีไม่ใช่กรณีต่อเรื่องกับคดีเดิม จะอ้างผลคดีเดิมไม่ได้ต้องไปฟ้องคดีใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 358/2504

โจทก์จำเลยทำยอมความกันว่า ให้ถือตรอกทางเดินที่พิพาทเป็นทางสาธารณะ และจำเลยยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปศาลพิพากษาตามยอมและจำเลยปฏิบัติตามยอมแล้วต่อมาโจทก์กลับปลูกสร้างขึ้นบนทางเดินนั้นดังนี้ จำเลยจะมาร้องขอในคดีเดิมให้บังคับโจทก์รื้อไม่ได้เพราะเป็นกรณีที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่ใช่กรณีตามยอม

กรณีมีปัญหาว่าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้นจะบังคับกับบุคคลภายนอกไม่ได้

การบังคับคดีต้องเป้นไปตามคำพิพากษาและคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776/2486

ฎีกาคำสั่งชั้นบังคับคดีเป็นฟ้องฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3) ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลตาม มาตรา 149,150 ฎีกาคำสั่งเรื่องแปลความหมายในคำพิพากษาของศาลนั้นเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงต้องเรียกค่าขึ้นศาลตาม ข้อ 2 ในตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งมีความว่าให้จำเลยปฏิบัติตามที่ศาลสั่งบังคับใน 1 เดือนนั้นหมายเฉพาะบังคับจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายแพ้ไม่ใช่บังคับฝ่ายโจทก์ด้วย ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11/2486

จบมาตรา 271

 

ครั้งที่ 2(ชั่วโมงที่ 4 )

            วันที่ พุธที่ 17 ธ.ค. ให้อาจารย์ สมพงษ์มาสอน ส่วนอาจารย์ก็คงจะเป็นการสอน ในปีหน้าเลย

            วันนี้อาจารย์จะพูดถึงคำบังคับหรือหมายบังคับคดี

(   มาตรา 272 ถ้าศาลได้พิพากษาหรือมีคำสั่งอย่างใดซึ่งจะต้องมีการบังคับคดีก็ให้ศาลมีคำบังคับกำหนดวิธีที่จะปฏิบัติตามคำบังคับในวันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง และเจ้าพนักงานศาลส่งคำบังคับนั้นไปยังลูกหนี้ตามคำพิพากษา เว้นแต่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้อยู่ในศาลในเวลาที่ศาลมีคำบังคับนั้น และศาลได้สั่งให้ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ   )

กระบวนการบังคับคดีตามวิแพ่ง ก็จะออกบังคับ พ้นกำหนด ก็จะออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี

            ฉะนั้นการออกคำบังคับต้องผ่านกระบวนการนี้ทุกคดี

            คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นก็คือ ที่จะต้องมีคำบังคับ ( การบังคับคดีได้จะต้องเป้นคดีที่มีการบังคับ เคยพูดไปแล้วว่าไม่จำเป็นทุกคดีที่ต้องมีการบังคับคดี แล้วแต่รูปเรื่องตามคำพิพากษา

            ก็ให้ศาลมีคำบังคับ แหนะบังคับศาลอีก ตามตัวบทแสดงว่า คำบังคับในคดีแพ่งต้องมีคำบังคับเสมอ ถ้าไม่มีแสดงว่าผิดกฎหมายใช้ 296 เพิกถอนได้เลย

            คำพิพากษาปกติจะเป็นเหตุผลว่าต้องชดใช้หรืออย่างไรแค่นั้นจะไม่มีคำบังคับในตัว จึงต้องออกคำบังคับตาม 272

            เป็นหน้าที่ของศาลที่ต้องออกโดยที่คู่ความไม่จำเป็นต้องร้องขอ โดยจากตัวบทและทางปฏิบัติ ก็จะมีการออกคำบังคับในวันที่อ่านคำพิพากษาเลย ฉะนั้นจะเห็นว่าคนที่แพ้ไม่ค่อยชอบไปศาล เพราะรู้ว่าถ้าไปแล้วจะโดนอ่านคำบังคับแล้วจะโดน ถือว่ารับทราบแล้ว เพราะตามป.วิ.พ. ไม่จำเป็นต้องอ่านคำพิพากษาต่อหน้าคู่ความ

            แม้เป็นหน้าที่ของศาลที่ต้องทำแต่ตัวความก็ต้องดูแลติดตามด้วย  การปิดหมายป.วิ.พ.ก็ใช้วิธีนับ 15 วันนับแต่ปิดหมาย

            การทำยอมกัน สัญญายอมความตาม 138  โดยปกติก็จะเ ขียนหน้าปกสำนวนเลยว่า      ฎ. 184/083 ก็ถือว่าทราบคำบังคับแล้ว บังคับตามยอมไม่เช่นนั้นจะถูกยึดทรัพย์จับกุมกักขัง

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1938/2527

ศาลพิพากษาตามยอมและมีคำสั่งท้ายคำพิพากษาเพียงว่าบังคับคดีตามยอม เท่านั้นยังถือไม่ได้ว่าศาลได้มี คำบังคับแล้วและที่ศาลมีคำสั่งว่าบังคับคดีใน 30 วัน นั้นหมายความว่าให้มีคำบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความภายใน 30 วัน ตามที่บัญญัติไว้ ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 272 และมาตรา273 เสียก่อนมิใช่เป็นคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 276 วรรคแรกศาลจะออกหมายบังคับคดีให้ทันทีได้ต่อเมื่อเห็นว่าคำบังคับ ได้ส่งให้แก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษา ได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญแล้วและระยะเวลาที่ศาล ได้กำหนดไว้เพื่อปฏิบัติตามคำบังคับนั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว ด้วยเมื่อปรากฏว่าการออกหมายบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ ดังกล่าวคู่ความฝ่ายซึ่งถูกบังคับคดีย่อมขอให้ศาลมีคำสั่งให้ยกหมายบังคับคดีเสียได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคแรก

 

 เมื่อศาลไม่ได้เขียน เขียนเพียงบังคับตามยอมเท่านั้น ยังไม่ถือว่าศาลได้มีคำบังคับแล้ว  มีเพียงให้ปฏิบัติตามมาตรา 272  ,มาตรา 273 ก่อนเท่านั้น

            จะเห็นว่า 273 คือต้องมีถ้อยคำว่าหากไม่ทำตามสัญญายอมจะโดนบังคับอย่างไร กล่าวคือต้องเขียนถึงสภาพบังคับไว้

            ทนายความแม้จะไม่ได้แต่งให้ทราบคำบังคับก็ตาม แต่ถือว่าเป็นคู่ความ ตามมาตรา 1 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1652/2534

ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาทให้จำเลยทราบแล้ว แต่มิได้ออกคำบังคับให้จำเลยและบริวารปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา ดังนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยและบริวารไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์จะขอบังคับคดีต่อผู้ร้องซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นบริวารของจำเลยในชั้นนี้ไม่ได้ ปัญหาเรื่องสิทธิในการบังคับคดีเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ผู้ร้องมิได้กล่าวไว้ในคำคัดค้านก็ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225,249.

ถ้าดูในมาตรา 273 จะเห็นว่าศาลพิพากาอย่างไรคำพิพากษาก็ต้องออกตามนั้น ล้อคำพิพากษา  

            ทางปฎิบัติมักจะกำหนดไว้ว่าให้ปฏิบัติตามคำบังคับ ภายใน 30 วัน( กฎหมายไม่ได้กำหนดไว้แต่ทางปฏิบัติมักจะกำหนดเช่นนั้น ) นับแต่ทราบคำบังคับ ( ทำให้ทางปฏิบัติหากคู่ความคิดว่าจะแพ้ก้จะไม่ไปศาล )

            ส่วนในคดีมโนสาเร่มักกำหนด 15 วัน สังเกตกฎหมายใช้คำว่า  ไม่จำต้องให้ แปลว่าเป็นดุลพินิจศาล

 

        ดู  นอกจากนี้ให้ศาลระบุไว้โดยชัดแจ้งในคำบังคับว่าในกรณีที่มิได้มีการปฏิบัติตามคำบังคับเช่นว่านี้ภายในระยะเวลาหรือภายในเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องถูกยึดทรัพย์ หรือถูกจับและจำขังดังที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้  ( มาตรา 273 วรรคท้าย )

 

นี่คือคำอธิบาย 272 และ 273 ก็มีฎีกาที่เกี่ยวข้องอยู่เช่น ออกคำบังคับไม่ชอบ ก็ถือว่าบังคับคดีไม่ชอบ หรือเช่น  7519/2537

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7519/2537

ศาลพิพากษาให้จำเลยแบ่งมรดกส่วนของ ม. ตามโฉนดตราจองที่ดินและบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินแก่โจทก์หนึ่งในแปดส่วน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยในชั้นบังคับคดีแม้โจทก์จะได้ไปจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินส่วนของ ม. หนึ่งในแปดส่วนแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงการบังคับคดีส่วนหนึ่งของการบังคับตามคำพิพากษาของศาลเท่านั้น โจทก์จึงยังมีสิทธิขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาในส่วนที่บังคับให้จำเลยแบ่งตัวทรัพย์มรดกได้ เมื่อโจทก์จำเลยแถลงร่วมกันว่าไม่สามารถตกลงแบ่งที่ดินและบ้านพิพาทได้ทั้งสภาพของตัวทรัพย์ก็ไม่อาจที่จะแบ่งกันเช่นนี้โจทก์ก็ชอบที่จะให้นำที่ดินและบ้านออกประมูลกันระหว่างทายาท หรือนำออกขายทอดตลาดได้แต่การที่จะให้ประมูลกันระหว่างทายาทก็น่าจะเป็นปัญหาได้เพราะทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียมิได้เข้ามาในคดีทุกคน ดังนั้นสมควรให้นำที่ดินและบ้านออกขายทอดตลาด

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2701/2537

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์โดยให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่เหลือแก่จำเลย หากจำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ก็ให้คืนเงินมัดจำกับค่าเสียหายแก่โจทก์ดังนั้น ในการบังคับคดีจำเลยจึงต้องปฏิบัติการชำระหนี้ต่อโจทก์ตามลำดับของคำพิพากษา โดยจำเลยต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ก่อน จำเลยจะเลือกวิธีการคืนเงินมัดจำกับชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งที่จำเลยยังสามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้โดยโจทก์ไม่ตกลงด้วยหาได้ไม่ เมื่อศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาตามคำของโจทก์ซึ่งขอให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติก็ให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที และให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาแล้วแต่จำเลยไม่ปฏิบัติ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจที่จะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้ เพราะเป็นคำสั่งเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นกรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นต้องมีคำสั่งในเวลาที่ออกคำบังคับด้วยว่า หากจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินให้แก่โจทก์ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และมิใช่เป็นเรื่องแก้ไขเพิ่มเติมคำพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1652/2534

ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาทให้จำเลยทราบแล้ว แต่มิได้ออกคำบังคับให้จำเลยและบริวารปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา ดังนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยและบริวารไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์จะขอบังคับคดีต่อผู้ร้องซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นบริวารของจำเลยในชั้นนี้ไม่ได้ ปัญหาเรื่องสิทธิในการบังคับคดีเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ผู้ร้องมิได้กล่าวไว้ในคำคัดค้านก็ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225,249.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2419/2537

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 272 วรรคหนึ่งและมาตรา 276 วรรคหนึ่ง หากจะมีการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลจะต้องมีการออกคำบังคับเพื่อให้โอกาสจำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก่อนหากจำเลยยอมปฏิบัติตามคำบังคับก็ไม่จำต้องออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดี แต่หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติ จึงจะมีการออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดีแก่จำเลยต่อไป คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ขอออกคำบังคับและส่งให้จำเลยทราบแล้วแต่จำเลยยื่นอุทธรณ์และได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หลังจากศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วไม่ปรากฏว่าได้มีการออกคำบังคับเพื่อแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อยังไม่ได้ออกคำบังคับแจ้งให้จำเลยทราบเพื่อให้โอกาสจำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก่อน ย่อมจะออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดีแก่จำเลยอันเป็นการขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3979/2549

ป.วิ.อ.มาตรา 50 บัญญัติว่า ในกรณีที่ศาลสั่งให้คืนทรัพย์สินหรือใช้ราคาแก่ผู้เสียหายตามมาตรา 43 และ 44 ให้ถือว่าผู้เสียหายนั้นเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ดังนั้น ผู้เสียหายที่จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามมาตราดังกล่าวจะต้องเป็นผู้เสียหายเฉพาะในความผิดตาม ป.วิ.อ.มาตรา 43 เท่านั้น อันได้แก่ คดีลักทรัพย์ ฯลฯ ผู้ร้องเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานรุกล้ำคลองชลประทานตาม พ.ร.บ.การชลประทานหลวง พ.ศ.2485 ไม่ใช่ความผิดตามที่ระบุไว้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 43 ไม่ต้องด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 50 ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจขอเข้าดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี

                        ขอจบเรื่องหมายบังคับตามมาตรา 272 มาตรา 273 เพียงเท่านี้ ในคราวหน้าซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นปีหน้าเลย

Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages