หากเอกสารสรุปคำบรรยายนี้ มีข้อผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้า kankokub ขออภัยและน้อมรับแต่เพียงผู้เดียว หากจะมีประโยชน์อยู่บ้างขอมอบให้แก่ ท่านอาจารย์นพพร โพธิรังสิยากร ผู้บรรยาย , ผู้ก่อตั้ง lawsiamgooglegroups และ คุณแบ่งปัน ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้ฟังคำบรรยาย , บิดามารดาข้าพเจ้า
เราพุดถึง 226 ต่อคราวที่แล้วเราพูดในลักษณะของการโต้แย้ง คำว่าโต้แย้งยังไม่ได้คุยถึงว่าอะไรคือการโต้แย้ง อาจจะทำเป็นคำแถลงหรือบอกให้ศาลจดก็ได้ ต้องโต้แย้งหลังจากศาลมีคำสั่งนั้น จะโต้แย้งไว้ก่อนไม่ได้ ทำอย่างไรก็ได้ให้เห็นว่าไม่เห็นด้วย
ฎ.3467/2538
ยื่นแล้วศาลไม่ให้ก็มายื่นซ้ำแต่ไม่ได้บอกว่าโต้แย้งยังไม่เป็นการโต้แย้ง
ฎ.5174/2539
ฎ.6380/2539
การโต้แย้งคือสิ่งที่กระทำไม่เห็นด้วย กับคำสั่งศาล
ฎ.1747/2530
แม้ไม่อธิบายสาเหตุถือว่าโต้แย้งเพราะไม่เห็นด้วย
มาตรา ๒๒๖ ก่อนศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลนั้นได้มีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา ๒๒๗ และ ๒๒๘
(๑) ห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา
(๒) ถ้าคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคำสั่งใด ให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นลงไว้ในรายงานคู่ความที่โต้แย้งชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษา หรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้นเป็นต้นไป
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ไม่ว่าศาลจะได้มีคำสั่งให้รับคำฟ้องไว้แล้วหรือไม่ให้ถือว่าคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งของศาลนับตั้งแต่มีการยื่นคำฟ้องต่อศาลนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา ๒๒๗ และ ๒๒๘ เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6975/2549
ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาเพียงว่าทนายจำเลยแถลงโต้แย้งคัดค้านเฉพาะคำสั่งที่อนุญาตตามคำร้องฉบับลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2541 เท่านั้น ดังนั้น การที่ทนายจำเลยเพียงแต่จดแจ้งข้อโต้แย้งคัดค้านไว้ในคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 5 มกราคม 2542 ถือไม่ได้ว่าทนายจำเลยโต้แย้งคำสั่งศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 26 และมาตรา 226 จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องตามคำร้องฉบับดังกล่าว
ในส่วนที่โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่าภายหลังจากแจ้งยกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรแก่จำเลยแล้วจำเลยนำเงินมาชำระหนี้คืนโจทก์ระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม 2538 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2540 เป็นเงินจำนวน 54,200 บาท เป็นการเพิ่มเติมฟ้องในสาระสำคัญเกี่ยวกับประเด็นที่จำเลยในการต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ซึ่งการชำระหนี้บางส่วนย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลง การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องโดยไม่ได้ส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยทราบล่วงหน้าก่อนมีคำสั่งจึงเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 181 (1) แต่อย่างไรก็ดี เมื่อจำเลยให้การว่าคดีขาดอายุความ แม้จะไม่มีการเพิ่มเติมฟ้องดังกล่าว ศาลก็สามารถหยิบยกเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงโดยการชำระหนี้บางส่วนซึ่งปรากฏในทางพิจารณาแล้วขึ้นวินิจฉัยว่าคดีไม่ขาดอายุความได้ กรณีจึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3467/2537
โจทก์ยื่นคำร้องฉบับแรกขอให้เรียกบิดามารดาจำเลยเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา การที่โจทก์ยื่นคำร้องฉบับที่ 2 ซึ่งมีข้อความอย่างเดียวกับคำร้องฉบับแรกโดยมิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นแต่ประการใด ถือไม่ได้ว่ามีการโต้แย้งคัดค้านคำสั่งแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5174/2539
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้ว จำเลยไม่เห็นด้วยจึงยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าข้ออ้างของจำเลยขาดเหตุผลยกคำร้องคำร้องดังกล่าว เท่ากับเป็นการโต้แย้งคำสั่งศาลในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพื่อการใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226(2) แล้ว หาจำต้องโต้แย้งคำสั่งศาลที่ให้ยกคำร้องในครั้งหลังอีกไม่ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินมัดจำและเรียกค่าเสียหายตามสัญญาจะซื้อขาย จำเลยให้การต่อสู้ว่าลายมือชื่อจำเลยในสัญญาเป็นลายมือชื่อปลอม จำเลยไม่ได้รับเงินมัดจำจากโจทก์ จำเลยไม่ได้มีเจตนาทำสัญญาจะซื้อขายกับโจทก์ สัญญาดังกล่าวเป็นการกระทำโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญของสัญญา โจทก์กับพวกร่วมกันฉ้อฉลจำเลย จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลย เท่ากับเป็นการต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะซื้อขายกับโจทก์และปฎิเสธความสมบูรณ์ของสัญญาด้วยว่าไม่มีผลผูกพันระหว่างโจทก์จำเลย คำให้การจึงหาได้ขัดแย้งกันไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6380/2539
เดิมศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทไว้ 2 ข้อ ต่อมาได้กำหนดประเด็นพิพาทเพิ่มว่า โจทก์ฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่ดินพิพาทเกิน 1 ปี นับแต่จำเลยครอบครองหรือไม่ โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าคำให้การของจำเลยไม่มีประเด็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ขอให้เพิกถอนประเด็นที่กำหนดเพิ่ม ถือว่าโจทก์ได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่กำหนดประเด็นพิพาทเพิ่มแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งคำร้อง ว่าไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงประเด็นพิพาทซึ่งกำหนดไว้แล้ว ให้ยกคำร้องโจทก์ก็ไม่จำต้องโต้แย้งคำสั่งในตอนหลังนี้อีก โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยซื้อมาจากผู้อื่นแม้จะต่อสู้ด้วยว่า โจทก์ฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ก็ไม่ก่อให้เกิดประเด็นเรื่องแย่งการครอบครอง เพราะการแย่งการครอบครองจะมีขึ้นได้แต่เฉพาะที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทในเรื่องนี้จึงไม่ชอบ และแม้ศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบต้องห้ามฎีกา
ถ้าไม่เขียนว่าโต้แย้งเป็นการขอให้ศาลเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมหรือเปล่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1747/2530
ในวันที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์เพราะโจทก์ไม่มาศาลนั้นเองทนายโจทก์ยื่นคำร้องว่า รถยนต์ขัดข้องระหว่างทางไม่สามารถแก้ไขให้ใช้การได้ ได้รีบว่าจ้างรถรับจ้างมาศาลแต่มาถึงศาลช้าไปประมาณ 15-20 นาที ขอให้ศาลยกเลิกคำสั่งและสืบพยานโจทก์ต่อไปคำร้องดังกล่าวพอถือได้ว่าโจทก์ได้โต้แย้งคำสั่งของศาลไว้แล้วโจทก์อุทธรณ์ฎีกาได้ ในวันนัดสืบพยานโจทก์ต่อ โจทก์และทนายรวมทั้งพยานโจทก์ไม่มาศาลตามนัด จำเลยแถลงขอให้ถือว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำแถลงของจำเลยมีเหตุผล จึงให้งดสืบพยานโจทก์และให้นัดสืบพยานจำเลย วันเดียวกันทนายโจทก์ยื่นคำร้องว่า รถยนต์ขัดข้องระหว่างทางจึงมาถึงศาลช้า ไปประมาณ 15-20 นาที ขอให้ศาลยกเลิกคำสั่งและให้สืบพยานโจทก์ต่อไป ดังนี้ ศาลชั้นต้นต้องดำเนินการไต่สวนและมีคำสั่งคำร้อง ของ โจทก์ก่อน
หมายเหตุ
โจทก์และทนายรวมทั้งพยานไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ต่อมิใช่วันสืบพยานนัดแรกจึงไม่เป็นกรณีโจทก์ขาดนัดพิจารณา การที่ศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยาน เป็นเพียงความเข้าใจของศาลชั้นต้น เมื่อโจทก์มาแถลงว่ารถยนต์ขัดข้องระหว่างทาง ได้รีบว่าจ้างรถรับจ้างมาศาลแต่มาถึงศาลช้าไปประมาณ 15-20 นาที ขอให้ยกเลิกคำสั่งและให้โจทก์สืบพยานต่อไป ดังนี้หากเป็นความจริงก็ไม่พอถือว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานตามที่ศาลชั้นต้นเข้าใจในตอนแรกศาลชั้นต้นจึงต้องไต่สวนให้ได้ความว่าเป็นความจริงดังที่โจทก์อ้างหรือไม่ หากเป็นความจริงก็ต้องให้โจทก์สืบพยานได้ การที่ศาลชั้นต้นไม่ไต่สวนและพิจารณาคดีไปจึงไม่เป็นไปตามขั้นตอนแห่งการดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(2) ศาลอุทธรณ์จึงต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเสียให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของโจทก์แล้วมีคำสั่งและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1778/2519 และที่ 1719/2520)
อย่างไรก็ดี ถ้าศาลอุทธรณ์พิเคราะห์จากพฤติการณ์ในสำนวนแล้วเชื่อว่า เป็นความจริงตามคำร้อง ศาลอุทธรณ์จะไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนก่อนโดยจะวินิจฉัยเชื่อเช่นนั้นแล้วพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีต่อไปก็ได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14/2522)
กรณีเช่นนี้แตกต่างกับการที่โจทก์ไม่มาศาลในวันสืบพยานนัดแรกซึ่งถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและศาลต้องจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 และจะพิจารณาคดีใหม่ไม่ได้ ฉะนั้น แม้โจทก์มาร้องภายหลังว่ามาศาลไม่ได้เพราะเหตุจำเป็น ไม่จงใจขาดนัด ศาลชั้นต้นก็ไม่จำเป็นจะต้องไต่สวนคำร้องของโจทก์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2045/2514 และที่1271/2530) เว้นแต่เป็นการอ้างว่าศาลสั่งจำหน่ายคดีโดยผิดหลงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ เช่น เจ้าหน้าที่ศาลจดวันนัดผิดศาลออกนั่งพิจารณาจึงไม่มีฝ่ายใดมาศาลอันเป็นความผิดของศาลเองดังนี้ หากไต่สวนได้ความว่าเป็นความจริง ศาลชั้นต้นย่อมต้องสั่งให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีเสีย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2516).
สมบูรณ์ บุญภินนท์
ปัญหาคือถ้าไม่เห็นด้วยแล้วอุทธรณ์ทันที ศาลสั่งไม่รับอุทธรณ์ จะถือว่าการที่อุทธรณ์ทันทีเป็นโต้แย้งแล้วหรือยัง แต่มีฎีกาอีกสายหนึ่ง 2 ฎีกาต่อไปนี้เห็นว่าในเมื่อศาลสั่งต้องโต้แย้งแล้วห้ามอุทธรณ์ทันที ผลของการทำผิดกฎหมายไม่ทำให้เป็นการโต้แย้ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 761/2508
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลสั่งขาดนัดยื่นคำให้การแล้วจำเลยยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งนั้นกลับอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณายกอุทธรณ์จำเลยไม่ฎีกา ปัญหาเรื่องขอยื่นคำให้การจึงยุติแล้วจำเลยจะกลับยกขึ้นฎีกาอีกเมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนั้นแล้วไม่ได้
โจทก์นำสืบหลักฐานได้น้อยไปกว่าที่ฟ้องไว้ ไม่ถึงกับทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์ไม่เกิดขึ้น จนถึงกับจะต้องยกฟ้องโจทก์เพราะเหตุมูลคดีที่ฟ้องไม่มี
โจทก์บอกเลิกการเช่ากับจำเลยแล้ว จำเลยนำเงินค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหายเท่าจำนวนค่าเช่าสำหรับเดือนต่อๆ มาหลังจากบอกเลิกการเช่าแล้วไปชำระเจ้าหน้าที่ผู้รับเงินของโจทก์ด้วยความผิดพลาดได้ออกใบรับให้แก่จำเลยโดยรวมเรียกค่าเสียหายเป็นค่าเช่าด้วยดังนี้ไม่ถือว่าสัญญาเช่ายังคงผูกพันอยู่ เพราะสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับไปตั้งแต่โจทก์บอกเลิกการเช่าแล้ว แม้จำเลยจะอยู่ต่อมาก็ได้ชื่อว่าอยู่โดยละเมิดสิทธิโจทก์ นิติสัมพันธ์ทางสัญญาเช่าย่อมไม่เกิดขึ้นใหม่อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2520
เมื่อเลิกสัญญาจ้างทำของผู้ว่าจ้างเรียกเงินที่ผู้รับจ้างรับล่วงหน้าไปคืน ไม่ใช่กรณีผู้รับจ้างเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) มีอายุความ 10 ปี ตาม มาตรา 164
จำเลยขอให้เรียกคนภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลยกคำร้องจำเลยอุทธรณ์คำสั่งแต่ศาลไม่รับอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์คำสั่งนี้เมื่อศาลพิพากษาแล้ว ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ศาลไม่รับนั้นเป็นการโต้แย้งคำสั่งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา226 จึงอุทธรณ์ไม่ได้
แต่อีกสายกลับเห็นเป็นการโต้แย้ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 52/2487
ทายาทตกลงแบ่งมรดกบางอย่างและได้ปกครองมาเป็นส่วนสัดถึง 5 ปีแล้ว แม้จะมีทายาทบางคนไม่อยู่ในเวลานั้นและไม่บรรลุนิติภาวะแต่คนที่ไม่อยู่ก็มิได้คัดค้านการแบ่งนั้นอย่างไรดังนี้ ทายาทที่ได้รับส่วนแบ่งจะบอกเลิกการแบ่งนั้นไม่ได้
ตามแนวด้านบนว่า เมื่อไม่เห็นด้วยก็อุทธรณ์แต่การอุทธรณ์ไม่ชอบ แต่ก็ถือว่าเป็นการอุทธรณ์นี่คือฎีกาล่าสุด คงไม่ออกสอบเพราะฎีกายังไม่นิ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6273/2537
วันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่ไปศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้เลื่อนไปนัดสืบ-พยานจำเลย ในวันเดียวกันโจทก์ยื่นคำร้องว่าไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้พิจารณาใหม่
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งว่า จำเลยไม่เห็นด้วยกับข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาคดีโจทก์ใหม่ เพราะโจทก์จงใจขาดนัดและต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201 แม้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจะไม่มีผลเป็นอุทธรณ์เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ก็มีผลเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (1) แล้ว จำเลยจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ได้
ศาลนัดสืบพยานโจทก์เวลา 9.00 นาฬิกา แต่โจทก์และทนายโจทก์มาศาลในวันนัดเวลาประมาณ 12.30 นาฬิกา เนื่องจากเสมียนทนาย-โจทก์บอกเวลานัดของศาลแก่ทนายโจทก์ผิดไปเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา ทั้งตามคำร้องขอพิจารณาใหม่ โจทก์และทนายโจทก์ได้ลงชื่อในคำร้องที่ยื่นต่อศาลในวันเดียวกัน แสดงว่าโจทก์และทนายโจทก์ไปศาลในวันนัดจริง แต่ไปไม่ตรงตามเวลาเพราะเสมียนทนายบอกเวลานัดพิจารณาคลาดเคลื่อน โจทก์จึงมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาและเมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งจำหน่ายคดี จึงไม่ต้องห้ามที่โจทก์จะขอให้พิจารณาใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201
ประเด็นข้อพิพาทมีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์กับเจ้าของรวมหรือเป็นของจำเลยเท่านั้น ศาลจึงไม่ต้องรับฟังเอกสารสำเนาภาพถ่ายโฉนดที่ดินของโจทก์กับเจ้าของรวม และหนังสือให้ความยินยอมของเจ้าของรวมให้โจทก์ฟ้องคดี ส่วนแผนที่พิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้ทำขึ้นตามคำสั่งศาล มิใช่เอกสารที่โจทก์เป็นฝ่ายอ้าง โจทก์จึงไม่ต้องเสียค่าอ้างเอกสารตามตาราง 2 ท้าย ป.วิ.พ.
ระยะเวลาโต้แย้ง นั้นไม่ได้ระบุไว้แต่อนุมาณได้ จากถ้อยคำ 226 ( 2 ) ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษา หรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้นเป็นต้นไป
เพราะฉะนั้นต้องอุทธรณ์ก่อนศาลพิพากษา จะโต้แย้งเมื่อไหร่ก็ได้ก่อนกี่วินาทีก็ได้ถือเป็นการโต้แย้ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1425/2536
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์เห็นว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไม่ถูกต้อง โจทก์จึงยื่นคำร้องโต้แย้งคัดค้านคำสั่งและขอให้กำหนดประเด็นข้อพิพาทและกำหนดหน้าที่นำสืบใหม่ คำร้องโต้แย้งคัดค้านของโจทก์ เป็นการโต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นเพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)กรณีมิใช่คำร้องที่จะต้องยื่นภายใน 8 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง
ศาลจะต้องให้เวลาโต้แย้งหรือไม่ ในแนวเก่าๆ นั้นไม่มีเวลาพอโต้แย้ง ไม่ได้ เพราะการโต้แย้ง ต้องมีเหตุผล จึงต้องให้เวลาไปหาเหตุผลมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2728/2519
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานของคู่ความเมื่อสืบตัวโจทก์ยังไม่จบ แล้วสอบถามข้อเท็จจริงจากคู่ความและพิพากษาคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้ความ ถือไม่ได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ซึ่งถือว่าไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 227 คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 และระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานถึงวันนัดฟังคำพิพากษาจำเลยมีโอกาสโต้แย้งคำสั่งได้ (มีคำสั่งวันที่ 23 พฤษภาคม 2518 นัดฟังคำพิพากษา 30 พฤษภาคม 2518) แต่หาได้โต้แย้งไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนี้ได้
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ที่จำเลยปลูกเล้าไก่คือที่พิพาท ที่พิพาทเป็นของโจทก์ร่วม โจทก์เช่าที่พิพาทจากโจทก์ร่วม ดังนั้น แม้โจทก์จะยังไม่ได้ครอบครองที่พิพาทแต่โจทก์ได้เรียกโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทได้
ส่วนใหญ่ก็ให้เวลา 1 วันขึ้นไปแต่ก็มีคำพิพากษาที่ให้เวลากระชั้นชิดมากๆเช่นฎีกา 2 ฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3985/2528
จำเลยนำพยานเข้าสืบก่อนแล้ว แถลงหมดพยานศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงงดสืบพยานโจทก์ และนัดฟังคำพิพากษาในวันรุ่งขึ้นคำสั่งเช่นนี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ทนายจำเลยรับทราบ คำสั่งในวันนั้น และยังมีโอกาสโต้แย้งคำสั่งได้ก่อนฟังคำพิพากษา แต่ก็มิได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่ง ดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (2)
จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็เป็นการมิชอบ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกา ไม่รับวินิจฉัยให้
ตามคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยมิได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นโต้เถียงว่าจำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยเช่าที่พิพาทจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ที่โต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว ในศาลอุทธรณ์เช่นเดียวกันศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1142/2536
คำสั่งให้งดการไต่สวนพยานจำเลยที่ 1 ในชั้นขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาของศาลชั้นต้นก่อนที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา หากคู่ความฝ่ายใดไม่เห็นด้วยและประสงค์จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นในภายหลัง จะต้องโต้แย้งคำสั่งให้ศาลจดลงไว้ในรายงาน คู่ความฝ่ายที่โต้แย้งจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีตามความใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 แต่ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดไต่สวนเมื่อวันที่ 21กุมภาพันธ์ 2534 และนัดฟังคำสั่งในวันรุ่งขึ้นเวลา 9 นาฬิกาทนายโจทก์ได้ทราบคำสั่งในวันนั้นแล้ว ดังนั้น ในช่วงเวลาก่อนที่ศาลชั้นต้นจะอ่านคำสั่ง ย่อมมีเวลาเพียงพอที่โจทก์จะโต้แย้งคัดค้านได้ แต่ก็หาได้มีการโต้แย้งคัดค้านไม่ โจทก์จึงหมดสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว อีกทั้งไม่อาจหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นเป็นข้อฎีกาได้ เนื่องจากเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์จึงต้องห้ามฎีกาตามความใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก (เดิม) แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาข้อนี้ของโจทก์ขึ้นมาด้วย ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย โจทก์ฟ้องคดีพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้ โดยยื่นคำร้องขอในกรณีมีเหตุฉุกเฉินรวมเข้ามาด้วยกรณีจึงเป็นไปตามความใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 267 ปรากฏว่าหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นำวิธีการชั่วคราวในกรณีมีเหตุฉุกเฉินมาใช้บังคับตามคำขอของโจทก์แล้วจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอโดยพลันให้ศาลชั้นต้นยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเสีย ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วได้มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งเดิมตามคำขอของจำเลยที่ 1 คำสั่งดังกล่าวย่อมเป็นที่สุด ทั้งนี้โดยมิพักต้องคำนึงถึงว่าศาลชั้นต้นได้พิจารณาคำขอของจำเลยที่ 1ในกรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือพิจารณาฝ่ายเดียวหรือสองฝ่ายหรือไม่เพราะแม้จะได้ความว่าศาลชั้นต้นได้พิจารณาคำขอของจำเลยที่ 1 ในกรณีธรรมดาเพราะไม่มีเหตุฉุกเฉิน หรือพิจารณาคำขอของจำเลยที่ 1ชนิดสองฝ่ายก็ตาม คำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมของศาลชั้นต้นก็เป็นการสั่งตามความใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 267วรรคสอง ที่บัญญัติว่า คำสั่งดังกล่าวให้เป็นที่สุดอยู่นั่นเอง
หมายเหตุ
มีปัญหาประการแรกตามคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ว่า คำสั่งให้งดการไต่สวนพยานในชั้นขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามอุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 หรือไม่ ปัญหานี้มีผู้เห็นว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นการสั่งตามอำนาจของศาลตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(3) และ (4)กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งห้ามชั่วคราวดังกล่าวโดยเร่งด่วน ศาลมีอำนาจที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งโดยทำการไต่สวนตามที่เห็นสมควรก่อนมีคำสั่งตามคำขอนั้นหรือไม่ก็ได้เมื่อเป็นอำนาจของศาลที่จะทำการไต่สวนตามที่เห็นสมควรก่อนมีคำสั่งตามคำขอ ถ้าโจทก์เห็นว่าข้อเท็จจริงเท่าที่ศาลไต่สวนมายังไม่เพียงพอแก่การที่จะสั่งตามคำขอแล้ว โจทก์ก็น่าจะอุทธรณ์ฎีกาในปัญหานี้ได้โดยไม่ต้องโต้แย้งคัดค้านไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม คำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226เป็นคำสั่งของศาลที่สั่งในช่วงเวลานับแต่โจทก์ยื่นคำฟ้อง ไม่ว่าศาลจะได้มีคำสั่งให้รับคำฟ้องไว้แล้วหรือไม่ ไปจนถึงก่อนศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี และคำสั่งใดที่ศาลสั่งในช่วงเวลาดังกล่าวซึ่งมีผลให้ศาลนั้นยังคงต้องดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปอีกที่ศาลนั้น คำสั่งดังกล่าวล้วนถือได้ว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาทั้งสิ้น แม้กรณีตามคดีที่บันทึกอยู่นี้จะไม่เคยปรากฏตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานที่ศาลฎีกาวินิจฉัยคงมีแต่เรื่องคำสั่งให้งดสืบพยานในชั้นพิจารณาที่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1043/2531 และ 6110/2531 เป็นต้น) แต่คำสั่งให้งดการไต่สวนพยานในชั้นขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาก็ถือได้ว่าเป็นคำสั่งที่ศาลสั่งในช่วงเวลานับแต่โจทก์ยื่นคำฟ้องถึงก่อนศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ทั้งเมื่อศาลสั่งงดไต่สวนพยานดังกล่าวแล้วศาลชั้นต้นยังมีกระบวนพิจารณาที่ต้องดำเนินการต่อไปอีกกล่าวคือต้องมีการวินิจฉัยและมีคำสั่งตามคำขอของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งห้ามชั่วคราวโดยเร่งด่วนและนั่งพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยตามเนื้อหาของเรื่อง ตลอดจนทำคำพิพากษาต่อไปคำสั่งให้งดไต่สวนพยานดังกล่าวเมื่อมิใช่คำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227และ 228 คำสั่งนั้นจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ห้ามมิให้อุทธรณ์ทันทีในระหว่างพิจารณา โจทก์จะต้องโต้แย้งคำสั่งให้ศาลจดลงไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 26 และ 226จึงจะใช้สิทธิอุทธรณ์ภายหลังในกำหนด 1 เดือน นับแต่ศาลมีคำพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดีได้ ฉะนั้น การพิจารณาว่าคำสั่งใดเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหรือไม่ จึงต้องอาศัยหลักสำคัญ 2 ประการ ดังกล่าวข้างต้น ส่วนมาตรา 21(3) และ (4) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นบทบัญญัติให้อำนาจศาลนี้จะทำการไต่สวนพยานได้ตามที่เห็นสมควร แต่เมื่อศาลเห็นสมควรสั่งอย่างไร ผลของคำสั่งเป็นอย่างไรและคำสั่งนั้นจะถือเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหรือไม่คงต้องถือหลักตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 226 หากคำสั่งใดไม่เป็นไปตามหลักดังกล่าวก็ไม่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา คู่ความฝ่ายที่ไม่เห็นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา เช่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 42/2506 ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีไปโดยจำเลยขาดนัด จำเลยร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดและศาลชั้นต้นสั่งให้พิจารณาใหม่ คำสั่งนี้เป็นคำสั่งภายหลังเมื่อศาลพิพากษาแล้ว ฉะนั้น จึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์ย่อมอุทธรณ์ฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้มีข้อสังเกตว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ถือเป็นคำฟ้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1(3) และถือเป็นคำคู่ความตามมาตรา 1(5) ถ้าพิจารณาเพียงผิวเผินอาจเข้าใจว่าเมื่อศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้พิจารณาใหม่ก็เท่ากับเป็นคำสั่งรับคำคู่ความเมื่อสั่งแล้วศาลต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปอีก ทั้งไม่ใช่คำสั่งตามมาตรา 227 และ 228จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในระหว่างพิจารณา แต่ถ้าพิจารณาว่าคำสั่งดังกล่าวมิใช่คำสั่งที่ศาลสั่งในช่วงเวลานับแต่โจทก์ยื่นคำฟ้องถึงก่อนศาลมีคำพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดีแล้ว จะเห็นชัดว่ามิใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาเพราะเป็นการสั่งภายหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดีแล้ว ไม่เข้าหลักเกณฑ์ข้อแรกที่จะเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
คำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่ 589/2514 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์เฉพาะจำเลยบางคน โจทก์อุทธรณ์ และเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้รับฟ้องโจทก์ จำเลยก็ย่อมมีสิทธิที่จะฎีกาได้
เรื่องนี้เห็นได้ว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับฟ้องของโจทก์เฉพาะจำเลยบางคนเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความ ตามมาตรา 18 ซึ่งมิได้ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามมาตรา 228(3) จึงไม่ต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น แต่เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา อาจทำให้เห็นไปว่าเป็นคำสั่งให้รับคำคู่ความจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ซึ่งความจริงหากพิจารณาตามหลักข้อ 2 แล้ว จะเห็นได้ว่าเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาแล้ว ไม่มีกระบวนพิจารณาใดที่ศาลอุทธรณ์ต้องดำเนินการต่อไปในศาลอุทธรณ์อีก คดีเสร็จไปจากศาลอุทธรณ์กระบวนพิจารณาต้องย้อนกลับไปเริ่มต้นที่ศาลชั้นต้นใหม่คำสั่งดังกล่าวของศาลอุทธรณ์จึงมิใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 และ 247จำเลยจึงไม่ต้องห้ามมิให้ฎีกา
ปัญหาต่อไปคือ เมื่อคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งคู่ความฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยต้องโต้แย้งคัดค้านไว้ บางกรณีไม่มีเวลาเพียงพอที่คู่ความฝ่ายนั้นจะโต้แย้งคัดค้าน กรณีเช่นนี้ย่อมไม่อาจโต้แย้งคัดค้านได้คู่ความฝ่ายนั้นไม่เสียสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้น ระยะเวลาแค่ไหนเพียงใดจะถือว่ามีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคัดค้านหรือไม่ คงต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเป็นเรื่อง ๆ ไป แต่พอมีตัวอย่างจากคำพิพากษาศาลฎีกาดังต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1465/2515 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานจำเลยและตัดสินวันรุ่งขึ้น ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยไม่มีเวลาพอที่จะโต้แย้งคำสั่ง แม้จำเลยไม่ได้โต้แย้งไว้ก็มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 88/2516 ศาลชั้นต้นงดสืบพยานวันที่ 14นัดฟังคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีวันที่ 18 เดือนเดียวกัน คู่ความมีโอกาสโต้แย้งคำสั่งได้แต่ไม่โต้แย้ง ย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 641/2522 คำสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลย เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ศาลมีคำสั่งเมื่อวันที่ 8 และพิพากษาวันที่ 24 เดือนเดียวกัน จำเลยไม่ได้โต้แย้งจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1839/2524 ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานวันที่ 10 เวลา 13.30 น. และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 13 เดือนเดียวกันเวลา 13.00 น. เมื่อไม่ปรากฏเหตุขัดข้องอย่างใดที่ไม่สามารถโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ ย่อมถือว่ามีโอกาสและระยะเวลานานพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้แล้วตามมาตรา 226
คดีที่บันทึกนี้ศาลชั้นต้นสั่งงดไต่สวนเมื่อวันที่ 21กุมภาพันธ์ 2534 และนัดฟังคำสั่งในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นโจทก์มีช่วงเวลาที่จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นเดียวกับที่ศาลฎีกาช่วงเวลาตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1465/2515 แต่แตกต่างกันตรงที่ว่าคดีนี้มีข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้นว่าทนายโจทก์ได้ทราบคำสั่งให้งดไต่สวนพยานในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นว่าระยะเวลาที่โจทก์มีอยู่ตั้งแต่วันที่ทราบคำสั่งจนถึงก่อนที่ศาลชั้นต้นจะอ่านคำสั่งเกี่ยวด้วยคำขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาเป็นระยะเวลาที่เพียงพอที่โจทก์จะโต้แย้งคัดค้านได้ ส่วนข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1465/2515 ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ทราบคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานจึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคัดค้านคำสั่งนั้นได้ คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับที่บันทึกอยู่นี้จึงไม่ขัดแย้งกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1465/2515 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1142/2536 วินิจฉัยโดยเทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3985/2528ซึ่งวินิจฉัยว่า
"ที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดีเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่น่าจะบกพร่องนั้น เห็นว่า คำสั่งของศาลที่ให้งดสืบพยานโจทก์และนัดฟังคำพิพากษาในวันรุ่งขึ้นนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2525 ทนายจำเลยได้ลงลายมือชื่อในรายงานรับทราบคำสั่งแล้ว แต่ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งนั้นไว้อีกทั้งศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันรุ่งขึ้นซึ่งจำเลยก็มีโอกาสที่จะโต้แย้งคำสั่งของศาลได้ก่อนฟังคำพิพากษา แต่จำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคำสั่งไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)"
ส่วนที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งให้นำวิธีการชั่วคราวในกรณีมีเหตุฉุกเฉินมาใช้บังคับเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 267 วรรคสองนั้น คดีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงตามสำนวนว่าจำเลยยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนฉุกเฉินศาลมีคำสั่งในคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินว่า "สั่งในคำร้องขอให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว" และสั่งในคำร้องขอให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวว่า "รับคำร้องสำเนาให้โจทก์ นัดไต่สวน หากโจทก์จะคัดค้านประการใด ให้แถลงก่อนหรือในวันนัด มิฉะนั้นถือว่าไม่คัดค้านให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาภายใน 7 วัน การส่งหากไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดหมาย" ต่อมาศาลได้นัดไต่สวนคำร้องของจำเลยในวันที่ 15กุมภาพันธ์ 2534 ซึ่งในนัดนี้จำเลยนำพยานเข้าสืบได้ยังไม่จบปากแล้วมีคำสั่งให้เลื่อนการไต่สวนไปวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2534วันที่ 5 มีนาคม 2534 และ 12 มีนาคม 2534 ครั้นถึงวันนัดไต่สวนต่อจำเลยนำพยานปากเดิมเข้าสืบต่อจนจบปากแล้วศาลมีคำสั่งให้งดการไต่สวนและนัดฟังคำสั่งในวันรุ่งขึ้นด้วยข้อเท็จจริงดังกล่าวอาจทำให้มีผู้เห็นว่า คำสั่งของศาลที่ให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเดิมจะเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 267 วรรคสอง นั้น กรณีจะต้องเป็นคำขอในเหตุฉุกเฉินเท่านั้นเพราะมาตรา 267 อยู่ในหมวด 2 ว่าด้วยคำขอในเหตุฉุกเฉินซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับคำขอในเหตุฉุกเฉินเท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นมิได้พิจารณาคำขอของจำเลยเป็นการด่วนเท่ากับมีคำสั่งให้ยกคำขอในเหตุฉุกเฉินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 267กรณีจึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาไต่สวนคำร้องของจำเลยอย่างวิธีธรรมดาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่อยู่ในหมวด 1 ว่าด้วยหลักทั่วไปของวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา ทั้งนี้ โดยเทียบเคียงกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1509/2514 ซึ่งวินิจฉัยว่า
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยได้จดทะเบียนหย่ากัน โดยมีข้อสัญญาว่าให้บุตรอยู่ในความอุปการะของโจทก์ จำเลยมาหลอกลวงเอาบุตรไปจึงฟ้องเรียกคืน ดังนี้ โจทก์มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งให้จำเลยส่งบุตรให้โจทก์ก่อนศาลพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2) เพราะมาตรา 254 นี้มิใช่เฉพาะเกี่ยวกับทรัพย์เท่านั้น
โจทก์ยื่นคำขอในเหตุฉุกเฉิน พร้อมกับคำร้องขอให้ศาลใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา ศาลนัดไต่สวนในวันที่ 4 นับแต่วันนั้นกับสั่งให้ส่งสำเนาให้จำเลยทราบเมื่อไต่สวนแล้วศาลมีคำสั่งให้จำเลยนำบุตรไปมอบให้แก่โจทก์ภายใน 3 วัน นับแต่วันได้รับทราบ ดังนี้ถือว่าศาลดำเนินการพิจารณาไต่สวนคำร้องของโจทก์อย่างวิธีธรรมดาเพราะมิได้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 267 และ 269
การพิจารณาไต่สวนคำร้องของจำเลยอย่างวิธีธรรมดาตามบทบัญญัติในหมวด 1 ว่าด้วยหลักทั่วไปของวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาเมื่อศาลมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเดิมตามคำขอของจำเลยแล้ว ไม่มีบทบัญญัติมาตราใดระบุว่า คำสั่งดังกล่าวให้เป็นที่สุด เมื่อคำสั่งไม่เป็นที่สุด โจทก์ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนี้ต่อศาลอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 228(2)
อย่างไรก็ตาม ผู้บันทึกเห็นว่า คำร้องขอของจำเลยพร้อมคำขอให้ไต่สวนฉุกเฉินในคดีนี้ถือได้ว่า เป็นคำขอโดยพลันในศาลยกเลิกคำสั่งอนุญาตตามคำขอในเหตุฉุกเฉินของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 267 วรรคสอง ปัญหาจึงน่าจะอยู่ที่ว่าการไต่สวนคำขอดังกล่าวต้องทำเป็นการด่วนและทันทีในวันที่ยื่นคำขอดังเช่นกรณีคำขอในเหตุฉุกเฉินของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 267 วรรคแรกหรือไม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 267 วรรคสอง บัญญัติว่า "...ให้นำบทบัญญัติแห่งวรรคก่อนมาใช้บังคับโดยอนุโลม คำขอเช่นว่านี้อาจทำเป็นคำขอฝ่ายเดียวโดยได้รับอนุญาตจากศาล..." คำขอตามมาตรานี้โดยปกติแล้วไม่อาจทำเป็นคำขอฝ่ายเดียวได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(2) ห้ามมิให้ศาลทำคำสั่งในเรื่องนั้น ๆ โดยมิให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่นมีโอกาสคัดค้านก่อน และแม้จะทำเป็นคำขอฝ่ายเดียวโดยได้รับอนุญาตจากศาล กรณีนี้ก็มิใช่คำขอหมายเรียกให้การหรือเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สินก่อนคำพิพากษา หรือเพื่อให้ออกหมายบังคับหรือเพื่อจับหรือกักขังจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งกฎหมายบังคับเด็ดขาด ห้ามมิให้ศาลฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่นก่อนออกคำสั่ง ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 21(3) ฉะนั้น ศาลจึงมีอำนาจที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่นก่อนออกคำสั่งในเรื่องนั้นได้ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 267 วรรคสอง เพียงให้นำบทบัญญัติมาตรา 267 วรรคแรก มาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่าที่พอจะนำมาใช้ได้เท่านั้น การที่ศาลจะทำคำสั่งตามมาตรา 267 วรรคสอง จึงมิได้ถูกบังคับให้ต้องทำการไต่สวนคำขอทันทีในวันที่จำเลยยื่นคำขอเสนอไปฉะนั้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งคำขอของจำเลยว่า สำเนาให้โจทก์ และนัดไต่สวนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2534 มิได้ไต่สวนในวันที่ 28 มกราคม2534 อันเป็นวันที่จำเลยยื่นคำขอดังกล่าวจึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา267 วรรคสองแล้ว เมื่อคำขอของจำเลยเป็นคำขอตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งเดิม คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงเป็นที่สุดไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1509/2514 ไม่อาจนำมาเทียบเคียงกับเรื่องนี้ได้ เพราะคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวได้วินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 267 วรรคแรก มิได้วินิจฉัยตามมาตรา 267 วรรคสองซึ่งหลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้แตกต่างกัน
ปริญญาดีผดุง
แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะให้เวลาโต้แย้งเกิน 1 วัน ถ้าไม่ให้มีระยะเวลาโต้แย้งแล้ว จากหลักนั้นให้สิทธิอุทธรณ์โดยไม่ต้องโต้แย้ง เพราะศาลสั่งโดยไม่ให้เวลาเค้าโต้แย้ง ในการประชุมของคณะกรรมการเน ฯ ข้อสอบของเน จึงถือหลัก ตลอดว่า เกินกว่า 1 วัน ถือว่ามีเวลาโต้แย้ง นี่คือหลัก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1282/2535
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีและงดสืบพยานโจทก์จำเลย และอยู่ในระหว่างนัดฟังคำพิพากษา เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก่อนศาลนั้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 และมิใช่คำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา 24 และมาตรา 227 เพราะที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ประเด็นข้อพิพาทมีว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ภาระการ พิสูจน์ตกโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ฟังได้ตามคำฟ้อง โจทก์จึงต้องแพ้คดีนั้นเป็นการวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ ตามฟ้อง มิได้วินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายที่พิพาทกันในคดีแต่ อย่างใด ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2531 เวลา 9.45 นาฬิกาซึ่งทนายโจทก์ก็มาศาลใน วันดังกล่าว และศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาในวันที่ 2 ธันวาคม 2531 เวลา 10 นาฬิกาโจทก์ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ แต่มิได้โต้แย้ง จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์
ปัญหาต่อไปคือทำไมต้องมาลง 226 คดีบางเรื่องไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาเช่นคำสั่งจำหน่ายคดีคู่ความบางคนเพราะ ทำให้คู่ความคนนั้นมันจบไปแล้ว กรณีเช่นนี้อุทธรณ์ได้ทันที
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1365/2530
ศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องโจทก์และสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องภายใน 7 วัน หากส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน 15 วันนับแต่วันส่งไม่ได้ ซึ่งถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งแล้ว ต่อมาโจทก์ยื่นคำแถลงว่าได้นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่ 2แล้วแต่ส่งไม่ได้ขอให้จัดส่งใหม่ดังนี้ ต้องถือว่าโจทก์ได้ทราบถึงผลการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องว่าส่งไม่ได้แล้ว เมื่อนับจากวันที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ได้จนถึงวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 นั้นเกิน 15 วันแล้วการที่โจทก์ไม่แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยชอบเป็นการทิ้งฟ้อง ชอบที่ศาลชั้นต้นจะจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความได้
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 แม้จะไม่ทำให้คดีเสร็จทั้งเรื่องแต่เป็นเหตุให้คดีโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เสร็จสิ้นไปจึงไม่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ได้
หมายเหตุ
ปกติเราจะยึดหลักว่าคำสั่งใดที่ศาลสั่งแล้ว ไม่มีกระบวนพิจารณาใดที่จะต้องดำเนินการต่อไปในศาลนั้นอีก จะไม่ถือว่าคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลนั้นคู่ความสามารถอุทธรณ์ได้ทันทีแต่ถ้าศาลมีคำสั่งใดแล้วศาลยังต้องดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างใดในศาลนั้นต่อไปอีก คำสั่งนั้นจะเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226เสมอ เว้นแต่จะเป็นคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ระบุไว้ในมาตรา 227และ 228 คำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีนี้สั่งให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ผลของคำสั่งดังกล่าวศาลยังต้องดำเนินกระวนพิจารณาต่อไปอีกสำหรับโจทก์ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ถึง 5 ซึ่งดูเผิน ๆก็น่าจะเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ต้องห้ามอุทธรณ์ทันทีตามมาตรา 226 แต่เหตุที่ไม่ถือว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาคงเป็นเพราะเมื่อศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2แล้วแม้ศาลจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาสำหรับจำเลยอื่นต่อไปอีกแต่ผลของคำสั่งทำให้คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เสร็จสิ้นไปไม่มีกระบวนพิจารณาใดต้องทำอีกในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์และจำเลยที่ 2คำสั่งดังกล่าวจึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ทั้งนี้ เฉพาะสำหรับโจทก์กับจำเลยที่ 2 เท่านั้น กล่าวคือเฉพาะโจทก์หรือจำเลยที่ 2เท่านั้นที่จะอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไปได้ ฉะนั้นการที่จะถือว่าคำสั่งใดเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจะยึดหลักเพียงว่าเมื่อศาลมีคำสั่งแล้วยังต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปอีก คำสั่งนั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเสมอไปไม่ได้ จะต้องพิจารณาต่อไปว่าผลของคำสั่งนั้นมีผลทำให้คดีเสร็จสิ้นไปจากศาลสำหรับคู่ความฝ่ายใดหรือไม่ด้วย ทั้งนี้โดยเฉพาะในคดีมีคู่ความหลายฝ่าย หรือในคดีที่แต่ละฝ่ายมีคู่ความหลายคน
มีปัญหาน่าคิดว่า หากศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 เพราะเหตุโจทก์ทิ้งฟ้องโดยผิดหลง เช่น ยังไม่ครบ 15 วันนับแต่วันส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ได้ หรือพนักงานเดินหมายรายงานให้ศาลทราบถึงวันที่ส่งหมายไม่ได้ผิดพลาดไป และศาลชั้นต้นตรวจพบภายหลัง จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 คำสั่งดังกล่าวจะถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหรือไม่ ปัญหานี้หากพิจารณาเฉพาะผลของคำสั่งจะเห็นได้ว่าเมื่อศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 2 เสียแล้ว คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2ก็ยังไม่เสร็จสิ้นไป กล่าวคือจะต้องมีการดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปประกอบคำสั่งดังกล่าวก็เป็นคำสั่งที่มีผลต่อเนื่องมาจากคำสั่งจำหน่ายคดีเดิม ก็น่าจะถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาได้แต่อย่างไรก็ดีปัญหานี้ที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2516 เห็นว่าไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาอันต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) เหตุผลคงเพราะว่าเมื่อศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีแล้วย่อมทำให้คดีเสร็จไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131(2) เมื่อคดีเสร็จไปแล้วย่อมไม่มีการพิจารณาคดีต่อไปอีกในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์และจำเลยที่ 2 คำสั่งที่ให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งที่ศาลชั้นต้นสั่งเมื่อคดีเสร็จการพิจารณาไปแล้ว มิใช่สั่งในระหว่างพิจารณาคดีสำหรับโจทก์กับจำเลยที่ 2 กรณีเช่นนี้จำเลยที่ 2 ย่อมอุทธรณ์คำสั่งนั้นทันทีได้เช่นกัน.
ปริญญา ดีผดุง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5808/2545 ค้นไม่พบ ทำให้งงแต่แนวปฎิบัติส่วนใหญ่ก็ถือว่าไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โดยปกติถ้าหลักไม่นิ่งก็จะไม่เอามาออกข้อสอบเน นอกจากฎีกานี้แล้วหลักไม่เปลี่ยน ถ้าไม่ใช่ 226 ต้องอุทธรรณ์ทันทีเว้นแต่เป็น 228
คำสั่งหลังจากศาลพิพากษาเสร็จแล้วไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องอุทธรณ์ทันทีภายใน 1 เดือนนับแต่มีคำสั่งนั้น ตามาตรา 223 นั่นคือภายใน 1 เดือนตาม 229
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2516
คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดี ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 (1) จำเลยจึงอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งดังกล่าวนี้ได้
ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเพราะศาลหลงผิดว่าโจทก์และจำเลยขาดนัดพิจารณา คำสั่งดังกล่าวย่อมไม่มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 200 และถือได้ว่าเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยเรื่องการพิจารณาโดยขาดนัดศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยหลงผิดนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27
(วรรคแรก วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2516)
เป็นเรื่องไม่รับคำร้องสอด 57 (1 ) ไม่รับคำคู่ความตาม 227 คู่ความคิดว่าเป็น 228 พอเป็น 227 แล้วไม่อุทธรณ์ทันทีเมื่อมาอุทธรณ์เมื่อสิ้นระยะเวลา 1 เดือนแล้วก็อุทธรณ์ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4410/2542
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 57 (1) คำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้อง ซึ่งถือเป็นคำคู่ความ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง มีผลเป็นการไม่รับคำร้องสอด คำสั่งศาลชั้นต้นจึงเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตาม มาตรา 227 และไม่ถือเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ผู้ร้องสอดย่อมอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันมีคำสั่งเป็นต้นไปตามมาตรา 229
เป็นคนล่ะเรื่องกันเลยอย่างกับ ทางจำเป็นกับภาระจำยอมต่างกัน
มาตรา ๒๒๗ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับหรือให้คืนคำคู่ความตามมาตรา ๑๘หรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา ๒๔ ซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องนั้น มิให้ถือว่าเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา และให้อยู่ภายในข้อบังคับของการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี
มาตรา ๒๒๘ ก่อนศาลชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้คือ
(๑) ให้กักขัง หรือปรับไหม หรือจำขัง ผู้ใด ตามประมวลกฎหมายนี้
(๒) มีคำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการพิจารณา หรือมีคำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อจะบังคับคดีตามคำพิพากษาต่อไป หรือ
(๓) ไม่รับหรือคืนคำคู่ความตามมาตรา ๑๘ หรือวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา ๒๔ ซึ่งมิได้ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง หากเสร็จไปเฉพาะแต่ประเด็นบางข้อ
คำสั่งเช่นว่านี้ คู่ความย่อมอุทธรณ์ได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือน นับแต่วันมีคำสั่งเป็นต้นไป
แม้ถึงว่าจะมีอุทธรณ์ในระหว่างพิจารณา ให้ศาลดำเนินคดีต่อไป และมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้น แต่ถ้าในระหว่างพิจารณา คู่ความอุทธรณ์คำสั่งชนิดที่ระบุไว้ในอนุมาตรา (๓) ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกลับหรือแก้ไขคำสั่งที่คู่ความอุทธรณ์นั้นจะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดี หรือวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้อใดที่ศาลล่างมิได้วินิจฉัยไว้ ให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจทำคำสั่งให้ศาลล่างงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์ หรืองดการวินิจฉัยคดีไว้จนกว่าศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์นั้น
ถ้าคู่ความมิได้อุทธรณ์คำสั่งในระหว่างพิจารณาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ ก็ให้อุทธรณ์ได้ในเมื่อศาลพิพากษาคดีแล้วตามความในมาตรา ๒๒๓
ในส่วน 228 ( 2 ) ถ้าจะออกก็คงจะไปออกเรื่องภาค 4 ในส่วนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
ท่านครับ 227 คืออะไรคำสั่งของ 227 มีเหตุการณ์ณื 2 อย่าง 1.คือไม่รับหรือคืนคำคู่ความตามมาตรา 18 อย่างที่ 2. คือการวินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้นตามมาตรา 24 และต้องประกอบด้วยคดีเสร็จไปทั้งเรื่องในส่วนนั้นไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาต้องอุทธรณ์ตามหลักทั่วไปคือ 1 เดือน วิธีการต่างกับ 226 โดยสิ้นเชิง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4410-4411/2542
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 57 (1) คำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้อง ซึ่งถือเป็นคำคู่ความ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง มีผลเป็นการไม่รับคำร้องสอด คำสั่งศาลชั้นต้นจึงเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตาม มาตรา 227 และไม่ถือเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ผู้ร้องสอดย่อมอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันมีคำสั่งเป็นต้นไปตามมาตรา 229
เสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2537
กรณีศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องและคำให้การแล้วสั่งงดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโจทก์ เนื่องจากไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง โดยคำพิพากษาหรือคำสั่งฉบับเดียวกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 เมื่อโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาโดยขอให้ศาลชั้นต้นชี้สองสถานและสืบพยานโจทก์ จำเลยต่อไปจึงเป็นการอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227ซึ่ง ตาราง 1 ข้อ 2 ข. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งกำหนดให้เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท และโจทก์เสียค่าขึ้นศาล 200 บาทครบตามที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว ศาลชั้นต้นต้องรับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป โดยโจทก์ไม่จำต้องเสียค่าขึ้นศาลในการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้อง
ในแง่ส่วนแรกคือตามมาตรา 18 คือคู่ความยื่นคำคู่ความแล้วศาลสั่งไม่รับหรือคืน ไม่รับคือ เหตุการณ์ 2 อย่างคือ 1. ต้องคืนไปก่อนให้ไปทำมาใหม่ในระยะเวลาที่กำหนด 2. ไม่แก้ก็ต้องไม่รับ 2. คืนคืออะไร ดูฎีกา คืนคือยื่นมาปุ๊ปศาลให้ไปแก้ไข คู่ความอุทธรณ์ตาม 227 ได้ทันที
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2631/2521
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคท้าย ให้สิทธิคู่ความที่จะอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งของศาลที่ไม่รับหรือคืนคำคู่ความ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 227, 228 และ 247 นั้นได้
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์รับอุทธรณ์คืนไปทำมาใหม่ภายใน กำหนด 7 วัน แต่โจทก์เห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์ไม่มีข้ออันควรตำหนิ ที่จะต้องแก้ไข หรือทำมาใหม่ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น โจทก์ ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้ตามนัยแห่ง บทบัญญัติดังกล่าว โดยไม่จำต้องรอให้ศาลมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์อีกครั้งหนึ่งก่อน
ตอนที่ศาลสั่งคืนยังไม่อุทธรณ์หลังจากนั้นพอพ้นกำหนดเวลาที่ศาลสั่งให้ไปทำมาใหม่แล้ว ศาลสั่งไม่รับ ก็อุทธรณ์ได้ ตาม 227 ดังนั้นมาตรา 227 อุทธรณ์ได้ 2 ขยัก แต่ว่าข้อสอบคงไม่ออกแน่ๆเพราะมันไม่เหมาะแก่สนามเนติบัญฑิต
คำคู่ความคืออะไร มาตรา 1 ( 5 ) เป็นปัญหาเยอะ ต้องไปคำที่ตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ คำฟ้องใช้แน่ๆ คำให้การแน่ๆ เพราะกฎหมายเขียนไว้ชัด แม้ไม่มีประเด็นสักอย่าง นอกจาก 2 อย่างนี้หากจะเป็นคำคู่ความต้องตั้งประเด็น
คำสั่งคำร้องที่ 478/2506
คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์เป็นคำสั่งที่ไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จึงอุทธรณ์ฎีกาได้และเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น กรณี จึงต้องด้วยมาตรา 247 คู่ความฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ต่อไปได้
คำสั่งไม่อนุญาตให้แก้คำฟ้องก็คือคำสั่งไม่รับคำคู่ความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 961/2509
การที่ศาลเรียกบิดาโจทก์เข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยในคดีเนื่องจากศาลเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) ข. แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 58 จะบัญญัติว่า ผู้ที่ศาลเรียกเข้ามาเป็นคู่ความจะมีสิทธิเสมือนว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องก็ตาม ก็เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้ที่ถูกเรียกเข้ามาในคดีเท่านั้น การที่บิดาโจทก์ถูกเรียกเข้ามาในคดี ไม่ใช่เป็นการกระทำของโจทก์ เรียกไม่ได้ว่าโจทก์ฟ้องบุพการีของตน จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534
กฎหมายไม่ได้ห้ามในการนำสืบหักล้างพยานเอกสาร ห้ามแต่การนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไข
โจทก์ครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทได้โอนที่พิพาทนั้นให้จำเลยด้วยความสมัครใจอันเป็นทางให้เสียเปรียบแก่โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะขอให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนแล้ว และการโอนให้นั้นจำเลยมิได้เสียค่าตอบแทน โจทก์จึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลย และขอให้เพิกถอนการโอนที่ทำให้ตนเสียเปรียบได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1300
แม้ในคำขอโจทก์จะไม่ได้ขอให้ถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนดก็ตาม แต่ที่ขอให้เพิกถอน ทำลายนิติกรรมให้จำเลยนั้น ก็เป็นการขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยอยู่ในตัวแล้ว การที่ศาลพิพากษาให้เพิกถอนชื่อจำเลยจึงไม่เกินคำขอ
จำเลยร่วมโอนที่พิพาทส่วนของตนและของโจทก์ไปให้จำเลยอื่น โจทก์จะขอให้เพิกถอนการโอนไปถึงส่วนของจำเลยร่วมด้วยไม่ได้ การที่ศาลพิพากษาให้เพิกถอนการโอนในส่วนของจำเลยร่วมด้วย จึงเป็นการพิพากษาที่ไม่ชอบ
แม้โจทก์จะไม่ได้อ้างโฉนดพิพาทเป็นพยานก็ตามแต่โจทก์ได้ระบุมาในฟ้องและนำสืบข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินในโฉนดพิพาท เป็นส่วนสัดจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ทั้งจำเลยก็ได้อ้างโฉนดพิพาทเข้ามาในคดีด้วย ดังนี้ ศาลจึงหยิบยกขึ้นพิพากษาให้แก้โฉนดได้
โจทก์ขอให้แสดงว่าโจทก์เป็นเจ้าของและใส่ชื่อโจทก์ในโฉนดร่วมกับจำเลยรวม 4 คนนั้น มีความหมายให้แสดงว่าโจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของคนละ 1 ใน 4 แม้จะขอมาในลักษณะเป็นเจ้าของร่วมก็ตาม เมื่อได้ความว่าต่างได้ครอบครองเป็นส่วนสัดกันแล้ว ศาลก็มีอำนาจที่จะพิพากษาให้แยกส่วนตามที่ครอบครองเป็นส่วนสัดกันนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (2)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2509)
คำสั่งคำร้องที่ 1701/2542 ค้นไม่พบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1222/2510
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำให้การจำเลยเพราะพ้นกำหนด 8 วัน แม้จะเป็นการสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ซึ่งจำเลยอาจอุทธรณ์ได้ทันทีตามมาตรา 228 ข้อ (3) แต่จำเลยมิได้อุทธรณ์ จำเลยกลับใช้สิทธิตามมาตรา 199 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การใหม่ ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต ดังนี้ คำสั่งศาลชั้นต้นในครั้งหลังนี้เป็นคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลย มิใช่คำสั่งไม่รับคำให้การหรือคำสั่งอันเกี่ยวกับคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างพิจารณาจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ซึ่งจำเลยอุทธรณ์ทันทีไม่ได้
จำเลยยื่นคำให้การไม่รับ ชัดเจน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1191/2492
การที่ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การเท่ากับสั่งไม่รับคำให้การจำเลย คดีจึงปรับเข้าอยู่ใน ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 228(3) ประกอบด้วยมาตรา 18 วรรค 3 ซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้
คำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การ ไม่ได้มีประเด็นแห่งคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2509
คำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การนั้น ตามกฎหมายเมื่อศาลสั่งอนุญาตขยายระยะเวลาให้แล้ว จึงจะถึงชั้นพิจารณาเกี่ยวกับการสั่งรับหรือสั่งไม่รับคำให้การต่อไป หากศาลสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลา ก็ไม่ต้องพิจารณาถึงการสั่งรับหรือไม่รับคำให้การต่อไป
คำร้องขอขยายระยะเวลาไม่ใช่คำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1(5) เพราะคำร้องดังกล่าวนี้ไม่ได้ตั้งประเด็นระหว่างคู่ความตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1(5) ฉะนั้น คำสั่งศาลในกรณีนี้จึงมิใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความ และเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 813/2528
การขออนุญาตยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 199 นั้นจะต้องเป็นกรณีที่ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา197 วรรคแรกแล้ว จำเลยที่ 2 จึงขออนุญาตยื่นคำให้การก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การไม่ได้
คำร้องของจำเลยที่ 2 บรรยายไว้ชัดว่าจำเลยที่ 2ได้รับหมายเรียก และสำเนาคำฟ้องเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2525และพ้นกำหนดที่จำเลยที่ 2 จะต้องยื่นคำให้การแก้คดีแล้วการที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอยื่นคำให้การ จึงเท่ากับเป็นการขอให้ศาลมีคำสั่งขยายระยะเวลายื่นคำให้การให้แก่ จำเลยที่2 ซึ่งกรณีนี้เมื่อศาลสั่งอนุญาตแล้วจึงจะถึงขั้นพิจารณา เกี่ยวกับการสั่งรับหรือไม่รับคำให้การ หากศาลสั่งไม่อนุญาตก็ไม่ต้อง พิจารณาถึงการสั่งรับหรือไม่รับคำให้การต่อไป ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้น ไม่ขยายระยะเวลายื่นคำให้การให้แก่จำเลยที่ 2 จึงไม่จำต้องสั่งไม่รับ คำให้การของจำเลยที่ 2 ด้วย
คำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การไม่ใช่คำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(5) เพราะไม่ได้ตั้งประเด็น ระหว่างคู่ความฉะนั้นคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลา จึงไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความและเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 2 จะอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นในระหว่างพิจารณาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2509
คำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การเป็นการตั้งประเด็นจึงเป็นคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(5)เมื่อคู่ความยื่นคำร้องเข้ามาและศาลพิจารณามีคำสั่งคำร้องนั้นตามมาตรา 21(2),181(1) โดยให้ยกคำร้องตามมาตรา 180 คำสั่งนี้ก็คือคำสั่งที่มีผลเป็นการสั่งไม่รับคำคู่ความตามนัยแห่งมาตรา 177 วรรคท้ายและมาตรา 18 ซึ่งทำให้ประเด็นข้อที่จำเลยตั้งขึ้นโดยคำร้องเพิ่มเติมคำให้การนั้นเสร็จไปเมื่อศาลพิพากษาคดีแล้ว จำเลยย่อมอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้โดยมิต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ก่อนเพราะเป็นการอุทธรณ์ตามความในมาตรา 223 ไม่ใช่อุทธรณ์ตามมาตรา 226 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 21/2508)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 357/2508
คำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานและบัญชีระบุพยานนั้น หาใช่คำคู่ความที่ยื่นต่อศาลไม่ฉะนั้น คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ระบุพยานจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อคู่ความไม่โต้แย้งไว้ก็ย่อมจะอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งนั้นไม่ได้
คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเข้าสืบ ก็เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อไม่โต้แย้งไว้ ก็ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาเช่นกัน
คำร้องขอให้ศาลจำหน่ายอุทธรณ์ ไม่มีประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1646/2492
การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์จำหน่ายฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์เสียโดยทนายโจทก์ไม่มีอำนาจเรียงฟ้องอุทธรณ์ เพราะขาดต่อใบอนุญาตเป็นทนาย ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องจำเลยฎีกาดังนี้ เป็นกรณีที่ศาลสั่งรับคำคู่ความตามมาตรา 18 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ไม่เข้าอยู่ในบทบัญญัติแห่งมาตรา 227, หรือ 228 ซึ่งจะต้องอุทธรณ์ฎีกาก่อนที่จะได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีได้ กรณีต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 226 ซึ่งจำเลยยังฎีกาในขณะนี้มิได้
คำร้องสอดเป็นคำคู่ความหรือเปล่า ก็ต้องแยกดูแต่ล่ะอนุมาตรา เวลาเป็นคู่ความฝ่ายที่ 3 ต้องอ้างว่าเป็นประเด็นอะไรบ้าง จึง เป็นคำคู่ความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4410/2542
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 57 (1) คำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้อง ซึ่งถือเป็นคำคู่ความ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง มีผลเป็นการไม่รับคำร้องสอด คำสั่งศาลชั้นต้นจึงเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตาม มาตรา 227 และไม่ถือเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ผู้ร้องสอดย่อมอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันมีคำสั่งเป็นต้นไปตามมาตรา 229
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1000/2518
โจทก์ยื่นฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากตึกรายพิพาท จำเลยมิได้ยื่นคำให้การและศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแล้วภริยาจำเลยจะร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม โดยอ้างว่ามีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (2) หาได้ไม่ เพราะการร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความดังกล่าวนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 58 บัญญัติว่าผู้ร้องจะใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่คู่ความฝ่ายซึ่งตนเข้าร่วมหรือในทางที่ขัดกับสิทธิของจำเลยเดิมไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1226/2510
ในกรณีร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 นั้นถ้าบุคคลภายนอกมีคำขอสอดเข้ามาในคดีเพื่อเป็นคู่ความร่วมกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือไม่ร่วมกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จะต้องแสดงเหตุที่จะขอเข้ามาในคดี คำขอเช่นนี้เป็นคำคู่ความตามฝ่ายที่เข้าร่วม หรือถ้าไม่เป็นฝ่ายใด แต่เพื่อบังคับตามสิทธิของตนก็เป็นคำฟ้อง ในกรณีที่ถูกเรียกให้เข้ามาในคดีเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ก็ต้องยื่นเอกสารแสดงเหตุว่าเข้ามาในคดีเพราะเหตุใด ถ้าถูกเรียกเข้ามาเป็นฝ่ายจำเลย จะต้องยื่นคำให้การด้วย ตามมาตรา 177 วรรคท้าย ดังนี้ คำขอและเอกสารแสดงเหตุที่สอดเข้ามาจึงจัดว่าเป็นคำคู่ความถ้าศาลมีคำสั่งไม่ให้เข้ามาในคดี ย่อมมีผลเป็นการไม่รับคำคู่ความ แต่คำขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี ยังไม่มีการขอเข้ามาหรือแสดงเหตุที่เข้ามาเป็นคู่ความ หาใช่เป็นคำคู่ความไม่ และมิใช่เป็นการตั้งประเด็นเพราะมิได้เป็นข้อเถียงหรือข้อแก้คำฟ้องแต่ประการใดคำสั่งคำขอชนิดนี้จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
คำขอให้เรียกคนภายนอกเข้ามาเป็นจำเลย มิใช่คำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 228(2) เพราะถ้าจำเลยแพ้คดีจะได้ฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลภายนอกที่จะเรียกเข้ามา ประโยชน์อย่างนี้มิใช่ประโยชน์ในระหว่างพิจารณาเพราะประโยชน์จะเกิดขึ้นเมื่อศาลพิพากษาคดีให้จำเลยแพ้แล้ว และจำเลยต้องชำระหนี้แล้วจึงจะรับช่วงสิทธิของโจทก์ไปไล่เบี้ยได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 15/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9017/2514 ค้นไม่พบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1209/2510
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้อง ไม่เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำร้องขอของโจทก์เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในระหว่างพิจารณา
สรุปแล้ว 57 ( 1 ) เป็น คำคู่ความ
57 ( 2 ) เป็น คำคู่ความ
57 ( 3 ) เป็น 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 779/2533
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เช่าที่ดินและอาคารพิพาทจากผู้ให้เช่าเพื่อประกอบการค้าและอยู่อาศัย จำเลยและบริวารได้เข้าไปใช้ประโยชน์และอยู่อาศัยในที่ดินและอาคารพิพาท โจทก์แจ้งให้ออกไปแล้วจำเลยไม่ยอมออก ซึ่งแปลความได้ว่าจำเลยได้เข้ามาอยู่อาศัยในที่ดินและอาคารพิพาทหลังจากโจทก์ทำสัญญาเช่าและผู้ให้เช่าส่งมอบที่ดินและอาคารพิพาทให้โจทก์แล้ว ซึ่งเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์โดยตรง โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้โดยลำพัง แต่ข้อเท็จจริงที่นำสืบมาฟังได้ว่าโจทก์ยังไม่ได้เข้าครอบครองและใช้สอยที่ดินและอาคารพิพาทก่อนฟ้องคดี ฝ่ายจำเลยได้เข้าไปอยู่ในที่ดินและอาคารพิพาทตลอดมาตั้งแต่ก่อนโจทก์ทำสัญญาเช่า การที่จำเลยอยู่ในที่ดินและอาคารพิพาทจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ รูปคดีเป็นเรื่องความรับผิดของผู้ให้เช่าในกรณีรอนสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 549 ประกอบมาตรา 477 โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยเองโดยลำพังไม่ได้
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมแต่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์ โจทก์มิได้คัดค้านและมิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น คำสั่งดังกล่าวเป็นอันยุติแล้ว ต้องถือว่าโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิเรียกให้ผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1382/2546
คำร้องของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ขอให้เรียก ส. และ ว. เข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้นเป็นเพียงคำร้องที่ยื่นเพื่อขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีมิใช่เพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความแต่อย่างใด จึงมิใช่คำคู่ความ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องนี้จึงมิใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความแต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) จำเลยที่ 1 และที่ 2จึงยังไม่มีสิทธิอุทธรณ์
คำคู่ความเป็นได้ทั้ง 227 – 228 จุดตัดคือประเด็นนั้นยุติหรือยัง ถ้ายุติทั้งหมดเป็น 227
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7300/2544
ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง มิใช่ฎีกาขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชนะคดีตามจำนวนทุนทรัพย์ในฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง ดังนั้น ที่จำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามา 200 บาท จึงถูกต้องตามตาราง 1 ข้อ (2)(ข)ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แล้ว
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 2 พิมพ์ข้อความในหนังสือขอเลิกจ้างการเป็นครูใส่ความโจทก์และปิดประกาศโฆษณาทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่า โจทก์ประพฤติชั่ว ไม่เหมาะสมที่จะเป็นครูเป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณและทางทำมาหาได้ของโจทก์จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีว่าไม่ได้ทำละเมิด และฟ้องแย้งว่าโจทก์นำเอาข้อความในเอกสารดังกล่าวมาฟ้องจำเลยทั้งสองหลายคดีทั้งคดีอาญา คดีแรงงานและคดีนี้ เป็นการฟ้องคดีโดยไม่สุจริตเพื่อให้จำเลยทั้งสองต้องเสียชื่อเสียง ทำให้จำเลยทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นการฟ้องแย้งที่อาศัยเหตุในการฟ้องแตกต่างกับคำฟ้องเดิมฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองจึงเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ไม่อาจรวมพิจารณาชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้
ไม่รับฟ้องทั้งหมดเป็น 227
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4410/2542
ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 57 (1) คำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้อง ซึ่งถือเป็นคำคู่ความ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง มีผลเป็นการไม่รับคำร้องสอด คำสั่งศาลชั้นต้นจึงเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตาม มาตรา 227 และไม่ถือเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ผู้ร้องสอดย่อมอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันมีคำสั่งเป็นต้นไปตามมาตรา 229
ถ้ารับบางข้อไม่รับบางข้อ เป็น 228
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4882/2539
สัญญาค้ำประกันเป็นเอกสารที่ ป.พ.พ.มาตรา 680 วรรคสองบังคับให้ต้องมีมาแสดงตรงตามบทบัญญัติของ ป.วิ.พ.มาตรา 94 โจทก์คงมีเพียงเอกสารซึ่งมีข้อความระบุว่า จำเลยที่ 5 เป็นผู้ค้ำประกันและผู้ค้ำประกันทำสัญญาค้ำประกันค่าเช่าซื้อให้แก่... ถ้าผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้ตามสัญญาหรือผู้เช่าซื้อตาย หรือล้มละลาย หรือหนี้... เหตุหนึ่งเหตุใดซึ่งกระทำให้ผู้ให้เช่าต้องเสียหายผู้ค้ำประกันยอมรับผิดชอบชำระหนี้... ตลอดจนค่าเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น...ซึ่งเป็นสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อมาแสดงต่อศาลเท่านั้น หาใช่สัญญาค้ำประกันมูลหนี้การซื้อขายตามฟ้องมาแสดงต่อศาลไม่ การที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลว่าจำเลยที่ 5ทำสัญญาค้ำประกันมูลหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อความในสัญญาเอกสารจึงต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 94 (ข) จึงต้องฟังว่าโจทก์ไม่มีเอกสารสัญญาค้ำประกันมูลหนี้ตามฟ้องมาแสดงต่อศาล โจทก์จึงฟ้องร้องให้จำเลยที่ 5 รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ไม่ได้
ฟ้องโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนที่ดินซึ่งจำเลยที่ 2ถึงที่ 6 รับโอนเกินส่วนไปคืนแก่จำเลยที่ 1 หากจำเลยทั้งหกไม่ดำเนินการก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนนั้น ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอีกเรื่องหนึ่ง ดังนี้คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องของโจทก์ในคำฟ้องส่วนนี้นั้นเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามป.วิ.พ.มาตรา 18 และมาตรา 228 (3) ซึ่งมิได้ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องหากเสร็จไปแต่ประเด็นบางข้อ โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้เมื่อศาลพิพากษาคดีดังกล่าวแล้วตามบทบัญญัติวรรคสามของมาตรา 228 แห่ง ป.วิ.พ.
คำฟ้องในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ในนามของตนเองให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 โอนสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วคืนให้แก่จำเลยที่ 1 โดยปลอดจำนองเพื่อป้องกันสิทธิของโจทก์ในมูลหนี้ตามสัญญาจะซื้อขายและหากจำเลยทั้งหกไม่ยอมปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน หาได้มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคำฟ้องในคดีก่อน ซึ่งโจทก์ฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ยอมโอนสิทธิการครอบครองที่ดินดังกล่าวแล้วให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 โอนสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวแล้วแก่โจทก์ คำฟ้องคดีนี้จึงไม่ซ้ำเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1488/2529
คำร้องขอแก้ไขฟ้อง คำร้องขอแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งเป็นการตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ จึงเป็นคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (5) เมื่อคู่ความยื่นคำร้องเข้ามาและศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 คำสั่งนี้จึงมีผลเป็นการสั่งไม่รับคำคู่ความตามมาตรา 18 ซึ่งทำให้ประเด็นที่โจทก์ตั้งขึ้นโดยคำร้องแก้ไขคำฟ้องและคำร้องแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งเสร็จไป โจทก์อุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ตามมาตรา 228 (3) คำสั่งของศาลที่สั่งยกคำร้องจึงไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา
คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องและคำร้องขอแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ซึ่งโจทก์ได้ยื่นภายหลังจากที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้โดยศาลฎีกาไม่ได้กำหนดประเด็นและไม่ได้กำหนดหน้าที่นำสืบให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตามคำสั่งศาลฎีกา ศาลชั้นต้นดำเนินการตามคำสั่งศาลฎีกา ก็ชอบที่จะปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลชั้นต้นยังไม่ได้ทำการชี้สองสถานหรือทำการสืบพยาน โจทก์ก็ชอบที่จะขอแก้ไขคำฟ้องและขอแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งได้ กรณีไม่ใช่ล่วงเลยการชี้สองสถานและวันสืบพยานจนศาลชั้นต้นเสร็จสิ้นการพิจารณาไปแล้ว เพราะคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ถูกคำพิพากษาศาลฎีกายกเสียแล้ว
การขอแก้ไขคำฟ้อง โจทก์ย่อมจะขอแก้ไขได้แม้เป็นการเพิ่มเติม ข้อเท็จจริงหรือสละข้อเท็จจริงเพื่อให้ข้อหาที่ตั้งไว้เดิมบริบูรณ์ แต่ยังคงให้จำเลยรับผิดตามเดิม ส่วนการขอแก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งแม้จะเป็นการยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่ย่อมกระทำได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 (2)(3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 914/2525
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำให้การ เป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(3), 247
ตามรายงานเจ้าหน้าที่ของพนักงานศาลได้ระบุว่า ว. เป็นพี่ชายจำเลยมีอายุเกิน 20 ปี และอยู่บ้านเดียวกัน ถือได้ว่าจำเลยได้รับหมายเรียกโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 76 ทั้งในหมายเรียกก็ระบุไว้โดยชัดแจ้งว่า ให้จำเลยทำคำให้การแก้คดียื่นต่อศาลภายใน 8 วันฉะนั้น เหตุที่จำเลยกล่าวอ้างว่าในวันที่เจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายเรียกนั้นจำเลยไม่ได้อยู่บ้านเพราะสามีซึ่งป่วยไปรักษาตัวที่กรุงเทพมหานคร ว. ซึ่งเป็นญาติและอยู่บ้านเดียวกับจำเลยเป็นผู้รับหมายเรียกไว้ ครั้นเมื่อ จำเลยนำสามีกลับมาถึงบ้านตรงกับวันที่ครบกำหนดยื่นคำให้การ จึงโทร ขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การออกไปอีก 7 วัน เพื่อไปติดต่อหาทนายความ ที่กรุงเทพมหานครแก้ต่างให้นั้น ไม่เป็นเหตุให้รับคำให้การของจำเลยได้
กรณีของจำเลยเป็นการยื่นคำให้การพ้นกำหนดเวลาตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคหนึ่งได้บัญญัติไว้มิใช่เป็นการขาดนัดยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 197 จึงรับคำให้การของจำเลยไว้พิจารณาในฐานะที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การตามมาตรา 199 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9117/2538
ศาลสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับคำให้การของจำเลย เป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตาม ป.วิ.พ.มาตรา 18 จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ทันที ตามป.วิ.พ.มาตรา 228 (3)
ในระหว่างที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำให้การ ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป และศาลอุทธรณ์มิได้สั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน ตาม ป.วิ.พ. 228 วรรคสอง จนศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาคดีไปโดยจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่อย่างใด คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว การที่จะให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนและมีคำสั่งรับหรือไม่รับคำให้การใหม่ ไม่ว่าผลการไต่สวนจะเป็นประการใดย่อมไม่อาจจะทำให้ผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วเปลี่ยนแปลงไปได้ อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5386/2538 ค้นไม่พบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 349/2520
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำให้การของจำเลยเพราะยื่นเกินกำหนด 8 วัน นับแต่วันรับหมายเรียกเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 จำเลยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งได้ทันทีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 (3) แต่จำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์ กลับยื่นคำร้องใหม่ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยยื่นคำให้การที่ได้ยื่นไว้ ศาลชั้นต้นไต่สวน (โดยสอบข้อเท็จจริงจากทนายจำเลย) แล้วมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ คำสั่งตอนหลังนี้ไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 จะอุทธรณ์ในทันทีไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 903/2542
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขออนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าเป็นการจงใจ ขาดนัดและไม่มีเหตุสมควร ยกคำร้องคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว เป็นคำสั่งเกี่ยวกับคำร้อง ขออนุญาตยื่นคำให้การ มิใช่คำสั่ง ไม่รับคำให้การของจำเลยอันจะถือได้ว่าเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18กรณีจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาก่อนที่ศาลชั้นต้นจะได้มี คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดแห่งคดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ คำสั่งดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1359/2550
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การโดยยื่นคำร้องเมื่อพ้นกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าไม่มีเหตุอันสมควร จึงมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การ ซึ่งเมื่อสั่งไม่อนุญาตแล้ว ก็ไม่จำต้องสั่งไม่รับคำให้การอีก คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนของคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การและเป็นคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ มิใช่คำสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยทั้งสองอันจะถือเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 กรณีจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดี จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวในระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (1) ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การ ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาชี้ขาดตัดสินคดีชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง แต่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสองมา ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะพิพากษายกอุทธรณ์นั้นเสียโดยไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นแห่งอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสอง จึงมิชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
หมายเหตุ
คำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 มิใช่คำคู่ความ แม้จำเลยจะยื่นคำให้การมาพร้อมกับคำร้องดังกล่าวก็ตาม (คำพิพากษาฎีกาที่ 2292/2516) การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 18 และมาตรา 228 ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 (1) แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับคำให้การด้วย ก็เป็นการเกินเลยไปไม่มีผลต่อคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ให้กลายเป็นคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ตามมาตรา 18 และมาตรา 228
ไพโรจน์ วายุภาพ
คำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การไม่มีประเด็น การที่ไม่อนุญาตจึงไม่ใช่คำสั่งตาม 18 จบ 227 ส่วนแรกตามมาตรา 18 แล้ว อาทิตย์หน้า จะเริ่มต้นทีส่วนที่ 2