สรุปคำบรรยาย ทรัพย์ ครั้งที่ 5 . (พฤ25/06/09) ภาคกลางวัน 1.62

1,527 views
Skip to first unread message

nobita kwang

unread,
Jul 13, 2009, 1:54:21 AM7/13/09
to LAWSIAM

หากเอกสารสรุปคำบรรยายนี้ มีข้อผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้า  kankokub  ขออภัยและน้อมรับแต่เพียงผู้เดียว หากจะมีประโยชน์อยู่บ้างขอมอบให้แก่ ท่านอาจารย์ กนก อินทรัมพรรย์ ผู้บรรยาย   , ผู้มีน้ำใจส่ง flie เสียงที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้ฟังคำบรรยาย , บิดามารดาข้าพเจ้า

ครั้งที่ 5 . (พฤ25/06/09)

ประการที่สาม ส่วนควบจะเป็นอสังฯ เช่นบ้าน หรือจะเป็นสังหาฯก็ได้

ประการที่สี่ คือเจ้าของทรัพย์ต่างๆ อาจจะเป็นคนเดียวกันก็ได้หรือมีหลายคนเป็นเจ้าของก็ได้ ผมซื้อวัสดุ เป็นโครงเหล็กแผ่นรองนั่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นผมคนเดียวหรือมีหลายคนมาร่วมสร้างก็ได้

                เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น

ก็คือเจ้าของทรัพย์ประธานก็เป็นเจ้าของ ในกรณีที่ไม่อาจหาได้เช่นต้มยำโป๊ะแตก ก็ต่างก็เป็นเจ้าของทุกคน

เช่น แว่นตา ความสำคัญก็คือทั้งกรอบ ทั้งตัวเลนท์

          ประการสุดท้ายประการที่หก คือ การนำทรัพย์มารวมกันนั้นมีทั้งทรัพย์วัสดุและฝีมือ  เช่น การทำรูปศิลปะ มีทั้งไม้ สี ไม้กรอบ ผ้าใบ ในการวาดรูปนั้นต้องใช้ฝีมือพอสมควรแต่แรงงานหรือฝีมือนั้นเราไม่ถือเป็นส่วนควบแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้คำนึงถึงแรงงานหรือฝีมือนั้นเลย อาจจะมีการพิเคราะห์ แรงงาน ด้วย

งานหรือฝีมือเราไม่ถือว่าเป็นส่วนควบตามกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่คำนึงถึงแรงงานในส่วนนั้นเลย อาจเป็นการชดใช้ตามมาตรา 1337

องค์การเป็นส่วนควบตามมาตรา 144 วรรค หนึ่ง ก็มีองค์สองประการ

ประการที่ หนึ่ง คือทรัพย์ที่เข้ามานั้นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่แห่งทรัพย์เดิม

ประการที่สอง ไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากทำลายไป

การจะดูว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญหรือไม่ เราจะต้องดูตัวทรัพย์ว่าจะอยู่ได้หรือไม่ถ้าไม่มีส่วนควบนั้น จะเรียกว่าทรัยยพ์สินนั้นหรือไม่ ถ้าไม่มีสิ่งที่จะเป็นส่วนควบ

การเป็นสาระสำคัญนั้น มาตรา 144 มีสองลักษณะด้วยกัน คือโดยสภาพของทรัพย์นั้นเอง

หรือประการที่สองคือจารีตประเพณีหรือท้องถิ่น อย่างกรณีของที่ดินหรือบ้านเป็นต้น โดยสภาพไม่มีบ้านเราก็ใช้อย่างเป็นที่ดินได้ ไปเพาะปลูกไปเล่นกีฬา แต่ที่ถือว่าบ้านเป็นส่วนควบนั้นก็เพราะดูโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น

ดูง่ายๆอย่างที่ดินที่ มีคนไปปลูกบ้านนั้นก็จะมีมูลค่าสูงขึ้น เป็นแหล่งชุมชนมีมูลค่ามากกว่าที่ป่า

หรือเรือนไทยที่นำไม้มาขัดต่อกัน ตอกเรือนไป การแยกเรือนไป สร้างครอบครัว อาจเริ่มจากเรือนหอเรือนประธานเท่านั้น ติดกับเรือนหอก็ย่อมลงมาเป็นครัวไฟ เพราะเราใช้ถ่านในการหุ้งต้ม อยู่ไปสักพักครอบครัวขยาย มีบุตร มีคนใช้ ข้าทาสบริวาร เรือนนั้น ก็ขยาย เป็นเรือนบริวาร ในที่สุดเรือนไทยโบราณก็มีสิ่งก่อสร้างติดต่อกันสี่ห้าหลัง โดยมีชานเรือนเป็นที่กว้างเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน ทุกส่วนนี้ล้วนเป็นสาระสำคัญในการเป็นอยู่ซึ่งกันและกัน เพราะว่าสมัยก่อน เรามีลักษณะต้องหุ้งหาอาหารเอง ครัวไฟจึงเป็นส่วนประกอบที่สาระสำคัญของบ้าน

86/2493  ครัวไฟเป็นส่วนควบของเรือนใหญ่ เมื่อทำสัญญาขายฝากเรือนย่อมหมายรวมถึงขายฝากทั้งครัวด้วย แม้ในสัญญาขายฝากจะระบุรายการไว้แต่เรือนหลังใหญ่เท่านั้นก็ตาม

ครัวไฟเป็นสาระสำคัญ

อีกเรื่องคือ 610/2488

มารดาทำหนังสือสัญญายกที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งโรงทำน้ำโซดาให้แก่จำเลย สิ่งปลูกสร้างในที่ดินหมายถึงโรงเรือนเท่านั้น เครื่องจักร์ทำน้ำโซดาและอุปกรณ์ในการทำน้ำโซดาไม่ใช่เป็นส่วนควบของที่ดินนั้นด้วย

จำเลยเป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์มฤดกและดำเนินการค้าไว้เป็นกองกลางก่อนแบ่งให้ทายาท แม้เกิน 1 ปีนับแต่เจ้ามฤดกตาย ผู้รับมฤดกก็ฟ้องขอแบ่งได้

 

 เครื่องจักรทำน้ำโซดา และอุปกรณ์ทำน้ำโซดา ไม่ได้เป็นสาระสำคัญในการเป็นอยู่แห่งทรัพย์ที่ดินนั้นเลย

ทั้งโดยสภาพหรือ จารีตประเพณีมันก็ไม่ใช่สาระสำคัญเลย ไม่มีจารีพประเพณีที่ต้องใช้น้ำโซดากันทุกครัวเรือน

มีคำพิพากษาฏีกาอีก ว่าเป็นสาระสำคัญ คือ 1096-97/2510

เรือน 3 หลังปลูกติดต่อเป็นหลังเดียวกัน ทำรั้วบ้านด้านข้างติดต่อรั้วเดียวกันมีนอกชานด้านหน้าซึ่งทำประตูเข้าไว้ตรงนอกชานทั้งปรากฏว่าเจ้าของได้อยู่อาศัยอย่างเป็นบ้านเดียวกันมาหลายสิบปีและส่วนของสิ่งปลูกสร้างของเรือนหลังหนึ่งล้ำเข้าไปอยู่ในเรือนของอีกหลังหนึ่ง ตัวเรือนมีชายคาติดต่อต้องใช้รางน้ำร่วมกัน แม้เรือนทั้ง 3 หลังจะปลูกต่างปีกัน ก็ฟังได้ว่าเรือนทั้ง 3 หลังนั้นเป็นส่วนควบซึ่งกันและกัน

 

 วินิจฉัยในเรื่องเรือนสามหลังทำรั้งติดกัน มีนอกชานด้านหน้า เจ้าของบ้านอยู่ด้วยกันมาหลายสิบปี แม้ว่าจะปลูกระยะเวลาห่างกัน ก็เป็นส่วนควบ

ลักษณะก็เป็นเรือนไทยหมู่อย่างที่ได้อธิบายตอนต้น

องค์ประกอบของส่วนควบประการที่สองคือ ไม่อาจแยกกันได้ นอกจากทำลาย ทำให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนสภาพไป

เช่นรถยนต์ มีตัวถัง เป็นประธาน แล้วนำเครื่องยนต์และ ล้อมาใส่

ก็จะเห็น ว่าถ้าไม่มีส่วนดังกล่าวก็ไม่ใช่สภาพเป็นรถยนต์ในตัวมันเอง

แต่ในส่วนของน้ำมัน นั้นเป็นสาระสำคัญที่ทำให้รถมันเคลื่อนที่ไปได้ ถือได้ว่าน้ำมันเป็นสาระสำคัญในการเป็นอยู่แห่งรถยนต์ แต่สามารถแยกกันได้ไม่ทำให้เสียหาย บุบสลายเปลี่ยนแปลงสภาพ สภาพของรถยนต์ก็ตามเดิม ตัวน้ำมันเอง ก็ไม่เปลี่ยนไปโดยไม่ปกติ ก็เป็นปกติของ ของเหลว ดังนั้นน้ำมันไม่เป็นส่วนควบ เพราะไม่ครบองค์ประการที่สอง

ในทางตรงกันข้ามก็มีทรัพย์ที่ไม่เข้าองค์ประกอบข้อที่หนึ่งแต่เข้าองค์ประกอบข้อที่สองก็ถือว่าไม่เป็นส่วนควบเช่นกัน

เราต้องการแบ่งออกเป็นสามห้องอย่างฐาวร การรื้อก็ต้องเสียหายแน่นอน แต่ว่าการที่จะมีฝากั้นห้องหรือไม่ไม่เป็นสาระสำคัญ เพราะฉะนั้นก็ไม่ถือว่าโดยสภาพหรือจารีตประเพณีต้องมี

372/2500

ฝากั้นห้องจะเป็นส่วนควบของอาคารที่จำเลยเช่าจากโจทก์มาทำโรงแรมหรือไม่ จะต้องพิจารณาถึงสภาพของทรัพย์อย่างหนึ่งหรือตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นอีกอย่างหนึ่งว่าฝาที่กั้นเป็นห้องนั้นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของอาคารที่จำเลยเช่าจากโจทก์หรือไม่ หากตามสภาพของฝาที่กั้นเป็นห้องเป็นทรัพย์ที่อาจแยกออกจากตัวอาคารได้โดยมิได้เป็นการทำลายอาคารหรือทำให้อาคารบุบสลายหรือเปลี่ยนแปลงรูปทรงแต่อย่างใด ฝากั้นเป็นห้องหาเป็นสาระสำคัญของอาคารไม่ และโจทก์มิได้นำสืบถึงจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นฝากั้นห้องนั้นก็ไม่ถือเป็นส่วนควบของอาคาร

สำหรับการที่ทรัพย์หลายสิ่งจะรวมกันเป็นส่วนควบนั้น จะเป็นไปโดยการกระทำของมนุษย์หรือเป็นของ ธรรมชาติก็สามารถทำได้

712-13/2475

ผู้ถือประทานบัตร์มีสิทธิที่จะขุดฉะเพาะในเขตต์ประทานบัตร์ แร่ไหลไปในที่ว่างเปล่าเป็นของหลวง ป.พ.พ.ม.107-1308 ส่วนครบที่งอก แร่ไหลเข้ามาในเขตต์ประทานบัตร์เป็นเวลาหลายปีตามธรรมชาติกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นดิน เจ้าของแร่หมดกรรมสิทธิ

วิธีพิจารณาแพ่ง ย้อนสำนวนให้ศาลเดิมวินิจฉัยค่าเสียหาย

 

เช่นที่ดินที่เป็นที่งอกริมตลิ่ง

หรือกรณีที่เป็นมนุษย์เป็นผู้ทำ 378/2522

สัญญาเช่ามีว่าทรัพย์ใด ๆ ที่ผู้เช่าดัดแปลงต่อเติมลงในที่เช่า ตกเป็นของผู้ให้เช่าทันที ข้อสัญญานี้ผูกพันผู้เช่าช่วงด้วย ทรัพย์ที่ต่อเติมนี้หมายความถึงการกระทำที่มาเป็นส่วนควบ เครื่องปรับอากาศที่ติดเข้ากับอาคารที่เช่า ไม่เป็นสารสำคัญในความเป็นอยู่ของอาคาร อันไม่อาจแยกออกได้ นอกจากทำให้อาคารเสียรูปทรง ไม่เป็นส่วนควบ ไม่ตกเป็นของผู้ให้เช่า

 

 เป็นเรื่องของการนำเครื่องปรับอากาศมาติดกับอาคารที่เช่า แต่สมัยนั้นยังไม่เป็นสาระสำคัญโดยสภาพหรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น

แต่ถ้าเราดูขณะนี้แนวบรรทัดฐานก็น่าสงสัยอยู่ว่าจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เพราะปัจจุบันตึกก็แทบทุกตึกต้องติดเครื่องปรับอากาศหมดแล้ว

สิ่งที่ต้องระวังอย่างมากในการดูฏีกา คือ เรื่องจารีตประเพณีแห่งท้องถิ้นนั้น สามารถเปลี่ยนไปได้ตามยุคตามสมัย

ในฃ่วงเวลาหนึ่งศาลได้วินิจฉัย ว่าพวกสุขภันพวกนี้ไม่เป็นส่วนควบ

1547/2494

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าโรงเรือนของโจทก์ แล้วจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ โดยดัดแปลงแก้ไข รื้อขนสัมภาระจากโรงเรือนของโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายจึงขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยตามมูลละเมิด เมื่อฟังไม่ได้ว่า เป็นละเมิดแล้วในข้อที่จำเลยจะต้องรับผิดฐานไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่าหรือไม่นั้น ไม่มีประเด็นจะวินิจฉัยเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องว่ากล่าวตามมูลสัญญาเช่า

แม้ในสัญญาเช่าจะใช้คำว่าการดัดแปลงหรือต่อเติมใดๆที่ผู้เช่าได้ทำขึ้นต้องตกเป็นของผู้ให้เช่าก็ดี ก็ย่อมต้องหมายความถึงการกระทำที่มาเป็นส่วนควบของทรัพย์ประธาน สัญญาเช่าที่มีข้อความดังที่ปรากฏนี้ หาอาจทำให้อสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นที่ตกเข้ามาอยู่ในที่เช่าเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นได้ไม่

 

            ซึ่งผมเห็นว่าถ้าข้อเท็จจริงอย่างเดียวกันเกิดขึ้นในปัจจุบันน่าจะเปลี่ยนแปลงไปเพราะว่าสภาพของโรงเรือนเหล่านี้ ในปัจจุบันก็ต้องเปิดไฟสว่างแม้ในเวลากลางวัน เครื่องเสียงใช้ไม่ได้แสงสว่างไม่พอ หรือในเรื่องของห้องน้ำเครื่องสุขภันท์ ก็ต้องมีสำหรับอาคารขนาดใหญ่เช่นนี้

            เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่จำเป็นแล้วเพราะว่าประเพณีนั้นก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเกิดปัญหาในขณะนี้น่าจะเป็นไปได้สูงว่า เครื่องสุขภัณท์ก็ดีสายไฟฟ้าก็ดีน่าจะเป็นส่วนควบ อย่างไรก็ตามในเรื่องต้นไม้ก็มีมาตรา 145

มาตรา 145  ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติอันจะเก็บเกี่ยวรวงผลได้คราวหนึ่งหรือหลายคราวต่อปีไม่เป็นส่วนควบกับที่ดิน

            ก็ต้องดูจากพันธุ์ของไม้เป็นสำคัญ

            6303/2539

          โจทก์และจำเลยโต้เถียงการครอบครองที่พิพาทอยู่การที่จำเลยเข้าไปปักเสาสร้างรั้วในที่พิพาทจึงเป็นการเข้าใจโดยสุจริตว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยการกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานบุกรุก ต้นไผ่ที่จำเลยเข้าไปตัดฟันปลูกอยู่ในที่พิพาทแม้โจทก์เป็นผู้ปลูกแต่ต้นไผ่เป็นไม้ยืนต้นจึงเป็นส่วนควบของที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา145วรรคหนึ่งและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่พิพาทซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์ประธานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา144วรรคสองเมื่อโจทก์และจำเลยยังโต้เถียงสิทธิครอบครองในที่พิพาทกันอยู่เท่ากับว่าโจทก์และจำเลยยังโต้เถียงกรรมสิทธิ์ของต้นไผ่ซึ่งปลูกอยู่ในที่พิพาทการที่จำเลยเข้าไปตัดฟันต้นไผ่พฤติการณ์จึงมีเหตุอันสมควรให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าต้นไผ่ดังกล่าวเป็นของจำเลยการกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์

            นอกจากนี้ก็มีคำพิพากษา

 4803/2549 ค้นไม่พบ ในเรื่องต้นฝรั่งเป็นไม้ยืนต้น

14/2514

ในวันนัดสืบพยานประเด็นโจทก์ ทนายจำเลยขอเลื่อน แต่ศาลที่รับประเด็นไม่อนุญาตและดำเนินการสืบพยานไปโดยทนายจำเลยไม่ได้คัดค้าน ดังนี้ แม้จะถือว่าศาลที่รับประเด็นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแห่งว่าด้วยการพิจารณา แต่การที่ศาลฏีกาจะมีคำสั่งให้มีการพิจารณาใหม่ทั้งหมดหรือบางส่วนหรือไม่นั้น ก็เป็นดุจพินิจของศาลฏีกา โดยคำนึงถึงเหตุอันสมควรเป็นเรื่องๆ ไป

 

วินิจฉัยว่าต้นกล้วยเป็นไม่ล้มลุก

4089/2532

สับปะรด เป็นพืชถาวรจำพวกใบเลี้ยงเดี่ยว ที่มีอายุหลายปี ลำต้นสับปะรด ไม่มีเนื้อไม้ให้เห็นเด่นชัด สับปะรด จึงไม่ใช่ไม้ยืนต้น นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของจำเลยที่ 1ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลาอำเภอศรีราชาและตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุงจังหวัด ชลบุรี พ.ศ. 2521 คณะกรรมการเวนคืนดังกล่าวย่อมมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการให้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยเจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืนให้ตกลงกันในเรื่องจำนวนค่าทดแทนตามมาตรา 18222526แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะพิพาท เมื่อคณะกรรมการเวนคืนได้รับการแต่งตั้งโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว คณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการเวนคืนแต่งตั้งย่อมเป็นตัวแทนของคณะกรรมการเวนคืนดังนั้นการกระทำของคณะอนุกรรมการดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายและข้อตกลงที่คณะอนุกรรมการได้กระทำไว้กับโจทก์จึงเป็นการกระทำแทนคณะกรรมการเวนคืนและเมื่อคณะกรรมการเวนคืนก็ได้เห็นชอบตามข้อตกลงดังกล่าว จึงย่อมมีผลใช้บังคับ.

 

 วินิฉัยว่าต้นสับปะรดไม่ใช่ไม้ยืนต้น ศาลให้เหตุผลว่าสับปะรดไม่มีเนื้อไม้เด่นชัด ก็ไม่ใช่ไม้ยืนต้น

            สรุปต้องมีสององค์ประกอบจึงจะเข้าเป็นส่วนควบ ก็มีข้อยกเว้นบางประการที่แม้เข้าในสองข้อก็ตามแต่ก็ไม่ถือเป็นส่วนควบ

            อยู่ในมาตรา 145 วรรค 2 และมาตรา 146

            ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติอันจะเก็บเกี่ยวรวงผลได้คราวหนึ่งหรือหลายคราวต่อปีไม่เป็นส่วนควบกับที่ดิน

 

                                มาตรา 146 ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราว ไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย

            สรุปข้อยกเว้นได้สามประการ คือ

1.ไม้ล้มลุกหรือธัญชาติอันจะเก็บเกี่ยวรวงผลได้คราวหนึ่งหรือหลายคราวต่อปี

2.ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราว

3.โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย

            ไม้ล้มลุกต้องไม่เกินสามปี

4089/2532 ที่วางในเรื่องสับปะรดมาดูประกอบ นอกจากนั้นอาจนำไปใช้กับต้นข้าว หรือ ธัญชาติอื่นๆ

            ประการที่สอง เช่นเราจัดงานวันรพีอาจจะเพื่อจำหน่ายตำรา ราคาในราคาย่อมเยา

มีลักษณะเป็นการชั่วคราวจึงไม่เป็นส่วนควบ ตาม 146 ตอนแรก

            1516-17 /2512

            วินิจฉัยว่าผู้อาศัยในโรงเรือน ซ่อมแซมเพิ่มเติม ข้อเท็จจริงแค่นี้ไม่พอฟังว่าทำเป็นการชั่วคราว

            แต่ถ้าทรัพย์ที่เป็นประธานนั้นไม่ใช่ตัวที่ดินหรือโรงเรือน ก็จะไม่เข้าข้อยกเว้นนี้ต้องไปใช่หลักทั่วไปคือกลายเป็นส่วนควบนั้นเอง

            โรงเรือนก็ไม่จำเป็นต้องเป็นการก่อสร้างด้วยวัสดุอะไรเป็นการเจาะจง

            การเข้าไปปลูกโรงเรือนในที่ดินของคนอื่นโดยไม่มีสิทธิแม้เจตนาเป็นการชั่วคราว

            มาตรา 1300 1312 มีบทวินัย

            ข้อยกเว้นประการที่สามคือโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธิในการปลูกสร้างนั้น โรงเรือนเราพุดไปแล้วว่าหมายถึงอาคารที่อยู่อาศัยของคน ข้อสำคัญคือการก่อสร้างนั้นต้องเป็นการสร้างในที่ดินของผู้อื่น จึงจะเป็นสิ่งปลูกสร้างได้ จึงไม่เป็นส่วนควบ แต่การปลูกสร้างในที่ดินของผู้อื่น โดยไม่มีสิทธิ ก็เป้นส่วนควบ

            สิทธิก็เป็นได้โดยทางสัญญา ก็คือข้อตกลงทั่วๆไป เช่น ก มีที่ดินแปลงหนึ่ง ผม เดือดร้อนที่อยู่ก็ขออนุญาต ไปปลูกบ้านในที่ดินดังกล่าว มีคำเสนอคำสนองตรงกัน ก็มีสิทธิตามสัญยาที่จะไปปลูกบ้านในที่ดินนาย ก ก็เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 146 ตอนท้าย

            สิทธิตามสัญญาเป็นบุคคลสิทธิในหลักการจะมีหลักฐานเป็นหนังสือหรือไม่ก็ได้ เว้นแต่บางกรณีเท่านั้นที่ต้องมีแบบหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงจะอ้างสิทธิตามสัญยานั้นได้

            เช่นการเช่าอสังฯ ที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ

            แต่ถ้าเป็นสัญญาประเภทอื่นๆ เช่นข้อตกลงทั่วไปหรือสัญญาไม่มีชื่อนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือก็ได้

            โดยการยินยอมนั้นอาจเป็นการให้การยินยอมโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายก็ได้ เรื่องเช่นนี้ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง

            เพราะอาจมีบางกรณีที่ไม่ยินยอม แต่ไม่อาจทักท้วงในขณะนั้น

            ตัวอย่างฏีกา 1868/2492

          เจ้าอาวาสปลูกสร้างเรือนพิพาทในที่ดินธรณีสงฆ์ของวัดโดยใช้เงินของผู้อื่นซึ่งมีศรัทธาถวายเพื่อเป็นที่พักเวลามาทำบุญนั้น เรือนนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดเพราะเป็นส่วนควบของที่ดิน

สิทธิที่จะปลูกสร้างในที่ดินของผู้อื่นจะเกิดขึ้นได้โดยเจ้าของที่ดินได้ก่อให้เกิดขึ้นโดยนิติกรรม อันผู้มีสิทธิอาจฟ้องร้องบังคับเอาได้

เจ้าอาวาสมีหน้าที่บำรุงรักษาจัดการสมบัติของวัด จึงมีสิทธิมอบอำนาจให้ไวยาวัจกรฟ้องร้องคดีแทนวัดได้

            ผลตามฏีกานี้มีผลว่าแม้เจ้าอาวาสทำก็ไม่มีสิทธิทำเพื่อประโยชน์ของตนเองได้

            ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งคือ เจ้าอาวาสไม่ได้เจตนาปลูกเพื่อให้ตนเองเป็นเจ้าของแต่แรก เป็นการปลูกเพื่อประโยชน์ของวัดล้วนๆ

            550/2477

            โฮเต็ล โรงมหรศพแลครัวไฟ ถึงแม้ปลูกอยู่ในที่ซึ่งเช่าจากผู้อื่นก็นับว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ การวินิจฉัยว่าอะไรเป็นหรือไม่เป็นส่วนควบต้องวิเคราะห์ตามมาตรา 107-109 ซึ่งไม่เกี่ยวกับปัญหาว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ผู้ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ไม่มีบุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์ของผู้เช่า คงมีบุริมสิทธิเหนือสังหาริมทรัพย์เท่านั้น วิธีพิจารณาความแพ่ง ขัดทรัพย์

            370 371 /

            1134/2514

          ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท เป็นคำฟ้องเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เสนอคำฟ้องต่อศาลที่บ้านพิพาทตั้งอยู่ในเขตศาลได้

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อบ้านเลขที่ 55/21 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินที่โจทก์เช่าจากวัดเขมาภิรตาราม ตำบลบางซ่อน อำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร ค่าเช่าซื้อ 100,000 บาท ตามสำเนาสัญญาเช่าซื้อท้ายฟ้อง จำเลยผิดสัญญาในข้อที่ว่า เมื่อปลูกบ้านเสร็จพอที่จำเลยจะเข้าอยู่ได้ โจทก์จะต้องมอบบ้านให้จำเลยครอบครอง และจำเลยต้องชำระราคาให้แก่โจทก์อีก 10,000 บาท จำเลยไม่ชำระ ขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว ไม่เคลือบคลุม ไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าโจทก์สร้างเสร็จครบถ้วนและถูกต้องตามสัญญาทุกประการ หรือมีรายละเอียดเกี่ยวกับขนาดวัสดุ คุณภาพวัสดุก่อสร้างแบบแปลนแผนผังท้ายสัญญาอีกด้วย

เมื่อโจทก์ส่งมอบบ้านพิพาทให้จำเลยเข้าครอบครองอันเป็นการปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว แม้บ้านพิพาทยังไม่เสร็จเรียบร้อยดีจำเลยพอใจรับมอบบ้านพิพาทจากโจทก์ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องใช้เงินจำนวน 10,000 บาทให้โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ

โจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับประเด็นเรื่องค่าเสียหายโจทก์จึงฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในประเด็นข้อนี้ไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาเรื่องค่าเสียหายของโจทก์ไว้ ไม่เป็นฎีกาที่ต้องพิจารณา

 

            628/2521

            116/2513 วินิจฉัยว่าโจทก์ก่อสร้างตึกเต็มที่ดินโจทก์แล้วทำทางเท้าล้ำไปในที่ดินและจำเลยยินยอมเมื่อไม่ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนไม่บริบูรณ์ แล้วต่อไปนั้น จำเลยไม่ยอมให้ใช้ในที่ดินดังกล่าว โจทก์ก็มีสิทธินำทางเท้าออกไปได้

            จะเห็นว่าจากฏีกานี้แบ่งได้สองเรื่อง คือ จำเลยยอมให้สร้าง อันนี้ก็เป็นสัญญาไม่มีกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ จะยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้โดยการบอกกล่าวตามสมควร

            ประเด็นที่สอง คือทางเท้านั้น ไม่เป็นส่วนควบตามมาตรา 146 ตอนท้ายเป็นข้อยกเว้นประการที่สาม

            ข้อสังเกตประการที่สอง คือ ฏีกานี้ยังได้กล่าวในเรื่องทรัพย์สิทธิที่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนมิฉะนั้นไม่บริบูรณ์กล่าวคือสิทธิที่ได้รับอนุญาตนั้น เป็นสิทธิเหนือพื้นดิน ไม่บริบูรณ์ ตามมาตรา 1299 วรรค 1

            ข้อยกเว้นประการที่สาม ของการไม่เป็นส่วนควบ คือ สิทธิในที่ดินของผู้อื่นในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิทธินี้  ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสิทธิเหนือพื้นดิน ในลักษณะ มาตรา 1410 เป็นหลัก

            อย่างไรก็ตาม 1349  เรื่องทางจำเป็น ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีที่ดินอื่นล้อมรอบ ไม่จำกัดเป็นทางเดินเท่านั้น อาจเป็นถนนก็ได้ มาตรา 1352  เป็นเรื่องเดินสายไฟฟ้า

            1338 เป็นเรื่องสิทธิตามกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน

            ส่วนใหญ่ก็มักเป็นเรื่องสร้างโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินของผู้อื่น

            1410 เจ้าของที่ดินอาจก่อให้สิทธิเหนือที่ดิน เป็นต้นว่าก่อสร้างสิ่งปลุกสร้างหรือเพราะปลูกในที่ดินของคนอื่น กรณีนี้สร้างบนดิน

            ใต้ดินอาจจะเก็บถึงน้ำใต้ดิน ถ้าเรามีสิทธิทำนั้นก็เข้ามาตรา 146 ตอนท้าย

            แต่ข้อสำคัญนั้น คือ ถ้าได้มาโดยนิติกรรมต้องระวังในเรื่องขอบเขตของนิติกรรม รวมถึงการที่เราจะเข้าไปปลูกสร้างสิ่งนั้น เราก็มีสิทธิ ตามสัญญานั้นๆ

            ซึ่งกรณีที่เข้า 146 ตอนท้ายนั้นต้องเป็นการเช่าโดยมีสิทธิในการสร้างสิ่งนั้นๆด้วย เช่นการเช่าบ้านเพื่ออยู่อาศัยไม่น่ารวมถึงโรงรถ และถนน ในการรักษารถยนต์ ก็ไม่น่ามีสิทธิ จึงไม่เข้าข้อยกเว้น

            723/2490

          ผู้เช่าได้ก่อสร้างสิ่งใดๆ ลงในที่ที่เช่า ซึ่งถือได้ว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับที่ดิน กฎหมายถือว่าเป็นส่วนควบของที่ดิน ผู้เป็นเจ้าของที่ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 ถ้าผู้เช่ารื้อถอนก็ต้องรับผิดฐานละเมิด

            2882/2536

          การที่ผู้ร้องและจำเลยซึ่งเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทำสัญญาเพื่อให้มีผลเป็นการโอนสิทธิในที่ดินโดยการส่งมอบการครอบครองให้แก่กันภายในกำหนดเวลาห้ามโอนนั้นแม้จะเรียกว่าสัญญาจะซื้อจะขายและระบุในสัญญาว่าจะมีการโอนทางทะเบียนเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอนแล้วก็ตาม การทำสัญญาเช่นนี้เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายสัญญาจึงเป็นโมฆะ จำเลยจึงยังคงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว ส่วนบ้านและอาคารซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ร้องปลูกสร้างในที่ดินของจำเลยโดยผู้ร้องมิใช่ผู้มีสิทธิในที่ดินย่อมเป็นส่วนควบของที่ดินและตกเป็นของจำเลย โจทก์ย่อมสามารถนำยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกขายทอดตลาดได้

339/2542

โจทก์และจำเลยทั้งเก้าต่างเป็นกรรมการสุขาภิบาลด้วยกัน แต่เดิมเมื่อปี 2536 สุขาภิบาลว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดห.ให้ขุดลอกอ่างเก็บน้ำในเขตสุขาภิบาล ตกลงค่าจ้างเป็นเงิน100,000 บาท แต่ยังไม่มีการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวเพราะมีเงื่อนไขว่า ในปีต่อไปหากห้างหุ้นส่วนจำกัดห.ประมูลงานจากสุขาภิบาลได้ ห้างหุ้นส่วนจำกัดห. ก็จะไม่รับเงินจำนวน 100,000 บาท ตามที่ตกลงจ้าง ต่อมาปี 2537 ห้างหุ้นส่วนจำกัดว. ซึ่งมีโจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้รับการว่าจ้างในกรณีพิเศษ จากนายอำเภอประธานคณะกรรมการสุขาภิบาล ให้ก่อสร้าง ถนน ห้างหุ้นส่วนจำกัดห. จึงไม่ได้รับงานทางคณะกรรมการสุขาภิบาลจะต้องจ่ายเงิน 100,000 บาทให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดห. การที่จำเลยทั้งเก้าเรียกร้องให้โจทก์จ่ายเงิน 100,000 บาท แก่ตน มิฉะนั้นโจทก์จะถูกร้องเรียนกล่าวหาต่อผู้ว่าราชการจังหวัดในเรื่องโจทก์ก่อสร้างถนนผิดไปจากสัญญา อันเป็นเหตุให้สัญญา ดังกล่าวระงับ และโจทก์ต้องถูกขับออกจากกรรมการสุขาภิบาลเมื่อปรากฏว่าโจทก์ต้องจ่ายเงินจำนวน 100,000 บาทให้จำเลยทั้งเก้าไปโดยกลัวต่อการข่มขู่ของจำเลยทั้งเก้าย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งเก้าใช้สิทธิโดยชอบ เพราะแม้ว่าโจทก์จะมีส่วนบกพร่องในการก่อสร้างถนนอันผิดไปจากสัญญาก็เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ว่ากล่าวส่วนจำเลยทั้งเก้าเป็นบุคคลภายนอกย่อมไม่มีสิทธิสอดเข้าเกี่ยวข้องโดยหวังผลประโยชน์เป็นที่ตั้งการที่โจทก์ต้องจ่ายเงินให้จำเลยทั้งเก้าโดยกลัวต่อการ ข่มขู่ดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งเก้าจึงเป็น การข่มขืนใจโจทก์ให้ยอมให้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชื่อเสียงของโจทก์ซึ่งครบถ้วน ตามองค์ประกอบความผิดฐานกรรโชกแล้ว

239/2485 ผู้ใดอ้างว่าเรือนซึ่งปลูกอยู่ไม่ใช่ของเจ้าของที่ดินผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ

           

Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages