++ สรุปย่อ//และวิเคราะห์หลัก ป.วิ.อาญา มาตรา 128, 130-147, 158, 159-165 //(เหมาะสำหรับอ่านทบทวนก่อนสอบ)++

5,437 views
Skip to first unread message

arunarun chitt

unread,
Jan 23, 2014, 6:03:12 PM1/23/14
to law...@googlegroups.com

 การสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้แก่ 

1. การสอบสวนที่กระทำโดยพนักงานสอบสวนที่มีอำนาจตามบทบัญญัติมาตรา  18 และ19

     การสอบสวนที่กระทำโดยพนักงานสอบสวนที่ไม่มีอำนาจ ถือว่าไม่มีการสอบสวน   พนักงานอัยการย่อมไม่มีอำนาจฟ้องตามมาตรา  120  (ฎ. 518/06, 726/83)  หรือกรณีที่พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบไม่เป็นไปตามมาตรา  18 วรรคสาม ,19 วรรคสอง  ก็ถือไม่ได้ว่ามีการสอบสวนคดีนั้น พนักงานอัยการก็ไม่มีอำนาจฟ้องเช่นกัน(ฎ. 1974/39, 1350/82)

2. ในคดีความผิดต่อส่วนตัวพนักงานสอบสวน จะทำการสอบสวนได้ต้องมีการร้องทุกข์ตามระเบียบ     

      ดังนั้นหากไม่มีคำร้องทุกข์ หรือเป็นคำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ถือว่าไม่มีการสอบสวน อัยการไม่มีอำนาจฟ้อง (ดูในเรื่องการร้องทุกข์)  

    - ผู้ที่ร้องทุกข์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ถือว่าความผิดต่อส่วนตัวนั้นไม่มีการร้องทุกข์ตามกฎหมาย(ฎ.4648/28 ป.)

     - กรณีการกระทำความผิดต่อห้างนิติบุคคล  ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด  นิติบุคคลดังกล่าวเป็นผู้เสียหาย ผู้แทนนิติบุคคล เช่น หุ่นส่วนผู้จัดการ หรือกรรมการผู้จัดการ มีอำนาจร้องทุกข์แทน   บุคคลอื่นแม้จะเป็นหุ้นส่วน  ผู้ถือหุ้น  ก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย (ฎ. 610/15)  การที่ผู้แทนนิติบุคคล  หรือ ผู้จัดการน ไปร้องทุกข์ในนามส่วนตัว ถือว่าผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ได้ร้องทุกข์ (ฎ. 5008/37,  1250/21 ป.) 

   - การมอบอำนาจให้ร้องทุกข์ต้องมีความชัดเจนว่ามอบอำนาจให้ร้องทุกข์แทน หนังสือมอบอำนาจที่มีข้อความว่ามอบอำนาจให้ฟ้องต่อศาล  ไม่รวมถึงมอบอำนาจให้ร้องทุกข์ (ฎ. 610/15)    

   - การแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ไม่ใช่คำร้องทุกข์ (ฎ. 4906/43)

   - คำให้การในของผู้เสียหายชั้นสอบสวนถือว่าเป็นคำร้องทุกข์ ได้ (ฎ. 1641/14)

   - ในความผิดที่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท  การที่ผู้เสียหายร้องทุกข์โดยระบุฐานความผิดบางข้อหา ถือว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ในข้อหาอื่นด้วย (ฎ. 2429/37)

   - เมื่อได้ร้องทุกข์โดยชอบแล้วแต่พนักงานสอบสวนบกพร่องไม่ระบุข้อหาให้ครบถ้วน  ก็ไม่ทำให้การร้องทุกข์เสียไป (ฎ. 2167/28)

   - หนังสือร้องทุกข์ของผู้เสียหายหลายคน  แต่ผู้เสียหายลงชื่อในหนังสือร้องทุกข์เพียงบางคน ถือว่าผู้เสียหายที่ไม่ได้ลงชื่อ ไม่ได้ร้องทุกข์ด้วย (ฎ. 2730/38)

   - บริษัทมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปร้องทุกข์  กรรมการที่ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจมีเพียงคนเดียว  แต่ตามข้อบังคับของบริษัทต้องมีกรรมการรวม  2 คน ลงชื่อผูกพันบริษัทได้ การมอบอำนาจดังกล่าว จึงไม่ผูกพันบริษัทโจทก์ จึงถือว่าบริษัทโจทก์ไม่ได้ร้องทุกข์ในความผิดตาม พ.ร.บ.เช็คฯ

    -**คำร้องทุกข์ไม่มีแบบ จึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือ (ฎ. 719/83)   แม้ พงส. จะยังไม่ลงบันทึกประจำวันก็เป็นคำร้องทุกข์ (ฎ. 2371/22)

    - การร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานที่ไม่มีอำนาจรับคำร้องทุกข์ เช่นร้องทุกข์ ต่อ รมต.มหาดไทย  ถือว่าไม่มีการร้องทุกข์ 

    - ถ้าผู้เสียหายเป็นเจ้าพนักงานตำรวจร้องทุกข์ต่อตนเอง  ก็ถือว่าเป็นการร้องทุกข์ที่ชอบด้วยกฎหมายได้ (ฎ. 292/82)

    - การถอนคำร้องทุกข์  ที่จะทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามมาตรา 39(2) นั้น ต้องกระทำก่อนคดีถึงที่สุด (ฎ. 284-5/38, 5689/45) 

    - ในความผิดที่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีทั้งความผิดอันยอมความได้และมิใช่ความผิดอันยอมความได้  เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ ก็มีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปเฉพาะความผิดอันยอมความได้เท่านั้น  อัยการฯ ยังคงมีอำนาจดำเนินคดีที่มิใช่ความผิดอันยอมความได้ต่อไป (ฎ. 1925/41)

    -จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรทรัพย์ที่ได้มาจากความผิดฐานยักยอก แม้ผู้ร้องทุกข์จะถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานยักยอก  จำเลยก็คงมีความผิดฐานรับของโจรอยู่ (ฎ. 6152/40)

    - สิทธิขอถอนคำร้องทุกข์ในความผิดต่อส่วนตัวที่เกี่ยวกับทรัพย์สินตกทอดแก่ทายาท    ทายาทจึงขอถอนคำร้องทุกข์ได้ ( คร.751/41)

    - การที่อัยการฯ ได้รับคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์แล้ว  ถือเป็นการถอนคำร้องทุกข์โดยชอบแล้ว ศาลไม่ต้องสอบถามผู้เสียหายอีก (ฎ. 1505/42)

     - โจทก์ร่วมขอถอนฟ้องคดีความผิดต่อส่วนตัวที่อัยการฯ เป็นโจทก์ ถือว่าผู้เสียหายประสงค์จะถอนคำร้องทุกข์นั้นเอง (ฎ. 746/47)

 3.  การแจ้งข้อหา          การสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมาย  ต้องมีการแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่กล่าวหา  และแจ้งข้อหาแก่ผู้ต้องหา

       -ในความผิดที่เกี่ยวกับการกระทำอันเดียวกัน หรือความผิดอันเกี่ยวพันกัน พนักงานสอบสวนไม่จำต้องแจ้งข้อหาทุกกระทงความผิด  ดังนี้เมื่อพนักงานสอบสวน ได้แจ้งบางข้อหา พนักงานสอบสวนก็มีอำนาจสอบสวนได้ทุกข้อหา  (ฎ.5433/43, 3426/43)  นอกจากนี้เมื่อได้แจ้งข้อหาหนึ่งแล้ว หากมีความผิดฐานอื่นปรากฏขึ้นในระหว่างการสอบสวน ก็ถือว่าได้สอบสวนความผิดฐานนั้นด้วยแล้ว (ฎ. 3288/35)  เพราะการแจ้งข้อหาตาม ป.วิ.อ.มาตรา 134  ก็เพื่อประสงค์ให้ผู้ต้องหาทราบและเข้าใจ ถึงการกระทำของตนว่าเป็นความผิด หาได้หมายความว่าพนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบทุกกรรมเป็นความผิดไม่   เช่นเดิมแจ้งข้อหาตามมาตรา 157, และ 165  มิได้แจ้งมาตรา  138 ด้วย แต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฏว่าการกระทำเป็นความผิดตามมาตรา 138  ก็เรียกได้ว่า ได้มีการสอบสวนในความผิดฐานนี้แล้ว  (ฎ. 6962/39)

    - แต่หากเป็นความผิดที่ไม่เกี่ยวเนื่องกัน หรือมีเนื้อหาต่างกัน ต้องแจ้งทุกข้อหาด้วย เช่น  หุ้นส่วนผู้จัดการยักยอกทรัพย์ของห้าง พงส. แจ้งข้อหาแก่จำเลยฐานยักยอก   ไม่ได้แจ้งข้อหาตาม พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวเนื่องกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน พ.ศ.2499 มาตรา  46 ฐานทำงบดุล   ถือไม่ได้ว่า มีการสอบสวนความผิดฐานนี้ (ฎ.1250/21 ป.)

    - **การไม่แจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบนี้  เป็นบทบัญญัติห้ามมิให้อัยการฟ้องคดีในข้อหาดังกล่าวต่อศาลเท่านั้น ในกรณีที่เป็นข้อหาที่ศาลพิจารณาได้ความตามมาตรา  192 วรรคสาม  แม้ข้อหานั้นพนักงานสอบสวนจะมิได้มีการแจ้งข้อหาไว้ ศาลก็ลงโทษจำเลยได้   เช่น โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์  แต่ข้อเท็จจริงทีปรากฎในทางพิจารณาฟังได้ว่าเป็น รับของโจร  เมื่อจำเลยไม่หลงต่อสู้ ศาลลงโทษในความผิดฐานรับของโจรได้   ส่วนการที่พนักงานสอบสวนมิได้แจ้งข้อกล่าวหา และสอบสนจำเลยในข้อหารับของโจร เป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติห้ามมิให้พนักงานอัยการนำคดีในข้อหาดังกล่าวมาฟ้องต่อศาลเท่านั้น (ฎ. 2129/37)

    - ในกรณีที่ผู้ต้องหาเป็นนิติบุคคล การแจ้งข้อหาแก่กรรมการผู้มีอำนาจ  แม้ไม่ได้ระบุว่าแจ้งข้อหาดำเนินคดีแก่นิติบุคคลด้วย  ก็ถือว่าเป็นการแจ้งข้อหาแก่นิติบุคคลด้วยแล้ว  (ฎ. 935/37)

    - การสอบสวนพยานหลายคนพร้อมกัน และมีบุคคลอื่นนั่งฟังการสอบสวยนอยู่ด้วย การสอบสวนก็ไม่เสียไป (ฎ. 9378/39)  

     -การจับหรือการตรวจค้นที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ไม่ทำให้การสอบสวนเสียไป เพราะเป็นคนละขั้นตอนกัน (ฎ. 99/41, 1547/40)

    - การสอบสวน กฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะต้องสอบสวนมากน้อยเพียงใด (ฎ. 4037/42) พนักงานสอบสวนจึงไม่จำต้องสอบพยานโจทก์ทุกปาก (ฎ. 1907/94)  แต่การสอบสวนผู้ต้องหา เป็นส่วนสำคัญและจำเป็นของการสอบสวน  หากยังมิได้มีการสอบสวนผู้ต้องหา ก็ยังถือไม่ได้ว่ามีการสอบสวนคดีนั้น ดังนั้นพนักงานอัยการย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง (ฎ. 99/81, 545/96)  และการสอบปากคำในฐานะพยาน  ไม่เป็นการแจ้งข้อหาและสอบสวนจำเลยในข้อหานั้น ( 2449/24)

    - การสอบสวนของ พงส. ในขณะที่ไม่ได้เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่พงส.  ก็ถือเป็นกาสอบสวนโดยชอบ (ฎ. 3096/36)

    -การทำแผนที่เกิดเหตุ เป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน แต่ถึงหากกระทำไปไม่ชอบเพราะไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ก็ไม่มีผลกระทบถึงกับเป็นเหตุให้การสอบสวนเสียไป (ฎ. 4546/36)

   - การที่ล่ามแปลคำให้การในชั้นสอบสวนโดยมิได้สาบาน หรือปฏิญาณตน ไม่ทำให้การสอบสวนไม่ชอบ (ฎ. 5476/37)

 

กรณีที่พนักงานสอบสวนมีอำนาจให้เจ้าพนักงานอื่นทำแทนได้ (มาตรา 128)

1)  ส่งประเด็นไปให้ พงส. อื่นทำการสอบสวนในเรื่องที่อยู่นอกเขตอำนาจของตน

2)  การสอบสวนในเรื่องเล็กน้อย ซึ่งอยู่ในอำนาจของตน ไม่ว่าทำเองหรือจัดการตามประเด็น มีอำนาจสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำแทนได้

- ตามมาตรา  128  ต้องไม่ใช่เรื่องสำคัญๆ    ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยมีอำนาจสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำแทนได้  เช่น การแจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่จำเลย  (ฎ. 3031/47)   

 

การสอบสวน( มาตรา  130-147)

- ให้เริ่มทำการสอบสวนโดยไม่ชักช้า จะทำที่ใด เวลาใด แล้วแต่จะเห็นสมควรโดยผู้ต้องหาไม่จำต้องอยู่ด้วย มาตรา 130)  แต่ผู้ต้องหาก็มีสิทธิได้รับการสอบสวนด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง  และเป็นธรรม  (มาตรา 134)    อย่างไรก็ตาม การไม่ปฎิบัติตามกฎหมายดังกล่าว ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าการสอบสวนนั้นเป็นการสอบสวนไม่ชอบ   ดังนั้นแม้พนักงานสอบสวนเพิ่งเริ่มทำการสอบสวนหลังจากได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาแล้วเป็นปี ก็ไม่ทำให้การสอบสวนนั้นไม่ชอบ (ฎ. 430/46)

-การรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน( มาตรา 131) ต้องรวบรวมเพื่อพิสูจน์ให้เห็นความ บริสุทธิ์ของผู้ต้องหาด้วย

 

มาตรา 158(5)   ฟ้องต้องระบุการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด

1. การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด  หมายถึง  การกระทำที่เป็นองค์ประกอบความผิด   ดังนั้น ฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดจึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

    1.1  ข้อเท็จจริงที่ไม่ใช่การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ไม่ต้องบรรยายมาในฟ้อง   เช่น

        - ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกและศาลรอการลงโทษจำคุกไว้ และจำเลยกระทำผิดคดีนี้ ในเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้   ศาลสามารถรับฟังข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบเสาะและเป็นดุลพินิจจะใช้อำนาจบวกโทษที่รอไว้หรือไม่ก็ได้ ไม่เกินคำขอ ฎ.1081/44)               

          - ความผิดตาม ป.. มาตรา 143   ข้อที่ว่าการที่จำเลยจะได้ไปติดต่อหรือจูงใจเจ้าพนักงานหรือไม่ เป็นเพียงพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยเท่านั้น หาใช่องค์ประกอบแห่งความผิดไม่ ( .960/34)

                1.2  การบรรยายฟ้องที่เป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดนั้น ไม่ได้เคร่งครัดว่าจะต้องใช้ถ้อยคำตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายทุกประการ  การบรรยายฟ้องที่ใช้ถ้อยคำอื่นแต่มีความหมายเช่นเดียวกัน ก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์  เช่น              

                 - ในความผิดฐานฉ้อโกง หรือ ลักทรัพย์ การที่บรรยายฟ้องว่า บังอาจไม่มีคำว่าโดยทุจริต ก็เป็นการฟ้องที่สมบูรณ์ (.6711/39) หรือในความผิดฐานบุกรุกไม่ได้บรรยายว่าจำเลยเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร แต่บรรยายฟ้องคำว่า บังอาจบุกรุก”  ย่อมทำให้เข้าใจได้ว่าจำเลยกระทำการตามที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดแล้ว (. 306/17 )               

                  -ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ตาม ป..มาตรา 276 นั้น แม้จะไม่ได้ระบุว่าผู้เสียหายเป็นหญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของจำเลยก็ตาม แต่ถ้าได้ระบุว่าผู้เสียหายยังเป็นนางสาว ย่อมเข้าใจได้ว่าผู้เสียหายเป็นหญิงที่ยังไม่มีสามี และมิได้เป็นภริยาของผู้ใดรวมทั้งจำเลยด้วย (.352/07)

                - ในความผิดอันยอมความได้ ไม่ต้องบรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว (.5155/41)

                 - การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาต่อศาลแขวง โดยให้ศาลบันทึกใจความแห่งคำฟ้องไว้เป็นหลักฐาน จึงไม่ต้อง ปฎิบัติตาม วิ.อาญา มาตรา158 โดยเคร่งครัด  เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสอบถามรายละเอียดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ ( .7712/44) 

- ความผิดฐานหมิ่นประมาท โจทก์ต้องบรรยายฟ้องด้วยว่าข้อความตอนใดทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังอย่างไร จึงจะเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ (.3050/44) 

- ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ต้องบรรยายว่าจำเลยได้กระทำโดยรู้ว่าเจ้าหนี้ของตนได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ จึงจะเป็นฟ้องที่สมบูรณ์  (.288/2515)   ดังนั้นการบรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำไปทั้งที่คาดหมายได้ว่าโจทก์ต้องฟ้องบังคับคดี หรือบรรยายฟ้องแต่เพียงว่ามีสิทธิที่จะใช้สิทธิเรียกร้อง  เป็นคำฟ้องไม่ชอบ ไม่สมบูรณ์ ขาดสาระสำคัญ ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อาญา มาตรา 350  (.184/41) 

- ความผิดฐานเบิกความเท็จต้องบรรยายว่า ข้อความที่เป็นเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีและข้อสำคัญนั้นเป็นอย่างไร ถ้าไม่บรรยายเป็นฟ้องไม่สมบูรณ์ (.19/32,2862/39)  และต้องบรรยายมาด้วยว่า จำเลยเบิกความเท็จนั้นมีข้อหาความผิดตามกฎหมายใดด้วย(.274/46)

ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ   ต้องบรรยายให้ปรากฎข้อความว่า เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิระหว่างโจทก์กับจำเลยอย่างไรบ้าง (.2954/47) 

- ความผิดฐานปล้นทรัพย์ ต้องบรรยายว่าการใช้กำลังประทุษร้ายนั้น กระทำอย่างไร และต้องปรากฎด้วยว่า  การใช้กำลังประทุษร้ายนั้นเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์   หรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อการอย่างใดอย่างหนึ่ง ตาม ป.อาญา ม.339   อันเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานปล้นทรัพย์  (.1033/27)

- ความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส  ต้องบรรยายด้วยว่าได้รับอันตรายสาหัสอย่างไร ตาม ป..มาตรา  297   (. 6416/34)   

- ความผิดฐานยักยอก ต้องบรรยายว่า จำเลยเบียดบังทรัพย์อย่างไร (. 2352/21) เช่น บรรยายว่าเบียดบังเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว( ฎ. 3274/27) แต่ไม่จำต้องบรรยายว่าเอาไปโดยทุจริต (ฎ. 2722/49)    

- ความผิดเกี่ยวกับการกระทำโดยประมาท  ต้องบรรยายว่ากระทำประมาทอย่างใด (.1616/08)   เช่น  บรรยายว่ายางล้อหน้าด้านขวามือของรถยนต์ที่ขับอยู่ในสภาพเก่า และบรรยายว่าจำเลยขับรถลงเนินด้วยความเร็วสูง  (.1832/34)

- ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่ออนาจาร ไม่ต้องบรรยายว่าจำเลยกระทำอนาจารผู้เยาว์อย่างไร  (.6632/40)  แต่ถ้าฟ้องเฉพาะข้อหาอนาจาร ต้องบรรยายว่าอนาจารอย่างไร    

- ความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์  ตาม ป.อาญา ม. 220  ต้องระบุด้วยว่า การกระทำของจำเลยน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ของบุคคลด้วย   (.5364/36)

- ความผิดตาม พ...เช็คฯ ต้องบรรยายว่า เป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย  เพราะเป็นองค์ประกอบความผิด ตามมาตรา 4  (.7371/44)   แม้ไม่ได้ระบุว่าเป็นหนี้ค่าอะไรก็เป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย  (.2602/43)   แต่ถ้าบรรยายว่าออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าให้แก่โจทก์ แม้ไม่ได้ระบุว่าออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายก็เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายเพราะคำว่าชำระหนี้ค่าสินค้า ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย(. 7262/40) แต่ถ้าเป็นเรื่องออกเช็คชำระหนี้เงินกู้ยืม ต้องระบุด้วยว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย จึงจะชอบ (.4591/45) 

 

การบรรยายฟ้องขัดกัน  เป็นฟ้องเคลือบคลุม  

การบรรยายฟ้องเกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดจะต้องไม่ขัดกัน ถ้าขัดกันเป็น ฟ้องเคลือบคลุม   ดังนั้น ฟ้องที่ขัดกันแม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ 

- บรรยายฟ้องว่าจำเลยเบิกความเป็นพยานชั้นสอบสวนอย่างหนึ่ง   แล้วเบิกความต่อศาลอีกอย่างหนึ่งแตกต่างกันและขัดกันซึ่งเป็นความเท็จ  แต่มิได้บรรยายว่าอย่างไหนจริงหรือความจริงเป็นอย่างไร  ยากที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้ถูกต้อง เป็นฟ้องเคลือบคลุม  (.1806/23) 

บรรยายฟ้องว่ากระทำผิดฐานรับของโจรก่อนที่ทรัพย์นั้นจะถูกลักไปหรือถูกยักยอกไป เป็นฟ้องที่ขัดต่อสภาพหรือลักษณะความผิด เป็นฟ้องเคลือบคลุม ( .2370/44)

 

เวลากระทำผิด ( มาตรา 158(5))

ฟ้องต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเวลากระทำผิด               เวลากระทำผิดหมายถึง  เวลากลางวัน กลางคืนรวมทั้งวัน เดือน ปี ที่เกิดเหตุ (.512/93) 

- เวลากระทำผิดต้องเป็นเวลาก่อนที่โจทก์ฟ้อง   ถ้าเวลากระทำผิดตามฟ้องเป็นเวลาภายหลังการฟ้อง เป็นการบรรยายฟ้องเวลาในอนาคต เป็นฟ้องที่ไม่ชอบ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพศาลก็ต้องยกฟ้อง  (.128/43) เนื่องจากเป็นการรับสารภาพตามฟ้องที่ไม่เป็นความผิด

- การบรรยายวันเวลาเกิดเหตุ ทั้งก่อนฟ้องต่อเนื่องไปจนหลังฟ้องติดต่อกัน เป็นฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย (.985/24)  เพราะเป็นการกล่าวคลุมไปถึงเวลาที่ยังมาไม่ถึงซึ่งเป็นไปไม่ได้   ทำให้จำเลยไม่อาจเข้าใจข้อหาตามฟ้องได้ดี

- ฟ้องระบุแต่เพียงเดือนและปีที่ความผิดเกิด หรือบรรยายฟ้องเพียงว่าเมื่อต้นเดือนโดยไม่ได้ระบุวันที่  หรือเวลาที่กระทำผิดให้แน่นอน เป็นคำฟ้องที่ไม่สมบูรณ์  (. 848/45) 

การบรรยายฟ้องความผิดตาม พ...เช็ค ฯ  ต้องบรรยายวันที่ธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงิน ซึ่งเป็นวันกระทำผิด   หรือถ้าหากการบรรยายทำให้เข้าใจได้ว่าวันใดธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงิน ก็สมบูรณ์แล้ว แม้ไม่ได้ระบุว่าปฎิเสธวันใด ถือว่าเป็นคำฟ้องที่ระบุเวลาทำผิดแล้ว (.2234/41)  และแม้ไม่ได้ระบุว่าเกิดเวลากลางวันหรือกลางคืน ก็เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย  (. 2041/41) เพราะธนาคารย่อมปฎิเสธการจ่ายเงินในเวลากลางวันอันเป็นเวลาทำการของธนาคาร

-บางคดีเวลากลางวันกลางคืนไม่เป็นสาระสำคัญแห่งการกระทำผิด เช่น ความผิดฐานเล่นการพนันสลากกินรวบ(. 1626/06())

-ฟ้องฐานยักยอกระบุแต่เพียงวันที่รับมอบทรัพย์ และเวลาที่ต้องคืนทรัพย์ ไม่ระบุวันเวลาที่ยักยอก เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์(.1773/05)   ต่อมามีคำพิพากษาศาลฎีกาที่  1330/06 วินิจฉัยว่า การระบุวันมอบทรัพย์กับวันตรวจสอบบัญชีพบโดยไม่ระบุวันเวลายักยอก ก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์แล้ว ( . 1330/06) 

หมายเหตุ  

1. ฟ้องที่ระบุเวลากระทำผิดโดยประมาณก็ใช้ได้ เช่นบรรยายฟ้องว่าวันที่กระทำผิด เป็นประมาณวันที่ 12 กรกฎาคม 2528  (. 5021/33)   เพราะเป็นรายละเอียเกี่ยวกับเวลาพอสมควรเท่าที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว 

                2.   ถ้าโจทก์บรรยายวันเวลากระทำผิดมาแล้ว  แม้คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง ก็ถือว่ามิใช่ข้อสาระสำคัญ เมื่อจำเลยไม่หลงข้อต่อสู้ ศาลก็ลงโทษจำเลยได้ (. 1208/42) 

                3. วันที่รู้เรื่องความผิดไม่ใช่องค์ประกอบความผิด  ไม่ใช่รายละเอียดเกี่ยวกับเวลาที่จำเลยกระทำผิด โจทก์ไม่ได้บรรยายมา ศาลสั่งให้แก้ฟ้องได้(.5059/40) 

 

สถานที่กระทำความผิด

                ฟ้องต้องระบุสถานที่ที่เกิดการกระทำผิด  โดยปกติจะระบุว่าเหตุเกิดที่ตำบล อำเภอและจังหวัดใด ก็เป็นการเพียงพอแล้ว  โดยคำว่าสถานที่ หมายถึง สถานที่เกิดการกระทำผิด  หาได้ระบุไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าอยู่หมู่ใด  ตำบลใดเสมอไปไม่  เพียงแต่กล่าวอ้างไว้พอสมควรที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีก็เป็นการเพียงพอแล้วและแม้จะไม่ระบุว่าเหตุเกิดตำบลอำเภอ จังหวัดใด แต่ถ้าจำเลยเข้าใจได้ว่าเหตุเกิดที่ใดก็ใช้ได้  ฎ.951/09())   

- เหตุเกิดมี 2 แห่ง  บรรยายฟ้องที่เกิดเหตุมาเพียงแห่งเดียวถือว่าเป็นฟ้องที่สมบูรณ์  (.4378/28) 

- ***  คำฟ้องไม่ได้บรรยายสถานที่เกิดเหตุ แต่ถ้าเอกสารท้ายฟ้อง ได้บรรยายเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุไว้ด้วยก็ถือได้ว่าคำฟ้องบรรยายสถานที่เกิดเหตุแล้วโดยอนุโลม เช่น  หมายขังซึ่งกล่าวในคำฟ้องถือเป็นส่วนหนึ่งของ       คำฟ้อง  เมื่อหมายขังได้ระบุสถานที่เกิดเหตุไว้ด้วย แม้คำฟ้องจะไม่ได้บรรยายว่าเหตุเกิดที่ใด ก็ถือว่าเป็นฟ้องที่กล่าวถึงสถานที่เกิดเหตุแล้ว  (.1222/46)

 

บุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้อง

                - ในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์  ต้องระบุว่าทรัพย์นั้นเป็นอะไรด้วย (. 1360/09 ) และต้องระบุชื่อเจ้าทรัพย์ด้วยจึงจะเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย (. 338/89) แต่ถ้าอ่านคำฟ้องแล้วพอเข้าใจได้ว่าทรัพย์เป็นของใคร ดังนี้เป็นฟ้องที่สมบูรณ์(.1809/12) แต่ถ้าเป็นกรณีที่ไม่อาจทราบตัวเจ้าทรัพย์ที่แน่นอนได้ ก็ไม่จำเป็นต้องระบุชื่อเจ้าทรัพย์ เช่นระบุเพียงว่าเป็นทรัพย์ของหญิงไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 35 ปี ก็สมบูรณ์แล้ว  (. 3977/30, 1433/30) 

- ** ความผิดฐานชิงทรัพย์ ประกอบด้วยความผิดลักทรัพย์โดยใช้กำลงประทุษร้าย โดยมีมูลเหตุจูงใจตาม  (1)-(5) แห่ง ป.อาญา มาตรา 339 การบรรยายฟ้องต้องบรรยายองค์ประกอบความผิดทั้งมาตรา 334 และ 339 ประกอบกัน โดยต้องบรรยายว่าทรัพย์ที่ถูกลักเอาไปเป็นของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย และผู้ที่ถูกประทุษร้ายเป็นใคร ด้วย   

- ความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระบุด้วยว่าจำเลยได้ทรัพย์อะไรไปจากผู้เสียหาย (ฎ.352/36)

- ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่า  ประชาชนผู้ถูกหลอกลวงเป็นผู้ใดบ้าง (. 3624/31)  เพราะเป็นเพียงรายละเอียดที่จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา

- ฟ้องยักยอกเงิน แต่ไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าเป็นเงินจำนวนเท่าใด เป็นฟ้องเคลือบคลุม

- ฟ้องกรรโชก  ต้องระบุชื่อผู้ถูกขู่เข็ญด้วย (. 1078/92) 

- ความผิดฐานปลอมเอกสารไม่จำต้องระบุว่าผู้ที่หลงเชื่อเป็นเป็นผู้ใด (. 1403/36)

- ความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานต้องระบุชื่อเจ้าพนักงานนั้นด้วย ไม่เช่นนั้นเป็นฟ้องเคลือบคลุม (. 894-7/06)  

- ฟ้องคดีหมิ่นประมาท ไม่ต้องบรรยายฟ้องว่าบุคคลที่สามเป็นใคร 

- ฟ้องว่าจำเลยกับพวกกระทำฐานปล้นทรัพย์ โดยไม่ได้ระบุว่าพวกของจำเลยมีกี่คน เป็นฟ้องไม่สมบูรณ์ ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ไม่ได้ (.1331/93) 

 

ผลของการยกฟ้อง เพราะฟ้องไม่สมบูรณ์ตาม มาตรา 158(5) 

1. กรณีฟ้องใหม่ไม่ได้  (เพราะถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้องแล้ว ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา  39(4))  เช่น       

ฟ้องที่บรรยายขาดองค์ประกอบความผิด  ( แต่อุทธรณ์ได้ ตามมาตรา 161 วรรคสอง

 -  ฟ้องไม่ได้บรรยายเวลาหรือสถานที่กระทำผิด

2. กรณีที่ฟ้องใหม่ได้    ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะยังไม่ถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้องแล้ว ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา  39(4)  เช่น                

- ฟ้องเคลือบคลุม ,   ฟ้องที่บรรยายเวลากระทำผิดในอนาคต, ฟ้องที่ไม่มีลายมือชื่อโจทก์  ผู้เรียง ผู้พิมพ์

 

ฟ้องต้องอ้างมาตราที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิด  มาตรา 158(6)       

 ตามมาตรา 158(6) บังคับไว้ว่าต้องอ้างมาตราในกฎหมายที่บัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด ดังนี้หากเป็นบทบัญญัติในเรื่องอื่น เช่น ตัวการร่วม ความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม การขอให้บอกโทษ การขอให้ริบของกลาง เหล่านี้ไม่ใช่กรณีที่กฎหมายบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด จึงไม่จำต้องอ้างมาตราในคำฟ้องด้วย

- มาตรา  158(6) บังคับเฉพาะให้ต้องอ้างมาตราเท่านั้น ไม่ต้องระบุวรรค  (. 9239/47)

- ฟ้องข้อหาปลอมและใช้เอกสารสารปลอม คำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษตามมาตรา 264,268  โดยมิได้ระบุชื่อกฎหมาย ก็เข้าใจได้ว่าเป็นประมวลกฎหมายอาญา (. 1700/14 .)

- ...เช็คฯ แม้จะมีหลายมาตรา แต่มีบทบัญญัติความผิดเพียงมาตราเดียว  แม้คำฟ้องระบุเพียงชื่อกฎหมาย ไม่ได้ระบุเลขมาตราซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด ก็เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย 

มาตรา  58  .อาญา  ไม่ใช่บทบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด ดังนั้นศาลจึงนำโทษที่ศาลรอลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกโทษในคดีที่ฟ้องได้ โดยไม่ต้องมีคำขอหรือระบุเลขมาตราดังกล่าวไว้ในคำฟ้องด้วย (. 2143/45) 

อ้างบทมาตราเดิมซึ่งมีการแก้ไขแล้ว แต่ไม่ได้อ้างกฎหมายที่แก้ไขถือว่าอ้างกฎหมายซึ่งบัญญัติเป็นความผิดตามมาตรา 158(6) แล้ว  (. 706/16)     อ้างบทลงโทษแต่ไม่อ้างบทห้าม ก็ใช้ได้ (.652/40)  อ้างบทห้ามแต่ไม่อ้างบทลงโทษก็ใช้ได้เช่นกัน (.1971/41) 

 

ฟ้องต้องมีลายมือชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้อง  มาตรา 158(7) 

- ** หากไม่มี ถ้าศาลชั้นต้นไม่สั่งให้แก้ไข หรือมีการแก้ไขตาม มาตรา 163,164  เมื่อปรากฎในชั้นอุทธรณ์ ศาลต้องยกฟ้อง  เพราะล่วงเลยเวลาที่แก้ไขแล้ว (. 229/90, 1564/46) 

- กรณีลายมือชื่อโจทก์ในศาลชั้นต้นนั้น  โจทก์ต้องลงลายมือชื่อเอง ทนายความไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนโจทก์ในฟ้องคดีอาญา (.607/14)  แต่ถ้าเป็นชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ทนายความลงลายมือชื่อในอุทธรณ์หรือฎีกาได้  แต่ต้องมีใบแต่งทนายความในสำนวนด้วย  (. 62/94) จะถือเอาคำเบิกความของโจทก์ในการพิจารณาคดีเป็นการให้สัตยาบันเพื่อให้ฟ้องสมบูรณ์ไม่ได้ ยกเว้นคดีแพ่ง  (.300/07)  เพราะโจทก์ชอบที่จะยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้อง ตามมาตรา  163,164 ได้อยู่แล้ว  

- โจทก์มอบอำนาจให้ผู้อื่นฟ้องคดีแทน  ผู้รับมอบอำนาจก็ลงชื่อเป็นโจทก์ได้

- กรณีลายมือชื่อผู้เรียงนั้น  โจทก์เป็นผู้เรียงคำฟ้องเองได้  แต่ถ้าให้ผู้อื่นเรียงคำฟ้องให้ ผู้นั้นต้องเป็น        ผู้ได้รับอนุญาตให้เป็นทนายความเท่านั้น (.3397/47)   

** กรณีทนายความลงลายมือชื่อในช่องผู้อุทธรณ์ แต่ไม่มีใบแต่งทนายความ ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้แก้ไขให้ถูกต้องได้ตามมาตรา 208(2)ประกอบมาตรา 225  (.7903/47)    แต่ถ้าศาลไม่สั่งให้แก้ไขแต่ปรากฎว่าต่อมาได้มีการตั้งให้ทนายความคนดังกล่าวเป็นทนายความให้มีอำนาจอุทธรณ์ฏีกาได้ ก่อนมีการยื่นฎีกา ถือว่ายื่นฟ้องอุทธรณ์โดยชอบแล้ว  

 

การบรรยายฟ้องในกรณีขอให้เพิ่มโทษ มาตรา 159

- กรณีที่โจทก์จะขอให้เพิ่มโทษจำเลยนั้น จะต้องกล่าวมาในฟ้องหรือจะยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมก็ได้   กล่าวคือ โจทก็ต้องกล่าวมาในฟ้อง และต้องมีคำขอให้เพิ่มโทษจำเลยด้วย (.5965/46)

- สำหรับการขอให้นับโทษต่อ ไม่มีบทกฎหมายดังเช่นการขอให้เพิ่มโทษ ตาม 159  จึงไม่จำต้องกล่าวมาในคำฟ้อง  แต่ต้องมีคำขอให้นับโทษต่อมาท้ายฟ้องด้วย (. 2003/47) และโจทก์อาจขอให้นับโทษต่อโดยยื่นคำร้องขอให้แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องก็ได้ แต่ต้องก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา ตามมาตรา 163,164 เท่านั้น  จะเพิ่มเติมหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วไม่ได้

-** กรณีที่มีการรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน  ถ้าตามคำขอท้ายฟ้องของคดีที่มีการรวมพิจารณา ไม่ได้ขอให้นับโทษติดต่อกันไว้ ก็จะนับโทษต่อกันไม่ได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอตามมาตรา192  (.4569/28)

 

การตรวจคำฟ้อง มาตรา 161 

ถ้าฟ้องไม่ถูกต้องศาลสั่งได้ 3 ประการ  คือ  สั่งให้แก้ฟ้อง ยกฟ้อง หรือไม่ประทับฟ้อง

1.  กรณีสั่งให้แก้ฟ้อง เช่น  ฟ้องไม่ลงชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้พิมพ์  หรือ ไม่ระบุสถานที่เกิดเหตุ    ทั้งนี้ต้องแก้ไขก่อนประทับฟ้อง  ถ้าหลังประทับฟ้องแล้วแก้ไขโดยการแก้ไขฟ้อง  ตาม  163,164  ซึ่งต้องก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาเท่านั้น    ถ้าล่วงเลยเวลาดังกล่าว ต้องยกฟ้อง

2.  กรณีที่ต้องยกฟ้อง  เช่น  ฟ้องที่ขัดกัน(เคลือบคลุม)   ขาดองค์ประกอบความผิด   ไม่มีอำนาจฟ้อง    การกระทำตามฟ้องที่ไม่เป็นความผิด    ฟ้องที่ลงชื่อโดยบุคคลไม่มีอำนาจ  ( จำย่อๆ ว่า  ขัด ขาด อำนาจ ไม่ผิด ) และดูมาตรา 185 ด้วย

3.  ไม่ประทับฟ้อง   เช่น  ฟ้องผิดศาล

 หมายเหตุ   คำสั่งตามมาตรา 161  ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา จึงอุทธรณ์ได้ทันที

 

ไต่สวนมูลฟ้อง มาตรา 162,165             (เกี่ยวกับความสงบฯ และศีลธรรมอันดี

                - พนักงานอัยการและผู้เสียหายต่างฟ้องจำเลยในข้อหาเดียวกัน (อัยการฟ้องก่อนคดีที่ผู้เสียหายฟ้องก็ไม่จำต้องไต่สวนมูลฟ้องตามมาตรา 162(1)  (4007-8/30)

                - คดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา ศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อนเสมอ มิฉะนั้นเป็นการมิชอบ  แต่ศาลมิได้สั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องก็จะถือเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์ไม่ได้ เพราะไม่ใช่การกระทำของโจทก์  ศาลสูงจึงต้องพิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องและพิจารณาต่อไป  (.477/08)

                - ถ้าตามคำฟ้องของโจทก์ปรากฏชัดแจ้งว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ศาลก็พิพากษายกฟ้องได้เลย โดยไม่ต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อน (.2722/41)  เหตุผลอยู่ที่มาตรา  185

                -  มาตรา  165 บัญญัติให้คดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ในวันไต่สวนมูลฟ้องให้จำเลยมา หรือคุมตัวมาศาล  และศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า ในวันที่ยื่นฟ้อง อัยการโจทก์ก็ต้องนำตัวจำเลยมาศาลด้วย   มิฉะนั้นศาลจะไม่ประทับฟ้อง (.1133/93)

 -  กรณีที่จำเลยอยู่ในอำนาจศาลแล้ว   โจทก์ฟ้องได้โดยไม่ต้องนำตัวจำเลยมาศาล  เช่น ศาลได้ออกหมายขังจำเลยไว้ระหว่างสอบสวน  พนักงานอัยการยื่นฟ้องโดยไม่ได้มีการเบิกตัวจำเลยมาศาล ศาลก็ต้องประทับฟ้องไว้พิจารณา  ในกรณีเช่นนี้หากจำเลยได้หลบหนีไปก่อนโจทก์ยื่นฟ้อง  ก็ถือว่าจำเลยอยู่ในอำนาจศาลแล้วเช่นกัน   พนักงานอัยการฟ้องคดีได้โดยไม่ต้องส่งตัวจำเลยมาพร้อมกับฟ้อง(.1735/14 .)

                -  กรณีที่จำเลยถูกขังตามหมายของศาลในคดีหนึ่ง  แต่ได้หลบหนีไปจากเรือนจำก่อนฟ้อง ถือว่าจำเลยอยู่ในอำนาจศาลเฉพาะคดีที่ศาลออกหมายขังไว้เท่านั้น  ไม่ถือว่าจำเลยอยู่ในอำนาจศาลในคดีอาญาเรื่องอื่นด้วย  ดังนั้นหากพนักงานอัยการจะฟ้องจำเลยในคดีอื่นก็ต้องนำตัวจำเลยมาศาลด้วย (.1020/08)

                -  กรณีที่พนักงานอัยการได้ขอให้ศาลออกหมายปล่อยผู้ต้องหาไปในระหว่างสอบสวนหรือศาลปล่อยตัวจำเลยไปเพราะขังครบกำหนดเวลาตามกฎหมายแล้ว ไม่ถือว่าจำเลยอยู่ในอำนาจศาล     (. 1133/93) กรณีนี้ถือว่าผู้ต้องหาอยู่ในอำนาจของอัยการแล้ว

                -  กรณีที่ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวตามที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยร้องขอ ถือว่าจำเลยหรือผู้ต้องหาอยู่ในอำนาจของศาลแล้ว  โจทก์จึงฟ้องจำเลยในมูลกรณีเดียวกันหรือคดีอาญาเรื่องอื่นต่อศาลเดียวกันได้โดยไม่ต้องนำตัวจำเลยมาในวันฟ้อง (. 1497/96 .)  เรื่องนี้ต้องปรากฏด้วยว่าจำเลยหรือผู้ต้องหานั้นไม่ได้หนีประกัน (.6462/43)

                -  ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยไม่มีสิทธินำพยานมาสืบ    แต่ถ้าเป็นเอกสารที่ทนายจำเลยใช้ประกอบการถามค้านพยานโจทก์และพยานโจทก์ยอมรับแล้ว  จำเลยมีสิทธิส่งเอกสารนั้นประกอบคำพยานโจทก์ได้ ไม่ใช่การนำพยานเข้าสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง (.904/22)

 

                พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง

                -  ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์จะอ้างแต่คำเบิกความของพยานในคดีแพ่งมาเป็นพยาน  โดยไม่นำมาเบิกความในคดีอาญา ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ฟังได้ว่าคดีมีมูล  (.604/92)

                -   การแถลงรับข้อเท็จจริงกันก็ถือว่าเป็นการไต่สวนมูลฟ้องแล้ว (.1050/14)

                -   คำพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง  คู่ความอาจอ้างเป็นพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาได้(.2644/35) เพราะเป็นพยานหลักฐานที่น่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์  ส่วนจะรับฟังได้เพียงใดนั้นเป็นดุลพินิจที่ศาลจะพิจารณาวินิจฉัยอีกชั้นหนึ่ง

               

                การแก้ไขคำฟ้อง คำให้การ   มาตรา  163,164 

                1.  ต้องมีเหตุอันควร    เช่น 

อ้างว่าพิมพ์ฟ้องตกไป เพราะความบกพร่องของผู้พิมพ์หรือผู้ตรวจฟ้อง (.1377/13)

                -  การขอเพิ่มเติมวันเวลากระทำผิด เพราะมิได้กล่าวมาในฟ้อง โดยอ้างว่าผู้พิมพ์ฟ้อง พิมพ์ตกไป

                -  ขอแก้ไขน้ำหนักยาเสพติดให้โทษของกลาง โดยอ้างว่าพนักงานสอบสวนส่งรายงานการตรวจพิสูจน์มาให้ผิดพลาด

                   กรณี ไม่ถือว่ามีเหตุอันควร เช่น โจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องโดยเพิ่มคนอื่นเข้ามาเป็นจำเลยด้วย                   

                  หมายเหตุ  ฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด จะมาขอแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ครบองค์ประกอบ ไม่ได้เพราะถือว่าเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้อง มาแต่ต้น จึงจะมาขอแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ฟ้องถูกต้องขึ้นมาหาได้ไม่

                                - พนักงานอัยการโจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมคำขอส่วนแพ่งได้  ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ตามมาตรา 43 ได้ก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ( ตาม ป.วิ.. มาตรา163,164 ไม่ใช่ ป.วิ.พ มาตรา 180) 

2.  ถ้าจะทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ห้ามมิให้ศาลอนุญาต

                      การแก้ไขหรือเพิ่มเติมฐานความผิด ไม่ว่าจะทำในระยะใดก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิให้ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบ เว้นแต่จำเลยจะหลงข้อต่อสู้

       -  การแก้ไขหรือเพิ่มเติมฐานความผิดนั้น ต้องมีการสอบสวนก่อน ถ้ายังไม่มีการสอบสวนจะขอแก้ไม่ได้ (. 801/11)   และถ้าได้มีการสอบสวนฐานความผิดที่จะขอแก้ฟ้องแล้ว  ดังนี้ขอแก้ได้แม้ศาลอนุญาตให้แก้แล้วจะเกินอำนาจของศาลก็ตาม (.993/27)   เมื่ออนุญาตให้แก้แล้วแต่เกินอำนาจ ศาลชั้นต้นนั้นต้องพิพากษายกฟ้อง  และสามารถฟ้องใหม่ได้ภายในอายุความ เพราะถือว่าศาลยังมิได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้อง ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 39(4)

                     -  การแจ้งข้อหาเพิ่มเติมจากข้อหาเดิมที่มีการสอบสวนแล้ว ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน กรณีมีเหตุอันสมควรให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้  (.1746/35) เช่น เดิมแจ้งข้อหาตาม ป.อ.มาตรา 300  ปรากฎต่อมาในระหว่างพิจารณาว่า ผู้บาดเจ็บตาย เมื่อ พงส. ได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่าทำผิดตาม ป.. มาตรา  291  ถือว่าสอบสวนมาแล้ว ดังนั้นระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จึงขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้(ขณะฟ้องไม่อยู่ในวิสัยที่จะฟ้อง ตามมาตรา  291 ได้ เมื่อ พงส. แจ้งข้อหาเพิ่มเติมก็เป็นการสอบสวนแล้ว อัยการโจทก์จึงขอแก้ฟ้องก่อนศาลต้นตัดสินได้)

                      - ***การแก้ไขคำฟ้องที่ทำให้จำเลยเสียเปรียบห้ามมิให้ศาลอนุญาต   แต่ถ้าเป็นการขอแก้ไขเพิ่มเติมระหว่างไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยยังไม่อยู่ในฐานะจำเลย ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ (.2902/47) 

                                      

                       อย่างไรถือว่าทำให้จำเลยหลงต่อสู้คดี    เช่น

       - กรณีที่จำเลยต่อสู้โดยถือเอาวันเวลาที่โจทก์ฟ้องเป็นหลักสำคัญในการต่อสู้คดี  โดยให้การปฏิเสธว่าวันเวลาเกิดเหตุจำเลยไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ(อ้างฐานที่อยู่)   ดังนี้การที่โจทก์ขอแก้ไขเวลากระทำผิดย่อมทำให้จำเลยหลงต่อสู้คดีได้ (.76/01)   แต่ถ้าจำเลยให้การปฎิเสธลอยๆว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง โดยไม่ได้อ้างฐานที่อยู่โจทก์ขอแก้วันเวลาทำผิดได้ ไม่ถือว่าทำให้จำเลยหลงต่อสู้คดี (.203/40)

                         - โจทก์ขอแก้ไขฐานความผิดในข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับฐานะและอาชีพของจำเลยซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยทราบดีอยู่แล้ว ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบและหลงต่อสู้และถือว่ามีเหตุอันสมควรให้โจทก์แก้ไขได้

                3.  กำหนดเวลาขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องและคำให้การ

                   -  โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องได้  ก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น     ส่วนจำเลยยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การได้ก่อนศาลพิพากษาของศาลชั้นต้น       ดังนั้นแม้จะเสร็จการสืบพยานโจทก์ จำเลย และนัดฟังคำพิพากษาแล้ว ก็ยังขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การได้ (.2714/26)

                - การขอให้นับโทษต่อภายหลังฟ้องแล้ว  จะต้องกระทำโดยแก้หรือเพิ่มเติมคำฟ้อง จึงต้องขอแก้ไขหรือเพิ่มเติมก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาตาม มาตรา  163  (เพราะ ถือว่า เป็นการแก้ไขฟ้อง เพิ่มเติมฟ้อง ซึ่งต้องกระทำก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาจะขอมาในคำแก้ฏีกา หรือในชั้นฎีกา ไม่ได้ )

                - การขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การ อาจกระทำโดยขอถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่ก็ได้  แต่ศาลจะอนุญาตตามคำร้องก็ต่อเมื่อมีเหตุอันสมควรด้วย เช่น เดิมจำเลยให้การรับสารภาพ ขอแก้คำให้การเป็นให้การปฎิเสธเพราะเข้าใจผิด ศาลเห็นว่าเป็นการแก้ไขหลังจากมีทนายความแล้ว หรือศาลเห็นว่าเป็นคดีความผิดอันยอมความได้ แต่ผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์ไว้  หรือจำเลยได้คัดค้านรายงานการสืบเสาะของพนักงานคุมประพฤติไว้ เหล่านี้ศาลฏีกา ถือว่าเป็นกรณีที่มีเหตุอันสมควรอนุญาตให้แก้ได้

                -  ***กรณีที่จำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา จากการปฏิเสธเป็นให้การรับสารภาพ  แม้จะพ้นกำหนดเวลาตามมาตรา  163 วรรคสองแล้ว  ซึ่งศาลไม่อาจอนุญาตได้ก็ตาม  ก็ถือว่าจำเลย ได้ยอมรับข้อเท็จจริงโดยไม่ได้โต้แย้งข้อที่ศาลล่างพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง  กรณีจึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปใน ชั้นฎีกาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ (. 7531/46)   

หากจำเลยขอถอนคำให้การเพื่อประวิงคดี ถือว่าไม่มีเหตุอันสมควร  ศาลไม่อนุญาต(.6214-16/44) 

              --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


       ถ้าเปรียบกับการสอบเนติบัณฑิต กับการทำศึกสงคราม มีกลยุทธ์ 3 อย่าง ดังนี้
        - ท่องตัวบท   คือ อาวุธ ที่เรา สะสมไว้ ต่อสู้ ยิ่งท่องตัวบทได้มาก ก็ มีอาวุธ เก็บไว้สำรองมาก หยิบใช้เมื่อไรก็ได้
        - จดฎีกา       คือการ ศึกษาแผนการรบว่าสถานการณ์แบบใดเราควรจะใช้อาวุธแบบใด ยิ่งจดจำฎีกาไว้มาก ก็มีแนวการตอบข้อสอบได้ตรงจุด ตรงประเด็น ได้มาก และไม่โดนข้อสอบหลอกล่อให้หลงทา
        -  ล่าข้อสอบ   คือ การหัดซ้อมรบก่อน เข้าสู้ศึกสงครามสนามสอบจริง ยิ่งหัดทำข้อสอบมากเท่าใด ก็เป็นการสั่งสมประสบการณ์การหัดทำข้อสอบมากขึ้นทำให้ จับประเด็นและเขียนตอบได้เร็วและทันเวลา
           -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------     
     ขอแนะนำ !!

     ชุดรวบรวมเอกสารคำบรรยายเนติฯ สำหรับเตรียมสอบ ภาค 1/66 และ 2/65
    ++  กลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา ++  
      - ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวน 1/66 New !!
      -  ไฟล์เอกสารสรุปคำบรรยายเนติฯ 1/66 
      -  ไฟล์เอกสารประกอบคำบรรยาย 1/66 
      -  ไฟล์บทบรรณาธิการ 1/63-1/66 
      -  ไฟล์ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและ อาญา (สมัยที่ 56-65) 
      -  ไฟล์เอกสารทบทวนสรุปประเด็นน่สนใจ 1/66
      -  ไฟล์เอกสารรวมคำพิพากษาฎีกาใหม่ (พร้อมข้อสังเกตน่าสนใจ)1/66
      -   เทคนิคการเขียนคำตอบแบบถูกต้องที่สุด ตลอดจนเทคนิคการปรับบทกฎหมายต่งๆสำหรับทุกสนามสอบ (การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่ยฯ/อัยการ)
    ..................................................................................................................................................
    ++ กลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา ++ 
      - ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์ 
      - ไฟล์เอกสารสรุปคำบรรยายเนติฯ 2/65 
      - ไฟล์เอกสารประกอบคำบรรยาย 2/65 
      - ไฟล์บทบรรณาธิการ 2/63-2/65 
      - ไฟล์ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความ อาญา (สมัยที่ 56-65) 
      - เทคนิคการเขียนคำตอบแบบถูกต้องที่สุด ตลอดจนเทคนิคการปรับบทกฎหมายต่งๆสำหรับทุกสนามสอบ (การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่ยฯ/อัยการ)  
    ..................................................................................................................................................
     ค่ารวบรวม  :   ภาคละ 350.-บาท  (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี !! + แถมฟรี !! แผ่นรองเม้าท์) 
     หมายเหตุ   :   สั่งซื้อทั้ง 2 ภาค ค่ารวมรวมพิเศษ 650.- บาท (ส่ง EMS ฟรี !! + แถมฟรี !! แผ่นรองเม้าท์ + CD แบบร่างสัญญามากกว่า 400 แบบ (file word) + แบบฟอร์มศาล, แบบฟอร์มเ อกสารงานบุคคล,เอกสารงานบัญชีและภาษี) 

   ** สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ 085-801-0725, E-mail : siripit...@gmail.com **

 

Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages