การสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้แก่
1. การสอบสวนที่กระทำโดยพนักงานสอบสวนที่มีอำนาจตามบทบัญญัติมาตรา 18 และ19
การสอบสวนที่กระทำโดยพนักงานสอบสวนที่ไม่มีอำนาจ ถือว่าไม่มีการสอบสวน พนักงานอัยการย่อมไม่มีอำนาจฟ้องตามมาตรา 120 (ฎ. 518/06, 726/83) หรือกรณีที่พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบไม่เป็นไปตามมาตรา 18 วรรคสาม ,19 วรรคสอง ก็ถือไม่ได้ว่ามีการสอบสวนคดีนั้น พนักงานอัยการก็ไม่มีอำนาจฟ้องเช่นกัน(ฎ. 1974/39, 1350/82)
2. ในคดีความผิดต่อส่วนตัวพนักงานสอบสวน จะทำการสอบสวนได้ต้องมีการร้องทุกข์ตามระเบียบ
ดังนั้นหากไม่มีคำร้องทุกข์ หรือเป็นคำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือว่าไม่มีการสอบสวน อัยการไม่มีอำนาจฟ้อง (ดูในเรื่องการร้องทุกข์)
- ผู้ที่ร้องทุกข์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ถือว่าความผิดต่อส่วนตัวนั้นไม่มีการร้องทุกข์ตามกฎหมาย(ฎ.4648/28 ป.)
- กรณีการกระทำความผิดต่อห้างนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือบริษัทจำกัด นิติบุคคลดังกล่าวเป็นผู้เสียหาย ผู้แทนนิติบุคคล เช่น หุ่นส่วนผู้จัดการ หรือกรรมการผู้จัดการ มีอำนาจร้องทุกข์แทน บุคคลอื่นแม้จะเป็นหุ้นส่วน ผู้ถือหุ้น ก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย (ฎ. 610/15) การที่ผู้แทนนิติบุคคล หรือ ผู้จัดการน ไปร้องทุกข์ในนามส่วนตัว ถือว่าผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ได้ร้องทุกข์ (ฎ. 5008/37, 1250/21 ป.)
- การมอบอำนาจให้ร้องทุกข์ต้องมีความชัดเจนว่ามอบอำนาจให้ร้องทุกข์แทน หนังสือมอบอำนาจที่มีข้อความว่ามอบอำนาจให้ฟ้องต่อศาล ไม่รวมถึงมอบอำนาจให้ร้องทุกข์ (ฎ. 610/15)
- การแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน ไม่ใช่คำร้องทุกข์ (ฎ. 4906/43)
- คำให้การในของผู้เสียหายชั้นสอบสวนถือว่าเป็นคำร้องทุกข์ ได้ (ฎ. 1641/14)
- ในความผิดที่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท การที่ผู้เสียหายร้องทุกข์โดยระบุฐานความผิดบางข้อหา ถือว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ในข้อหาอื่นด้วย (ฎ. 2429/37)
- เมื่อได้ร้องทุกข์โดยชอบแล้วแต่พนักงานสอบสวนบกพร่องไม่ระบุข้อหาให้ครบถ้วน ก็ไม่ทำให้การร้องทุกข์เสียไป (ฎ. 2167/28)
- หนังสือร้องทุกข์ของผู้เสียหายหลายคน แต่ผู้เสียหายลงชื่อในหนังสือร้องทุกข์เพียงบางคน ถือว่าผู้เสียหายที่ไม่ได้ลงชื่อ ไม่ได้ร้องทุกข์ด้วย (ฎ. 2730/38)
- บริษัทมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปร้องทุกข์ กรรมการที่ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจมีเพียงคนเดียว แต่ตามข้อบังคับของบริษัทต้องมีกรรมการรวม 2 คน ลงชื่อผูกพันบริษัทได้ การมอบอำนาจดังกล่าว จึงไม่ผูกพันบริษัทโจทก์ จึงถือว่าบริษัทโจทก์ไม่ได้ร้องทุกข์ในความผิดตาม พ.ร.บ.เช็คฯ
-**คำร้องทุกข์ไม่มีแบบ จึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือ (ฎ. 719/83) แม้ พงส. จะยังไม่ลงบันทึกประจำวันก็เป็นคำร้องทุกข์ (ฎ. 2371/22)
- การร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานที่ไม่มีอำนาจรับคำร้องทุกข์ เช่นร้องทุกข์ ต่อ รมต.มหาดไทย ถือว่าไม่มีการร้องทุกข์
- ถ้าผู้เสียหายเป็นเจ้าพนักงานตำรวจร้องทุกข์ต่อตนเอง ก็ถือว่าเป็นการร้องทุกข์ที่ชอบด้วยกฎหมายได้ (ฎ. 292/82)
- การถอนคำร้องทุกข์ ที่จะทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามมาตรา 39(2) นั้น ต้องกระทำก่อนคดีถึงที่สุด (ฎ. 284-5/38, 5689/45)
- ในความผิดที่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีทั้งความผิดอันยอมความได้และมิใช่ความผิดอันยอมความได้ เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ ก็มีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปเฉพาะความผิดอันยอมความได้เท่านั้น อัยการฯ ยังคงมีอำนาจดำเนินคดีที่มิใช่ความผิดอันยอมความได้ต่อไป (ฎ. 1925/41)
-จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรทรัพย์ที่ได้มาจากความผิดฐานยักยอก แม้ผู้ร้องทุกข์จะถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานยักยอก จำเลยก็คงมีความผิดฐานรับของโจรอยู่ (ฎ. 6152/40)
- สิทธิขอถอนคำร้องทุกข์ในความผิดต่อส่วนตัวที่เกี่ยวกับทรัพย์สินตกทอดแก่ทายาท ทายาทจึงขอถอนคำร้องทุกข์ได้ ( คร.751/41)
- การที่อัยการฯ ได้รับคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์แล้ว ถือเป็นการถอนคำร้องทุกข์โดยชอบแล้ว ศาลไม่ต้องสอบถามผู้เสียหายอีก (ฎ. 1505/42)
- โจทก์ร่วมขอถอนฟ้องคดีความผิดต่อส่วนตัวที่อัยการฯ เป็นโจทก์ ถือว่าผู้เสียหายประสงค์จะถอนคำร้องทุกข์นั้นเอง (ฎ. 746/47)
3. การแจ้งข้อหา การสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องมีการแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่กล่าวหา และแจ้งข้อหาแก่ผู้ต้องหา
-ในความผิดที่เกี่ยวกับการกระทำอันเดียวกัน หรือความผิดอันเกี่ยวพันกัน พนักงานสอบสวนไม่จำต้องแจ้งข้อหาทุกกระทงความผิด ดังนี้เมื่อพนักงานสอบสวน ได้แจ้งบางข้อหา พนักงานสอบสวนก็มีอำนาจสอบสวนได้ทุกข้อหา (ฎ.5433/43, 3426/43) นอกจากนี้เมื่อได้แจ้งข้อหาหนึ่งแล้ว หากมีความผิดฐานอื่นปรากฏขึ้นในระหว่างการสอบสวน ก็ถือว่าได้สอบสวนความผิดฐานนั้นด้วยแล้ว (ฎ. 3288/35) เพราะการแจ้งข้อหาตาม ป.วิ.อ.มาตรา 134 ก็เพื่อประสงค์ให้ผู้ต้องหาทราบและเข้าใจ ถึงการกระทำของตนว่าเป็นความผิด หาได้หมายความว่าพนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบทุกกรรมเป็นความผิดไม่ เช่นเดิมแจ้งข้อหาตามมาตรา 157, และ 165 มิได้แจ้งมาตรา 138 ด้วย แต่เมื่อสอบสวนแล้วปรากฏว่าการกระทำเป็นความผิดตามมาตรา 138 ก็เรียกได้ว่า ได้มีการสอบสวนในความผิดฐานนี้แล้ว (ฎ. 6962/39)
- แต่หากเป็นความผิดที่ไม่เกี่ยวเนื่องกัน หรือมีเนื้อหาต่างกัน ต้องแจ้งทุกข้อหาด้วย เช่น หุ้นส่วนผู้จัดการยักยอกทรัพย์ของห้าง พงส. แจ้งข้อหาแก่จำเลยฐานยักยอก ไม่ได้แจ้งข้อหาตาม พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวเนื่องกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน พ.ศ.2499 มาตรา 46 ฐานทำงบดุล ถือไม่ได้ว่า มีการสอบสวนความผิดฐานนี้ (ฎ.1250/21 ป.)
- **การไม่แจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบนี้ เป็นบทบัญญัติห้ามมิให้อัยการฟ้องคดีในข้อหาดังกล่าวต่อศาลเท่านั้น ในกรณีที่เป็นข้อหาที่ศาลพิจารณาได้ความตามมาตรา 192 วรรคสาม แม้ข้อหานั้นพนักงานสอบสวนจะมิได้มีการแจ้งข้อหาไว้ ศาลก็ลงโทษจำเลยได้ เช่น โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ แต่ข้อเท็จจริงทีปรากฎในทางพิจารณาฟังได้ว่าเป็น รับของโจร เมื่อจำเลยไม่หลงต่อสู้ ศาลลงโทษในความผิดฐานรับของโจรได้ ส่วนการที่พนักงานสอบสวนมิได้แจ้งข้อกล่าวหา และสอบสนจำเลยในข้อหารับของโจร เป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติห้ามมิให้พนักงานอัยการนำคดีในข้อหาดังกล่าวมาฟ้องต่อศาลเท่านั้น (ฎ. 2129/37)
- ในกรณีที่ผู้ต้องหาเป็นนิติบุคคล การแจ้งข้อหาแก่กรรมการผู้มีอำนาจ แม้ไม่ได้ระบุว่าแจ้งข้อหาดำเนินคดีแก่นิติบุคคลด้วย ก็ถือว่าเป็นการแจ้งข้อหาแก่นิติบุคคลด้วยแล้ว (ฎ. 935/37)
- การสอบสวนพยานหลายคนพร้อมกัน และมีบุคคลอื่นนั่งฟังการสอบสวยนอยู่ด้วย การสอบสวนก็ไม่เสียไป (ฎ. 9378/39)
-การจับหรือการตรวจค้นที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ทำให้การสอบสวนเสียไป เพราะเป็นคนละขั้นตอนกัน (ฎ. 99/41, 1547/40)
- การสอบสวน กฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะต้องสอบสวนมากน้อยเพียงใด (ฎ. 4037/42) พนักงานสอบสวนจึงไม่จำต้องสอบพยานโจทก์ทุกปาก (ฎ. 1907/94) แต่การสอบสวนผู้ต้องหา เป็นส่วนสำคัญและจำเป็นของการสอบสวน หากยังมิได้มีการสอบสวนผู้ต้องหา ก็ยังถือไม่ได้ว่ามีการสอบสวนคดีนั้น ดังนั้นพนักงานอัยการย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง (ฎ. 99/81, 545/96) และการสอบปากคำในฐานะพยาน ไม่เป็นการแจ้งข้อหาและสอบสวนจำเลยในข้อหานั้น ( 2449/24)
- การสอบสวนของ พงส. ในขณะที่ไม่ได้เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่พงส. ก็ถือเป็นกาสอบสวนโดยชอบ (ฎ. 3096/36)
-การทำแผนที่เกิดเหตุ เป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน แต่ถึงหากกระทำไปไม่ชอบเพราะไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ก็ไม่มีผลกระทบถึงกับเป็นเหตุให้การสอบสวนเสียไป (ฎ. 4546/36)
- การที่ล่ามแปลคำให้การในชั้นสอบสวนโดยมิได้สาบาน หรือปฏิญาณตน ไม่ทำให้การสอบสวนไม่ชอบ (ฎ. 5476/37)
กรณีที่พนักงานสอบสวนมีอำนาจให้เจ้าพนักงานอื่นทำแทนได้ (มาตรา 128)
1) ส่งประเด็นไปให้ พงส. อื่นทำการสอบสวนในเรื่องที่อยู่นอกเขตอำนาจของตน
2) การสอบสวนในเรื่องเล็กน้อย ซึ่งอยู่ในอำนาจของตน ไม่ว่าทำเองหรือจัดการตามประเด็น มีอำนาจสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำแทนได้
- ตามมาตรา 128 ต้องไม่ใช่เรื่องสำคัญๆ ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยมีอำนาจสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำแทนได้ เช่น การแจ้งข้อหาเพิ่มเติมแก่จำเลย (ฎ. 3031/47)
การสอบสวน( มาตรา 130-147)
- ให้เริ่มทำการสอบสวนโดยไม่ชักช้า จะทำที่ใด เวลาใด แล้วแต่จะเห็นสมควรโดยผู้ต้องหาไม่จำต้องอยู่ด้วย มาตรา 130) แต่ผู้ต้องหาก็มีสิทธิได้รับการสอบสวนด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม (มาตรา 134) อย่างไรก็ตาม การไม่ปฎิบัติตามกฎหมายดังกล่าว ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าการสอบสวนนั้นเป็นการสอบสวนไม่ชอบ ดังนั้นแม้พนักงานสอบสวนเพิ่งเริ่มทำการสอบสวนหลังจากได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาแล้วเป็นปี ก็ไม่ทำให้การสอบสวนนั้นไม่ชอบ (ฎ. 430/46)
-การรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน( มาตรา 131) ต้องรวบรวมเพื่อพิสูจน์ให้เห็นความ บริสุทธิ์ของผู้ต้องหาด้วย
มาตรา 158(5) ฟ้องต้องระบุการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด
1. การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด หมายถึง การกระทำที่เป็นองค์ประกอบความผิด ดังนั้น ฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิดจึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
1.1 ข้อเท็จจริงที่ไม่ใช่การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ไม่ต้องบรรยายมาในฟ้อง เช่น
- ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกและศาลรอการลงโทษจำคุกไว้ และจำเลยกระทำผิดคดีนี้ ในเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้ ศาลสามารถรับฟังข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบเสาะและเป็นดุลพินิจจะใช้อำนาจบวกโทษที่รอไว้หรือไม่ก็ได้ ไม่เกินคำขอ ฎ.1081/44)
- ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 143 ข้อที่ว่าการที่จำเลยจะได้ไปติดต่อหรือจูงใจเจ้าพนักงานหรือไม่ เป็นเพียงพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยเท่านั้น หาใช่องค์ประกอบแห่งความผิดไม่ ( ฎ.960/34)
1.2 การบรรยายฟ้องที่เป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดนั้น ไม่ได้เคร่งครัดว่าจะต้องใช้ถ้อยคำตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายทุกประการ การบรรยายฟ้องที่ใช้ถ้อยคำอื่นแต่มีความหมายเช่นเดียวกัน ก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ เช่น
- ในความผิดฐานฉ้อโกง หรือ ลักทรัพย์ การที่บรรยายฟ้องว่า “บังอาจ” ไม่มีคำว่าโดยทุจริต ก็เป็นการฟ้องที่สมบูรณ์ (ฎ.6711/39) หรือในความผิดฐานบุกรุกไม่ได้บรรยายว่าจำเลยเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร แต่บรรยายฟ้องคำว่า “บังอาจบุกรุก” ย่อมทำให้เข้าใจได้ว่าจำเลยกระทำการตามที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดแล้ว (ฎ. 306/17 )
-ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ตาม ป.อ.มาตรา 276 นั้น แม้จะไม่ได้ระบุว่าผู้เสียหายเป็นหญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของจำเลยก็ตาม แต่ถ้าได้ระบุว่าผู้เสียหายยังเป็นนางสาว ย่อมเข้าใจได้ว่าผู้เสียหายเป็นหญิงที่ยังไม่มีสามี และมิได้เป็นภริยาของผู้ใดรวมทั้งจำเลยด้วย (ฎ.352/07)
- ในความผิดอันยอมความได้ ไม่ต้องบรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้ร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว (ฎ.5155/41)
- การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาต่อศาลแขวง โดยให้ศาลบันทึกใจความแห่งคำฟ้องไว้เป็นหลักฐาน จึงไม่ต้อง ปฎิบัติตาม วิ.อาญา มาตรา158 โดยเคร่งครัด เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสอบถามรายละเอียดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ ( ฎ.7712/44)
- ความผิดฐานหมิ่นประมาท โจทก์ต้องบรรยายฟ้องด้วยว่าข้อความตอนใดทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังอย่างไร จึงจะเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ (ฎ.3050/44)
- ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ต้องบรรยายว่าจำเลยได้กระทำโดยรู้ว่าเจ้าหนี้ของตนได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ จึงจะเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ (ฎ.288/2515) ดังนั้นการบรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำไปทั้งที่คาดหมายได้ว่าโจทก์ต้องฟ้องบังคับคดี หรือบรรยายฟ้องแต่เพียงว่ามีสิทธิที่จะใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นคำฟ้องไม่ชอบ ไม่สมบูรณ์ ขาดสาระสำคัญ ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อาญา มาตรา 350 (ฎ.184/41)
- ความผิดฐานเบิกความเท็จต้องบรรยายว่า ข้อความที่เป็นเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีและข้อสำคัญนั้นเป็นอย่างไร ถ้าไม่บรรยายเป็นฟ้องไม่สมบูรณ์ (ฎ.19/32,2862/39) และต้องบรรยายมาด้วยว่า จำเลยเบิกความเท็จนั้นมีข้อหาความผิดตามกฎหมายใดด้วย(ฎ.274/46)
- ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ ต้องบรรยายให้ปรากฎข้อความว่า เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิระหว่างโจทก์กับจำเลยอย่างไรบ้าง (ฎ.2954/47)
- ความผิดฐานปล้นทรัพย์ ต้องบรรยายว่าการใช้กำลังประทุษร้ายนั้น กระทำอย่างไร และต้องปรากฎด้วยว่า การใช้กำลังประทุษร้ายนั้นเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อการอย่างใดอย่างหนึ่ง ตาม ป.อาญา ม.339 อันเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานปล้นทรัพย์ (ฎ.1033/27)
- ความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ต้องบรรยายด้วยว่าได้รับอันตรายสาหัสอย่างไร ตาม ป.อ.มาตรา 297 (ฎ. 6416/34)
- ความผิดฐานยักยอก ต้องบรรยายว่า จำเลยเบียดบังทรัพย์อย่างไร (ฎ. 2352/21) เช่น บรรยายว่าเบียดบังเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว( ฎ. 3274/27) แต่ไม่จำต้องบรรยายว่าเอาไปโดยทุจริต (ฎ. 2722/49)
- ความผิดเกี่ยวกับการกระทำโดยประมาท ต้องบรรยายว่ากระทำประมาทอย่างใด (ฎ.1616/08) เช่น บรรยายว่ายางล้อหน้าด้านขวามือของรถยนต์ที่ขับอยู่ในสภาพเก่า และบรรยายว่าจำเลยขับรถลงเนินด้วยความเร็วสูง (ฎ.1832/34)
- ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่ออนาจาร ไม่ต้องบรรยายว่าจำเลยกระทำอนาจารผู้เยาว์อย่างไร (ฎ.6632/40) แต่ถ้าฟ้องเฉพาะข้อหาอนาจาร ต้องบรรยายว่าอนาจารอย่างไร
- ความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ ตาม ป.อาญา ม. 220 ต้องระบุด้วยว่า การกระทำของจำเลยน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ของบุคคลด้วย (ฎ.5364/36)
- ความผิดตาม พ.ร.บ.เช็คฯ ต้องบรรยายว่า เป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เพราะเป็นองค์ประกอบความผิด ตามมาตรา 4 (ฎ.7371/44) แม้ไม่ได้ระบุว่าเป็นหนี้ค่าอะไรก็เป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย (ฎ.2602/43) แต่ถ้าบรรยายว่าออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าให้แก่โจทก์ แม้ไม่ได้ระบุว่าออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายก็เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายเพราะคำว่าชำระหนี้ค่าสินค้า ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย(ฎ. 7262/40) แต่ถ้าเป็นเรื่องออกเช็คชำระหนี้เงินกู้ยืม ต้องระบุด้วยว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย จึงจะชอบ (ฎ.4591/45)
การบรรยายฟ้องขัดกัน เป็นฟ้องเคลือบคลุม
การบรรยายฟ้องเกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดจะต้องไม่ขัดกัน ถ้าขัดกันเป็น “ ฟ้องเคลือบคลุม” ดังนั้น ฟ้องที่ขัดกันแม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยไม่ได้
- บรรยายฟ้องว่าจำเลยเบิกความเป็นพยานชั้นสอบสวนอย่างหนึ่ง แล้วเบิกความต่อศาลอีกอย่างหนึ่งแตกต่างกันและขัดกันซึ่งเป็นความเท็จ แต่มิได้บรรยายว่าอย่างไหนจริงหรือความจริงเป็นอย่างไร ยากที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้ถูกต้อง เป็นฟ้องเคลือบคลุม (ฎ.1806/23)
- บรรยายฟ้องว่ากระทำผิดฐานรับของโจรก่อนที่ทรัพย์นั้นจะถูกลักไปหรือถูกยักยอกไป เป็นฟ้องที่ขัดต่อสภาพหรือลักษณะความผิด เป็นฟ้องเคลือบคลุม ( ฎ.2370/44)
เวลากระทำผิด ( มาตรา 158(5))
ฟ้องต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเวลากระทำผิด เวลากระทำผิดหมายถึง เวลากลางวัน กลางคืนรวมทั้งวัน เดือน ปี ที่เกิดเหตุ (ฎ.512/93)
- เวลากระทำผิดต้องเป็นเวลาก่อนที่โจทก์ฟ้อง ถ้าเวลากระทำผิดตามฟ้องเป็นเวลาภายหลังการฟ้อง เป็นการบรรยายฟ้องเวลาในอนาคต เป็นฟ้องที่ไม่ชอบ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพศาลก็ต้องยกฟ้อง (ฎ.128/43) เนื่องจากเป็นการรับสารภาพตามฟ้องที่ไม่เป็นความผิด
- การบรรยายวันเวลาเกิดเหตุ ทั้งก่อนฟ้องต่อเนื่องไปจนหลังฟ้องติดต่อกัน เป็นฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ฎ.985/24) เพราะเป็นการกล่าวคลุมไปถึงเวลาที่ยังมาไม่ถึงซึ่งเป็นไปไม่ได้ ทำให้จำเลยไม่อาจเข้าใจข้อหาตามฟ้องได้ดี
- ฟ้องระบุแต่เพียงเดือนและปีที่ความผิดเกิด หรือบรรยายฟ้องเพียงว่า… เมื่อต้นเดือน… โดยไม่ได้ระบุวันที่ หรือเวลาที่กระทำผิดให้แน่นอน เป็นคำฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ (ฎ. 848/45)
- การบรรยายฟ้องความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค ฯ ต้องบรรยายวันที่ธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงิน ซึ่งเป็นวันกระทำผิด หรือถ้าหากการบรรยายทำให้เข้าใจได้ว่าวันใดธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงิน ก็สมบูรณ์แล้ว แม้ไม่ได้ระบุว่าปฎิเสธวันใด ถือว่าเป็นคำฟ้องที่ระบุเวลาทำผิดแล้ว (ฎ.2234/41) และแม้ไม่ได้ระบุว่าเกิดเวลากลางวันหรือกลางคืน ก็เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย (ฎ. 2041/41) เพราะธนาคารย่อมปฎิเสธการจ่ายเงินในเวลากลางวันอันเป็นเวลาทำการของธนาคาร
-บางคดีเวลากลางวันกลางคืนไม่เป็นสาระสำคัญแห่งการกระทำผิด เช่น ความผิดฐานเล่นการพนันสลากกินรวบ(ฎ. 1626/06(ป))
-ฟ้องฐานยักยอกระบุแต่เพียงวันที่รับมอบทรัพย์ และเวลาที่ต้องคืนทรัพย์ ไม่ระบุวันเวลาที่ยักยอก เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์(ฎ.1773/05) ต่อมามีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1330/06 วินิจฉัยว่า การระบุวันมอบทรัพย์กับวันตรวจสอบบัญชีพบโดยไม่ระบุวันเวลายักยอก ก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์แล้ว ( ฎ. 1330/06)
หมายเหตุ
1. ฟ้องที่ระบุเวลากระทำผิดโดยประมาณก็ใช้ได้ เช่นบรรยายฟ้องว่าวันที่กระทำผิด เป็นประมาณวันที่ 12 กรกฎาคม 2528 (ฎ. 5021/33) เพราะเป็นรายละเอียเกี่ยวกับเวลาพอสมควรเท่าที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว
2. ถ้าโจทก์บรรยายวันเวลากระทำผิดมาแล้ว แม้คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง ก็ถือว่ามิใช่ข้อสาระสำคัญ เมื่อจำเลยไม่หลงข้อต่อสู้ ศาลก็ลงโทษจำเลยได้ (ฎ. 1208/42)
3. วันที่รู้เรื่องความผิดไม่ใช่องค์ประกอบความผิด ไม่ใช่รายละเอียดเกี่ยวกับเวลาที่จำเลยกระทำผิด โจทก์ไม่ได้บรรยายมา ศาลสั่งให้แก้ฟ้องได้(ฎ.5059/40)
สถานที่กระทำความผิด
ฟ้องต้องระบุสถานที่ที่เกิดการกระทำผิด โดยปกติจะระบุว่าเหตุเกิดที่ตำบล อำเภอและจังหวัดใด ก็เป็นการเพียงพอแล้ว โดยคำว่าสถานที่ หมายถึง สถานที่เกิดการกระทำผิด หาได้ระบุไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าอยู่หมู่ใด ตำบลใดเสมอไปไม่ เพียงแต่กล่าวอ้างไว้พอสมควรที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีก็เป็นการเพียงพอแล้วและแม้จะไม่ระบุว่าเหตุเกิดตำบลอำเภอ จังหวัดใด แต่ถ้าจำเลยเข้าใจได้ว่าเหตุเกิดที่ใดก็ใช้ได้ ฎ.951/09(ป))
- เหตุเกิดมี 2 แห่ง บรรยายฟ้องที่เกิดเหตุมาเพียงแห่งเดียวถือว่าเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ (ฎ.4378/28)
- *** คำฟ้องไม่ได้บรรยายสถานที่เกิดเหตุ แต่ถ้าเอกสารท้ายฟ้อง ได้บรรยายเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุไว้ด้วยก็ถือได้ว่าคำฟ้องบรรยายสถานที่เกิดเหตุแล้วโดยอนุโลม เช่น หมายขังซึ่งกล่าวในคำฟ้องถือเป็นส่วนหนึ่งของ คำฟ้อง เมื่อหมายขังได้ระบุสถานที่เกิดเหตุไว้ด้วย แม้คำฟ้องจะไม่ได้บรรยายว่าเหตุเกิดที่ใด ก็ถือว่าเป็นฟ้องที่กล่าวถึงสถานที่เกิดเหตุแล้ว (ฎ.1222/46)
บุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้อง
- ในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ต้องระบุว่าทรัพย์นั้นเป็นอะไรด้วย (ฎ. 1360/09 ป) และต้องระบุชื่อเจ้าทรัพย์ด้วยจึงจะเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย (ฎ. 338/89) แต่ถ้าอ่านคำฟ้องแล้วพอเข้าใจได้ว่าทรัพย์เป็นของใคร ดังนี้เป็นฟ้องที่สมบูรณ์(ฎ.1809/12) แต่ถ้าเป็นกรณีที่ไม่อาจทราบตัวเจ้าทรัพย์ที่แน่นอนได้ ก็ไม่จำเป็นต้องระบุชื่อเจ้าทรัพย์ เช่นระบุเพียงว่าเป็นทรัพย์ของหญิงไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 35 ปี ก็สมบูรณ์แล้ว (ฎ. 3977/30, 1433/30)
- ** ความผิดฐานชิงทรัพย์ ประกอบด้วยความผิดลักทรัพย์โดยใช้กำลงประทุษร้าย โดยมีมูลเหตุจูงใจตาม (1)-(5) แห่ง ป.อาญา มาตรา 339 การบรรยายฟ้องต้องบรรยายองค์ประกอบความผิดทั้งมาตรา 334 และ 339 ประกอบกัน โดยต้องบรรยายว่าทรัพย์ที่ถูกลักเอาไปเป็นของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย และผู้ที่ถูกประทุษร้ายเป็นใคร ด้วย
- ความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระบุด้วยว่าจำเลยได้ทรัพย์อะไรไปจากผู้เสียหาย (ฎ.352/36)
- ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่า ประชาชนผู้ถูกหลอกลวงเป็นผู้ใดบ้าง (ฎ. 3624/31) เพราะเป็นเพียงรายละเอียดที่จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา
- ฟ้องยักยอกเงิน แต่ไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าเป็นเงินจำนวนเท่าใด เป็นฟ้องเคลือบคลุม
- ฟ้องกรรโชก ต้องระบุชื่อผู้ถูกขู่เข็ญด้วย (ฎ. 1078/92)
- ความผิดฐานปลอมเอกสารไม่จำต้องระบุว่าผู้ที่หลงเชื่อเป็นเป็นผู้ใด (ฎ. 1403/36)
- ความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานต้องระบุชื่อเจ้าพนักงานนั้นด้วย ไม่เช่นนั้นเป็นฟ้องเคลือบคลุม (ฎ. 894-7/06)
- ฟ้องคดีหมิ่นประมาท ไม่ต้องบรรยายฟ้องว่าบุคคลที่สามเป็นใคร
- ฟ้องว่าจำเลยกับพวกกระทำฐานปล้นทรัพย์ โดยไม่ได้ระบุว่าพวกของจำเลยมีกี่คน เป็นฟ้องไม่สมบูรณ์ ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ไม่ได้ (ฎ.1331/93)
ผลของการยกฟ้อง เพราะฟ้องไม่สมบูรณ์ตาม มาตรา 158(5)
1. กรณีฟ้องใหม่ไม่ได้ (เพราะถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้องแล้ว ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39(4)) เช่น
- ฟ้องที่บรรยายขาดองค์ประกอบความผิด ( แต่อุทธรณ์ได้ ตามมาตรา 161 วรรคสอง)
- ฟ้องไม่ได้บรรยายเวลาหรือสถานที่กระทำผิด
2. กรณีที่ฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะยังไม่ถือว่ามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้องแล้ว ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39(4) เช่น
- ฟ้องเคลือบคลุม , ฟ้องที่บรรยายเวลากระทำผิดในอนาคต, ฟ้องที่ไม่มีลายมือชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้พิมพ์
ฟ้องต้องอ้างมาตราที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิด มาตรา 158(6)
ตามมาตรา 158(6) บังคับไว้ว่าต้องอ้างมาตราในกฎหมายที่บัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด ดังนี้หากเป็นบทบัญญัติในเรื่องอื่น เช่น ตัวการร่วม ความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม การขอให้บอกโทษ การขอให้ริบของกลาง เหล่านี้ไม่ใช่กรณีที่กฎหมายบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด จึงไม่จำต้องอ้างมาตราในคำฟ้องด้วย
- มาตรา 158(6) บังคับเฉพาะให้ต้องอ้างมาตราเท่านั้น ไม่ต้องระบุวรรค (ฎ. 9239/47)
- ฟ้องข้อหาปลอมและใช้เอกสารสารปลอม คำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษตามมาตรา 264,268 โดยมิได้ระบุชื่อกฎหมาย ก็เข้าใจได้ว่าเป็นประมวลกฎหมายอาญา (ฎ. 1700/14 ป.)
- พ.ร.บ.เช็คฯ แม้จะมีหลายมาตรา แต่มีบทบัญญัติความผิดเพียงมาตราเดียว แม้คำฟ้องระบุเพียงชื่อกฎหมาย ไม่ได้ระบุเลขมาตราซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด ก็เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย
- มาตรา 58 ป.อาญา ไม่ใช่บทบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด ดังนั้นศาลจึงนำโทษที่ศาลรอลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกโทษในคดีที่ฟ้องได้ โดยไม่ต้องมีคำขอหรือระบุเลขมาตราดังกล่าวไว้ในคำฟ้องด้วย (ฎ. 2143/45)
- อ้างบทมาตราเดิมซึ่งมีการแก้ไขแล้ว แต่ไม่ได้อ้างกฎหมายที่แก้ไขถือว่าอ้างกฎหมายซึ่งบัญญัติเป็นความผิดตามมาตรา 158(6) แล้ว (ฎ. 706/16) อ้างบทลงโทษแต่ไม่อ้างบทห้าม ก็ใช้ได้ (ฎ.652/40) อ้างบทห้ามแต่ไม่อ้างบทลงโทษก็ใช้ได้เช่นกัน (ฎ.1971/41)
ฟ้องต้องมีลายมือชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้อง มาตรา 158(7)
- ** หากไม่มี ถ้าศาลชั้นต้นไม่สั่งให้แก้ไข หรือมีการแก้ไขตาม มาตรา 163,164 เมื่อปรากฎในชั้นอุทธรณ์ ศาลต้องยกฟ้อง เพราะล่วงเลยเวลาที่แก้ไขแล้ว (ฎ. 229/90, 1564/46)
- กรณีลายมือชื่อโจทก์ในศาลชั้นต้นนั้น โจทก์ต้องลงลายมือชื่อเอง ทนายความไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนโจทก์ในฟ้องคดีอาญา (ฎ.607/14) แต่ถ้าเป็นชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ทนายความลงลายมือชื่อในอุทธรณ์หรือฎีกาได้ แต่ต้องมีใบแต่งทนายความในสำนวนด้วย (ฎ. 62/94) จะถือเอาคำเบิกความของโจทก์ในการพิจารณาคดีเป็นการให้สัตยาบันเพื่อให้ฟ้องสมบูรณ์ไม่ได้ ยกเว้นคดีแพ่ง (ฎ.300/07) เพราะโจทก์ชอบที่จะยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้อง ตามมาตรา 163,164 ได้อยู่แล้ว
- โจทก์มอบอำนาจให้ผู้อื่นฟ้องคดีแทน ผู้รับมอบอำนาจก็ลงชื่อเป็นโจทก์ได้
- กรณีลายมือชื่อผู้เรียงนั้น โจทก์เป็นผู้เรียงคำฟ้องเองได้ แต่ถ้าให้ผู้อื่นเรียงคำฟ้องให้ ผู้นั้นต้องเป็น ผู้ได้รับอนุญาตให้เป็นทนายความเท่านั้น (ฎ.3397/47)
- ** กรณีทนายความลงลายมือชื่อในช่องผู้อุทธรณ์ แต่ไม่มีใบแต่งทนายความ ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้แก้ไขให้ถูกต้องได้ตามมาตรา 208(2)ประกอบมาตรา 225 (ฎ.7903/47) แต่ถ้าศาลไม่สั่งให้แก้ไขแต่ปรากฎว่าต่อมาได้มีการตั้งให้ทนายความคนดังกล่าวเป็นทนายความให้มีอำนาจอุทธรณ์ฏีกาได้ ก่อนมีการยื่นฎีกา ถือว่ายื่นฟ้องอุทธรณ์โดยชอบแล้ว
การบรรยายฟ้องในกรณีขอให้เพิ่มโทษ มาตรา 159
- กรณีที่โจทก์จะขอให้เพิ่มโทษจำเลยนั้น จะต้องกล่าวมาในฟ้องหรือจะยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมก็ได้ กล่าวคือ โจทก็ต้องกล่าวมาในฟ้อง และต้องมีคำขอให้เพิ่มโทษจำเลยด้วย (ฎ.5965/46)
- สำหรับการขอให้นับโทษต่อ ไม่มีบทกฎหมายดังเช่นการขอให้เพิ่มโทษ ตาม 159 จึงไม่จำต้องกล่าวมาในคำฟ้อง แต่ต้องมีคำขอให้นับโทษต่อมาท้ายฟ้องด้วย (ฎ. 2003/47) และโจทก์อาจขอให้นับโทษต่อโดยยื่นคำร้องขอให้แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องก็ได้ แต่ต้องก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา ตามมาตรา 163,164 เท่านั้น จะเพิ่มเติมหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วไม่ได้
-** กรณีที่มีการรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน ถ้าตามคำขอท้ายฟ้องของคดีที่มีการรวมพิจารณา ไม่ได้ขอให้นับโทษติดต่อกันไว้ ก็จะนับโทษต่อกันไม่ได้ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอตามมาตรา192 (ฎ.4569/28)
การตรวจคำฟ้อง มาตรา 161
ถ้าฟ้องไม่ถูกต้องศาลสั่งได้ 3 ประการ คือ สั่งให้แก้ฟ้อง ยกฟ้อง หรือไม่ประทับฟ้อง
1. กรณีสั่งให้แก้ฟ้อง เช่น ฟ้องไม่ลงชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้พิมพ์ หรือ ไม่ระบุสถานที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ต้องแก้ไขก่อนประทับฟ้อง ถ้าหลังประทับฟ้องแล้วแก้ไขโดยการแก้ไขฟ้อง ตาม 163,164 ซึ่งต้องก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาเท่านั้น ถ้าล่วงเลยเวลาดังกล่าว ต้องยกฟ้อง
2. กรณีที่ต้องยกฟ้อง เช่น ฟ้องที่ขัดกัน(เคลือบคลุม) ขาดองค์ประกอบความผิด ไม่มีอำนาจฟ้อง การกระทำตามฟ้องที่ไม่เป็นความผิด ฟ้องที่ลงชื่อโดยบุคคลไม่มีอำนาจ ( จำย่อๆ ว่า ขัด ขาด อำนาจ ไม่ผิด ) และดูมาตรา 185 ด้วย
3. ไม่ประทับฟ้อง เช่น ฟ้องผิดศาล
หมายเหตุ คำสั่งตามมาตรา 161 ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา จึงอุทธรณ์ได้ทันที
ไต่สวนมูลฟ้อง มาตรา 162,165 (เกี่ยวกับความสงบฯ และศีลธรรมอันดี)
- พนักงานอัยการและผู้เสียหายต่างฟ้องจำเลยในข้อหาเดียวกัน (อัยการฟ้องก่อน) คดีที่ผู้เสียหายฟ้องก็ไม่จำต้องไต่สวนมูลฟ้องตามมาตรา 162(1) (ฎ4007-8/30)
- คดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา ศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อนเสมอ มิฉะนั้นเป็นการมิชอบ แต่ศาลมิได้สั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องก็จะถือเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์ไม่ได้ เพราะไม่ใช่การกระทำของโจทก์ ศาลสูงจึงต้องพิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องและพิจารณาต่อไป (ฎ.477/08)
- ถ้าตามคำฟ้องของโจทก์ปรากฏชัดแจ้งว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ศาลก็พิพากษายกฟ้องได้เลย โดยไม่ต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อน (ฎ.2722/41) เหตุผลอยู่ที่มาตรา 185
- มาตรา 165 บัญญัติให้คดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ในวันไต่สวนมูลฟ้องให้จำเลยมา หรือคุมตัวมาศาล และศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า ในวันที่ยื่นฟ้อง อัยการโจทก์ก็ต้องนำตัวจำเลยมาศาลด้วย มิฉะนั้นศาลจะไม่ประทับฟ้อง (ฎ.1133/93)
- กรณีที่จำเลยอยู่ในอำนาจศาลแล้ว โจทก์ฟ้องได้โดยไม่ต้องนำตัวจำเลยมาศาล เช่น ศาลได้ออกหมายขังจำเลยไว้ระหว่างสอบสวน พนักงานอัยการยื่นฟ้องโดยไม่ได้มีการเบิกตัวจำเลยมาศาล ศาลก็ต้องประทับฟ้องไว้พิจารณา ในกรณีเช่นนี้หากจำเลยได้หลบหนีไปก่อนโจทก์ยื่นฟ้อง ก็ถือว่าจำเลยอยู่ในอำนาจศาลแล้วเช่นกัน พนักงานอัยการฟ้องคดีได้โดยไม่ต้องส่งตัวจำเลยมาพร้อมกับฟ้อง(ฎ.1735/14 ป.)
- กรณีที่จำเลยถูกขังตามหมายของศาลในคดีหนึ่ง แต่ได้หลบหนีไปจากเรือนจำก่อนฟ้อง ถือว่าจำเลยอยู่ในอำนาจศาลเฉพาะคดีที่ศาลออกหมายขังไว้เท่านั้น ไม่ถือว่าจำเลยอยู่ในอำนาจศาลในคดีอาญาเรื่องอื่นด้วย ดังนั้นหากพนักงานอัยการจะฟ้องจำเลยในคดีอื่นก็ต้องนำตัวจำเลยมาศาลด้วย (ฎ.1020/08)
- กรณีที่พนักงานอัยการได้ขอให้ศาลออกหมายปล่อยผู้ต้องหาไปในระหว่างสอบสวนหรือศาลปล่อยตัวจำเลยไปเพราะขังครบกำหนดเวลาตามกฎหมายแล้ว ไม่ถือว่าจำเลยอยู่ในอำนาจศาล (ฎ. 1133/93) กรณีนี้ถือว่าผู้ต้องหาอยู่ในอำนาจของอัยการแล้ว
- กรณีที่ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวตามที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยร้องขอ ถือว่าจำเลยหรือผู้ต้องหาอยู่ในอำนาจของศาลแล้ว โจทก์จึงฟ้องจำเลยในมูลกรณีเดียวกันหรือคดีอาญาเรื่องอื่นต่อศาลเดียวกันได้โดยไม่ต้องนำตัวจำเลยมาในวันฟ้อง (ฎ. 1497/96 ป.) เรื่องนี้ต้องปรากฏด้วยว่าจำเลยหรือผู้ต้องหานั้นไม่ได้หนีประกัน (ฎ.6462/43)
- ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยไม่มีสิทธินำพยานมาสืบ แต่ถ้าเป็นเอกสารที่ทนายจำเลยใช้ประกอบการถามค้านพยานโจทก์และพยานโจทก์ยอมรับแล้ว จำเลยมีสิทธิส่งเอกสารนั้นประกอบคำพยานโจทก์ได้ ไม่ใช่การนำพยานเข้าสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง (ฎ.904/22)
พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง
- ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์จะอ้างแต่คำเบิกความของพยานในคดีแพ่งมาเป็นพยาน โดยไม่นำมาเบิกความในคดีอาญา ถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ฟังได้ว่าคดีมีมูล (ฎ.604/92)
- การแถลงรับข้อเท็จจริงกันก็ถือว่าเป็นการไต่สวนมูลฟ้องแล้ว (ฎ.1050/14)
- คำพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คู่ความอาจอ้างเป็นพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาได้(ฎ.2644/35) เพราะเป็นพยานหลักฐานที่น่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีผิดหรือบริสุทธิ์ ส่วนจะรับฟังได้เพียงใดนั้นเป็นดุลพินิจที่ศาลจะพิจารณาวินิจฉัยอีกชั้นหนึ่ง
การแก้ไขคำฟ้อง คำให้การ มาตรา 163,164
1. ต้องมีเหตุอันควร เช่น
- อ้างว่าพิมพ์ฟ้องตกไป เพราะความบกพร่องของผู้พิมพ์หรือผู้ตรวจฟ้อง (ฎ.1377/13)
- การขอเพิ่มเติมวันเวลากระทำผิด เพราะมิได้กล่าวมาในฟ้อง โดยอ้างว่าผู้พิมพ์ฟ้อง พิมพ์ตกไป
- ขอแก้ไขน้ำหนักยาเสพติดให้โทษของกลาง โดยอ้างว่าพนักงานสอบสวนส่งรายงานการตรวจพิสูจน์มาให้ผิดพลาด
กรณี ไม่ถือว่ามีเหตุอันควร เช่น โจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องโดยเพิ่มคนอื่นเข้ามาเป็นจำเลยด้วย
หมายเหตุ ฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด จะมาขอแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ครบองค์ประกอบ ไม่ได้เพราะถือว่าเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้อง มาแต่ต้น จึงจะมาขอแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ฟ้องถูกต้องขึ้นมาหาได้ไม่
- พนักงานอัยการโจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมคำขอส่วนแพ่งได้ ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ตามมาตรา 43 ได้ก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ( ตาม ป.วิ.อ. มาตรา163,164 ไม่ใช่ ป.วิ.พ มาตรา 180)
2. ถ้าจะทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ห้ามมิให้ศาลอนุญาต
การแก้ไขหรือเพิ่มเติมฐานความผิด ไม่ว่าจะทำในระยะใดก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิให้ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบ เว้นแต่จำเลยจะหลงข้อต่อสู้
- การแก้ไขหรือเพิ่มเติมฐานความผิดนั้น ต้องมีการสอบสวนก่อน ถ้ายังไม่มีการสอบสวนจะขอแก้ไม่ได้ (ฎ. 801/11) และถ้าได้มีการสอบสวนฐานความผิดที่จะขอแก้ฟ้องแล้ว ดังนี้ขอแก้ได้แม้ศาลอนุญาตให้แก้แล้วจะเกินอำนาจของศาลก็ตาม (ฎ.993/27) เมื่ออนุญาตให้แก้แล้วแต่เกินอำนาจ ศาลชั้นต้นนั้นต้องพิพากษายกฟ้อง และสามารถฟ้องใหม่ได้ภายในอายุความ เพราะถือว่าศาลยังมิได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ฟ้อง ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 39(4)
- การแจ้งข้อหาเพิ่มเติมจากข้อหาเดิมที่มีการสอบสวนแล้ว ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน กรณีมีเหตุอันสมควรให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้ (ฎ.1746/35) เช่น เดิมแจ้งข้อหาตาม ป.อ.มาตรา 300 ปรากฎต่อมาในระหว่างพิจารณาว่า ผู้บาดเจ็บตาย เมื่อ พงส. ได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่าทำผิดตาม ป.อ. มาตรา 291 ถือว่าสอบสวนมาแล้ว ดังนั้นระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จึงขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้(ขณะฟ้องไม่อยู่ในวิสัยที่จะฟ้อง ตามมาตรา 291 ได้ เมื่อ พงส. แจ้งข้อหาเพิ่มเติมก็เป็นการสอบสวนแล้ว อัยการโจทก์จึงขอแก้ฟ้องก่อนศาลต้นตัดสินได้)
- ***การแก้ไขคำฟ้องที่ทำให้จำเลยเสียเปรียบห้ามมิให้ศาลอนุญาต แต่ถ้าเป็นการขอแก้ไขเพิ่มเติมระหว่างไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยยังไม่อยู่ในฐานะจำเลย ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ (ฎ.2902/47)
อย่างไรถือว่าทำให้จำเลยหลงต่อสู้คดี เช่น
- กรณีที่จำเลยต่อสู้โดยถือเอาวันเวลาที่โจทก์ฟ้องเป็นหลักสำคัญในการต่อสู้คดี โดยให้การปฏิเสธว่าวันเวลาเกิดเหตุจำเลยไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ(อ้างฐานที่อยู่) ดังนี้การที่โจทก์ขอแก้ไขเวลากระทำผิดย่อมทำให้จำเลยหลงต่อสู้คดีได้ (ฎ.76/01) แต่ถ้าจำเลยให้การปฎิเสธลอยๆว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง โดยไม่ได้อ้างฐานที่อยู่โจทก์ขอแก้วันเวลาทำผิดได้ ไม่ถือว่าทำให้จำเลยหลงต่อสู้คดี (ฎ.203/40)
- โจทก์ขอแก้ไขฐานความผิดในข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับฐานะและอาชีพของจำเลยซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยทราบดีอยู่แล้ว ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบและหลงต่อสู้และถือว่ามีเหตุอันสมควรให้โจทก์แก้ไขได้
3. กำหนดเวลาขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องและคำให้การ
- โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องได้ “ก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น” ส่วนจำเลยยื่นคำร้องขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การได้ก่อนศาลพิพากษาของศาลชั้นต้น ดังนั้นแม้จะเสร็จการสืบพยานโจทก์ จำเลย และนัดฟังคำพิพากษาแล้ว ก็ยังขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การได้ (ฎ.2714/26)
- การขอให้นับโทษต่อภายหลังฟ้องแล้ว จะต้องกระทำโดยแก้หรือเพิ่มเติมคำฟ้อง จึงต้องขอแก้ไขหรือเพิ่มเติมก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาตาม มาตรา 163 (เพราะ ถือว่า เป็นการแก้ไขฟ้อง เพิ่มเติมฟ้อง ซึ่งต้องกระทำก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาจะขอมาในคำแก้ฏีกา หรือในชั้นฎีกา ไม่ได้ )
- การขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การ อาจกระทำโดยขอถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่ก็ได้ แต่ศาลจะอนุญาตตามคำร้องก็ต่อเมื่อมีเหตุอันสมควรด้วย เช่น เดิมจำเลยให้การรับสารภาพ ขอแก้คำให้การเป็นให้การปฎิเสธเพราะเข้าใจผิด ศาลเห็นว่าเป็นการแก้ไขหลังจากมีทนายความแล้ว หรือศาลเห็นว่าเป็นคดีความผิดอันยอมความได้ แต่ผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์ไว้ หรือจำเลยได้คัดค้านรายงานการสืบเสาะของพนักงานคุมประพฤติไว้ เหล่านี้ศาลฏีกา ถือว่าเป็นกรณีที่มีเหตุอันสมควรอนุญาตให้แก้ได้
- ***กรณีที่จำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา จากการปฏิเสธเป็นให้การรับสารภาพ แม้จะพ้นกำหนดเวลาตามมาตรา 163 วรรคสองแล้ว ซึ่งศาลไม่อาจอนุญาตได้ก็ตาม ก็ถือว่าจำเลย ได้ยอมรับข้อเท็จจริงโดยไม่ได้โต้แย้งข้อที่ศาลล่างพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง กรณีจึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปใน ชั้นฎีกาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ (ฎ. 7531/46)
- หากจำเลยขอถอนคำให้การเพื่อประวิงคดี ถือว่าไม่มีเหตุอันสมควร ศาลไม่อนุญาต(ฎ.6214-16/44)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
** สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ 085-801-0725, E-mail : siripit...@gmail.com **