ถามก่อนเข้าบทเรียน
1.?ห้างหุ้นส่วนจำกัดสมศรี ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ค้าไก่ย่าง มีนายสมชายและนายสมศักดิ์ลงหุ้นคนละ 1แสนบาท ไม่จำกัดความรับผิด นายภมรลงหุ้น 1 แสนบาท จำกัดความรับผิด นายสมชายและนายสมศักดิ์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ในการตั้งชื่อห้างหุ้นส่วน ผู้เป็นหุ้นส่วน 3 คน ซึ่งเป็นพี่น้องกันได้นำชื่อนางสมศรีมารดามาใช้เป็นชื่อห้างเพื่อเป็นสิริมงคลโดยได้รับความยินยอมจากนางสมศรีแล้ว อย่างไรก็ตามนางสมศรีไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในการจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจำกัดสมศรีแต่อย่างใด ต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัดสมศรีผิดนัดชำระหนี้ราคาสินค้าต่อบริษัทไก่ดี จำกัด จำนวน ห้าแสนบาท บริษัทไก่ดี จำกัด ได้เรียกให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด สมศรี นายสมชาย และนายสมศักดิ์ ชำระราคาสินค้าแล้ว แต่บุคคลดังกล่าวไม่ชำระหนี้ ให้วินิจฉัยว่า บริษัท ไก่ดี จำกัด จะเรียกให้นางสมศรีรับผิดในหนี้ราคาสินค้าดังกล่าวได้หรือไม่ ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 60 )
2.นายตุนเป็นเจ้าของตึกแถว 3 ชั้น หนึ่งห้อง ต้องการลงทุนเปิดเป็นร้านขายของแต่ไม่มีเงินจึงชวนเพื่อนชื่อนายตันและนายต่วนเข้าหุ้นทั้งสองคนตกลงเอาเงินสดคนละ 1 แสนบาทมาลงทุนร่วมกับนายตุน หากข้อเท็จจริงยุติว่า ทั้งสามคนตกลงกันจะไปจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดภายหลัง ให้นายตุนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ระหว่างที่ยังไม่ได้จดทะเบียนก็ให้ทำการค้าร่วมกันไปก่อน จะถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็น การตั้งองค์กรทางธุรกิจหรือไม่ หรือเป็นเพียงกรรมสิทธิ์รวมระหว่างสามคน ? ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 59 )
3.กรณีตามข้อ 2 หากข้อเท็จจริงยุติว่า นายตุ่นเห็นว่าร้านที่ตั้งขึ้นนั้นไม่ได้ใช้ประโยชน์ในตึกแถวชั้นที่ 3 จึงทำสัญญาเช่าให้นางสาวดรุณีผู้เช่าใช้เป็นห้องพักอาศัย ต่อมาปีเศษนายตันเตือนให้นายตุนเรียกค่าเช่าที่นางสาวดรุณีค้างชำระอยู่จำนวน 3 หมื่น 8 พัน บาทเพื่อมาใช้เป็นทุนร้าน แต่นายตุนเพิกเฉย นายตันจึงฟ้องนางสาวดรุณีเรียกค่าเช่าตามสัญญาเช่าจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย นายตันจะฟ้องนางสาวดรุณีได้หรือไม่ช่าตามสัญเฉย ระอยู่จำนวน มาปี้จดทะเบียนก็ให้ทำการค้าร่วมกะังอยู่รับจะทำเช่นนั้น ? ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 59 )
4. .กรณีตามข้อ 2 หากข้อเท็จจริงยุติว่า ต่อมาปีเศษร้านค้าขายขาดทุนทั้งนายต่วนถูกรนยนต์ชนถึงแก่ความตาย นายตันเตือนให้นายตุนรีบไปจดทะเบียนร้านตามข้อตกลง แต่นายตุนเพิกเฉย นายตันจึงแจ้งนายตุนขอเลิกกิจการร้านนี้ นายตันมีสิทธิขอเลิกกิจการร้านนี้ได้หรือไม่? ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 59 )
5.นายมุ่ง นายมิ่ง และนายมั่น ร่วมกันจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดขึ้นโดยนายมุ่นเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดแต่เพียงผู้เดียว และนายมิ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ก่อนจดทะเบียนห้าง นายมุ่งได้ทำสัญญาซื้อรถยนต์กระบะเพื่อนำมาใช้ในกิจการกิจการของห้าง จากบริษัทเจริญยนต์ จำกัด จำนวน 1 คัน โดยได้รับมอบรถยนต์มาใช้แล้วแต่ยังไม่ได้ชำระราคา บริษัทเจริญยนต์ จำกัด จะฟ้องนายมุ่งและนายมิ่งให้ร่วมกันชำระราคารถยนต์ดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดได้หรือไม่ ? ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 58 )
6.ต่อมาได้มีการจดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวและดำเนินกิจการจนมีผลกำไรอันจักต้องแบ่งให้แก่หุ้นส่วนทุกคนตามสัญญา นายมิ่งได้รับส่วนแบ่งกำไรส่วนของตนตามสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนมาแล้ว แต่ไม่ยอมแบ่งให้แก่หุ้นส่วนคนอื่นนายมุ่งและนายมั่นต่างได้ทวงถามแล้ว แต่นายมิ่งก็ไม่แบ่งให้ นายมั่นไม่พอใจนายมิ่งมากและประสงค์จะถอนหุ้นโดยเรียกเงินที่ลงเป็นค่าหุ้นคืนจากนายมิ่ง แต่นายมิ่งก็ไม่ยอมคืนให้ นายมั่นจะฟ้องนายมิ่งขอให้แบ่งส่วนกำไรให้ตามสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนให้แก่ตนได้หรือไม่? ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 58 )
7.ข้อเท็จจริงตามข้อ 6 หากนายมั่นจะฟ้องขอให้คืนเงินค่าหุ้นที่ได้ลงไปให้แก่ตนด้วยได้หรือไม่? ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 58 )
8.นายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายสี่ ได้ร่วมทุนกันจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่สหาย โดยนายหนึ่งและนายสองลงหุ้นคนละ 1 แสนบาท ไม่จำกัดความรับผิด ส่วนนายสามและนายสี่ลงหุ้นคนละ 2 แสนบาท จำกัดความรับผิด ห้างหุ้นส่วนจำกัดมีนายหนึ่ง และนายสองเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และมีรายการจดทะเบียนไว้ที่สำนักงานทะเบียนกระทรวงพาณิชย์ โดยได้โฆษณาในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้วว่า “ นายหนึ่งและนายสองลงลายมือชื่อร่วมกันจึงจะมีผลผูกพันห้างหุ้นส่วน “ หากข้อเท็จจริงยุติว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายน นายหนึ่งและนายสองต้องเดินทางไปต่างประเทศจึงทำหนังสือมอบอำนาจ ให้นายสาม เข้ากิจการแทนตน 10 วัน ต่อมาวันที่ 25 กันยายน นายสามในฐานะผู้รับมอบอำนาจ ได้ทำสัญญาแทนห้างหุ้นฯเพื่อซื้อขายสินค้าจากนายเอ จำนวน หนึ่งล้านบาท เมื่อนายหนึ่งและนายสองกลับมาจากต่างประเทศก็ได้รับเอาสัญญาที่นายสามทำไว้แทนห้างหุ้นหากนายเอได้เรียกให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่สหายปฏิบัติตามสัญญาแล้ว แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่สหายไม่ปฏิบัติตามสัญญา นายเอ จะเรียกให้นายสามรับผิดได้หรือไม่ ? ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 56 )
ตอบข้อ8.
การที่นายสามซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดเข้าจัดการกิจการงานของห้างหุ้นส่วนจำกัด ถือว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างฯ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1088 แม้ว่าการเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานดังกล่าวจะทำโดยได้รับมอบอำนาจก็ตาม นายสามจึงต้องรับผิดในหนี้ของห้างฯโดยไม่จำกัดจำนวน
9.ข้อเท็จจริงตามข้อ 8 นายเอจะเรียกให้บุคคลใดรับผิดได้บ้าง? ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 56 )
ตอบข้อ9.
เมื่อนายสามได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องให้เข้าทำสัญญา สัญญาซึ่งนายสามทำไว้กับนายเอจึงมีผลผูกพันห้างฯ เมื่อห้างผิดนัด นายเอจึงเรียกให้ห้างฯในฐานะคู่สัญญา รวมทั้งนายหนึ่งและนายสองในฐานะหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด และนายสามในฐานะคู่สัญญา รวมทั้งนายหนึ่งและนายสองในฐานะหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด และนายสามในฐานะหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด ที่ได้สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างฯ ร่วมกันรับผิดได้ตามมาตรา 1070 ประกอบกับมาตรา 1080
10.ข้อเท็จจริงตามข้อ 8 หากข้อเท็จจริงฟังยุติเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 26 กันยายน นายสี่ซึ่งเป็นหุ้นส่วนพวกจำกัดความรับผิดได้ทำสัญญาแทนห้างหุ้นส่วนเพื่อซื้อสินค้าจากนายบี จำนวน หนึ่งล้านบาท เมื่อนายหนึ่งและนายสองกลับมาจากต่างประเทศไม่ยอมรับเอาสัญญาที่นายสี่ทำไว้ นายบีได้เรียกให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่สหายปฏิบัติตามสัญญาแล้ว แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสี่สหายไม่ปฏิบัติตามสัญญานายบีจะเรียกให้บุคคลใดรับผิดได้บ้าง? ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 56 )
ตอบข้อ10.
นายสี่เป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดไม่มีอำนาจจัดการงานให้ผูกผันห้างฯอีกทั้งนายบีก็ทราบถึงรายการเกี่ยวกับอำนาจจัดการซึ่งได้จดทะเบียนไว้ ณ กระทรวงพาณิชย์ เพราะรายการดังกล่าวได้โฆษณาในราชกิจจานุเบกษา จึงถือว่าทุกคนทราบถึงข้อความดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1022 ดังนั้นสัญญาซึ่งนายสี่ได้กระทำขึ้นจึงไม่มีผลผูกพันห้างฯ นายบีไม่สามารถเรียกให้ห้างฯรับผิด แต่เรียกให้นายสี่รับผิดเป็นส่วนตัวได้
11.ห้างหุ้นส่วนจำกัดธงชัย มีนายธงเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นายกล้าและนายเก่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด โดยนายกล้าลงหุ้นเป็นเงินจำนวน 2 ล้านบาท ต่อมานายกล้าสุขภาพไม่ดีจึงโอนหุ้นของตนให้แก่นายหาญจำนวน 5 แสนบาท นายกล้าและนายหาญมีหนังสือแจ้งการโอนหุ้นให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดธงชัยและนายธงดำเนินการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมชื่อนายหาญเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดลงหุ้นด้วยเงิน 5 แสนบาทข้อเท็จจริงได้ความว่านายหาญประกอบกจิการการค้าประเภทเดียวกันกับการค้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดธงชัยและนายเก่งไม่ได้ตกลงยินยอมในการโอนหุ้นดังกล่าวด้วยนายกล้าและนายหาญจะสามารถโอนหุ้นดังกล่าวได้หรือไม่? ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 55 )
เฉลย
ตอบข้อ11.
นายกล้าเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดย่อมมีสิทธิโอนหุ้นของตนให้แก่นายหาญซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ตามลำพังโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1091 ผู้เป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดมีสิทธิ และอำนาจหน้าที่ในขอบเขตจำกัด ประกอบกับผู้เป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดสามารถประกอบการค้าขายที่มีสภาพอย่างเดียวกันกับการค้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดได้ตามมาตรา 1090 คุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดจึงไม่เป็นสาระสำคัญและไม่เป็นการเฉพาะตัว
12.ข้อเท็จจริงตามข้อ 11 นายธงต้องดำเนินการขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมรายชื่อหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดตามที่นายกล้าและนายหาญขอหรือไม่? ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 55 )
ตอบข้อ12.
ทั้งการโอนหุ้นก็หาใช่การเปลี่ยนแปลงข้อสัญญาเดิมของห้างหุ้นส่วนจำกัดตามมาตรา 1032 ไม่ นายกล้าจึงมีสิทธิโอนหุ้นให้นายหาญได้ เมื่อการโอนหุ้นไม่ขัดต่อกฎหมาย นายธงหุ้นส่วนผู้จัดการ จึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมรายชื่อผู้เป็นหุ้นส่วนให้ดังที่นายกล้าและนายหาญร้องขอ
13.นายสี นายสา และนายช่วย ตกลงกันร่วมกันจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดมิตรสหาย เพื่อค้าวัสดุก่อสร้าง มีนายสีและนายสาเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด และนายสวยเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด ทั้งสามได้นำเงินมาลงหุ้นคนละ 2 แสนบาท ระหว่างเตรียมการจดทะเบียนห้างฯ นายสีและนายสา ใช้เงินลงทุนที่มีอยู่ 6 แสนบาท จนหมด โดยนำไปซื้อครุภัณฑ์ ประจำห้าง และรถกระบะ 1 คันเพื่อ ใช้ในกิจการห้างฯ นายสีและนายสาไม่มีเงินซื้อวัสดุก่อสร้างมาจำหน่ายจึงได้มาปรึกษากับนายสวย นายสวยอยากให้เพื่อนของจนเองจัดตั้งห้างฯ จึงได้ทำสัญญาซื้อเชื่อวัสดุก่อสร้างในนามห้างฯ จากนายมีพ่อตาของตนมาเตรียมไว้เพื่อจำหน่ายเอากำไรเข้าห้าง เป็นเงิน สองแสนบาท ต่อมาได้มีการจดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดมิตรสมานแล้ว แต่กิจการประสบกับการขาดทุน ให้วินิจฉัยว่า บุคคลใดบ้างที่จะต้องรับผิดชำระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างจำนวน สองแสนบาทแก่นายมีเจ้าหนี้? ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 54 )
เฉลย
ตอบข้อ13.
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1079 ตราบใดที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดมิตรสมาน ยังมิได้จดทะเบียนให้ถือว่าห้างดังกล่าวเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดต้องร่วมกันรับผิดในบรรดาหนี้สินของห้างฯโดยไม่จำกัดจำนวนจนกว่าห้างฯจะได้จดทะเบียน ดังนั้น นายสี นายสา และนายสวยจึงต้องร่วมกันรับผิดชำระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างจำนวน สองแสนห้าหมื่นบาท แก่นายมีเจ้าหนี้
แม้ตามข้อตกลงจัดตั้งห้างหุ้นส่วน นายสวยจะเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด ซึ่งชำระค่าหุ้นครบถ้วนแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่ยังมิได้จดทะเบียน ต้องถือว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดมิตรสมานเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ เมื่อหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างเกิดขึ้นในขณะที่ห้างดังกล่าวยังมิได้จดทะเบียน นายสวยจึงต้องร่วมรับผิดในฐานะหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวน
สำหรับห้างหุ้นส่วนจำกัดมิตรสมานซึ่งต่อมาได้จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดแล้ว ก็ต้องร่วมรับผิดในหนี้รายนี้ต่อนายมีด้วย เพราะเป็นการก่อหนี้ภายในขอบวัตถุประสงค์ของห้างแม้จะมีขึ้นก่อนห้างจดทะเบียนก็ตาม
14.นายเอก นายโท และนายตรี ตกลงเข้าหุ้นกันเพื่อตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดเอกสิทธิ์การค้า โดยนายเอกตกลงลงหุ้นเป็นเงินสด 1 ล้านบาท ส่วน นายโทและนายตรีตกลงนำที่ดิน 1 แปลงมาลงหุ้น ตีราคาเป็นเป็นเงิน 2 ล้านบาท โดยยอมยกที่ดินเป็นของห้างและจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เมื่อห้างฯเป็นนิติบุคคลแล้ว ถามว่าหากข้อเท็จจริงยุติเพียงเท่านี้ ทั้งสามคนร่วมกัน กระทำกิจการประเภทใด? ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 53 )
ตอบข้อ14.
นายโทและนายตรี ได้ตกลงนำที่ดิน 1 แปลง มาลงหุ้นตั้งแต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเอกสิทธิ์การค้า ยังมิได้จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ในขณะนั้นห้างหุ้นส่วนจำกัดเอกสิทธิ์การค้า จึงไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล แต่ถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1079
15.ข้อเท็จจริงตามข้อ 14 กรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของใคร? ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 53 )
ตอบข้อ15.
เมื่อนายโทและนายตรี นำที่ดินแปลงดังกล่าวมาลงหุ้น กรรมสิทธิ์ในที่ดินจึงตกเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดเอกสิทธิ์การค้าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
16.ข้อเท็จจริงตามข้อ 14 หากต่อมาเมื่อห้างฯได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้วก็มิได้มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ห้างฯแต่อย่างใด หลังจากนั้น นายโทและนายตรีต้องการขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายจัตวาโดยนายโทและนายตรีอ้างว่ายังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นของห้างฯที่ดินจึงยังเป็นของนายโทและนายตรีอยู่ ไม่จำต้องจดทะเบียนโอนที่ดินนั้นให้แก่ห้าง ให้วินิจฉัยว่านายโทและนายตรีจะต้องไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเอกสิทธิ์การค้าหรือไม่? ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 53 )
ตอบข้อ16.
ส่วนที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1030 บัญญัติว่า ความเกี่ยวพันระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนกับห้างหุ้นส่วนในเรื่องส่งมอบให้บังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยซื้อขายนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับการส่งมอบตัวทรัพย์ หาได้บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธิ์ไม่ ฉะนั้น ในระหว่างนายโท และนายตรี กับห้างหุ้นส่วนจำกัดเอกสิทธิ์การค้าต้องถือว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ตกเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดเอกสิทธิ์การค้าตั้งแต่เวลาที่นำมาลงหุ้นแล้ว นายโทและนายตรี หาอาจอ้างเอาการไม่จดทะเบียนมาเป็นเหตุว่าที่ดินยังคงเป็นของตนหาได้ไม่
ดังนั้น นายโทและนายตรีจึงต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดเอกสิทธิ์การค้า
17.ห้างหุ้นส่วนจำกัดสมสมัยมีนายสมเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ได้ซื้อสินค้าจากนายรักษ์เพื่อนำไปใช้กิจการห้าง แต่ยังไม่ได้ชำระราคา ในระหว่างที่นายสมไปต่างประเทศ นางคำภริยาของนายสม ซึ่งมิใช่หุ้นส่วน แต่ได้แสดงต่อคนทั่วไปชัดแจ้งว่าตนไม่ใช่หุ้นส่วน ได้เข้าดำเนินกิจการของห้างหุ้น นายรักษ์ทางถามให้ห้างหุ้นชำระค่าสินค้าแต่ห้างฯเพิกเฉย นายรักษ์จึงฟ้องขอให้บังคับ ห้างฯ และนางคำร่วมกันชำระ ในคำฟ้องอ้างว่า นางคำได้สอดเข้าจัดการกิจการของห้างจึงต้องรับผิดเสมือนหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วน นางคำต้องรับผิดหรือไม่ ? ( ประเด็นย่อยข้อ7 ข้อสอบเนฯสมัยที่ 51 )
ตอบข้อ17.
การที่นายสม หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนไปต่างประเทศ และนางคำภริยานายสมซึ่งมิได้เป็นหุ้นส่วนแต่ได้แสดงต่อคนทั่วไปอย่างชัดเจนว่า ตนมิใช่เป็นหุ้นส่วนแลพได้เข้าไปและได้เข้าไปดำเนินกิจการของห้างหุ้นส่วน หามีผลให้นางคำต้องเป็นหุ้นส่วนในห้าง และต้องรับผิดในหนี้ห้างไม่ เพราะนางคำได้แสดงตนว่ามิได้แสดงตนว่ามิได้เป็นหุ้นส่วนมาตั้งแต่ต้นนางคำจึงไม่ต้องรับผิดต่อายรักษ์บุคคลภายนอกในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นเสมือนเป็นหุ้นส่วน ตามมาตรา 1054 ประกอบ 1080
.อีกทั้งนางคำไม่ใช่ห้างหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด แม้จะถือว่าได้สอดเข้าไปทำกิจการของห้างหุ้นส่วนจำกัด แต่นางคำก็ไม่ต้องรับผิดในบรรดาหนี้ห้าง มาตรา 1088 วรรคหนึ่ง เพราะบทบัญญัติมาตราดังกล่าวใช้บังคับแก่กรณีที่ผู้ที่สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้าง เป็นหุ้นส่วน ดังนั้น แม้ห้างหุ้น โดยนายสมซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจะได้ซื้อสินค้าจากนายรักษ์เพื่อนำไปใช้ในกิจการของห้างหุ้นส่วนดังกล่าวก็ตาม นางคำก็ไม่ต้องร่วมรับผิดกับห้างหุ้นส่วน
เฉลย
ตอบข้อ1.
นายศรีไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ราคาสินค้าต่อบริษัทไก่ดี จัดเนื่องจากนางศรีไม่ได้เป็นคู่สัญญากับบริษัทไก่ดี จำกัด และ ไม่ใช่หุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดแล้วยินยอมให้ใช้ชื่อตนระคนเป็นชื่อห้าง ซึ่งจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกเสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดตวามรับผิด
แม้นางศรีจะเป็นบุคคลภายนอกที่ได้ยินยอมให้ใช้ชื่อตนระคนกับชื่อห้างก็ตาม จาเรื่องดีงกล่าวใช้กับกรณีห้างหุ้นส่วนสามัญเท่านั้นหานำมาใช้กับห้างหุ้นส่วนจำกัดด้วยไม่
ตอบข้อ2. แม้ตกลงกันให้จัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด แต่ถ้ายังมิได้จดทะเบียนอยู่ตราบใด ให้ถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญอยู่ ตราบนั้น
ตอบข้อ3..คดีที่หุ้นส่วนจะฟ้องเรียกบุคคลภายนอกนั้น เมื่อมิใช่คู่สัญญากับบุคคลภายนอกย่อมไม่อาจใช่สิทธิเรียกค่าเช่าและดอกเบี้ยได้
ตอบข้อ4. เมื่อหุ้นส่วนสามัญคนหนึ่งถึงแก่ความตายห้างหุ้นส่วนสามัญย่อมเลิกกัน เว้นแต่หุ้นส่วนอื่นที่ยังอยู่รับซื้อหุ้นของผู้นั้น เมื่อไม่ปรากฏเหตุดังกล่าว หุ้นส่วนจึงมีสิทธิขอให้เลิกกิจการได้
ตอบข้อ5. บริษัทเจริญยนต์ จำกัด มีสิทธิตามกฏหมายที่จะฟ้องนายมุ่งและนายมิ่งให้ร่วมกันชำระหนี้ดังกล่าวได้ ทั้งนี้เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1079 ห้างหุ้นส่วนจำกัดถ้ายังมิได้จดทะเบียนอยู่ตราบใดให้ถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดย่อมต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นโดยไม่จำกัดจำนวน
นายมุ่งได้ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์กระบะกับบริษัทเจริญยนต์ จำกัด ก่อนที่ห้างจะได้จดทะเบียน ดังนั้น ต้องถือว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ หุ้นส่วนทุกคนจึงต้องร่วมกันรับผิดชำระราคารถยนต์กระบะให้แก่บริษัทเจริญยนต์ จำกัด
แม้นายมุ่งจะเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดก็ตาม ก็ไม่อาจอ้างเพื่อให้พ้นความรับผิดได้ตามนัยแห่งบทกฎหมายข้างต้น ทั้งนายมุ่งยังมีความรับผิดในฐานะที่เป็นคู่สัญญากับ บริษัทเจริญยนต์ จำกัดอีกด้วย
ส่วนนายมิ่งผู้เป็นหุ้นอีกคนก็ต้องรับผิดเช่นกันเพราะรถยนต์กระบะคันดังกล่าวซื้อเพื่อนำมาใช้ในกิจการของห้างหุ้นส่วน จึงถือได้ว่าเป็นหนี้ของห้างหุ้นส่วนที่หุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดร่วมกันในการชำระราคาให้แก่ผู้ขาย
ตอบข้อ6. นายมั่นมีสิทธิตามกฎหมายที่จะฟ้องนายมิ่งขอให้แบ่งส่วนกำไรให้ตามสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนได้ ทั้งนี้เพราะเป็นการฟ้องอ้างว่าหุ้นส่วนด้วยกันปฏิบัติผิดสัญญา โดยไม่ยอมแบ่งกำไรให้ตามสัญญา แม้ห้างหุ้นส่วนจำกัดยังไม่เลิกกันก็ไม่ขัดขวางการที่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งจะฟ้องหุ้นส่วนคนอื่นว่าปฏิบัติผิดสัญญา ทั้งไม่มีกฎหมายบทใดบังคับว่า เมื่อยังมิได้เลิกหุ้นส่วนกันแล้ว ผู้เป็นหุ้นส่วนฝ่ายหนึ่งจะฟ้องร้องอีกฝ่ายหนึ่งหาว่าผิดสัญญาไม่ได้
ครั้งที่ 4 . (การจัดการระหว่างหุ้นส่วน สามัญ 1051 )
ก่อนที่เข้าเรื่องคราวที่แล้วได้คุยเรื่อง องค์กรธุรกิจประเภทองค์กร แล้วก็ห้างหุ้นฯสามัญ และก็ ห้างฯ จำกัด เสร็จแล้วก็จะส่งไม้ต่อ
ห้างฯสามัญก็ว่าด้วยการจัดการงานห้างฯ ให้แยกออกมาเป็น เวลาที่คุยให้แยกว่าผู้เป็นหุ้นฯ อย่าให้สับสนว่าใครเป็นคนจัดการและผลต่อใคร ก็คือผลระหว่างหุ้นส่วน และ ผลต่อบุคคลภายนอก
ในครั้งที่แล้วได้บอกว่าหลักอยู่สามประการ
1 การธรรมดาการค้า 1050 บอกว่าการใดๆอันหุ้นส่วนทำไปโดยธรรมดาการค้าของห้าง หุ้นส่วนทุกคนก็ต้องรับผิด โดยไม่จำกัด
คำสำคัญก็คือธรรมดาการค้าของห้างฯ เป็นหลักสำคัน
ตัวอย่างห้างฯไก่ย่างสามสหาย ลงหุ้นคนล่ะสามหมื่น ค้าไก่ย่างยกเว้นปีกไก่ ก็อาจมีข้อจำกัดอำนาจว่า สองคนลงนามจึงผูกพันห้างฯ ก็โยงไป 1050 ว่านายก ไปซื้อไก่ ซีพี สามหมื่นบาท ซีพีจะมาฟ้องก หรือ ข หรื ค ได้หรือไม่ ก็ต้องดูว่าสิ่งที่ทำเป็นเรื่องธรรมดาการค้าของห้างหรือไม่
และทำนองเดียวกันถึงแม้เป็นเรื่องนิติเหตุ หรือละเมิดก็ดีก็ต้องร่วมกันตาม 1050
ข้อให้สังเกตดูวัตถุประสงคืที่ห้ามค้าปีกไก่ ถามว่าถ้า ค ไปซื้อปีกไก่มาจากซีพี ถามว่าซีพีมีสิทธิฟ้องเรียกจาก ก ข ค หรือไม่ ก็เป้นธรรมดาการค้าของห้าง คนนอกมันไม่รู้เพราะองค์กรไม่จดทะเบียนเขียนข้อบีงคับไว้ในลิ้นชัก ซีพีบุคคลภายนอกจไปรู้อะไ เมื่อเป็นธรรมดาการค้าของห้าง ซีพีบุคคลภายนอกก็สามารถเรียกร้องให้ ก ข หรือ ค ก็ได้ ส่วน ก ข ค เรียกระหว่างกันเองก็เป็นเรื่อง1043
ถัดจากนั้นเรื่องที่สอง ข้อจำกัดอำนาจไม่มีผลผูกพัน บุคคลภายนอก ข้อจำกัดอำนาจก็เช่น ยกเว้นปีกไก่ หรือไปทำนิติกรรมอะไรก็เป็นเรื่องต้องการคานอำนาจตรวจสอบระหว่างคนเป้นหุ้นส่วน
ตกลงอย่างนี้เขียนที่ไหนก็เก็บไว้ในลิ้นชักคนนอกมันจะไปรู้ได้ยังไงหากนายก คนเดียวไปซื้อกับซีพีก็เป็นธรรมดาการค้าของห้างซีพี ฟ้องได้หมดเลย ก ข ค อ้างไม่ได้ตาม 1053
ข้อจำกัดอำนาจดังกล่าวก็ไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอก ระหว่าง ก ข ค ก็ว่ากันตาม1042 1043
ห้างหุ้นฯ จะถือเอาสิทธิใดๆกัยบุคคลภายนอกในกิจการการค้าที่ไม่ปรากฏชื่อตนไม่ได้ 1049
เช่นห้างก ข ค สมมุติว่า ก ขาย ไก่ให้อาจารย์ไป สามหมื่นบาท ก็ไม่กล้าทวงเงิน ข ก็ไม่กล้าทวง แต่ ค กล้า ก็จะไปทวงเงินได้หรือไม่ ก็ไม่ได้เพราะว่าเป็นกิจการการค้าที่ไม่ปรากฏชื่อ ค ตามมาตรา1049
ฉะนั้นคำตอบก็คือว่าในสถานการณ์นี้ ค ไม่อาจเรียกร้องเอาจากบุคคลภายนอก ทางแก้ ค ก็ต้องไปฟ้อง ก ให้มาเรียกร้องเอาจากอาจารย์
หลัก ตามมาตรา 1049 ก็มาจากหลักว่า บุคคลภายนอกไม่มีโอกาสรู้ว่าใครเป็นหุ้นส่วน กิจการค้าดังกล่าวไม่ปรากฏชื่อเพราะห้างหุ้นส่วนสามัญมันไม่ได้ไปจดทะเบียน คนนอกไม่รู้ หากกฎหมายเปิดโอกาสว่า ให้ฟ้องได้ คนภายนอกก็รับผิดตายเลย ก ก็ม่าฟ้อง ข ก็มาฟ้อง ค ก็มาฟ้อง
ใคระจะไปรู้ได้อย่างไรก็ไม่ได้จดทะเบียนกัน ก็ต้องกลับมาหลักเดิมของสัญญาว่าใครเป็นคู่สัญญาคนนั้นก็ต้องเป็นคนไปเรียกร้อง
พอหันมาตัวผูกพันบุคคลภายนอกหรือไม่ก็มาถึงซีกระหว่างหุ้นส่วนใครมีอำนาจจัดการก็เพราะว่าถ้าใครมีอำนาจจัดการ ก็ ตัวการตัวแทน 1043 ถ้าไม่ใช่คู่สัญญาก็เป็นการจัดการนอกสั่ง1042
ยกตัวอย่างมาตรา 1033 บอกว่า
กรณีนี้ผลก็คือห้างฯไม่ได้ตกลงกันไว้ทุกคนก็เป็นผู้จัดการ แต่จะทำสิ่งที่หุ้นส่วนคนอื่นทักท้วงไว้ไม่ได้
ถามว่าก่อนทำต้องปรึกษากันก่อนเป็นคณะกรรมการเลยหรือไม่ ก็ถ้าไม่ได้ตกลงกันเป็นพิเศษก็ไม่ต้องไปประชุมเป็นคณะกรรมการ สามารถคตัดสินใจได้เองเลย
ยกตัวอย่าง ก อยากซื้อไก่ซีพี ข บอกห้ามซื้อ ก ก็ซื้อไม่ได้ ถ้า ข อยากซื้อจาก บริษัมไก่ดี ค ทักทวงก็ไปซื้อไม่ได้
จะเป็นปัญญาตรงไม่ฟังคำทักท้วง ถ้า ซื้อมาแล้ว ไม่ฟัง ฝ่าฝื่น ก็ถามว่าซีพีฟ้องได้ไหม ก็กลับไปหลักเดิม ธรรดาการค้าของห้างหรือไม่
อยากให้ดู 1043 เป็นพิเศษ ก็ถ้าทำไปแล้ว ก็ต้อง
อีกตัวอย่างหนึ่ง มาตรา 1035 ครับคือมีหลายคนเป็นผู้จัดการ เช่นห้างหุ้นฯ ไก่ย่างสิบสหาย ก็ให้ ก ข ค เป็นคนจัดการ แต่ถ้า ก ทำ เจ็ด ห้าม ก็ทำไม่ได้
สมมุติว่า กไปซื้อไก่ ก็ทำได้คนนอกก็มีสิทธิฟ้อง ทุกคนเพราะอะไรก็เพราะเป็นธรรมดาการค้าของห้าง สมมุติว่านายคนที่แปดเค้าไม่ได้ไปตั้งเป็นผุ้จัดการเลย ซีพีก็ขายให้พอจะมาเก็บเงิน ก้ต้องรับผืด ทุกครนเพราะเป็นธรรมดาการค้าของห้าง กรณีนี้ก็ต้องนำเรื่องจัดการงานนอกสั่งมาใช้
ในเรื่องระหว่างกันเองก็สามกลุ่ม
1.ใครเป้นผู้มีอำนาจจัดการ
2 ผลของการจัดการงาน
3มาตราฐานในการจัดการงาน
ก็ต้องจัดการงานเหมือนจัดการงานของตนเองที่ให้มาเป้นหุ้นก็เพราะชอบในฝีมือ นั้น
ถ้าก ย่างของตนเองก็ย่างได้กรอบๆ แต่พอมาย่างให้หุ้นฯ ก็ย่างไม่สุกอย่างนี้ เค้าไม่ได้วัดจ่ากมาตรฐานวิญญูชนแล้วเค้าวัดจากความสามรถของตนเอง ก็มีอยู่สามประเด็นนะครับ
เรื่องต่อไปเรื่อง ประเด็นที่หก ในเรื่องตัวห้างฯสามัญมีหลักการรอย่าง ไรบ้าง
1 .ในเรื่องคุณสมบัติของผู้เป็นหุ้นส่วนเป็นสาระสำคัญ
เพราะว่าผู้เป้นหุ้นส่วนฉันลงหุ้นกับเธอเพราะไว้ใจเธอมันส่งผลไปสู่หลักย่อยคือ
ห้ามชักนำหุ้นส่วนใหม่เข้ามาตาม 1040
นึกภายว่าก เชื่อถือ ข ข ก็มาเห็นว่าเพื่อเป็นเกียติไปเชิญอาจารย์มาลงหุ้นสักบาทได้ใหม่
ก็จะมาอาศัยเสียงข้างมากให้อาจารย์เข้ามาไม่ได้ จะเกืดได้ก็ต่อเมือ่เสียงเป็นเอกฉันท์ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้วทำไม่ได้ครับ
ประเด็นที่สอง ก ข ค ลงหุ้นคนล่ะสองหมื่น ค้าขายครบปีมีกำไรอีก สามหมื่น จริงๆแล้วก็เป้นคนล่ะส่วน หลักของมันก็เป็นการโอนกำไรก็ไม่ได้เช่นกัน คือจะแบ่งเฉพาะกำไรดังกล่าวก็ไม่ได้เช่นกัน ก็เป็นเรื่องมาตรา1041
หลักย่อยประการที่สาม ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนตาย ล้มละลาย ห้างก็จะเลิก ตามมาตรา1055 โดยปรกติทายาทควรจะเข้ามา แต่คงให้เข้ามาไม่ได้ คิดง่ายๆว่า เมื่อผู้เป็นหุ้นส่วนหลักตอนแรกห้างต้องเลิก ที่ไม่ให้ตัวทายาทเข้ามาเพราะเขาเชือในคุณพ่อไม่ได้เชื่อในลูก ลูกอาจติดยา สัมมเรเทเมาก็ได้
ปัญหาคือถ้าไม่อยากให้เลิกได้ไหมก็ตกลงกันรับเอาลูกเข้ามาก็ได้ แต่ต้องเป็นเจตนาของความยินยอมของทุกคน 1060 ก็ให้ทางแก้ประการที่สองอีกว่า
คือหากมีข ค รับซื้อส่วนของก จ่ายเงินให้แก่ทายาทเค้าไปแทนอันนี้ก็เป็นหลักการ
หลักสองออกจากห้างไปแล้วก็ยังต้องรับผิด และเข้าใหม่ก็ต้องรับผิดเดิมของห้าง
ดู 1051 หรือ 1052
ก่อนที่จะเข้ามา ทุกคนจะต้องยินยอมไม่งั้นขัดต่อ 1040 เช่น เราเข้ามาเรียนเนฯ ใช้เวลาหนึ่งปี ควบคู่กับการเรียนเนฯ ก็ ทำร้านไก่ย่าง วันดีคืนดี ตั้งไปสักสี่เดือน ได้ทุนไปเรียนอเมริกา จะถอนหุ้นเลยก็ไม่ได้เพราะได้ตกลงกันแล้วมีระยะเวลา ถ้าจะออกเพื่อนของคุณทุกคนก็ต้องยินยอมนะ วิธีการออกอาจเป็นไปได้ว่าเกิดขายหุ้นให้กับอาจารย์ถามว่า อาจารย์ก็ยังเข้าเป็นหุ้นส่วนทันทีไม่ได้เพราะก กับ ข เชื่อในตัว ค ไม่ได้เชื่อในตัวอาจารย์
อีกตัวอย่างเดิมคล้ายเดิม ก ขายให้ อาจารย์ ตอนนี้ห้างฯกลายเป็น อาจารย์ ข ค
ก จะพ้นความรับผิดหมดเลย ไหม ก็ไม่พ้นเพราะก่อน ออกไป เค้าให้เครดิตเพราะเค้าเชื่อในคุณสมบัติของ ก ก็เป็นได้ ที่ยอมขายให้เพราะเชื่อว่า ก เป็นคนรวย วันดีคืนดีที่บอกว่าเมื่อใดที่ ก ออกจากห้างแล้วไม่ต้องรับผิดเลย ซีพี บุคคลภายนอกก็เดือดร้อน ก็เลยต้องบังคับต่อว่าต้องรับผิดในหนี้เดิมก่อนที่คุณออกจากห้าง
อาจเป็นไปได้ว่า ห้างมีหนี้มาก ก รวย ข ค จนมาก ก็เลยให้ ก ออกไปเลยหรือให้ ขอทานเข้ามาแทน ถ้ากฎหมาย ให้ ก ออกไปก็กลายเป้นคนภายนอกเดือดร้อนเพราะฟ้องไปก็ไม่มีใครให้ทรัพย์บังคับคดี
กรณีที่สอง ถามว่าบุคคลภายนอกต้องรับผิดไหม ก็ต้องรับผิด ครั้งหน้าจะมาเจาะมาตรานี้ให้อีกนะครับ 1051 กับ 1052
ครั้งที่ 5 . (หลักการซื้อสัตย์ของห้างฯสามัญการเลิกห้างฯสามัญ)
ในคราวที่แล้วก็ถึงการจัดการห้างหุ้นส่วน ที่ยอมร่วมหุ้นเพราะว่า คุณสมบัติของผู้เป็นหุ้นส่วน
ถัดจากนั้นก็พุดเรื่อง การออกไปจากห้างแล้วก็ต้องรับผิดอยู่ตาม 1051 เข้ามาใหม่ก็ต้องรับในหนี้เก่า 1052 ครั้งที่แล้วเพิ่งเริ่มขึ้นมาตรา1052
เช่นไก่ย่างสามสหายตั้งใจค้าสี่ปี เกิด ข ได้รับทุนเรียนต่อที่อังกฤษ ก็เลยบอก ก กับ ค ว่าจะขายหุ้นให้ ง ก็เลยกลายเป็น ก ค ง จะทำอย่างนี้ได้ต้องได้รับความยินยอมจาก ทุกคนนะ เพราะเป็นการเลิกสัญญา จะเลิกฝ่ายเดียวโดยคู่สัญญาทุกฝ่ายไม่ยินยอมไม่ได้
ขณะเดียวกันถ้า ข จะชักนำ ง มาก็ต้องได้รับความยินยอมจาก ก และ ค เช่นกันเพราะสัญญาห้างฯ เป็นสัญญาที่คำนึงถึงคุณสมบัติของผู้เป็นหุ้นฯเป็นสำคัญ
ฐานที่เป็นปัญหาก็คือในเรื่องหนี้เก่า เพราะเจ้าหนี้ที่เค้าให้เครดิตรเพราะเชื่อในตัว ข ถ้า กำหนดให้ ออกได้ทันที โดยไม่ต้องรับผิด ก็ทำให้เจ้าหนี้ผู้เป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสียหาย ฐานจากมาตรา 1051 จึงบอกว่า ข ยังต้องรับผิดในหนี้เดิมอยุ่นะ นี่คือฐาน 1051
ขณะเดียวกัน ง ก็ต้อวรับผิดในหนี้เดิมด้วย กรณีนี้ก็ตรงไปตรงมาจากฐาน 1051 และ 1052 แม้ว่า ง จะไม่เคยรุ้มาก่อนว่า ได้มีการทำนิติกรรม
ปัญหาว่า ถ้า ง เข้ามาสวมแทนนาย ข งจะไปรุ้ได้อย่างไรว่าห้างฯมีหนี้เดิมอยู่อย่างไร เพราะ 1052 ให้ ง ต้องรับผิดในหนี้เดิมด้วย เพราะก่อนที่นาย ง จะเข้ามาในทางธุรกิจนั้นนาย ง ก็ต้องกระทำในสิ่งที่เรียกว่า ดิวดิริเจน คือส่งนักกฎหมาย นักบัญชี เข้าไปตรวจสอบห้างฯนั้นก่อน
ส่วนปัญหาว่านาย ข ต้องรับผิดในหนี้เกี่ยวกับห้างฯจนถึงเมื่อใด ก็จนกว่าหนี้เดิมก่อนที่ตนจะออกจากห้างจะหมดสิ้น แต่ก็ต้องระวังในเรื่องของการขาดอายุความด้วย อาจเป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้นาย ข หลุดพ้นได้ อาจต่างจากห้างหุ้นฯนิติบุคคลที่มีความรับผิดอีกเพียงสองปีเท่านั้น
ปัญหาว่าเมื่อต้องรับผิดจาก ซีพีแล้ว ข จะเรียกกับ ก ค ง ได้หรือไม่ ตามหลักก็เรียกอย่างลุกหนี้ร่วม ก็เรียก กับ ก กับ ค ได้ และ ง ได้ ทางออกหล่ะก็ต้องตกลงกันให้ชัดในสัญญาขายหุ้น ก็ว่ากันไปตามสัญญา
หลังจากที่เราดูเรื่องคุณสมบัติไปแล้ว เรื่องที่สามก้คือหลักการซื้อสัตย์ต่อกัน การที่ผลลงหุ้นกับคุณก็ต้องเชื่อถือต่อกันว่าต้องทำให้ได้รับประโยชน์สูงสุดต่อกันและกัน ส่งผลไปถึงหลักย่อยอย่างไร
1038 การห้ามค้าแข่งกับห้าง มันมีเหตุผลจากไหน ก็จิตนาการเรื่องขายไก่ย่าง ก ย่างกรอบเนื้อกรอบ ข เชี่ยวด้านทำน้ำจิ้ม ค เชี่ยวชาญด้านมาเก็ตติ้ง ทั้งสามคนก็ต่างมีความลับในสูตรตนเอง พอมาร่วมกัน ก ก็เรียนรุ้การทำน้ำจิ้ม ก็สมมุติว่า ก ก็ไปเปิดร้าน ไก่เจ้าเอ้ยแข่งกับ ไก่ย่างสามสหาย ก็เดือดร้อน ตัวหุ้นก็เสีย หาย ก็ผิดตรงไม่ซื้อสัตย์ต่อเพื่อนก็อยู่ในมาตรา 1038
ห้ามอะไรก็ 1.ห้ามประกอบกิจการที่สภาพดุจเดียวกันโดยไม่ได้รับความยินยอม สมมุติก ข ค เปิดร้านย่างที่เนฯ ก ก็ชวน ข กับ ค ให้มาลงทุนที่ รัชดาดีหรือไม่ ก ก็เลยมาเปิดร้านที่รัชดาถามว่ากรณีนี้ไม่ซื่อสัตย์หรือไม่ กรณีไม่ได้ไม่ซื่อสัตย์แล้ว กรณีนี้ไม่ได้ทำให้ลุกค้าเดิมเสียหายอย่างนี้ดเค้าก็ไม่ได้ห้าม
หรือเช่น ก ไปเปิดร้านหนังสือที่เนฯ ถามว่าไม่ซื่อสัตย์ใช่ไหม มันไม่ใช่แล้วเพราะไม่ได้ประกอบกิจการดุจเดียวกับห้างฯ
ถ้าค้าขายแข่งแล้วต้องรับผิดอย่างไร ก็รับผิดต่อหุ้นส่วนคนอื่น อาจเรียกกำไรที่ค้าได้ หรืออาจเรียก ค่าเสียหายก็ได้และต้องเรียกภายใน 1 ปี
ประเด็นที่ 2 คือ ชื่อ มาตรา 1047 ถ้าชื่อของหุ้นส่วนที่ออกไปแล้วยังเรียกติดขานอยู่ หุ้นส่วนที่ออกไปแล้วอาจขอให้ยกเลิกการใช้ชื่อนั้นได้
เนื่องจากว่าไม่งั้นบุคคลภายนอกจะเข้าใจผิด โกฮับ โกฮง โกเฮง สามคนไปเปืดร้านก๋วยเตี๋ยวโกฮับ ก็มีความซื้อสัตย์และทำก๋วยเตี๋ยวอร่อย การสั่งเนื้อเจ้าไหนก็ขายทันที ถ้าโกฮง เกิดไปซื้อเนื้อจากบริษัทเนื้อตัวเดียว ก็ขายให้เพราะว่าเชื่อถือในตัวโกฮับ
อยู่มาวันดีคืนดีโกฮับบอกว่าแก่แล้วอยากเลิกแล้วครับ เมื่อโกฮับออกแล้ว มีสิทธิให้ห้างฯเลิกใช้ชื่อเสียได้
ตอนนี้เหลือโกฮง โกเฮง ก็ให้เลิกใช้ชื่อโกฮับได้เพราะอาจทำให้คนนอกเสียหายได้ ถ้าสองคนไม่ยอม โกฮับมีสิทธิอะไร ก็ 1047 นั่นแหละ ก็ต้องรับผิดไป
อีกอย่างก็คือมาตรา 18 เมื่อไม่งดใช้ชื่อโกฮับก็ฟ้องขอให้ศาลสั่งให้เลิกใช้ชื่อได้
ปัญหาต่ออีกว่า ถ้าโกฮับปล่อยปล่ะละเลยออกจากห้างแล้วไม่บอกให้เลิกใช้ชื่อ โกฮับจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกหรือไม่อย่างไร ก็เป็นเรื่องของมาตรา 1054 แล้ว คือไม่ได้เป็นหุ้นส่วนแล้วยังต้องรับผิดเสมือนหุ้นส่วนแล้ว รับผิดในสามสถานการณ์
1. ก็คือว่าแสดงตนว่าเป็นหุ้นส่วน ด้วยวาจาก็ดี ด้วยลายลักษณ์อักษรก็ดี กริยาก็ดี ด้วยยินยอมก็ดี สมมุติว่า ก ข ค มีหุ้นส่วนคนล่ะสองหมื่น ท่านอาจารย์ ก็มาช่วยแถวหน้าร้านแล้วก็บอกว่าเป็นร้านผมมีส่วนเกี่ยวข้อง ซีพีเห็นว่าเป็นอาจารย์ก็ขายไก่ให้หนึ่งแสนบาท ซีพีจะเรียกให้อาจารย์รับผิดได้หรือไม่ ก็เรียกได้ให้รับผิดเสมือนหุ้นส่วน
อาจารย์ใช้เงินไปแล้วก็มีสิทธิที่จะมาเรียกคืนจากคนที่เป้นหุ้นส่วนทั้งหมด
2.ยินยอมให้เค้าใช้ชื่อตนเป็นหุ้นส่วน เช่น ห้างไก่ย่างเกียตริขจร ท่านอาจารย์ก็ต้องรับผิดด้วย ก็เลยมาที่สถานการณ์ โกฮับ ก็เช่นกัน โกฮับแม้ว่าออกจากห้างฯไปแล้วก็ต้องรับผิดเสมือนตนเป็นหุ้นส่วนด้วย
3.รู้แล้วไม่คัดค้าน ยังปล่อยให้เข้าใจผิด ก็ต้องรับผิดด้วยตาม 1054
จบในเรื่องห้างฯ
การเลิกและชำระบัญชีเรื่องห้างฯ เวลาที่การตั้งแล้วการเลิกการชำระบัญชีมีอยู่ได้ สามประเด็น
1.เลิกสำคัญอย่างไร
ความสำคัญต้องจับให้ดี ตุ๊ตาเกี่ยวพันเรื่องนี้เสมอ คือเมื่อห้างฯยังอยู่หุ้นส่วนยังต้องรับผิดอย่างไม่จำกัดจำนวน เช่นกำหนดตั้งห้างฯสี่ปี ก ได้กำไรมาก็ไมเคยแบ่ง ข งอนก็เลิกกัน กบอกยังไม่ให้เลิก ข ก็ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับห้างฯเลยอีก ก ย่างไก่เสียหายไป 50 ล้าน กรณีนี้ ข ก็ต้องยังรับผิดกับห้างอยู่ ๆ ดี
2. สนใจทำไม เพราะเมื่อใดก็ตามที่ห้างฯยังอยู่จะฟ้องขอแบ่งทุนแบ่งทรัพย์ไม่ได้ ตัวอย่างเดิมได้กำไรก็ไม่แบ่งให้ ข กรณีนี้พอเห็นว่าโกง ข ก็ฟ้องเลยว่าถุกโกงขอเรียกคืนทรัพยืที่ลงหุ้นไปทั้งหมด คำตอบก็คือยังเรียกไม่ได้เพราะตั้งห้างแล้ว ถ้าจะให้มาแบ่งต้องเลิกห้างเสียก่อน
ออกข้อสอบบ่อย แล้วในประเด็นดังกล่าว คงไม่ออกซ้ำอีกแล้วหล่ะครับ
3.ห้างเลิกกันได้อย่างไร นึกภาพว่าเราตกลงตั้งห้างฯ ก็คือการทำสัญญา การเลิกห้างฯก็คือการเลิกสัญญา แล้วสัญญามันเลิกได้อย่างไร ก็มีสามวิธี
1.ก็คือตกลงกันว่าจะเลิก ก็เลิกตามกำหนดระยะเวลา หรือตกลงกันเป็นเอกฉันท์ หมดทุกฝ่าย ก็เลิกได้
2.ถ้าหากว่ายังไม่ได้ ทุกคน ก็เลิกกันได้โดย ผลกฎหมายตามมาตรา 1055 และ
3.เลิกกันโดยมาตรา 1057 ตามคำสั่งศาล
ก้คือว่า 1057 เกิดเหตุการณ์ขึ้นมาก่อน แล้วจึงไปฟ้อง
1055 ก็มีห้าสถานการณ์ที่เลิกได้
1. ตั้งห้างฯเมื่อใดก็ตามที่มีหวัดนกห้างฯเลิกโดยอัตโนมัติ ก้ไม่ต้องฟ้องศาลกํนแล้วเมื่อใดก็เข้าสถานการณ์ที่กำหนดห้างฯก็เลิกดดยอัตโนมัน
2.เกิดเหตุขึ้นมาก่อน จึงไปยื่นต่อศาล สมมุติก จะไปซื้อไกจากซีพีก็ทักท้วง จนเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่กันได้ ก็ไปฟ้องศาลสั่งให้เลิกได้ เป็นดุลพินิจของศาล ซึ่งต่างจาก 1055
พอเลิกแล้วผลของการเลิกห้างแล้วก็ต้องชำระบัญชีก็ 1062 ใช้หนี้คนนอก คืนเงินทดรองเหลือเท่าไหร่ก็แบ่งกำไรกัน
อาจารย์แนะนำให้ไปทบทวนตัวบทนะครับ ถ้ามีฎีกาแปลกๆอาจารย์จะนำมาเสนอในครั้งที่ 8 ที่สำคัญจำตัวบทให้ละเอียดเข้าไว้ ครั้งหน้าจะอธิบายเรื่องห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลที่ เปลี่ยนหลักกันใหม่เกือบทั้งหมดแล้ว ในครั้งหน้าอาจารย์ชี้ให้ดูว่าแก้ไขอย่างไร
ครั้งที่ 6 . (ห้างฯจดทะเบียน ขอบวัตถุประสงค์)
ภารกิจของเราว่าด้วยเรื่องห้างฯกันต่อ ชั่วโมงแรกอาจารย์ก็พุดถึงเรื่องประเภทองค์กรธุรกิจ ว่า อาจแบ่งได้ เป็นจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนก็ได้
ถ้าเป็นห้างหุ้นส่วนสามํญก็ต้องเอาลักษณะกฎหมายห้างฯสามัญมาใช้ คือจะไปฟ้องขอแบ่งทุนทันทีก็ไม่ได้ต้องไปเลิกห้างก่อน แล้วค่อยชำระบัญชีคืนทรัพย์สิน
ที่ยกให้เห็นเช่นนี้ก็เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าการที่มีปัญหาเกี่ยวกีบองค์ธุรกิจแล้ว เราก็ต้องแยกให้ออกก่อนว่าเป็นประเภทใดเพื่อจะได้นำกฎหมายไปจับได้ถูกต้อง
เช่นห้างฯสามัญตกลงกันก็เก็บไว้ในลิ้นชักก็เป็นองค์กรห้างหุ้นฯสามัญที่คุยตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงคราวที่แล้ว
องค์กรที่จดทะเบียน ก็คือ ตกลงกันแล้วเอาข้อตกลงนั้นไปจดทะเบียน ที่กระทรวงพาณิชย์แล้วก็เอาข้อกำหนดนั้นไปประกาศในราชกิจจา ทุกคนถือว่าทราบ อยากทราบขอดูได้ที่กระทรวงพานิชย์
รายการตัวพวกนี้ต้องรู้เพราะประกาศในราชกิจจานุเบกสา อันนี้คือหลักการคร่าวๆขององค์กรธุรกิจที่จดทะเบียน
การแยกแยะองค์กรธุรกิจแบบนี้ เกี่ยวข้องกับกระทรวงไหนบ้าง เบื้องต้นก็กระทรวงการคลัง สรรพากรไงครับ ต้องไปขอเลขทะเบียนภาษี ไม่ว่าจะจดทะเบียนที่กระทรวงพาณิชย์หรือไม่ก็ต้องเกี่ยวกับกระทรวงการคลัง สองก็คือกระทรวงพาณิชย์อันนี้คือเปรเภทที่ต้องจดทะเบียน
พอเราตั้งฐานจากจุดนี้ในครั้งที่แล้วเราก็คุยเรื่องห้างหุ้นสามัญจบถึง 1064 แล้ว ก็มาถึง 1625 คือ ต้องรับหนี้ไม่จำกัดจำนวน ดู 1064 จะเอาไปจดก็ได้ จดทะเบียนอะไร ก็จดทะเบียนรายการตาม 1064 ก็นึกให้ดี
ชื่อ วัตถุประสงค์ที่ตั้งสำนักงานใหย่ข้อจำกัดอำนาจพวกนี้ก็ เอาไปจด รายการ 1064 ไปจดที่ 1016 และจดทะเบียนแล้วเป็นอย่างไร ก็เป้นไปตามมาตรา 1015 ก็พูดถึงการจดทะเบียนประเด็นที่ 1 ว่าจัดเป็นนิติบุคคลต่างหากจากผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหลาย จากการที่เราไปจดทะเบียน ถามว่าจดทะเบียนแล้ว 1021 นายทะเบีนทำอย่างไร ก็ต้องแต่งย่อรายการตามแบบที่รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงวางแบบไว้ให้โฆษณาในราชกิจจานุเบกษา ตามมาตรา 1022 บังคับว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ประกาศแล้วถือว่าทุกคนต้องทราบ
ถ้าเราไม่ทราบก้ 1020 ก็ให้ไปตรวจดูสิ เสียค่าธรรมเนียมไป ไปคัดหนังสือรับรอง ปัจจุบันเนี่ยเราทราบทางไหนได้อีกก็กระทรวงพาณิชย์ก็มีเวปไซต์ รายการพวกนี้ก็สามารถตรวจสอบได้ มีสิทธิขอคัดได้
เมื่อห้างได้ไปจดทะเบียนฯ กลายเป็นนิติบุคค แล้วจะมีลักษระแตกต่างของมันอย่างไร ดูสัก แปดประเด็น
1.แตกต่างในเรื่องหลักการเกี่ยวกับการจัดการ โดยเฉพาะในเรื่องวัตถุประสงค์ เช่นห้างไก่ย่างสามสหาย ก็มี ก ข ค ลงหุ้นคนล่ะแสนบาทตี่งมา เพื่อค้าไก่ ไปจดตาม 1064 ดูตรงวัตถุประสงค์ ผลของการที่มันไปจดทะเบียนกลายเป็นนิติบุคคล
ฐานของมันอยู่ที่มาตรา 66 คือต้องอยู่ในขอบวัคถุประสงต์
ทำไม เพราะนิติบุคคลจะมีสิทธิหน้าที่ตามขอบวัตถุประสงค์นั้นเท่านั้น พลิกดูมาตรา 66
ถ้าทำนอกขอบก็เป็นตามมาตรา 76 วรรค 2
ตัวอย่าง กรณีที่ 1 ห้างชื่อว่าไก่ย่างสามสหาย วัตถุประสงค์เพื่อค้าไก่ย่าง
ไปซื้อไก่ซีพี เมื่อทำในขอบวัตถุประสงค์ห้างฯก็ต้องผูกพัน
2. ถ้าก เกิดไปซื้อหมูสดจากบริษัทหมู่ตัวเดียว 1 แสนบาทสัญยาซื้อหมูสดเมื่ออยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ ผลเป็นเช่นไร ก็ไม่สามารถฟ้องให้ห้างฯรับผิดได้คนที่ต้องรับผิดก็คือคนที่ไปซื้อ
3. นายก ไปทำสัญญาซื้อไม้โกงกางมาทำถ่านไฟจากนาย บี หนึ่งหมื่นบาท ถ้าดูตรงๆห้างทำมาเพื่อค้าไก่ย่าง ไปซื้อไม้มาทำถ่านไปจะเป็นวัตถุประสงค์หรือเปล่า ให้ดูว่าเป็นวัตถุประสงค์โดยตรงหรือวัตถุประสงค์โดยปริยายก็ได้ คนขายถ่านไฟก็เรียกให้ห้างฯรับผิดได้
4. ก ไปกู้เงินจากธนาคาร เอ หนึ่งแสนบาทเพื่อใช้ในกิจการของร้าน ถามว่ากรณีนี้ ธนาคารเรียกได้หรือไม่ แม้ไม่อยู่ในขอบวัตถุประสงค์โดยตรงแต่เมื่อเป็นเรื่องที่จ้องทำเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุปรสงคตโดยตรงก้เป้นวัตถุประสงค์โดยปริยาย
ทางปฏิบัติวัตถุประสงค์โดยปริยายมักจะเขียนอยู่ในเรื่องวัตถุประสงค์โดยทั่วไปเขียนเข้ามาด้วยในเชิงทฤษฎีก็พอจะจับได้แล้วใช่หรือไม่
5.เรื่องการซื้อหมูตามเดิมประเด็นปลี่ยนไป ไปซื้อหมูร้อยบาทตกลงทำสัญญา 1 มีนา ส่งมอบ 1 สค ราคากิโลกรรมมันขยัยขึ้นไป ถ้า ข ค บอกว่าดีแล้วที่ไปซื้อหมูมาก่อนถามว่าการที่ ข กับ ค มาให้สัตยาบันเช่นนี้ทำได้หรือไม่ นึกภาพนะ ถ้าต่อมาราคาขึ้นแล้วบริษัทหมุตัวเดียวไม่ยอมส่งมอบหมูมาให้จะเรียกร้องให้ส่งมอบได้หรือไม่ ให้สัตยบันยอมรับได้หรือไม่ ตอบ ไม่ได้ แม้จะยินยอมทุกอย่าง เพราะเรื่องที่ไปตกลงดังกล่างไปตกลงนอกกรอบวัตุประสงค์นิติบุคคล
6. ข ค ไม่อยู่เมืองไทย ก็ไป ซื้อหมูจากบริษัทหมุตัวเดียวก็ก็ขายเป็นหมู่ย่าง บริษัทก็มาเก็บตังค์ค่าหมู นายก ก๋บอกว่าเค้าทำนอกขอบไม่อาจเรียกร้อได่
กรณีนี้บริษัทหมูคัวเดียวจะมาเยียวยาได้หรือไม่
1. ฟ้องเรียกคืนทรัพย์
2. หลักความยุติธรรมตามมาตรา 5 เมื่อใดก็ตามทำนอกขอบ หากนิติบุคคลได้รับเอาประโยชน์แล้วนิติบุคคลจะปฏิเสธไม่รับผิดไม่ได้ กรณีนี้เฉพาะรับเอาประโยชนืแล้วปฏิเสธนะ อย่าไปตีความเพิ่มนะครับ ว่านอกขอบแล้วให้สัตยาบันได้ อย่างงี้ไม่ได้นะครับ
อาจารย์จับภาพให้ว่าปั๊มน้ำมันในกรุงเทพ ตั้งเพื่อค้าขายน้ำมันดีเซล เบนวินเท่านั้น ก็จ้าง ก เป็นผู้จัดการ ปั๊มในกรุงเทพ มีที่ กรุงเทพหาที่จอดรถยาก นาย ก ก้เลยคิดว่า ในเวลากลางคืนก็คิดค่าฝากให้นะ คนก็เอารถมาฝากไว้ จ่ายเงินจ่ายทอง อยุ่มาวันหนึ่งรถหาย
เจ้าของปั๊มบอกว่านอกขอบไม่ขอรับผิดชอบ ไปฟ้องผู้จัดการเป็นการส่วนตัวไป ในสถานการณ์ดั่งกล่าวศาลไม่มีทางออก ศาลก็หาทางออกว่า ปั๊มได้รับเอาประโยชน์จากการเก็บค่าฝากรถแล้วคุณจะมาปฏิเสธความรับผิดได้ หลักดังกล่าวก็มาจากมาตรา 5 เอง ตรงนี้ศาลฏีกาสร้างขึ้นมาเพื่ออุดช่อง
ตัวอย่างเทียบเคียงสมมุติว่า ผู้จัดการคนนี้มีโครงการรับฝากรถเดือนละ พันห้า 1 ก็เข้ามาทำ สัญญา 1ไม่เอารถมาฝาก ถามว่า ปั๊มจะมาฟ้องให้มารับผิดจ่ายค่าฝากรถได้หรือไม่ ก็ไม่ได้เพราะนอกขอบวัตถุประสงค์ และห้างฯก็ยังไม่ได้รับเอาประโยชน์ใดๆไป และก็ไม่อาจรับสัตยาบันได้อยุ่แล้ว
ตัวอย่างอีกอันหนึ่ง ก็คือวัตถุประสงค์โดยปริยาย นึกภาพว่า เราไปตั้งบริษัท ต่อมาปรากฏว่า ตัวนาย x ไป กู้เงินแบงค์เป็นคนในตระกูลในกลุ่มห้างฯ กรณีนี้ธนาคารก็ไม่เชื่อถือก็ไปหา ให้ บริษัทมาทำสัญญาค้ำประกันให้ กรณีนี้หาก x ไม่จ่ายเงินให้แบงค์เรียกรับผิดได้หรือไม่ ถ้าวัตถุประสงค์ไม่ได้เขียนไว้ว่าให้ค้ำประกันหนี้คนอื่น ก็ไม่อาจฟ้องห้างได้นอกขอบวัตถุประสงค์
ตัวอย่างอีกอัน ก ข ค ถือหุ้น ค้าไก่ย่าง เล็งเห็นว่าขายไก่อย่างเดียวกำไรน้อยขายไก่สอดด้วยดีกว่า บริษัทก็ไปเปิดบริษัทลูก ชื่อว่า กขค ค้าไก่สด ไม่ได้เขียนโดยตรงแต่ว่ามีผลโดยตรงเป็นกิจการที่เป็นวัตถุประสงค์โดบปริยาย
การจัดการอาจารย์พูดรวมเพราะเป็นหลักการเดียวกัน
ครั้งที่ 7 . (ห้างหุ้นส่วนจำกัด)
ตามกำหนดการต้องมาเจอแปดครั้ง ก็จะเร่งบรรยายให้จบเรื่องห้างฯจำกัด ในเรื่องตัวข้อสอบ ท่านอาจารย์สุประดิษฐ์มักจะออกเป็นหลักแต่ก็แล้วแต่ตัวคณะกรรมการที่จะเลือก
ในเรื่องห้างหุ้นส่วนออกหลายครั้งแล้ว อาจารย์เดาว่าก็น่าจะออกหลักทั่วไปบ้างหรืออกเรื่องบริษัทบ้าง อย่าไปเก็งเลยก็อ่านให้เข้าใจหลัก ในการอ่านก็จับตัวบทเป็นหลักเพราะเนื้อหามันเยอะแล้วอาศัยความเชื่อมโยงในตัวบทเป็นหลัก เราจะได้ไม่ต้องทำความเข้าใจเพิ่มมาก และต้องดูในส่วนคำพิพากษาให้มากๆ
ถ้าออกในเรื่องความเห็นจะเถียงกันตาย ในการคัดเลือกจึงมักจะเลี่ยงมาออกในตัวคำพิพากษาศาลฏีกาเป็นหลัก เพราะจะได้ไม่มีข้อโต้แย้ง
ก็ใครดูข้อสอบเก่ามากก็จะเห็นแพทเทินในการออกบ่อยเท่านั้นเอง
แต่อย่างไรก็เอาจากคำพิพากษาเท่านั้นเอง ต้องการใบ้ว่าถ้าเป็นอาจารย์จะออกหลักและฏีกาเก่าๆและถ้าเรื่องไก่ย่างคือข้อสอบของอาจารย์สหธน
คราวที่แล้วก็ไล่ว่าหุ้นส่วนก็จะเป้นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดกับไม่จำกัดความรับผิด ส่วนกำไรก้แบ่งตามส่วนลงหุ้น เวลาขาดทุนพวกจำกัดความรับผิด มันจำกัดว่ารับเท่านี้ ก็เสียเพียงเท่านี้ จำกัดจำนวน
แล้วใครมันจะลงหุ้นไม่จำกัดความรับผิดให้รับแต่เจีงหล่า ก็กฎหมายก็มีการจำกัดสิทิ มาก
1081 -1095
ภารกิจในวันนี้ เนื่องจากเวลาจำกัดก็ขมวดว่า อย่างไรบ้าวก็จัดกลุ่มแยกได้ออกมา 5 กลุ่ม
ก็ตั้งฐานว่าเป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด ประเด็นแรกคือ
1087 บอกว่า ผู้จัดการห้างฯให้เฉพาะหุ้นประเภทไม่จำกัดความรับผิดเท่านั้น ที่จำมีสิทธิจัดการงานห้างสมมุติว่าห้างไก่ย่าง ค เป็นหุ้นชนิดจำกัดความรับผิดก็ไม่มีสิทิจัดการ
1087 บอกไม่มีสิทิส่งผลหลักย่อยๆ 4 ประการ
1088 บอกว่าถ้าสอดเข้าทำกิจการงานของห้างฯ ก็ต้องรับผิดอย่างไม่จำกัดความรับผิด กรณีนี้มีข้อที่หน้าสังเกตคือเรื่องการสอดเข้าจัดการงาน อย่าไปแปลตามกฎหมายปกติ ถ้าหุ้นส่วน อื่นตั้งเป็นตัวแทน ก็เป็นการสอด
ตัวอย่างไก่ย่างสามสหาย ค จำกัดความรับผิด สมมุติว่า นายค ไม่ใช่เป็นผู้จัดการ เห้นว่าราคาไก่สดราคาลดลงมากเลยไปซื้อไก่สดจากซีพี ก็ตัดสินใจซื้อกิโลกรรมละ 80 บาท ผลของสัญยาดังกล่าวมีผล อย่างไร ก ข ซีพีก็รู้ว่าก ข เท่านั้นมีอำนาจ ค ไม่มีอำนาจแม้ว่าหวังดีการซื้อไก่ดังกล่าวก็ไม่มีผลผูกพันห้างเพราะ ค ไม่มีอำนาจจัดการงานของห้าง แล้วการสอดที่ทำให้ค ร่วมรับผิดเกิดกรณีใด
ก็เกิดจากสมมุติ ก ข เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการอาจเป็นไปได้ว่า ก ข ไปเที่ยวสงกราน ก็มอบอำนาจให้ ค จัดการงาน ได้เลย มอบอำนาจให้ ค เป็นผุ้ดุแลกิจการงานห้าง ที่ ค มีอำนาจ ก็เกิดจากการมอบอำนาจของ ก ข ซีพีเองจึงสามารถให้ห้างฯรับผิดได้ หรือกรณี สถานการณ์ที่สอง ค ไม่มีอำนาจ หลังจากนั้น ก ข ให้สัตยาบรรณยอมรับที่ไปซื้อกิจการดังกล่าวก็ผูกพันห้างแล้ว ซีพีมีสิทธิฟ้องห้างฯได้ แล้ว ห้างไม่จ่ายก็ลามมาดัน ก ข ที่เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด แล้วก็จะลามมายัง ค ด้วยเพราะว่าเป็นหุ้นส่วนที่สอดเข้ามา เพราะเป็นกฎหมายพิเศษจึงไม่นำเรื่องตัวการตัวแทนมาใช้
ไม่ใช่ตอบด้วยมาตรา 820
นี่คือตั้งฐานจากเรื่องอะไรคือสอดเข้าทำกิจการ
ระหว่างกันเองดังกล่าวนั้นก็เป็นไปตามสัญญาห้างฯคือถ้า ค ได้ชำระให้แก่ซีพีไปเท่าไหร่แล้ว ค ก็เรียกคืนจาก ก ข ได้ นี่คือ 1088 วรรคแรก
1088 วรรคสอง ก็บอกว่าถ้าเป็นเรื่องปกติของหุ้นส่วนอย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการสอดเข้าทำกิจการนะ
โดยปกติในการลงหุ้นในหุ้นส่วนสามัญอาจลงไปเงินก็ได้ ทรัพยืก็ได้ แรงงานก็ได้ 1026 แต่ถ้าเราเป็นหุ้นส่วนชนิดจำกัดความรับผิด ลงได้แต่เงินกับทรัพย์เท่านั้น ไม่นับที่ลงแรงงาน เพราะถ้าให้ลงหุ้นด้วยแรงงานก็คือเป็นผู้จัดการงานของห้างแล้ว
ประเด็นที่สาม 1089 บอกเป็นผู้ชำระบัญชีได้นะ
มันจะมีคำอยู่สามคำที่ใกล้เคียงกันคือผุ้ทำบัญชี คือคนที่มีหน้าที่ลงรายการบัญชีในองค์กรธุรกิจ ผู้สอบบัญชีคือผู้ที่มีอาชีพและมาลงลายมือในงบการเงิน
ผุ้ชำระบัญชีคือองค์กรธุรกิจเลิกแล้วคนที่มาสะสางองค์กรให้เรียบร้อย
ก็เป็นผู้ชำระบัญชีได้นะเพราะถ้าองค์กรธุรกิจมันเลิกแล้วก็หมดข้อสงสัยว่าได้เกี่ยวข้องกันหรือเปล่าแล้ว
1090 บอกว่าผู้เป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดจะค้าขายประเภทเดียวกับห้างก็ได้
ห้างไก่ย่างสามสหาย ก ข ไม่จำกัด ก็มีสิทิจัดการงานของห้างก็มีสิทธิล่วงรู้ความลับเทคโนโลยี แต่ ค จำกัด ก็ไม่อาจรู้ถึงความลับหรือกรรมวิถีในการค้า ถึงจะไม่ซื้อสัตย์ก็ไม่ผิด เพราะไม่ได้มาจากฐานความรู้ความลับของห้างฯเลย
มันจะไปเปิดร้านขายแข่งกับห้างฯก็ไม่เป็นอะไร มันก็เรียนรู้วิชาของมันเอง
2 ห้ามเอาชื่อ มาเรียกขานระคนกับชื่อห้าง ผลของการเอาชื่อมาเรียกขานระคนกับชื่อห้างท่านว่าบุคคลเหล่านั้นก็ต้อง รับผิดอย่างหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด 1081
ก็ลองนึกว่าโกฮับมีชื่อด้สนก๋วยเตี๋ยวเรือ แต่มาลงหุ้นจำกัดความรับผิด ก็เสียเพราะว่าโกฮับจำกัดความรับผิดชาวบ้านเค้าก็คิดว่า โกฮับมาเกี่ยวพันโดยตรงทั้งหมด ควรห้ามเอาไว้ไม่ให้เอาชื่อของโกฮับมาตั้งเป็นชื่อห้างไม่เช่นนั้นบุคคลภายนอกจะเข้าใจผิด
อะไรคือชือ ศาลเคยวินิจฉัยว่าชื่อเนี่ยให้หมายรวมทั้งชื่อตัวและชื่อนามสกุล ในต่างจังหวัดยังมีเยอะเช่นก๋งเคยตั้งร้านค้า ก็ กเอาไปแสน ข เอาไปแสน ค ก็เอาไปแสน ค เป็นข้าราชการก็จำกัดความรับผิด ก็ตั้งห้างหุ้นส่วนรัตนไพจิตร กรณีนี้ ก็แม้ว่าอาจารย?สหธนก็ต้องร่วมความรับผิดอย่างกับห้างหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด มีแต่เสียไม่มีได้
ปัญหาของชื่อต่อมาประด็นที่สอง คือ ใช้ส่วนของชื่อได้หรือไม่ ใช่ชื่อเล่นได้หรือไม่ เคยมีเรื่องเกิดขึ้นครับคือ คนแรกวิชัย สองไพทูรยื สาม ทศพล ห้าง วิทูรย์ทศ ก็เอาส่วนของชื่อของแต่ละคนมาตั้งเป็นชื่อห้างในกรณีนี้ศาลก็วินิจฉัยว่าส่วนของชื่อไม่ใช่ชื่อดังนั้นคนที่เอาส่วนของชื่อมาตั้งชื่อห้างก็ไม่ต้องรับผิด
เว้นแต่การเอาส่วนของชื่อนี้นหมายถึงใคร กรณีนี้ก็ทำให้บุคคลนั้นไม่จำกัดความรับผิด
ชื่อนั้นก็หมายถึงชื่อเล่นด้วยถ้าทำให้ใครๆก็รู้ยกตัวอย่างเช่น นายวิชัยลงหุ้นหมื่นบาท เนวิน หนึ่งหมื่น ทักษิณจำกัด ถ้าห้าง วิชัยเนวินแม้ว ก็ ฐานของมันก็ดูว่าใช่ชื่อหรือเปล่าหล่ะ ก็ต้องเป้นส่วนของชื่อหรือชื่อเล่นที่ใครๆก็รู้ดังกล่าว
1081 กับ 1082 ปัญหาคือถ้าเอาชื่อของบุคคลอื่นมาเป้นชื่อห้างฯทำให้บุคคลอื่นนั้นต้องรับผิดอยาวไม่จำกัดจำนวนด้วยหรือไม่
มาตรา 1054 ไม่ได้นำมาใช้กับห้างหุ้นส่วนจำกัด เพราะเกิดจากหลักของการแปลความยิ่งกว่าจะเป็นเช่นนั้นคือนึกภาพในห้างหุ้นส่วนจำกัด ถ้านอกเหนือจากที่เขียนไม่ต้องรับผิดแล้ว มันยิ่งกว่าจะเป็นเช่นนั้นแม้แต่หุ้นส่วนที่จำกัดความรับผิด ก็ยังต้องรับผิดเพียงเท่านี้เอง หลักดังกล่าวก็ทึ่งในความรอบคอบที่ต้องทึ้งในการพิเคราะห์ในการให้รายละเอียด
อีกสามประเด็น ทุนเป้นหลักประกันการชำระหนี้ ก็แบ่งได้เมือ่ห้างมีกำไรคุณสมบัติไม่เป็นสาระสำคัญหุ้นไม่จำกัดตายห้างไม่เลิก
เนื่องจากเวลาจำกัดก็คงต้องยุติเท่านี้เจอกันอีกครั้งคาบทบทวนนะครับ