สรุปคำบรรยาย เนติภาคค่ำวิแพ่ง 4 ชั่วโมงที่ 1-2 สอนเมื่อ พุธ 25/11/09

69 views
Skip to first unread message

nobita kwang

unread,
Dec 8, 2009, 10:47:37 PM12/8/09
to LAWSIAM

หากเอกสารสรุปคำบรรยายนี้ มีข้อผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้า kankokub ขออภัยและน้อมรับแต่เพียงผู้เดียว หากจะมีประโยชน์อยู่บ้างขอมอบให้แก่ ท่านอาจารย์สมพงษ์ เหมวิมล ผู้บรรยาย ,  บิดามารดาข้าพเจ้า ขอบคุณ. http://www.muansuen.com และคุณ admin ที่นำ flie เสียงมาลงแบ่งปันให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
สรุปคำบรรยาย  สัปดาห์ที่ 1 ชั่วโมงที่1 พุธ 25/11/52

            ยินดีที่ได้มาพบนักศึกษาอีกสมัยหนึ่ง ก็เปลี่ยนหน้ากันมา แนะนำตัวเอง อาจารย์รับราชการศาลอุทธรณ์ภาคแปด เป็นประธานแผนกคดีเลือกตั้ง เป็นผู้พิพากษามาสามสิบปีแล้ว ก็ทำหน้าที่ตัดสินคดีความต่างๆ ขณะทำงานก็ต้องเรียนด้วย เมื่อเราทำงานอะไรมากๆ ก็ต้องเปลี่ยนอิริกิริยาบทบ้าง เข้าใจว่าประกอบอาชีพกฎหมายเป็นหลัก แต่เชื่อมั่นว่าส่วนใหญ่แล้วต้องการประกอบอาชีพทางด้านกฎหมาย ผู้พิพากษาก็เครียดแล้วมีโรคประจำเช่น กระเพราะอาหาร สายตา เครียด ต่างคนต่างมีจุดหมาย บางคนไม่มีแต่คุณพ่อคุณแม่อยากให้เรียน ก็เป็นความเคยชินด้านอาชีพ แม้ว่าจะเรียนมากันถึงสี่ปีแล้ว แต่อยากจะในเบื้องต้นแนะนำวิธีการศึกษาเพียงเล็กน้อย มีหลายท่านยังทำกันไม่ถูกต้อง อยากให้กำลังใจนักศึกษา ว่ากฎหมายเรียนง่าย เพราะอะไรครับเพราะโดยทั่วไปเราไม่ได้ตรวจเช็คเวลาเรียนไม่นับเวลาเรียนใครจะมานั่งฟังก็ได้ หรืออ่านเองก็ได้ ไม่มีการบ้าน ไม่เหมือนบัญชี ทำการบ้านเยอะ แต่กฎหมายไม่มีการบ้าน สอบทีเดียวเลยได้ก็ได้ ตกก็ตก เรียนกฎหมายดีกว่าวิชาอื่นคือทางราชการทำโน้ตย่อให้เสร็จเลย ประมวลกฎหมายไม่ว่าวิชาใดก็ตาม ก็คือทางราชการทำโน้ตย่อให้แล้ว ที่เรามานั่งเรียนกันคือมาเรียนการขยายความจากโน้ตย่อ เรียนง่ายไม่มีการบ้าน ทางการทำโน้ตย่อให้เสร็จ

            วิธีดูหนังสือหล่ะต้องดูตอนไหน บางคนถนัดตอนเช้า อันนี้คือความคิดดั่งเดิม มีความคิดใหม่ว่า เวลาใดก็ได้ ที่เราจำได้ ก็ดูไป ดูตอนไหนก็ได้ ขอให้จำให้ติดตาแล้วกันว่าวิชานั้นวิชานี้มีหลักเกณฑ์อย่างไร วิธีดูหนังสือเราควรมีตัวบทอยู่คู่คำอธิบาย แม้ในหนังสือจะมีประมวลอยู่แล้ว ก็ตาม ให้ดูจนกรีดนิ้วหามาตราได้เลย คนใดเปิดประมวลบ่อยๆ แล้วประมวลดำแสดงว่าทำถูกวิธีแล้ว คือเอาตัวบทมาประกอบในการดู

            ที่สำคัญที่สุดก็คืออย่าเบื่อหน่ายเป็นอันขาด เรียนแล้วต้องอดทนกัดฟันดูซ้ำจนจำได้แม่นจำ ดูตอนไหนก็ได้ให้จำได้ติดตา แล้วมีตำรากับประมวลคู่ควรกัน แล้วต้องกัดฟันจำซ้ำจนจำได้

            ในการดูตำราต้องระมัดระวังนะครับ ว่าอย่านำตำราเก่ามาดู ควรนำประมวลกฎหมายที่แก้ไขใหม่ล่าสุดมาดู ถ้าเป็นเล่มใหญ่ก็จะดีให้มีอันเล็ก ให้เขียนได้ ควรจะมีประมวลกฏหมายฉบับใหม่ล่าสุด เพราะมีกฎหมายแก้ไขมากเหลือเกิน แก้มากสุดเมื่อ 2551 วิธีการอ้างพยานหลักฐาน แก้ไขเยอะแยะ โดยเฉพาะเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมก็แก้ไขเยอะเหลือเกิน

            อีกเล่มหนึ่งก็คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก็ควรมีเป็นคู่มือไว้ เพราะทนายความเวลาเขียนคำร้องต่างๆ ก็อ้างรัฐธรรมนูญประกอบ ตลอด

            ศึกษามามากเพียงใดถ้าไม่สามารถถ่ายทอดได้ก็ตก ชั้นเนฯต้องตอบให้ตรงประเด็นอ้างหลักกฎหมายได้ ปรับหลักกฎหมายเข้ากับข้อเท็จจริงได้ บางครั้งตอบข้อสอบลอกโจทก์แล้ว บอกว่าเป็นการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ คิดว่าจะได้เท่าไหร่ ก็ให้ได้ ระหว่าง 0 1 ถ้าลายมือสวยอ่านง่ายก็ได้หนึ่งคะแนน

            ถ้ามีการปรับข้อเท็จจริงเข้ากับหลักกฎหมายก็ถือว่าสมบูรณ์แบบ

            ข้อสอบบางประเภทก็ไม่อยากในเนื้อหา แต่ยากในเทคนิค เช่นชื่อของตัวละคร คล้ายๆกัน เราก็ต้องเขียนแผนผังว่าแต่ละสายเป็นคนบ้าง ใครทำอะไรบ้าง ฝั่งเจ้าทรัพย์มีกี่คน นักศึกษาก็ต้องทำแผนภูมิ เพราะจากการตรวจข้อสอบ มีนักศึกษาตอบผิดเพราะชื่อ เวลาการสอบมันมีสิบข้อ ก็อาจจะ งง ได้ เพราะฉะนั้นต้องมีความรอบคอบ ตอบหลักเกณฑ์ข้อหนึ่งให้ขึ้นหน้าใหม่ ประเด็นหนึ่ง ทำให้ขึ้นหน้าใหม่เวลาตรวจทานก็จะง่าย

            ลองดูธงคำตอบเก่าๆนะครับเวลาจะตอบแต่ละประเด็นจะขึ้นว่าการที่ และจะตอบแต่ละประเด็นก็จะตอบว่าเป็นการ ก็อยากจะแนะนำวิธีการ ลายมือที่อ่านง่ายจะทำให้นักศึกษาได้คะแนนดี

            บางทีอาจารย์ตรวจข้อสอบหนึ่งสมัยก็จะไปเปลี่ยนแว่นหนึ่งอัน

            เท่าที่กล่าวมามาถึงตอนท้ายก่อนเริ่มเนื้อหาเราควรจะมีข้อตกลงกันก่อนนะครับ ว่าเราจะควรสอนหรือมีเนื้อหาอย่างไร แต่อยากทำความเข้าใจว่าในชั้นปริญญาตรีเราก็จะบรรยายอย่างหนึ่ง ส่วนในชั้นเนฯ ก็จะบรรยายอีกอย่างหนึ่ง เราก็จะมาทบทวนหรือมาเจาะลึกในบางจุดในเชิงปฏิบัติในรูปแบบคำพิพากษาศาลฏีกาเป็นตัวอย่าง มาใช้ได้ในกรณีใดใช้ไม่ได้ในกรณีใด

            นักศึกษาบางท่านไม่เข้าใจที่ว่าเรียนชั้นเนฯ เป็นการเรียนภาคปฏิบัติ จะเป็นไปได้อย่างไรก็เห็นว่ามานั่งเรียนในห้องเรียนกัน แต่จริงแล้ว อาจารย์แต่ละท่านมาบรรยายก็จะนำประสบการณ์ตัวบทกฎหมายเอามาใช้อย่างไร วิธีการเขียนคำร้องแล้วศาลไม่รับเลยเป็นไปได้อย่างไร คือเป็นเรื่องที่เป็นเรื่องฉุกเฉินเพราะฉะนั้นในการบรรยายชั้น่นฯคงไม่เจาะไปที่บทวิเคราะห์ศัพท์เลยเพราะเป็นเรื่องที่เราศึกษามาแล้วในชั้นปริญญาตรี

            ส่วนถ้าเป็นห้องเล็กๆ ส่วนใหญ่แล้วอาจารย์จะไม่นั่งบรรยายอย่างนี้ก็ลากสายไมค์ไป แล้วก็มีการให้นักศึกษาคิดตลอดเวลาแต่เมื่อมีข้อจำกัด ก็ขอให้ตั้งใจฟัง พอฟังแล้วหนึ่งรอบ เวลาไปดูหนังสือ ก็อีกรอบ ทบทวนก่อนสอบอีกรอบ สามรอบก็สอบได้

            ก็ให้การมาเรียนหนังสือ ก็เพราะอยากมีความรู้ อยากมีความมั่นคง อยากประกอบอาชีพที่มั่นคง ต้องการประสบความสำเร็จ ส่วนเรียนเก่งหรือไม่เก่งก็ไม่สำคัญ ก็ควรหาวิธีเรียนรู้ในแบบของเรา อาจดูหนังสือเอง ก็ไม่เสียหายอะไร เพราะเติง เสี่ยว ผิง เคยกล่าวว่า แมวสีขาว หรือ แมวสีดำไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้เหมือนกันก็พอ

            ประเด็นสุดท้ายที่อยากฝากก่อน เข้าเนื้อหาคือเรื่อง การฝากให้ดูแลเรื่องสุขภาพ อาจารย์กับท่านอาจารย์ทวีตกลงกันว่า จะสลับกันบรรยายไป เหตุผลเพราะว่าในการศึกษาระหว่างเทอมจะมีฏีกาใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ ก็เห็นว่าควรบรรยายสลับกันไปมาอย่างนี้จะดีกว่า

            วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาอยู่ในกลุ่มมาตรา 253 – 270

            เป็นวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา ความมุ่งหมายอย่างไร ทำไมต้องมีวิธีการชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา นักศึกษาคงทราบ ว่า มีการใช้เวลามากพอสมควร ในเมื่อใช้เวลามากระหว่างทางคนไม่สุจริตก็อาจจะโยกย้ายทรัพย์สินไป หรือ ถ้าโจทก์กลั่นแกล้งจำเลยเอาเรื่องเท็จมาฟ้องจำเลย เสร็จแล้วคดีเห็นอยู่ชัดๆว่าแพ้ก็มาฟ้อง ถ้าปล่อยให้ลอยนวลไปศาลก็สั่งให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยก็สามารถบังคับได้

            อันนี้ก็เป็นที่มาของ 253 254

            มีสามเรื่องใหญ่ 1 คุ้มครองจำเลยให้โจทก์วางเงินหรือหลักประกัน อันนี้คือ 253 และ 253 ทวิ อันนี้คือคุ้มครองโจทก์ให้ศาลมีคำสั่งต่างๆ รวมทั้งขอให้ศาลใช้วิธีการฉุกเฉินไปด้วยตามมาตรา 266

            ไปดูมาตราแรกคือมาตรา 253  เป็นกรณีที่กฎหมายให้สิทธิจำเลยที่ขอให้โจทก์วางเงินต่อศาลหรือหาประกัน มาวางต่อศาล

            เปิดดูตัวบทมาตรา 253 ครับ

            นักศึกษาบางคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องอ่านวรรคสอง วรรคสามด้วย สังเกตนะครับ ว่าถ้ามีย่อหน้าเราเรียกว่าวรรค ถัดจากวรรคหนึ่ง เราก็อ่านว่าวรรคสอง วรรคสามตามลำดับ

            นักกฎหมายที่ดีก็ต้องอ่านเป็นวรรค ถ้าบทบัญญัติใดก็ตามมีสิ่งที่เรียกว่า วงเล็บ อย่าไปอ่านว่าวงเล็บนะครับ อย่างนี้อายเขา ต้องอ่านว่าอนุมาตรา อ่านกฏหมายก็อ่านให้ถูกต้องด้วยนะครับ

            253 ความมุ่งหมายก็เพื่อป้องกัน โจทก์ที่ไม่สุจริตที่มาฟ้องคดีแพ่ง แล้วอาจจะออกไปจากต่างประเภท เพราะกลัวถูกบังคับเอาค่าฤชาธรรมเนียม ในกรณีที่ศาลยกฟ้อง ถ้าไม่มี 253 โจทก์ที่ไม่สุจริต ก็จะไม่ได้รับการลงโทษ มาตรานี้จึงเป็นทางป้องกันจำเลย

            นักศึกษาดูมาตรา 253 มีหลักเกณฑ์สำคัญหลายเรื่องด้วยกัน

หนึ่ง คือจำเลยเท่านั้น จำเลยคือใคร ความหมายธรรมดาคือผู้ที่ถูกฟ้องต่อศาล รวมถึงโจทก์ในคดีร้องขัดทรัพย์ด้วย ฎ.500/2504

            ก็คงเหตุเกิดประมานปี 01 02 ศาลฏีกาวินิจฉัยตอนหนึ่งว่า โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ จึงมีฐานะเสมือนเป็นโจทก์ ส่วนโจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีฐานะเสมือนเป็นจำเลย โจทก์จึงสามารถใช้สิทธิตามมาตรา 253 ไม่ได้

            ฏีกาเรื่องนี้บังเอิญ ผู้ร้องขัดทรัพย์เป็นฝ่าย ยื่นคำร้องตามมาตรา 253 ศาลฏีกาก็บอกว่าผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่ใช่จำเลยยื่นคำร้องตามมาตรา 253 ไม่ได้ แล้วโจทก์ในคดีเดิมยื่นคำร้องตามมาตรา 253 ได้หรือไม่

            แต่ถ้าดูมาตรา 288 ก็จะเห็นได้ว่า ใช้สิทธิตามมาตรา 288 อนุมาตรา 1 ได้

            เปิดดูมาตรา 288 ( 1 )

            ก็เลยมีตำราบางเล่ม ไปเขียนว่าขอได้ตาม 288 แล้ว ไม่สามารถมาขอตาม 253 ก็ขอให้เข้าใจว่าไม่เกี่ยวกันนะครับ นอกจากจำเลยธรรมดาแล้ว ก็คือโจทก์เดิม

จำเลยอาจฟ้องแย้งมาก็ได้ โจทก์เดิมก็ขอให้ศาลใช้มาตรา 253 ได้เช่นกัน ยังรวมถึงโจทก์จำเลยในคดีอื่นๆด้วย จำเลยจะใช้สิทธิตามมาตรา 253 มีบทบัญญัติอีกมาตรานึงคือ 288 คล้ายกันแต่มีความต่างกัน จำเลยตาม 253 ต้องยื่นคำขอให้โจทก์วางเงินหรือหลักประกัน ศาลสั่งเองไม่ได้ แต่กรณีมาตรา 288 นั้น โจทก์เพียงแต่ยื่นคำร้องว่า คำร้องขัดทรัพย์ไม่มีมูล ศาลก็สั่งให้วางเงินได้

            ฎ.1293/2514

          ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ โจทก์ให้การต่อสู้คดีแล้วยื่นคำร้องว่าคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่มีมูล ขอให้งดสืบพยาน หากศาลเห็นว่าคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์ยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดีให้ชักช้า โดยมีหลักฐานสนับสนุนอยู่ในสำนวนแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้ผู้ร้องขัดทรัพย์วางเงินเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288(1) ได้

(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2514)

 

            จากฏีกานี้ นักศึกษาจะสังเกตเห็นได้ว่า แม้ไม่ขอให้วางเงินศาลก็มีอำนาจสั่งได้ ลองดูตัวบท 288 อนุมาตรา 1 บรรทัดที่สี่ หากมีพยานหลักฐาน ,,,, ศาลมีอำนาจ ตัวบทใช้คำว่ามีอำนาจ โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องขอก็ได้ ตัวบทบอกให้ศาลมีอำนาจ กฎหมายไม่ได้ระบุว่าโจทก์ต้อง ยื่นคำร้อง ศาลก็มีคำสั่งให้ได้แล้ว ส่วนมาตรา 253 ต้องระบุมาด้วยถ้าไม่ระบุหรือขอมาชัดแจ้งศาลก็อาจสั่งยกคำร้องไป โจทก์ในคดีร้องขัดทรัพย์มีฐานะเป็นจำเลย อาจใช้สิทธิตาม 253 หรือตามมาตรา 288 ก็ได้ มาดูข้อเปรียบเทียบ

            ประการแรก ในเรื่องระยะเวลายื่นคำขอ มาตรา 253 กฎหมายบัญญัติว่ายื่นคำขอได้ ก่อน แต่ละศาลชั้นศาลมีคำพิพากษา

            อันนี้ต้องดูมาตรา 253 ทวิ ประกอบด้วย คือการ ขอตามมาตรา 253 ในชั้นศาลสูง

            ส่วนมาตรา 288 ถ้ามีการชี้สองสถานก็ ยื่นก่อนวันชี้สองสถาน ถ้าไม่มีก็ยื่นก่อนสืบพยาน

            ประการสอง เหตุแห่งการยื่นคำขอ ถ้าเป็น 253 อาศัยเหตุต่างกัน คือ ถ้าเป็น 253 มีหลักเกณฑ์คือ กรณีแรก ถ้าโจทก์ไม่มีภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานในราชอาณาจักรและไม่มีทรัพย์สินที่ถูกบังคับในกรณีแพ้คดี สองถ้าเป็นเชื่อว่าถ้าโจทก์แพ้คดีแล้วจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าฤชาธรรมเนียม

            แต่ 288 ต้องมีหลักฐานเบื้องต้นว่าคำร้องขัดทรัพย์ไม่มีมูลและยื่นคำร้องขัดทรัพย์มาเพื่อประวิงให้ชักช้า

            ประการที่สาม วัตถุให้วางเงินก็ต่างกัน 253 เพื่อประกันค่าฤชาธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่าย ส่วน 288 วางประกันค่าสินไหม ที่อาจถูกบังคับ เพื่อชำระค่าสินไหมทดแทน ไม่ใช่เรื่องของค่าธรรมเนียม สำหรับความเสียหายที่โจทก์เดิมอาจได้รับ อันนี้คือวัตถุประสงค์

            ประการที่สี่ ในเรื่องการจำหน่ายคดี 253 กับ 288 มีบทบัญญัติได้ทั้งสองกรณี แต่ถ้ามาตรา 253 ถ้าจำเลยคัดค้าน หรือมีการอุทธรณ์คำสั่งจะจำหน่ายคดีไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องมาตรา 288 ถ้าโจทก์ไม่วางเงิน ให้ศาลจำหน่ายคดี ได้เลยโดยไม่ต้องถามจำเลยก่อน

            ประการที่ห้า ในเรื่องคำสั่งศาล ถ้าเป็นเรื่องของมาตรา 253 คู่ความสามารถอุทธรณ์ฏีกาคำสั่งได้ ซึ่งเราจะศึกษากันต่อไป ตามวิแพ่ง 228 อนุมาตรา สอง

            แต่ถ้าเป็น 288 อุทธรณ์ฏีกาไม่ได้ ทำไมถึงกล่าวเช่นนี้ เปิดดูมาตรา 288 วรรคท้าย คำสั่งของศาลตามวรรคสองให้เป็นที่สุด 

            อันนี้เป็นการแก้ไขในปี 42 ถ้าตัวบทใครไม่เหมือนอยางนี้แปลว่าใช้ตัวบทเก่า

            ประการที่หก ประการสุดท้ายเรื่องอำนาจศาล อย่างที่กล่าวว่าถ้าเป็นเรื่อง 253 จำเลยต้องกล่าวว่าให้โจทก์วางเงินด้วย แต่ถ้าเป็น 288 เพียงแต่ยื่นคำร้องเท่านั้นศาลก็มีอำนาจสั่งได้ โดยไม่จำเป็นต้องขอวางโดยตรง

            ฎ.1293/2514 – อ้างถึงแล้ว

            ที่ต้องให้หลักเกณฑ์ก็เพื่อแยกแยะกันถูก แม้ข้อสอบในชั้นเนฯ ไม่มีการให้ตอบบรรยายในเขิงเปรียบเทียบ แต่จะออกเป็นตุ๊กตาก็ต้องเข้าใจหลักการ เพื่อแยกแยะว่ามันเป็นเรื่องอะไรแน่ คำร้องของจำเลยตาม 253 ไม่จำต้องระบุรายละเอียดของค่าฤชาธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่าย

            ฎ.1106/2530

          คำสั่งศาลให้โจทก์วางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 253 เป็นคำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการพิจารณาตามป.วิ.พ. มาตรา 228(2) ย่อมอุทธรณ์ฎีกาได้โดยไม่จำต้องโต้แย้งคำสั่งไว้ก่อน

คดีมีทุนทรัพย์ 18,739,895.67 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์วางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย 30,000 บาท ตามป.วิ.พ.มาตรา 253 ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อคำนึงถึงทุนทรัพย์ในคดีนี้แล้วเป็นจำนวนต่ำไป จึงให้โจทก์วางเงินประกันจำนวน 50,000บาท.(ที่มา-ส่งเสริม)

 

            คำร้องตาม 253 ก็ควรมีสาระ ไม่ต้องแจกแจงรายละเอียดก็เป็นคำร้องที่ชอบตามมาตรา 253 แล้ว มาตรา 253 มุ่งหมายให้จำเลยมีหลักประกันในค่าฤชาธรรมเนียมหรือ ค่าใช้จ่ายแทนจำเลย การที่ศาลต้องสั่งเช่นนี้ เพื่อประโยชน์ของจำเลยในการที่บังคับเมื่อศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์แล้วอะไรคือค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ในชั้นปริญญาตรี ไม่ค่อยได้เรียนหรอกครับ

            หลายมหาวิทยาลัยก็มา 55 กับ 57 ค่าฤชาธรรมเนียมก็ไม่ได้มีการกล่าวกัน แต่ในทางปฏิบัติต้องเกี่ยวพันกัน โลกนี้ไม่มีของฟรีครับ

            การที่จะไปติดต่อกับส่วนราชการก็มีค่าฤชาธรรมเนียมทั้งนั้น แต่เพิ่งจะมีการแก้ไข โดยมีคำจำกัดความในมาตรา 149 เป็นต้นไปเป็นหมวดค่าฤชาธรรมเนียม นักศึกษาไม่ค่อยคุ้นเคย จะไปอีกทีก็ 155 ในเรื่องอนาถา แต่ปัจจุบันมีวิเคราะห์ศัพท์แล้ว เพราะฉะนั้นค่าฤชาธรรมเนียม ในปี 51 ที่แก้ไขใหม่ มีความหมายแล้วจึงมีหลายรายการ เท่าที่แยกก็ได้แปดประเภทใหญ่ๆ

            ปัญหาคือค่าธรรมเนียมศาลในกรณีแรกคืออะไร ดู 149 วรรคสาม

            ในกรณีแรกก็คือค่าขึ้นศาลก็มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่อง ตารางหนึ่ง ที่เราคุ้นเคยกันคือ วงเล็บหนึ่งข้อ ก คือร้อยละสองจุดห้า ไม่เกินสองแสน แต่ได้มีการเปลี่ยนใหม่แล้ว ลดราคาคือ ร้อยละสอง แต่ทุนทรัพย์ต้องไม่เกินห้าสิบล้านบาท ถ้าเกินนี้ไม่อั้นแล้วนะครับ คิดอีกร้อยละ ศูนย์จุดหนึ่งนะครับ สรุปแล้วหลวงได้กำไรหรือไม่ ยังพิสูจน์ไม่ได้นะครับ

            ในเรื่องตารางหนึ่งนี้เป็นข้อสอบปากเปล่า ผู้ช่วยสนามเล็ก ถามว่าคดีมีข้อพิพาทกับคดีไม่มีข้อพิพาทต่างกันอย่างไร ในธงคำตอบก็มีเรื่องทุนทรัพย์อยู่เกี่ยวข้องด้วย

            เพราะฉะนั้นนักศึกษาพึงระลึกว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่แล้วก็ดี ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องก็นำมาออกข้อสอบได้เหมือนกัน แต่ในข้อสอบเนฯนี้ให้ความอนุเคราะห์ ว่าต้องรู้แพร่หลายแล้ว แต่ถ้านะระดับผู้พิพากษาแล้ว ต้องตามให้ทัน

            ค่าสืบพยานหลักฐานนอกสามอยู่ในตารางสาม ก็แก้ไขปี 51 กรณีของการสืบพยานการเดินเผชิญสืบนั่นเอง คดีอาญาก็คือมาตรา 230 คดีแพ่งก็มาตรา 104 103 ประมานนี้ครับจะเห็นว่ามีการแก้ไขแล้ว ตอนไปบรรยายที่สภาทนายความ ก็เคยตั้งคำถามว่า องค์คณะเวลาเดินเผชิญสืบ ต้องเสียค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ ดูตารางสามนะครับ ค่าป่วยการ วันละสามร้อยบาท พนักงาน หนึ่งร้อยห้าสิบบาท สามร้อยบาทเองนะครับ ก็ตอบผิดกันเป็นแถว อัตราเท่ากับนวดแผนโบราณหนึ่งชั่วโมง

            นอกจากค่าขึ้นศาลแล้วยังมีค่าธรรมเนียมอื่นๆอีกตามตารางสอง

            อีกกรณีหนึ่งคือค่าป่วยการ ศาลก็มักสั่งให้ฝ่ายที่อ้าง เสียค่าป่วยการไม่เกินวันละสี่ร้อยบาท

            กฎหมายให้กำหนดตามสมควร

            ค่าทนายความก็ให้ตามตารางหก มีการแก้ไขตามปี 51 เหมือนกัน อย่างต่ำสามพันบาท

ให้ศาลคำนวณตามความยากง่ายแห่งคดี ให้ดูว่าไม่ต่ำกว่าคดีละสามพันบาทและให้กำหนดตามสมควรด้วยว่า เวลาที่ใช้ว่าความมากน้อยเพียงใด ถ้าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ร้อยละห้า ถ้าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ก็ร้อยละสาม

            ในโลกนี้ยังมีคนดี มากกว่าไม่ดี สังคมจึงอยู่ได้ สังคมของนักกฎหมายก็เช่นกัน

            ที่เนฯคิดค่าศึกษาถูกแล้ว เพื่อไม่ให้นักศึกษาจบแล้วไปถอนทุนคืน

            ค่าธรรมเนียมนั้นให้ชำระหนี้มาวางศาลตามข้อกำหนดของประธานศาลฏีกา มาดูสาระสำคัญตามาตรา 253 คือไม่ใช่คำร้องขอฝ่ายเดียว คือต้องส่งสำเนาให้โจทก์คัดค้านเสียก่อน ก็เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายใต่สวนได้ หลักเกณฑ์ต่อมาคือคำร้องของจำเลยต้องอาศัยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ คือ ไม่มีทรัพย์สินที่ถูกบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักร หรือ ข เป็นที่เชื่อได้ว่าชนะคดีแล้วจะหลีกเลี่ยงในการวางค่าฤชาธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่าย ก็ได้ ข้อ ก หรือ ข้อ ข เป็นอิสระจากกันเมื่อเข้าเหตุใดเหตุหนึ่งแล้วก็ใช้ได้ ดูตำราเก่าๆ มาตรา 253 เดิมนี้ กรณีข้อ ก จะใช้คำว่าโจทก์ไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในอำนาจศาล ส่วนข้อขอ ก็เป็นที่มีเหตุแน่นแฟ้น เราก็ต้องเปลี่ยนคำให้ตรงกับ กฎหมายใหม่นะครับ

            อันนี้คือข้อควรระวังในการดูตัวบทเก่าหรือฏีกาเก่านะครับ สำหรับกรณีแรกที่ได้กล่าวถึง ถ้าโจทก์มิได้มีภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานในราชอาณาจักรก็ไม่ได้จำกัด ว่าเป็นสัญชาติใด เมื่อมีเหตุนี้แล้วก็ไม่คำนึงว่าโจทก์เมื่อแพ้คดีแล้ว จะมีภูมิลำเนาหรือไม่

            ที่สามารถสั่งได้เพราะว่าเข้าหลักเกณฑ์ข้อหนึ่งแล้ว อันนี้คือฏีกาที่ 3155/2526  อย่างที่ตัวบทบัญญัติไว้ว่าศาลจะต้องไต่สวน ก่อนมีคำสั่งศาลจะต้องไต่สวนเสมอเว้นแต่ว่าอ่านจากคำร้องของจำเลยแล้วไม่เข้าหลักเกณฑ์เลย

ฎ.1107/2530

            วันนี้วันแรกก็ขอเพียงเท่านี้ ก็ขอให้ไปทบทวนครับคราวหน้าท่านอาจารย์ทวีก็มาบรรยายในภาคบังคับคดี

           

usa pruksa

unread,
Dec 9, 2009, 4:10:05 AM12/9/09
to law...@googlegroups.com


ขอความกรุณา ขอบทบรรณาธิการของภาคสองสมัย62ด้วยนะคะ
 
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ


 

Date: Wed, 9 Dec 2009 10:47:37 +0700
Subject: [LAWSIAM.COM:3475] สรุปคำบรรยาย เนติภาคค่ำวิแพ่ง 4 ชั่วโมงที่ 1-2 สอนเมื่อ พุธ 25/11/09
From: nobita...@gmail.com
To: law...@googlegroups.com
Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages