หากเอกสารสรุปคำบรรยายนี้ มีข้อผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้า kankokub ขออภัยและน้อมรับแต่เพียงผู้เดียว หากจะมีประโยชน์อยู่บ้างขอมอบให้แก่ ท่านอาจารย์ ประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์ ผู้บรรยาย , ผู้มีน้ำใจส่ง flie เสียงที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้ฟังคำบรรยาย , บิดามารดาข้าพเจ้า ขอบคุณ. http://www.muansuen.com และคุณ admin ที่นำ flie เสียงมาลงแบ่งปันให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
วันนี้เราก็จะบรรยายในเรื่องที่นักศึกษาทั้งหลายไปคาดเดามาเป็นเวลาสองปีติดมาแล้ว เนื่องจากอาจารย์รู้ความลับแล้วเลยไม่ออก นั่นก็คือการแก้ไขข้อความในตั๋วเงิน
เป็นเรื่องของมาตรา 1007 หมายความว่าเมื่อหนังสือตราสารสมบูรณ์เป็นตั๋วเงินแล้ว เมื่อมีผู้มาแก้ไขข้อควาในตั๋วเงินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น มันจะกระทบสิทธิหน้าที่ความรับผิด ของคู่สัญญาในตั๋วเงินหรือไม่
ก็บัญญัติไว้ในมาตรา 1007 ซึ่งเราจะอธิบายโดยสรุปไม่ให้เกินเวลา หนึ่งชั่วโมงนี้
ดูในวรรคที่หนึ่งเลยครับ
มาตรา 1007 ถ้าข้อความในตั๋วเงินใด หรือในคำรับรองตั๋วเงินรายใด มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญโดยที่คู่สัญญาทั้งปวงผู้ต้องรับผิดตามตั๋วเงินมิได้ยินยอมด้วยหมดทุกคนไซร้ ท่านว่าตั๋วเงินนั้นก็เป็นอันเสีย เว้นแต่ยังคงใช้ได้ต่อคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น หรือได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไข เปลี่ยนแปลงนั้น กับทั้งผู้สลักหลังในภายหลัง
ตามบทบัญญัติในวรรคหนึ่งนี้ก็สรุปความย่อๆได้ว่า ถ้าข้อความในตั๋วเงินก็ดี หรือในคำรับรองตั๋วเงินก็ดี มีผู้ไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ โดยที่คู่สัญญาไม่ได้ยินยอมด้วย ตั๋วเงินนั้นเป็นอันเสียไป เราก็แปลความกลับกันว่าถ้าข้อความในตั๋วเงิน ฯ มีการแก้ไขในข้อสำคัญแต่ว่าคู่สัญญานั้นมีการยินยอมทุกคนอย่างนี้ตั๋วเงินไม่เสีย
นาย ก ออกเช็คชำระหนี้ ข แล้ว ต่อมา ก กับ ข ตกลงกัน แก้ไขวันที่ในเช็ค จำนวนเงิน ตกลงกันได้หมด ถือว่าคู่สัญญาเจตนา เปลี่ยนแปลงกัน
ในวรรคที่หนึ่งนี้ก็มีคำสำคัญสองคำ
คำแรกข้อความในตั๋วเงิน ก็หมายถึงรายการที่กฎหมายบังคับให้ต้องระบุในตั๋วเงิน เราเคยพูดมาแล้วนะครับว่าตราสารที่จะสมบูรณ์เป็นตั๋วเงินฯ ต้องมีอะไรบ้าง
เราเคยพูดแล้วว่าจะเขียนข้อความอะไรไปในตั๋วฯต้องเป็นกรณีที่กฎหมาย อนุญาต
ยกตัวอย่างการแก้ไข จำนวนเงิน หรือ วันที่ที่ลงในตั๋วฯ อันนี้แน่นอนเป็นรายการที่ต้องระบุในตั๋วฯแต่อาจมีการแก้ไขรายการที่กฎหมายอนุญาตให้ระบุลงในตั๋วเงินได้ เช่นในเรื่องตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน ผู้สั่งจ่าย หรือผู้สลักหลัง อาจจะกำหนดในเรื่องดอกเบี้ยได้ อันนี้ถ้าไปแก้ไขในเรื่องดอกเบี้ยก็ถือเป็นการแก้ไขในเรื่องสาระสำคัญ
อีกตัวอย่างเช่น คำรับรอง ตามมาตรา 931 ก็คือกรณีที่ผู้จ่ายรับรองว่าจะจ่ายเงินตามตั๋วฯให้ผู้ทรง เมื่อถึงกำหนด และลงลายมือชื่อไว้ นี่คือเรื่องคำรับรองตั๋วเงิน
อีกอันหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใช้กัน คือ มาตรา 998 คือธนาคารรับรองเช็ค เมื่อมีใครแก้ไข ก็ปรับมาตรา 1007 ทันที
ในมาตรา 1007 กฎหมายใช้คำว่าแก้ไขเปลี่ยนแปลง ก็เป็นคำสำคัญที่สอง อาจกระทำด้วยการ ลบ ตัดทอน เติมข้อความ หรือ เป็นการกระทำใดๆที่ทำให้ ข้อความในตั๋วเงินนั้นเปลี่ยนไปจากเดิม โดยไม่มีอำนาจ เน้นคำนี้นิดหนึ่งครับ คำว่าไม่มีอำนาจ ก็คือกฏหมายไม่ได้อนุญาตให้ทำได้เหตุที่ต้องเน้นคำนี้เพราะอะไร เพราะกฏหมายตั๋วเงินนั้นมีบางกรณีที่กฏหมายอนุญาตให้เติมหรือขีดฆ่าข้อความทิ้งได้ อย่างนี้ก็ไม่ถือเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
เราก็ลองมาดูว่ากรณีใดที่ไม่ถือเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามมาตรา 1007 ยกตัวอย่างเรื่องเช็คไม่ลงวันที่
นายก ออกเช็คชำระหนี้ ข 1 แสนบาท รายการในช่องวันที่เป็นแบบฟอร์ม จุดไข่ปลา นาย ข ได้รับเช็คมา ก็ไปเติม แต่ เติมโดยมีอำนาจ ตามมาตรา 910
ถ้ามิได้ลงวันออกตั๋ว ท่านว่าผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคนหนึ่งคนใด ทำการโดยสุจริตจะจดวันตามที่ถูกต้องแท้จริงลงก็ได้
ผู้ทรงเช็คไปเติมข้อความลงในเช็คเอง เช็คก็ไม่เสียไปเพราะว่ามาตรา 910 วรรคสุดท้ายกฎหมายให้อำนาจไว้
ตัวอย่างที่สอง มาตรา 934
ตรา 934 ถ้าผู้จ่ายเขียนคำรับรองลงในตั๋วแลกเงินแล้ว แต่หากกลับขีดฆ่าเสียก่อนตั๋วเงินนั้นหลุดพ้นไปจากมือตนไซร้ ท่านให้ถือเป็นอันว่าได้บอกปัดไม่รับรอง แต่ถ้าผู้จ่ายได้แจ้งความเป็นหนังสือไปยังผู้ทรงหรือคู่สัญญาฝ่ายอื่นซึ่งได้ลงนามในตั๋วเงินว่าตนรับรองตั๋วเงินนั้นก่อนแล้ว จึ่งมาขีดฆ่าคำรับรองต่อภายหลังไซร้ ท่านว่าผู้จ่ายก็คงต้องผูกพันอยู่ตามเนื้อความที่ตนได้เขียนรับรองนั้นเอง
ผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงิน เขียนคำรับรองในตั๋วแลกเงิน ผู้ทรงไปยื่นให้รับรอง ผู้จ่ายรับรองโดยการเขียนว่าจะจ่ายให้ รับรองเซ็นท์ชื่อเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ส่งมอบ ให้ ยังอยู่ในมือ เกิดเปลี่ยนใจ ก็เลยขีดฆ่า ลายมือชื่อ และคำรับรองนั้นออก ถามว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามมาตรา 1007 หรือไม่
คำตอบคือไม่เป็นเพราะมาตรา 934 ให้อำนาจ แต่ถ้าส่งมอบให้ไปแล้วค่อยมา แอบขีดฆ่า อย่างนี้จึงจะเข้ามาตรา 1007
ตัวอย่างที่สาม มาตรา 905 วรรคที่หนึ่ง
มาตรา 905 ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักหลังลอยก็ตาม ท่านให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้ที่ลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอยอนึ่งคำสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียแล้วท่านให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย
ผู้สั่งจ่ายตั๋วเงิน เขียนข้อความเรียบร้อยแล้ว กลับใจขีดฆ่าข้อความที่สลักหลังนั้น ถามว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามมาตรา 1007 หรือไม่
คำตอบก็ไม่เป็นเพราะว่า มาตรา 905 กฎหมายให้อำนาจอย่างนั้นไม่เสีย
ตัวอย่างที่สี่ ตัวอย่างสุดท้าย มาตรา 970 วรรคที่สอง
ผู้สลักหลังทุกคนซึ่งเข้าถือเอาและใช้เงินตามตั๋วแลกเงินแล้วจะขีดฆ่าคำสลักหลังของตนเองและของเหล่าผู้สลักหลังภายหลังตนนั้นเสียก็ได้
การแก้ไขตั๋วเงิน ที่ทำให้เปลี่ยนแปลงไปต้องเป็นการแก้ไขในข้อสำคัญ เพราะฉะนั้น ถ้ามีการแก้ไข แต่ไม่ใช้ข้อสำคัญเช่นนี้ตั๋วเงินไม่เสีย ปัญหาก็คือเรื่องอะไรบ้างเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ มาตรา 1007 วรรคสุดท้ายได้ยกตัวอย่างไว้ว่า ต่อไปนี้ เป็นเรื่องสำคัญ
กล่าวโดยเฉพาะ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเช่นจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ คือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างใด ๆ แก่วันที่ลง จำนวนเงินอันจะพึงใช้ เวลาใช้เงิน สถานที่ใช้เงิน กับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงิน ไปเติมความระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรองมิได้ยินยอมด้วย
การแก้ไขกำหนดเวลาใช้เงิน
การแก้ไขสถานที่ใช้เงิน
การแก้ไขโดยเติมสถานที่ใช้เงิน ลงในคำรับรอง ซึ่งผู้รับรองไม่ได้ระบุไว้ ในข้อสำคัญ ถามว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญมีแค่นี้ใช่หรือไม่
ตอบว่าไม่ใช่ เป็นเพียงตัวอย่าง
ดูอีกเรื่องหนึ่งนะครับ 996 เช็คขีดคร่อม การลบล้างออก ก็เป็นข้อสำคัญเช่นกัน
สรุปความได้ว่าสองมาตรานี้เป็นเพียงตัวอย่าง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า การแก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่มีผลทำให้สิทธิหน้าที่ความรับผิดของคู่สัญญาเปลี่ยนไป นั่นแหละ เปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ ก็หมายความว่า แก้ไปแล้ว สิทธิหน้าที่ความรับผิดของคู่สัญญาเหมือนเดิม
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ก็คือ การแก้ไขตัวสะกดที่ตกหล่นหรือผิดพลาด สมมุติ ผู้สั่งจ่าย เขียนรับรองตั๋ว ฯ ผู้ทรงเอามาดู คำว่ารับรองแล้ว ตกไม้โท กลายเป็น รับรองแลว ไปเติมไม่โท ก็ไม่เสียไป ไม่ใช่แก้ข้อสำคัญ
ที่มีฏีกา มีสองเรื่อง เรื่องแรก ไม่ขีดฆ่าคำว่าหรือผู้ถือ ต่อมามีรอยชัดเจน ป้ายทับชื่อ ช ออก มองเห็นด้วยตา ก็เกิดปัญหาว่าเช็คมันเสียไปเลยหรือไม่ ถ้าเสียไปผู้สั่งจ่ายไม่ต้องรับผิดเลย เราก็มาดูว่าสิทธิหน้าที่ความรับผิดมันเปลี่ยนหรือไม่ จะมีชื่อนาย ช หรือไม่ ถ้ายังไม่ได้ขีดฆ่าคำว่าหรือผู้ถือออกจากฟอร์ม มันก็เป็นเช็คชนิดผู้ถือ อยู่ดี จึงไม่ใช่การแก้ไขเปลี่ยนแปลงตั๋วเงินฯ ในข้อีที่เป็นสาระสำคัญ สิทธิหน้าที่ตามตั๋วเงินฯนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
ฎ.226/2539
โจทก์จำเลยต่างก็นำสืบถึงสัญญาเช่าที่พิพาทซึ่งจำเลยรับว่าได้ลงชื่อเป็นผู้เช่าแต่มิได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์ปรากฏว่าหนังสือสัญญาเช่าดังกล่าวไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา118รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้เมื่อโจทก์ไม่ได้ลงชื่อเป็นผู้ให้เช่าและที่โจทก์นำสืบอ้างว่าช.ลงชื่อเป็นผู้ให้เช่าในฐานะตัวแทนโจทก์แต่ตามหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวไม่ได้ปิดอากรแสตมป์เช่นกันและเป็นการมอบอำนาจให้นำที่ดินคนละแปลงกับที่พิพาทดังนี้จะฟังว่าช.เป็นผู้ให้เช่าที่พิพาทแทนโจทก์ไม่ได้และถือว่าโจทก์จำเลยมิได้มีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือต่อกันเป็นสำคัญเมื่อที่พิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์แม้โจทก์จะฟ้องร้องให้บังคับคดีเรื่องเช่าต่อจำเลยไม่ได้และจำเลยก็ยกเรื่องการเช่าขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา538ก็ตามแต่เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่อาศัยต่อไปและจำเลยไม่มีข้ออ้างตามกฎหมายจำเลยก็ต้องออกไป ชื่อจำเลยในคำฟ้องโจทก์คำว่านางเซียมเกียงแซ่ซึ้งโจทก์นำมาจากสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่โจทก์ได้นำมาส่งศาลส่วนคำว่านางเซี้ยมเตียงแซ่ตั้ง โจทก์นำมาจากหนังสือสัญญาเช่าที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยได้ลงลายมือชื่อเป็นภาษาจีนเป็นการเรียกทับศัพท์จำเลยก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นจึงฟังได้ว่าเป็นการฟ้องบุคคลเดียวกันและไม่เคลือบคลุม
เป็นคดีอีกเรื่องหนึ่ง เช็คพิพาทในช่องจำนวนเงิน ที่เป็นตัวเลขเขียนว่า 5,000 แต่ในส่วนที่เป็นอักษรเขียนว่า หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน ผู้ทรงก็ไปเติมเลข 1 ให้ตรงกับตัวอักษร พอเอาไปขึ้นเงินธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ไปฟ้องผู้สั่งจ่ายก็ต่อสู้ว่า มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในตั๋วเงิน
เรื่องนี้ไม่ใช่การแก้ไขจำนวน เป็นเรื่องตัวเลขตัวอักษรไม่ตรงกัน ศาลปรับด้วยมาตรา 12
มาตรา 12 ในกรณีที่จำนวนเงินหรือปริมาณในเอกสารแสดงไว้ทั้งตัวอักษรและตัวเลข ถ้าตัวอักษรกับตัวเลขไม่ตรงกัน และมิอาจหยั่งทราบเจตนาอันแท้จริงได้ ให้ถือเอาจำนวนเงินหรือปริมาณที่เป็นตัวอักษรเป็นประมาณ
เห็นไหมครับถ้าไม่แก้ ยังไงก็ปรับด้วยมาตรา 12 ได้อยู่แล้ว ไม่ทำให้สิทธิหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น ไม่ทำให้เช็คนี้เสียไป
คราวนี้เราก็มาดูผล มาตรา 1007 เมื่อมีการแก้ไขข้อความในส่วนสำคัญนั้น เช็คนั้นเป็นอันเสียไป หมายความว่าจะไปฟ้องในทางแพ่งก็ไม่ได้ ฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลายก็ไม่ได้ ฟ้องคดีอาญาตามพรบความผิดจากการใช้เช็ค ก็ไม่ได้
แต่เมื่อสักครู่เราได้พูดแล้วว่าถ้าได้ความยินยอมทุกคนตั๋วเงินก็ไม่เสีย
เพื่อให้เกิดความง่ายแยกอย่างนี้ ถ้าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่เห็นประจักษ์ คือมองด้วยตราเปล่า รู้เลย อย่างนี้ผลเป็นไปตามมาตรา 1007 วรรคหนึ่ง
เหตุที่เราแยกอย่างนี้เพราะว่า ถ้าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่ไม่ประจักษ์มองดูด้วยตาไม่รู้เลยว่าเป็นการแก้ไชเปลี่ยนแปลงผลจะต่างออกไปเลยจะเป็นไปตามมาตรา 1007 วรรคที่สอง ผลจะต่างไป เป็นว่าไม่มีการแก้ไขเลย
ดังนั้นในการเรียนมาตรา 1007 นอกจากดูตอนแรกว่าเป็นการแก้ไขในเรื่องสำคัญหรือไม่ สเตปที่สองต้องดูด้วยว่าเห็นประจักษ์หรือไม่
มาดูประเด็นแรกก่อน ถ้าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์ ตั๋วเงินนั้นก็เสียไปแต่เป็นเรื่องกฎหมายมีข้อยกเว้นว่า ตั๋วเงินนั้นยังคงใช้ได้แก่คู่สัญญาสามประเภท
ประเภทแรกคือ ผู้ที่ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
สอง คือ ผู้ที่ได้ทำการยินยอมด้วยในการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
เหตุผล ในเมือตนเอง ทำเอง หรือ ยินยอมแล้ว จะปฏิเสธ ก็ไม่ถูกต้อง ใช่ไหมครับ ถ้าจะปฏิเสธว่าตนเองไม่ผูกพัน อย่างนี้ไม่ชอบ กฎหมายจึงให้ต้องรับผิดอยู่
สาม ผู้ที่สลักหลังต่อหลังจากมีการแก้ไชเปลี่ยนแปลง ก็แสดงว่าเจตนาผูกพันตามเนี้อความนั้น
สรุปความเบื้องต้นก่อน ว่า สามคนนี้ต้องรับผิดในข้อความที่แก้ไขเปลี่ยนแปลง สามจำพวกนี้ถ้าไปถูกฟ้องจะอ้างว่าตั๋วเงินเสียไปตามมาตรา 1007 วรรคหนึ่งไม่ได้ ต้องปรับเข้าวรรคสอง
เราก็จำหลักง่ายๆว่า ตั๋วเงินที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อที่เป็นสาระสำคัญ และเป็นการเห็นประจักษ์นั้น ตั๋วเงินนั้นเป็นอันเสียไปทั้งหมด สำคัญ ผู้ที่ไม่ได้ ตกลงด้วยในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น ยกเว้นผู้สลักหลังภายหลัง อันนั้นแม้ไม่ได้ยินยอมก็ต้องรับผิด
ดูตัวอย่างจากฏีกา เรื่องแรกเลยเป็นเรื่องผู้ทรงฟ้องผู้สั่งจ่ายเป็นจำเลยแต่ไม่ได้ฟ้อง ขอให้ชำระหนี้เป็นคดีแพ่ง ฟ้องให้ศาลพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และ ฟ้องให้เป็นคนล้มละลาย ทีนี้จำเลยก็ให้การต่อสู้ว่า เช็คพิพาทมีการขีดฆ่าวันเดือนปีที่สั่งจ่ายและเพิ่มเติมวันเดือนปีใหม่ ข้อเท็จจริงปรากฏ ว่า เดิมเป็นลายมือ แต่ที่แก้ไขใหม่ เป็นเหมือนการปั้มพิมพ์ ศาลพิจารณาเห็นว่าไม่มีเหตุผลใด ที่ต้องใช้ตราประทับอีก ในเมื่อครั้งแรกก็เขียนด้วยรายมือแล้ว ก็คือฟังเชื่อได้ว่ามีการแก้ไขวันที่ ซึ่งถือเป็นการแก้ไขในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ ก็เท่ากับเสียหมด
ฎ,1441/2540
หากจำเลยประสงค์จะแก้ไขวันที่สั่งจ่ายในเช็คพิพาทจำเลยก็น่าจะเขียนวันที่สั่งจ่ายใหม่ด้วยลายมือของตนเองเหมือนกันที่ได้กรอกข้อความลงในรายการตามเช็คต่อหน้าโจทก์ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องใช้ตราประทับลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คในเมื่อวันที่สั่งจ่ายครั้งแรกจำเลยก็เขียนด้วยลายมือของตนเองและเมื่อเปรียบเทียบลายมือชื่อที่กำกับไว้ใต้ตราประทับกับลายมือชื่อของจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายมีลักษณะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกันจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ขีดฆ่าวันที่สั่งจ่ายครั้งแรกและประทับตราลงวันที่ใหม่เมื่อเช็คพิพาทมีแก้ไขวันที่สั่งจ่ายโดยไม่ปรากฏตัวผู้แก้ไขและการแก้ไขดังกล่าวถือเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญโดยจำเลยผู้ต้องรับผิดตามเช็คมิได้ยินยอมด้วยเช็คดังกล่าวจึงเป็นอันเสียไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1007วรรคหนึ่งเมื่อเช็คอันเป็นมูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายโจทก์ไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยใช้เงินตามเช็คได้จำเลยจึงมิได้เป็นหนี้โจทก์โจทก์จะฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯมาตรา9ไม่ได้
ก็ดูจากฏีกาที่เป็นข้อยกเว้น
เรื่องต่อไปฟ้องจำเลยที่หนึ่งผู้สั่งจ่ายเช็ค ฟ้องจำเลยที่สองผู้สลักหลังให้ร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็ค โจทก์บรรยายฟ้องว่าเช็คพิพาทจำเลยที่หนึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายระบุชื่อจำเลยที่สองเป็นผู้รับเงินได้ทำมาแลกเงิน กับโจทก์ เช็คถึงกำหนด โจทก์นำเงินไปเรียกเก็บ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ปรากฏว่ามีการแก้ไขวันที่ซึ่งศาลฏีกาก็ฟังว่าคนที่ไปแก้ไข คือจำเลยที่หนึ่งผู้สั่งจ่ายนั่นเอง คล้ายๆกับว่าหลังจากโจทก์ได้เช็คไปแล้ว จำเลยที่หนึ่งตกลงกับโจทก์ว่า ยังไม่พร้อมเอามาแก้วันที่ก่อน ศาลฟังว่าจำเลยที่สองไม่ได้ รู้เห็นด้วยเลย สมมุติเป็นข้อสอบ ว่าจำเลยที่สองต้องรับผิดด้วยหรือไม่
เราก็ต้องตอบว่าเช็คมีการแก้ไขวันที่เป็นการแก้ไขในข้อสำคัญ และเป็นการแก้ไขประจักษ์ เช็คนั้นเสียไป แต่ไม่เสียไปสำหรับคนที่แก้ไข จำเลยที่สองผู้สลักหลังเช็คไม่ได้ตกลง ไม่ได้ยินยอมไม่ได้สลักหลังภายหลังจากการแก้ไข เรื่องนี้ก็ยกฟ้องตรงตัวบท 1007 วรรคหนึ่งทุกประการ
ฎ.6442/2548
จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาท โดยมีจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลัง ต่อมาจำเลยที่ 1 นำเช็คพิพาทไปแลกเงินสดจากโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ได้แก้ไขวันที่ลงในเช็ค ซึ่งถือเป็นข้อสำคัญ เมื่อจำเลยที่ 2 ผู้สลักหลังมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น เช็คพิพาทเป็นอันเสียเฉพาะจำเลยที่ 2 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1007 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงไม่มีสิทธินำเช็คพิพาทมาฟ้องร้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิด
สรุปความได้ดังนี้ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่เห็นประจักษ์ผู้ที่ได้ยินยอมต้องรับผิด ย้ำอีกครั้งป้องกันการไขว้เขว คือจำเลยที่สองสลักหลังก่อนมีการเปลี่ยนแปลงวันที่ในเช็คนะครับ ถ้าสลักหลังภายหลังนี่ก็ยังต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คอยู่นะครับ
หลักก็คือตั๋วเงินนั้นเสียแต่ยังคงใช้ได้ต่อคู่สัญญาที่เป็นผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น เพราะฉะนั้นใครแก้ไขเปลี่ยนแปลงจะอ้างไม่ได้
ดูตัวอย่างเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ จำเลยผู้สั่งจ่ายนี้ ไปขีดฆ่าแก้ไขวันที่ลงในเช็คหลังจากที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว โจทก์นำเช็คไปขึ้นเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว เกิดปัญหาว่า ตอนที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยผู้ทรงฟ้องผู้สั่งจ่าย อายุความหนึ่งปี นับแต่ลงเดิม หรือที่แก้ไขใหม่
คำตอบคือนับแต่วันที่แก้ไขใหม่
ฎ.1043/2534
เช็คพิพาทเป็นเช็คผู้ถือ แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้วก็ยังคงมีสภาพเป็นเช็คที่สามารถโอนเปลี่ยนมือต่อไปได้ ทั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1007 วรรคแรก และวรรคสามบัญญัติให้ผู้สั่งจ่ายสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาใช้เงินในเช็คได้ เมื่อจำเลยเป็นผู้ขีดฆ่าแก้ไขวันที่ลงในเช็คพิพาทจึงต้องผูกพันรับผิดตามเช็คโดยถือว่าเช็คพิพาทมีกำหนดเวลาใช้เงินในวันที่แก้ไขนั้น และกรณีมิใช่การตกลงขยายอายุความฟ้องร้อง
เทียบกับอีกเรื่องคือ จำเลยที่สามได้ทราบหรือยินยอมในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงวันที่สั่งจ่ายในขณะลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาทแล้ว
อย่างนี้ก็เข้ามาตรา 1007 วรรคหนึ่ง ตรงคำว่ากับผู้สลักหลังใดๆ กรณีนี้มีการสลักหลังภายหลังเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ก็จะมาอ้างว่าเช็คเสียไม่ได้ ศาลก็ตัดสินว่าเช็คพิพาทไม่เสียไปใช้ได้กับผู้สลักหลัง
ฎ,7548/2538- ค้นไม่พบ
ผู้สลักหลัง นั้นหมายถึงผู้ที่สลักหลังภายหลังจากการแก้ไขแล้ว ต้องจำในจุดนี้ดีๆนะครับ
ในวรรคที่สองก็เหมือนกับวรรคหนึ่งทุกประการ ต่างกันนิดเดียว ถ้าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ประจักษ์คือ
ถ้าตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฏหมายผู้ทรงคนนั้นจะเอาประโยชน์จากผู้ทรงคนนั้นก็ได้เสมือนหนึ่งว่าไม่ได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลยและจะมีการบังคับเนื้อความตามตั๋วนั้นก็ได้
หมายความว่า การเปลี่ยนแปลงไม่ประจักษ์ กฎหมายเพิ่มสิทธิผู้ทรงขึ้นมาว่าสามารถบังคับเอาแก่คู่ความก่อนที่จะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสามารถบังคับตามเนื้อความตามตั๋วนั้นก็ได้
อันนี้คือแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ประจักษ์นะครับ ผู้ทรงมีสิทธิบังคับเอาแก่ผู้ใช้เงินเสมือนมิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย ผู้ทรงสามารถบังคับ ตามเนื้อความเดิมก่อนที่มีการแก้ไข ส่วนผู้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขหรือสลักหลังภายหลัง ผู้ทรงฟ้องได้ตามเนื้อความแก้ไข
ดูตัวอย่างฏีกา 133/2524
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทจำนวนเงิน 3,626 บาทให้แก่ ว.ต่อมามีการแก้ไขเพิ่มจำนวนเงินเป็น 903,626 บาท โดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอม การแก้ไขดังกล่าวหากไม่ตรวจโดยละเอียดก็ยากที่จะสังเกตได้ ดังนี้ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินอันจะพึงใช้นั้นถือว่า เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์ กรณีจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1007 วรรคสอง
ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จะให้ธนาคารโจทก์ผู้ทรงเช็ครับผิด (น่าจะเป็นมีสิทธิ)ตามเนื้อความเดิมแห่งเช็คตามมาตรา 1007 วรรคสอง ต้องไม่ปรากฏว่าผู้สั่งจ่ายได้ละเลยในการระมัดระวังที่จะไม่ให้มีการปลอมแปลงเช็ค ถ้าหากผู้สั่งจ่ายละเลยไม่ระมัดระวังเป็นเหตุให้มีการปลอมแปลงเช็คได้โดยง่าย ผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดนั้น คดีไม่มีประเด็นดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 2 ที่ 3 กรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย และประทับตราของบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นสำคัญในเช็คพิพาทเพื่อชำระราคาอ้อยให้แก่ ว.เป็นการกระทำตามหน้าที่ภายในขอบวัตถุที่ประสงค์ของบริษัทจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นแล้ว จำเลยที่ 2 ที่ 3 หาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวไม่
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มีการปลอมจำนวนเงินในเช็คโดยไม่ประจักษ์ จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดชำระเงินตามเนื้อความเดิมแห่งเช็คนั้น และเนื่องจากไม่ปรากฏว่าจำเลยได้วางเงินชำระหนี้ตามเช็คพิพาท จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้โจทก์
แต่ถ้าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้นประจักษ์เช็คนั้นเสียไปเลย
อีกเรื่องหนึ่งมีการแก้ไขตัวเลขให้สูงขึ้นหลังจากได้ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คแล้ว โดยจำเลยไม่ได้ยินยอมด้วย แต่การแก้ไขนี้ไม่ประจักษ์ จำเลยในฐานะผู้สลักหลังย่อมต้องรับผิดเพียงจำนวนเดิมภายหลังสลักหลังเช็คนั้น
เรื่องนี้ศาลฏีกาก็ตัดสินให้รับผิดตามเช็ค 44500 บาทแต่ในส่วนจำเลยที่สองก็ให้รับผิดตามจำนวนเดิม
1316/2526
เช็คพิพาทได้ถูกแก้ไขตัวเลขและตัวหนังสือที่เขียนไว้ในช่องระบุจำนวนเงินให้มีจำนวนเงินสูงขึ้นหลังจากที่จำเลยได้ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คแล้ว โดยจำเลยมิได้ยินยอมด้วย แต่การแก้ไขเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ไม่ประจักษ์ จำเลยในฐานะผู้สลักหลังย่อมมีความรับผิดเพียงจำนวนเงินเดิมในขณะที่จำเลยสลักหลังเช็คเท่านั้น
ประเด็นที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง สมมุติว่า โจทก์นี้ฟ้องจำเลย ให้รับผิดใช้เงินตามเช็ค โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์รับโอนเช็คมาเป็นเช็คผู้ถือโจทก์ก็เอาเช็คมา เรียกเก็บเงินโจทก์ก็เลยฟ้องผู้สั่งจ่ายให้รับผิดตามเช็ค ก็ต่อสู้ว่ามีการแก้ไขจำนวนเงิน ไม่ประจักษ์คือไม่รู้เลย ปรากฏว่าจากทางนำสืบ ผู้ทรงเป็นคนแก้เอง แต่ไม่ประจักษ์ ถามว่าผู้ทรงจะฟ้องผู้สั่งจ่ายให้รับผิดตามเนื้อความเดิมแห่งตั๋วฯนั้นได้หรือไม่
จึงๆไม่ต้องสับสนเลย วรรคสามก็บอกว่า ต้องเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคือ เป็นผู้ทรงที่สุจริตนั่นเอง
แต่หากตั๋วเงินใดได้มีผู้แก้ไข เปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์ และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ทรงคนนั้นจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้เสมือนดังว่ามิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋วนั้นก็ได้
เพราะฉะนั้นจำหลักไว้นิดหนึ่งนะครับ ว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่ไม่ประจักษ์ ซึ่งผู้ทรงมีสิทธิบังคับได้ ต้องเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายด้วย วันนี้เราพอแค่นี้