...บริษัท ก. ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับโจทก์และบริษัท ข. ทำสัญญาปลูกสร้างบ้านและรั้วบ้าให้กับโจทก์ บริษัท ข. ผิดสัญญา เหตุใดบริษัท ก. จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาปลูกสร้างบ้านทั้งที่มิได้เป็นคู่สัญญา...
ศึกษาวิเคราะห์จากคำพิพากษาฎีกาที่ 3216/2554
ตัวบท ป.พ.พ. ที่นำมาใช้ประกอบการวินิจฉัย
คือ
มาตรา 291 (ลูกหนี้ร่วม)
มาตรา 297 (สัญญาอันมีบุคคลหลายคนร่วมผูกพันตนในการชำระหนี้)
มาตรา 377, 378(2), 379, 383 (มัดจำ
เบี้ยปรับ)
มาตรา 391 (ผลของการเลิกสัญญา)
ข้อเท็จจริง (โปรดอ่านตัวบทดังกล่าวข้างต้นก่อนที่จะศึกษาวิธีการนำไปใช้แสดงเหตุผล
1. จำเลยเป็นเจ้าของบ้านจัดสรรโครงการสิรธานี
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2537 โจทก์ทั้งสองทำหนังสือจองซื้อที่ดินพร้อมบ้านพิพาทในราคา
2,843,600 บาท กับจำเลย ชำระเงินในวันจองจำนวน 20,000
บาท ต่อมาในวันที่ 4 ธันวาคม 2537 โจทก์ทั้งสองทำสัญญาจะซื้อจะขายและพัฒนาที่ดินแปลงพิพาทกับจำเลยในราคา 1,839,600
บาท โดยชำระเงินงวดที่ 1 ในวันทำสัญญาจำนวน 32,500
บาท ชำระงวดที่ 2 ถึงงวดที่ 15 งวดละ 20,150 บาท งวดสุดท้ายชำระ 42,068 บาท รวมเป็นเงิน 324,168 บาท ส่วนที่เหลืออีก 1,462,932
บาท จะชำระในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์
และในวันเดียวกันนั้นโจทก์ทั้งสองทำสัญญาว่าจ้างปลูกบ้าน ต่อเติมบ้าน
และก่อสร้างรั้วบ้านพิพาทกับบริษัท เทอร์ร่าวิสต้า จำกัด รวมเป็นเงิน 626,897
บาท ต่อมาวันที่ 28 มิถุนายน 2541 โจทก์ทั้งสองตรวจรับมอบบ้านและวันที่ 11 พฤษภาคม 2544
โจทก์ทั้งสองมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย
โดยก่อนหน้านี้จำเลยส่งหนังสือบอกกล่าวนัดโอนกรรมสิทธิ์แต่ส่งให้โจทก์ทั้งสองไม่ได้
2. โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามสัญญาจะซื้อจะขายจำนวน
641,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ........
2.1 การยื่นฟ้องของโจทก์ทั้งสองโดยยื่นมาในคำฟ้องฉบับเดียวกันเช่นนี้
เป็นไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 59 ด้วยเหตุผลที่โจทก์ทั้งสองมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี
2.2 ลักษณะคำฟ้องเช่นนี้ต้องนำคดีไปยื่นต่อศาลตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 4(1) คือสถานที่มูลคดีเกิด (คดีนี้ คือ
ที่ทำสัญญา) หรือฟ้องยังศาลซึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลย ซึ่งปรากฏคดีนี้
หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามิใช่คำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4
ทวิ
แต่อย่างใดและยังปรากฏว่าจำเลยคดีนี้เป็นนิติบุคคลซึ่งนิติบุคคลจะมีภูมิลำเนาอยู่ที่ใดต้องเป็นไปตาม
ป.พ.พ. มาตรา 68, 69 และให้พิจารณาศึกษาฎีกาต่อไปนี้เพิ่มเติม
คำพิพากษาฎีกาที่ 484/2507
ป.พ.พ. มาตรา 71, 1096, 1098
(2), 1111 (7)
อันบริษัทจำกัดนั้น
นอกจากสำนักงานใหญ่แล้ว จะมีสำนักงานสาขาที่ใดอีกก็ได้
และสาขาบริษัทใดก็คือส่วนหนึ่งของบริษัทนั้นนั่นเองไม่ต้องมีการจดทะเบียนให้สาขาเป็นบริษัทขึ้นอีก
คำพิพากษาฎีกาที่ 99/2524
ป.พ.พ. มาตรา 45, 71ป.วิ.พ. มาตรา 4 (2), 5 วรรคสอง
จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการค้าเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด
มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่การติดต่อซื้อขายไม้รายพิพาทโจทก์เคยติดต่อกับจำเลยที่
1 ที่บ้านเลขที่ 195 ถนนข้าวสาร
กรุงเทพมหานคร ถือได้ว่าบ้านเลขที่ 195 ดังกล่าว
เป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 อีกแห่งหนึ่งในการติดต่อค้าขาย
กับโจทก์ในกรุงเทพมหานคร และในกรณีเช่นนี้ แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานครโจทก์ก็ย่อมฟ้อง
จำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) และ มาตรา 5 วรรคสอง
คำพิพากษาฎีกาที่ 1369/2525
ป.พ.พ. มาตรา 71
ป.วิ.พ. มาตรา 4
จำเลยเป็นบริษัทอยู่ต่างประเทศ
ได้มอบให้สำนักงานสาขาในประเทศไทยยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ดังนี้
ถือว่าบริษัทจำเลยมีภูมิลำเนาในส่วนกิจการนี้ในประเทศไทยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 71 โจทก์จึงฟ้องจำเลยเรื่องเครื่องหมายการค้าในศาลไทยได้
ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(2)
2.3 การยื่นคำฟ้องของโจทก์
โจทก์จะต้องเตรียมเงินค่าขึ้นศาล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 150 วรรคแรก
และเงินค่านำหมายเพราะในทางปฏิบัติศาลจะสั่งคำฟ้องในทำนองว่า “รับฟ้อง หมายส่งสำเนาให้จำเลย ให้โจทก์นำส่งภายใน 5 วัน
ส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงภายใน 7 วันนับแต่วันส่งไม่ได้
มิฉะนั้น ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง”
3. คดีนี้
จำเลยได้ยื่นคำให้การและขอให้ศาลยกฟ้อง
3.1 การที่จำเลยยื่นคำให้การนั้นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขใน
ป.วิ.พ. มาตรา 177 (โปรดอ่านตัวบทนี้ก่อน)
3.2 ในทางปฏิบัติศาลจะสั่งคำให้การของจำเลยทำนองว่า
“รับคำให้การ สำเนาให้โจทก์ นัดชี้สองสถาน
หมายแจ้งวันนัดให้โจทก์ทราบ ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด
4. เมื่อศาลสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 506,897 บาทแก่โจทก์ทั้งสอง
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ........ และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง.............
4.1 ประเด็นที่ศาลพิพากษาให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสองนั้นเป็นไปตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 161 และการสั่งตามมาตรา 161 จะมีผลไปยัง ป.วิ.พ. มาตรา 229 ซึ่งเรียกว่าค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทน
เงินส่วนนี้หากจำเลยจะอุทธรณ์ต้องนำมาวางพร้อมอุทธรณ์เสมอ
หากไม่นำมาวางจะเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่งผลให้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้เลย
4.2 ผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นเช่นนี้
มีผลกระทบต่อทุนทรัพย์ในส่วนของโจทก์ กล่าวคือ เดิมโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาให้ 641,250
บาท เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพียง 506,897 บาท เช่นนี้ ทุนทรัพย์ของโจทก์ในชั้นอุทธรณ์คือ นำจำนวนเงินที่ขอในคำฟ้อง
(641,250 บาท) ลบด้วย จำนวนเงินที่ศาลพิพากษาให้ (506,897
บาท) ส่วนทุนทรัพย์ของจำเลยในชั้นอุทธรณ์ จะเท่ากับ 506,897 บาท ดังนั้น เมื่อจำเลยจะอุทธรณ์จะต้องนำค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. คือ ร้อยละ 2 ของเงิน 506,897 บาท ซึ่งเงินอัตราร้อยละ 2 นี้
หากจำเลยไม่นำมาวางหรือมาวางไม่ถูกต้อง ศาลจะต้องใช้อำนาจตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18
วรรคสองสั่งให้จำเลยผู้อุทธรณ์มาวางให้ถูกต้องก่อนเสมอ
5. คดีนี้ จำเลยยื่นอุทธรณ์
ซึ่งจำเลยต้องดำเนินการตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229
5.1 เมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์แล้ว
ทางปฏิบัติศาลจะสั่งอุทธรณ์ของจำเลยทำนองว่า “รับเป็นอุทธรณ์ของจำเลย
สำเนาให้โจทก์แก้ภายใน 15 วัน
ให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้อีกฝ่ายหนึ่งภายใน 5 วัน
ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด หากส่งไม่ได้ให้จำเลยแถลง เพื่อดำเนินการต่อไปภายใน 15
วันนับแต่วันส่งไม่ได้ หากไม่แถลงถือว่าทิ้งฟ้องอุทธรณ์”
5.2 ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์ทั้งสองจำนวน 386,897 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี .......
ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
5.3 ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ในประเด็นพิพากษาแก้ เป็นไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 242(4)
6. ปรากฏว่าทั้งโจทก์และจำเลยต่างฎีกา
ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจในจุดนี้ คือ
การที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาตอนหนึ่งที่ว่า “จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเนื่องจากโจทก์ทั้งสองไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหนังสือบอกกล่าว
โจทก์ทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์
ประเด็นเรื่องจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น” ส่งผลให้ประเด็นนี้โจทก์จะยกขึ้นเพื่อให้ศาลฎีกาพิจารณาอีกไม่ได้ด้วยเหตุผลว่า
“ประเด็นยุติ” ซึ่งเหตุผลนี้ไม่ได้บัญญัติไว้ใน
ป.วิ.พ. มาตรา 248 หรือ 249 แต่ประการใด
ซึ่งผู้ศึกษาต้องระมัดระวังเหตุผลในการตอบ
7. คดีนี้มีประเด็นขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาและศาลฎีกาได้วินิจฉัยวางหลักและวิธีการใช้กฎหมาย
ดังต่อไปนี้
7.1 โจทก์ทั้งสองกับจำเลยเป็นคู่สัญญาตามสัญญาจะซื้อจะขายและพัฒนาที่ดินโดยโจทก์ทั้งสองผู้จะซื้อสัญญาว่า
จะว่าจ้างผู้จะขายหรือบริษัทในเครือของผู้จะขายเป็นผู้ปลูกสร้างโดยจะใช้แบบของผู้จะขายเท่านั้น
ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาที่คู่สัญญาจะต้องปฏิบัติตาม
ต่อมาโจทก์ทั้งสองได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท ท. (เทอร์ร่าวิสต้า จำกัด)
ปลูกสร้างบ้านลงบนที่ดินที่โจทก์ทั้งสองทำสัญญาดังกล่าว จำเลยและบริษัท ท.
ต่างมีกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนเช่นเดียวกัน
สำนักงานที่ตั้งก็เป็นสถานที่แห่งเดียวกัน
ผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญาจะซื้อจะขายและพัฒนาที่ดินและสัญญาว่าจ้างปลูกสร้างบ้านก็เป็นพยานชุดเดียวกัน
เห็นได้ว่าบริษัท ท.
เป็นบริษัทในเครือของจำเลยตรงตามที่ระบุไว้ในเงื่อนไขต่อท้ายสัญญา จำเลยกับบริษัท
ท. ต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันในการขายที่ดินและบ้านพิพาทรายนี้
โดยแบ่งแยกกันทำหน้าที่ดำเนินการในด้านต่างๆ ถือว่าจำเลยและบริษัท ท.
มีผลประโยชน์ร่วมกันในการจัดสรรที่ดินและบ้านที่โจทก์ทั้งสองจองซื้อจากจำเลย
จึงต้องร่วมกันผูกพันตามสัญญาดังกล่าวต่อโจทก์ทั้งสองอย่างลูกหนี้ร่วม ดังนั้น
โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยแต่ผู้เดียวให้รับผิดตามสัญญาทั้งหมดดังกล่าวแล้วได้
(หมายเหตุ :ในประเด็นตามข้อ 7.1
นั้น ศาลฎีกาได้อ้างเหตุผลทำนองที่ได้บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 297
ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้าในสัญญาอันหนึ่งอันใดมีบุคคลหลายคนร่วมกันผูกพันตนในอันจะกระทำการชำระหนี้ไซร้
หากกรณีเป็นที่สงสัย ท่านว่าบุคคลเหล่านั้น จะต้องรับผิดเช่นอย่างเป็นลูกหนี้ร่วมกัน
แม้ถึงว่าเป็นการอันจะแบ่งกันชำระหนี้ได้”)
7.2 ศาลฎีกาได้พิจารณาในประเด็นต่อไปว่า
“เมื่อโจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาแต่ฝ่ายเดียวเพราะไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามระยะเวลาที่กำหนด
ซึ่งตามสัญญาจะซื้อจะขายและพัฒนาที่ดินให้ถือว่าสัญญาเป็นอันยกเลิกโดยโจทก์ทั้งสองผู้จะซื้อยินยอมให้จำเลยผู้จะขายริบเงินที่ได้ชำระไว้แล้วทั้งหมดเช่นนี้
คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม
ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ทั้งสองชำระเงินจำนวน
20,000 บาทให้แก่จำเลยในวันจองถือว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่โจทก์ทั้งสองได้ส่งมอบให้แก่จำเลยเพื่อเป็นพยานหลักฐานและเป็นการประกันในการปฏิบัติตามสัญญา
จึงเป็นมัดจำ ส่วนเงินที่โจทก์ทั้งสองชำระอีกจำนวน 32,500 บาท
ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขายนั้น ตามสัญญาดังกล่าวระบุให้ถือว่าเป็นการชำระหนี้งวดที่ 1
ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่โจทก์ทั้งสองชำระค่าที่ดินและค่าพัฒนาที่ดินตามสัญญา
มิใช่เป็นการให้ไว้เพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญาจึงมิใช่ค่ามัดจำ
ดังนั้นเมื่อโจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาและสัญญาเป็นอันยกเลิกแล้ว
จำเลยจึงมีสิทธิริบมัดจำจำนวน 20,000 บาทได้ ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 378(2)”
7.3 ศาลฎีกาได้พิจารณาในประเด็นต่อไปว่า
“โจทก์ทั้งสองชำระค่าที่ดิน ค่าจ้างปลูกสร้างบ้าน
ค่าสร้างรั้ว และค่าต่อเติมบ้านเป็นเงิน 606,897 บาท
ซึ่งเงินจำนวนนี้จำเลยจะต้องให้โจทก์ทั้งสองกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม
แต่การที่โจทก์ทั้งสองกับจำเลยตกลงกันว่าถ้าโจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา
สัญญาเป็นอันยกเลิก
โจทก์ทั้งสองยินยอมให้จำเลยริบเงินที่ได้ชำระไว้แล้วทั้งหมดข้อตกลงดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่กำหนดเป็นจำนวนเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 และถ้าเบี้ยปรับสูงเกินส่วน
ศาลมีอำนาจลดลงให้เหลือเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383
7.4 ศาลฎีกาได้พิจารณาประเด็นต่อไปว่า
การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ
7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า
เมื่อโจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยจึงมีสิทธิริบเงินที่โจทก์ทั้งสองชำระไปแล้วได้ตามสัญญาเมื่อศาลฎีกาพิพากษาลดเบี้ยปรับลงตาม
ป.พ.พ.มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
โดยให้จำเลยคืนเบี้ยปรับบางส่วนให้แก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงหามีสิทธิได้ดอกเบี้ยจากเบี้ยปรับที่ได้รับคืนนั้นไม่
เพราะการที่จำเลยริบเงินดังกล่าวไว้เป็นการใช้สิทธิตามสัญญาโดยชอบ
หมายเหตุ
1. ประเด็นมัดจำให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้เพิ่มเติม
คำพิพากษาฎีกาที่ 7122/2549
ป.พ.พ. มาตรา 377, 378 (2),
379, 383 วรรคหนึ่ง, 391
คำว่า “มัดจำ”
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 377 คือทรัพย์สินซึ่งได้ให้ไว้ในวันทำสัญญา
ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ให้ไว้ในวันอื่น สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ข้อ 3 ระบุว่า ในวันทำสัญญาโจทก์ผู้จะซื้อได้วางเงินมัดจำไว้ส่วนหนึ่งเป็นเงิน 10,000
บาท ส่วนที่เหลือจำนวน 914,000 บาท
จะชำระเป็นงวดรายเดือน จำนวน 10 เดือน ดังนั้น
เงินที่วางมัดจำไว้ในวันทำสัญญาดังกล่าวจึงมีเพียง 10,000 บาท
เท่านั้น ส่วนเงินค่างวดที่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยทั้งสามอีก 10 งวด เป็นเงิน 170,000 บาท นั้น
แม้ตามสัญญาจะระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินมัดจำ ก็ไม่ใช่เงินมัดจำตามความหมายดังกล่าว
แต่เป็นเพียงการชำระราคาที่ดินบางส่วน
เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยทั้งสามบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์แล้ว
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวจึงเป็นอันเลิกกัน
จำเลยทั้งสามจึงมีสิทธิริบเงินมัดจำจำนวน 10,000 บาท ได้ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 378 (2) ส่วนเงินที่โจทก์ชำระค่าที่ดินบางส่วนดังกล่าว
จำเลยทั้งสามต้องให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391
แต่การที่โจทก์และจำเลยทั้งสามตกลงกันให้ริบเงินดังกล่าวได้ตามสัญญาข้อ
13 ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่กำหนดเป็นจำนวนเงินตาม
ป.พ.พ. มาตรา 379 ถ้าสูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาฎีกาที่ 3301/2547
ป.พ.พ. มาตรา 378 (2), 379, 391
โจทก์ชำระเงินจำนวน 30,000 บาท ให้แก่จำเลยในวันจอง และจำนวน 120,000 บาท
ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดิน ดังนั้น เงินจำนวน 150,000 บาท จึงเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ได้ให้แก่จำเลยแล้วในวันทำสัญญา
เพื่อให้จำเลยยึดไว้เป็นการชำระหนี้บางส่วนและเป็นประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญาจึงถือเป็นมัดจำ
ส่วนหลังจากวันทำสัญญาจะซื้อจะขายแล้ว โจทก์ยังผ่อนชำระให้แก่จำเลยรวม 12 งวด เป็นเงิน 840,000 บาท ย่อมไม่อาจถือเป็นมัดจำ
แต่เป็นเพียงการชำระราคาบ้านและที่ดินบางส่วน ดังนั้น
เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและจำเลยบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์แล้ว
สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงเป็นอันเลิกกัน จำเลยจึงมีสิทธิริบมัดจำจำนวน 150,000
บาท ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 378 (2) และเมื่อสัญญาจะซื้อจะขายเลิกกัน
เงินที่โจทก์ชำระค่าบ้านและค่าที่ดินบางส่วนดังกล่าวต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตาม
ป.พ.พ. มาตรา 391 การที่โจทก์และจำเลยตกลงกันว่า
ถ้าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อจำเลยบอกเลิกสัญญาแล้วให้เงินที่โจทก์ชำระมาแล้วทั้งหมดตกเป็นของจำเลยได้นั้น
ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่กำหนดเป็นจำนวนเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 379
และถ้าเบี้ยปรับสูงเกินสมควร
ศาลก็มีอำนาจลดลงให้เหลือเป็นจำนวนพอสมควรได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 3053/2545
ป.พ.พ. มาตรา 377, 453
ป.อ. มาตรา 36
หนังสือสัญญาซื้อขายมีข้อความว่า
จำเลยที่ 2 ซื้อรถยนต์ของกลางไปในราคา 90,000 บาท โดยผู้ซื้อจะทำการโอน ย้าย ต่อภาษี พระราชบัญญัติเองทุกอย่าง
แสดงว่าหลังจากทำสัญญาแล้ว
ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์หมดภาระหน้าที่เกี่ยวกับการซื้อขายรถยนต์ของกลางอีกต่อไป
ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดแม้ในสัญญาจะระบุว่า
วันทำสัญญาผู้ซื้อวางมัดจำ 60,000 บาท
ส่วนที่เหลือจะชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วันก็ตาม
แต่ก็มีข้อความต่อไปว่า
หากไม่ชำระถือว่าผู้ซื้อผิดสัญญายอมให้ผู้ขายฟ้องร้องได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวและยอมให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15
ต่อปี นับแต่วันผิดสัญญา แสดงว่าการชำระเงิน 2 งวดดังกล่าวเป็นเพียงการแบ่งชำระราคาซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ซื้อเท่านั้น
มิใช่เป็นการวางมัดจำ
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการซื้อขายรถยนต์ของกลางระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางตกเป็นของจำเลยที่ 2
ตั้งแต่วันทำสัญญา ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง
คำพิพากษาฎีกาที่ 1336/2545
ป.พ.พ. มาตรา 204, 215, 222,
224 วรรคหนึ่ง, 377, 378, 391, 456 วรรคสอง
โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายตึกแถวกัน
ต่อมาจำเลยปลูกสร้างตึกแถวเสร็จพร้อมที่จะโอนให้แก่โจทก์แล้ว
แต่โจทก์ไม่ยอมชำระราคาส่วนที่เหลือแก่จำเลย
ทั้งโจทก์ยังขอร้องให้จำเลยช่วยบอกขายตึกแถวดังกล่าวให้ด้วยแสดงว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะชำระราคาส่วนที่เหลือแก่จำเลยมาตั้งแต่แรก
แม้จะได้ความว่าในช่วงเวลาดังกล่าวทั้งโจทก์และจำเลยต่างมิได้ถือเอาเงื่อนไขในการชำระหนี้เป็นสาระสำคัญเพราะจำเลยกำลังบอกขายตึกแถวให้แก่ผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของโจทก์ก็ตาม
แต่ก็ไม่แน่นอนว่าจำเลยจะสามารถขายตึกแถวให้เป็นผลสำเร็จได้ โจทก์จึงย่อมมีเวลาเพียงพอในการเตรียมเงินให้พร้อมเพื่อชำระให้แก่จำเลย
การที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินที่ค้างอยู่จำนวน 2,000,000 บาท ภายใน 15 วันนับแต่วันได้รับหนังสือ
อันเป็นเวลาหลังจากที่จำเลยปลูกสร้างตึกแถวแล้วเสร็จและพร้อมที่จะโอนให้โจทก์เกือบ
1 ปี ซึ่งเป็นการบอกกล่าวให้โจทก์ชำระหนี้ภายในเวลาอันควรแล้ว
เมื่อหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินระบุว่าหากพ้นกำหนด
15 วันแล้ว
โจทก์ไม่ชำระให้ถือเอาหนังสือฉบับนั้นเป็นการแสดงเจตนาเลิกสัญญา
การที่โจทก์ไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือภายในเวลาดังกล่าว
สัญญาจะซื้อจะขายตึกแถวจึงเป็นอันเลิกกัน อันเป็นผลจากการที่จำเลยแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาไปยังโจทก์
หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์จำเลยสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันในภายหลังไม่
เมื่อสัญญาเลิกกันแล้วโจทก์และจำเลยต้องให้แต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม
โดยจำเลยมีหน้าที่คืนเงินที่ได้รับไว้แล้วพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 391 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
เงินดาวน์ 300,000 บาท ที่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยในวันทำสัญญา
ไม่ปรากฏว่าเป็นการให้ไว้เพื่อเป็นประกันการที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญา
จึงต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยล่วงหน้า มิใช่เงินมัดจำที่จำเลยจะริบได้ ทั้งไม่มีข้อสัญญาให้จำเลยมีสิทธิริบเงินที่โจทก์ชำระแล้วด้วย
เมื่อโจทก์เพิกเฉยไม่ชำระหนี้ภายในเวลาตามที่กำหนดไว้ในหนังสือบอกกล่าวโจทก์จึงตกเป็นผู้ผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา
204 วรรคสองจำเลยมีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การที่โจทก์ผิดนัดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 215
ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทราบถึงอัตราดอกเบี้ยร้อยละ
17.5 ต่อปี
ที่จำเลยต้องเสียให้แก่ธนาคารจากการที่โจทก์ผิดนัด
จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นถึงความเสียหายเช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว
จำเลยจะเรียกร้องให้โจทก์รับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวไม่ได้แต่ศาลมีอำนาจคิดคำนวณให้ได้ตามพฤติการณ์แห่งคดีโดยเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของหนี้เงินในระหว่างที่ลูกหนี้ผิดนัดตามมาตรา
224 วรรคหนึ่ง ประกอบกับความสุจริตในการดำเนินคดี
คำพิพากษาฎีกาที่ 2224/2553
ป.พ.พ. มาตรา 366 วรรคสอง, 406
ใบรับเงินมีข้อความว่า “จำเลยตกลงจะขายที่ดินให้โจทก์ โดยมีเงื่อนไขการชำระเงินเป็นเวลา 2 ปี และในวันนี้โจทก์ได้ชำระเงินมัดจำจำนวน 500,000 บาท
ด้วยเช็ค ส่วนที่เหลือจะชำระตามเงื่อนไขสัญญาจะซื้อจะขายที่ทั้งสองฝ่ายจัดทำขึ้นภายใน
30 วัน” เห็นได้ว่า
ใบรับเงินเป็นเพียงหลักฐานการรับเงินมัดจำที่โจทก์ชำระแก่จำเลยเท่านั้น
หลังจากนั้นโจทก์กับจำเลยจะต้องทำสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งจะได้จัดทำขึ้นภายหลังภายใน 30
วัน ตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน แสดงให้เห็นว่า
โจทก์จำเลยมีเจตนาจะทำสัญญาจะซื้อจะขายเป็นหนังสือกันอีก กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติ
ป.พ.พ. มาตรา 366 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ถ้าได้ตกลงกันว่าสัญญาอันมุ่งจะทำนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือไซร้ เมื่อกรณีเป็นที่สงสัยท่านนับว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำขึ้นเป็นหนังสือ”
ดังนั้น
เมื่อโจทก์และจำเลยยังมิได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกันเป็นหนังสือ
สัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงไม่เกิดขึ้น
เงินมัดจำที่จำเลยรับไว้จึงเป็นการรับไว้โดยปรากศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้
จำเลยไม่มีสิทธิริบมัดจำจึงต้องคืนให้โจทก์ฐานลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 406
คำพิพากษาฎีกาที่ 747/2544
ป.พ.พ. มาตรา 138, 377
พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
พ.ศ.2534 มาตรา 4
คำว่า มัดจำ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 377มีความหมายว่าจะต้องเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ให้ไว้แก่กันเมื่อเข้าทำสัญญาซึ่งอาจจะเป็นเงินหรือสิ่งมีค่าอื่นซึ่งมีค่าในตัวเอง
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยระบุว่า
ในวันทำสัญญานี้ผู้จะซื้อได้รับเงินจำนวน 1,788,000 บาท
เพื่อเป็นการวางมัดจำไว้กับผู้จะขายโดยเงินมัดจำดังกล่าวจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้า 3 ฉบับ
และโจทก์นำมาฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.
2534 เพียง 1 ฉบับ
เมื่อเช็คเป็นตราสารซึ่งผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคารให้ใช้เงินเมื่อทวงถามให้แก่ผู้รับเงินจึงเป็นทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา
138 และเป็นสิ่งที่มีค่าในตัวเอง
เพราะสามารถเรียกเก็บเงินหรือโอนเปลี่ยนมือได้
จึงส่งมอบให้แก่กันเป็นมัดจำได้แม้เช็คลงวันที่หลังจากวันทำสัญญา
เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
2. ประเด็นริบมัดจำถ้าฝ่ายวางมัดจำผิดสัญญา
ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้เพิ่มเติม
คำพิพากษาฎีกาที่ 136/2509
ป.พ.พ. มาตรา 377, 381, 386,
453
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้บิดาโจทก์และได้รับเงินมัดจำไปแล้ว
โดยตกลงกันว่าจะไปทำสัญญาซื้อขายกันที่อำเภอภายใน 120 วัน
ถ้าจำเลยผิดสัญญา จำเลยยอมคืนเงินมัดจำและยอมให้ปรับด้วยนั้น
การที่มิได้ปฏิบัติการซื้อขายภายในกำหนดเวลาดังกล่าวเพราะบิดาโจทก์อพยพย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่อื่นโดยไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบทั้งไม่ได้มาขอปฏิบัติการชำระหนี้ภายในกำหนด
ซ้ำยังปล่อยเวลาให้ล่วงพ้นไปเป็นเวลาถึง 6 ปีเศษนั้นตามพฤติการณ์ถือได้ว่าคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายโดยไม่ติดใจเรียกร้องอะไรแก่กันแล้วจำเลยจึงมีสิทธิที่จะริบเงินมัดจำและไม่ต้องเสียเบี้ยปรับให้โจทก์ด้วย(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 22/2508)
คำพิพากษาฎีกาที่ 3088/2526
ป.พ.พ. มาตรา 203, 205, 207,
208, 210, 211, 212, 369, 377, 378, 387, 456
ป.วิ.พ. มาตรา 94
โจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันเป็นหนังสือ
แม้จะมีการวางมัดจำด้วยก็ถือได้ว่าการวางมัดจำเป็นแต่เพียงข้อสัญญาข้อหนึ่งเท่านั้น
หาใช่ทำสัญญากันด้วยการวางมัดจำไม่ การที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลว่ายังมีข้อตกลงเพิ่มเติมว่าจำเลยจะต้องรื้อบ้านหรือไถ่ถอนจำนองก่อนจะมีการโอนกรรมสิทธิ์
จึงเป็นข้อความที่เพิ่มเติมจากสัญญาต้องห้ามมิให้รับฟังและถือไม่ได้ว่ามีข้อตกลงดังกล่าว
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1545/2492)
เมื่อระยะเวลาตามสัญญาได้ล่วงพ้นไปแล้ว
จำเลยได้กำหนดระยะเวลาพอสมควรให้โจทก์ปฏิบัติการชำระหนี้
โดยจำเลยได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ในการโอนที่ดินให้โจทก์ในวันที่กำหนดตามหนังสือบอกกล่าว
จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องมารับโอนและชำระราคาในวันนัด
การที่โจทก์ไม่มารับโอนและไม่ชำระราคาโดยไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ตามกฎหมายจึงถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา
จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและริบมัดจำได้
แม้โจทก์จะกำหนดเวลาโอนขึ้นใหม่ในภายหลังก็ไม่มีผล
คำพิพากษาฎีกาที่ 1092/2509
ป.พ.พ. มาตรา 349, 350, 351,
355, 357, 359, 377, 380, 381
การแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้นั้นต้องทำเป็นสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนใหม่
เพียงแต่บุคคลภายนอกยื่นหนังสือรับรองชำระหนี้แทนจำเลยต่อโจทก์ แต่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำเลยมิได้สั่งการอย่างไร เงียบหายไป
สัญญาแปลงหนี้ใหม่ยังไม่เกิดขึ้น แม้ต่อมาอีกเกือบ 4 ปีโจทก์จะได้ทวงหนี้ของโจทก์ที่มีต่อจำเลยเอากับบุคคลภายนอกนั้น
ก็ไม่ถือว่าโจทก์ได้ยอมรับเอาบุคคลภายนอกนั้นเข้าเป็นลูกหนี้แทนจำเลย
เพราะคำเสนอของบุคคลภายนอกต่อโจทก์สิ้นความผูกพันเพราะล่วงเลยเวลาอันควรคาดหมายว่าจะได้รับคำบอกกล่าวสนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 355หนังสือทวงหนี้ของโจทก์เป็นแต่คำเสนอใหม่เท่านั้น
เมื่อหนี้ใหม่ไม่เกิด หนี้เดิมของจำเลยก็ไม่ระงับไปตามมาตรา 351
เงินมัดจำที่ยังมิได้ชำระให้
เมื่อสัญญาเลิกกันแล้วจะบังคับให้ส่งให้มิได้เพราะสิ้นความผูกพันตามสัญญาเสียแล้ว
เงินมัดจำที่จะรับในกรณีเลิกสัญญาโดยความผิดของฝ่ายวางมัดจำนั้น ต้องได้ให้ไว้แล้ว
เมื่อจำเลยส่งมอบการงานให้โจทก์ไม่ทันตามกำหนดในสัญญาโจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายเท่าจำนวนค่าปรับที่จำเลยสัญญาจะชดใช้ในการที่ชำระหนี้ไม่ตรงตามกำหนดได้ เพราะค่าปรับเป็นค่าเสียหายที่กำหนดกันไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว(อ้างฎีกาที่ 1078/2496
และ 1364/2503)
คำพิพากษาฎีกาที่ 44/2532
ป.พ.พ. มาตรา 378, 388
สัญญาซื้อขายเครื่องปรับอากาศที่กำหนดให้โจทก์ผู้ซื้อตระเตรียมสถานที่สำหรับการติดตั้งเดินสายไฟฟ้าและติดสวิตซ์สำหรับเครื่องปรับอากาศให้แก่จำเลยผู้ขาย
ย่อมเป็นสัญญาที่ถือเอากำหนดเวลาและวิธีการส่งมอบเป็นข้อสาระสำคัญ
เมื่อถึงกำหนดส่งมอบตามสัญญา
โจทก์ไม่มีโรงแรมให้จำเลยเข้าติดตั้งส่งมอบเครื่องปรับอากาศ
เป็นกรณีที่โจทก์ละเลยไม่รับชำระหนี้จากจำเลยโจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 388 และมีสิทธิริบเงินมัดจำตามมาตรา 378(2)
คำพิพากษาฎีกาที่ 566/2551
ป.วิ.พ. มาตรา 142, 224, 378
จำเลยที่ 1 ไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาจะซื้อจะขายให้โจทก์ภายในกำหนดเพราะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจด้านอสังหาริมทรัพย์
โครงการของจำเลยที่ 1 หยุดชะงักไม่มีเงินหมุนเวียนที่จะนำไปไถ่ถอนจำนองจากธนาคารได้ถือได้ว่าจำเลยที่
1 ซึ่งเป็นฝ่ายที่รับมัดจำละเมิดไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 1
จึงต้องคืนเงินมัดจำให้แก่โจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 378 (3) พร้อมดอกเบี้ยระหว่างผิดนัด
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาจะซื้อจะขายภายในวันที่
31 ธันวาคม 2540 เมื่อจำเลยที่ 1
ไม่โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ตามนัด
จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัด
และต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2541
เป็นต้นไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 20 มีนาคม 2540 เป็นต้นไปเป็นการให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยมากกว่าที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามกฎหมาย
ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ศาลฎีกาก็ยกขึ้นปรับแก่คดีได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา
246 และ 247
คำพิพากษาฎีกาที่ 9656/2539
ป.พ.พ. มาตรา 204, 378 (3), 381
สัญญาจะซื้อจะขายข้อ 1 กำหนดว่า จำเลยจะไปทำการโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในวันที่ 27 ธันวาคม 2533 และข้อ 5 กำหนดว่า
จำเลยจะต้องดำเนินการจัดการให้ผู้ที่อาศัยหรือทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทออกไปจากที่ดินพิพาททั้งหมดด้วย
เมื่อปรากฏว่าในวันนัดโอนโจทก์มีเงินค่าที่ดินพร้อมที่จะชำระให้แก่จำเลย
เหตุที่ไม่มีการโอนที่ดินพิพาททั้ง ๆ
ที่โจทก์และจำเลยได้ไปสำนักงานที่ดินในวันนัดโอนเนื่องจากจำเลยยังมิได้จัดการให้
ช.รื้อถอนบ้านและออกไปจากที่ดินพิพาท จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขาย
การที่จำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาในข้อที่ว่าจะไปทำการโอนที่ดินพิพาทในวันนัดโอนแล้ว
เพียงแต่จำเลยจัดการให้ผู้อยู่อาศัยหรือทำประโยชน์ออกไปจากที่ดินพิพาทล่าช้าไปบ้างนั้น
แม้เป็นการผิดสัญญาแต่ก็ไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการละเลยไม่ชำระหนี้เสียทีเดียว
อันจะเป็นผลให้จำเลยต้องส่งคืนเงินมัดจำให้แก่โจทก์ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 378
(3) อีกทั้งตามสัญญาจะซื้อจะขายก็มิได้กำหนดว่า
ถ้าฝ่ายจำเลยผิดสัญญาให้สัญญาจะซื้อจะขายเป็นอันเลิกกันและโจทก์ก็ยังมิได้บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทแต่อย่างใด
เมื่อจำเลยจัดการให้ผู้ที่อยู่อาศัยหรือทำประโยชน์ออกไปจากที่ดินพิพาทแล้ว
จำเลยสามารถโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ได้ การชำระหนี้ไม่เป็นการพ้นวิสัย
โจทก์จึงเรียกมัดจำจำนวน 500,000 บาท คืนจากจำเลยไม่ได้
ส่วนค่าเสียหายซึ่งสัญญาจะซื้อจะขาย
กำหนดว่า ถ้าผู้จะขายเป็นฝ่ายผิดสัญญา
ผู้จะขายยอมให้ผู้จะซื้อฟ้องศาลบังคับคดีได้ทันที
และยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้จะซื้ออีกส่วนหนึ่งเป็นจำนวน 1,000,000 บาท นั้น ค่าเสียหายดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเบี้ยปรับซึ่งกำหนดไว้ในสัญญา และเป็นเบี้ยปรับซึ่งจำเลยผู้เป็นลูกหนี้สัญญาจะให้เมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสมควร
กล่าวคือ ไม่ชำระหนี้ให้ตรงตามที่กำหนดไว้ในสัญญา จึงเป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ.มาตรา
381 จำเลยผิดสัญญาโดยไม่จัดการให้ผู้ที่อาศัยหรือทำประโยชน์ออกไปจากที่ดินพิพาทก่อนวันนัดโอนนอกจากโจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทอันเป็นการชำระหนี้แล้ว
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ยังมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับตามสัญญาจากจำเลยได้ด้วย
แต่เบี้ยปรับที่กำหนดไว้ 1,000,000 บาท นั้น สูงเกินส่วน
ที่ศาลชั้นต้นลดเบี้ยปรับที่จำเลยต้องชดใช้ให้โจทก์ลงเหลือ 100,000 บาท เป็นจำนวนที่สมควรแล้ว
ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระค่าเสียหายหรือเบี้ยปรับเมื่อใด
ถือว่าจำเลยผิดนัดนับแต่วันฟ้อง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยสำหรับเบี้ยปรับจากจำเลยนับแต่วันฟ้อง
3. ประเด็นการกลับคืนสู่ฐานะเดิม ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 391 ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้เพิ่มเติม
คำพิพากษาฎีกาที่ 7618/2552
ป.พ.พ. มาตรา 383, 391
ป.วิ.พ. มาตรา 161
เมื่อสัญญาเลิกกัน
คู่สัญญาต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะเดิม
การกำหนดค่าของงานที่จะต้องชดใช้แก่กัน จึงมิใช่เป็นค่าตอบแทนหรือค่าเสียหาย
แต่เป็นหนทางหนึ่งที่จะสามารถทำให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิมได้
ส่วนค่าของงานที่จะชดใช้แก่กันนั้น
ก็ต้องพิจารณาจากมูลค่าของงานที่โจทก์ทำให้แก่จำเลยตามความเป็นจริง
จะยึดเอาค่าจ้างที่จะต้องชำระตามงวดงานที่กำหนดไว้ในสัญญาที่เลิกกันแล้วมาเป็นหลักเกณฑ์อีกไม่ได้
เพราะค่าจ้างที่กำหนดให้ชำระตามสัญญานั้นอาจมีการกำหนดสิ่งที่มิใช่ค่าของงานลงไปด้วย
ที่โจทก์และจำเลยตกลงกันว่า
จะใช้เงินจำนวนหนึ่ง เมื่อไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้องสมควร
ถือเป็นเบี้ยปรับ หากสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 383
ความรับผิดในชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียม
ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจให้ฝ่ายใดเป็นผู้เสียก็ได้
โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการดำเนินคดี
คำพิพากษาฎีกาที่ 3753/2546
ป.พ.พ. มาตรา 391
พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/29
เจ้าหนี้กล่าวหาว่าลูกหนี้ผิดสัญญาจะซื้อขายและได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังลูกหนี้
ลูกหนี้มิได้โต้แย้งแต่ประการใด จึงรับฟังได้ว่าลูกหนี้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเจ้าหนี้จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญา
และผลของการเลิกสัญญาคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา
391 ลูกหนี้ต้องคืนเงินที่ได้รับชำระไว้จากเจ้าหนี้
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี
นับแต่วันที่ลูกหนี้รับไว้
แม้ลูกหนี้จะมีหนังสือแจ้งให้เจ้าหนี้ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญา
และเจ้าหนี้ได้ติดต่อกับลูกหนี้และทำบันทึกข้อตกลงกันอย่างไร
ก็เป็นเอกสารที่ได้กระทำขึ้นภายหลังที่สัญญาเลิกกันแล้ว
จึงไม่มีผลผูกพันเจ้าหนี้และลูกหนี้แต่ประการใด
เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5196/2548
ป.พ.พ. มาตรา 387, 391, 798,
823
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายและพัฒนาที่ดินกับจำเลย
โจทก์ผ่อนชำระเงินดาวน์แก่จำเลยครบถ้วนตามสัญญาและต่อมาจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมทั้งให้นำเงินที่เหลือไปชำระ
แสดงว่าจำเลยได้ยืนยันต่อโจทก์ว่าจำเลยได้พัฒนาที่ดินเสร็จเรียบร้อยแล้ว
จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่โจทก์ตามกำหนดนัด
ส่วนที่หนังสือของจำเลยระบุว่าก่อนถึงวันนัดให้โจทก์มีหนังสือแจ้งแก่จำเลยก่อนวันที่กำหนดในหนังสือเพื่อเป็นการยืนยันว่าจะไปรับโอนกรรมสิทธิ์นั้นเป็นเรื่องที่จำเลยกำหนดขึ้นเองฝ่ายเดียว
โดยไม่มีเงื่อนไขดังกล่าวระบุในสัญญา อย่างไรก็ตามการที่โจทก์มีหนังสือแจ้งไปยังจำเลยว่าจำเลยยังพัฒนาที่ดินไม่เรียบร้อย
แต่โจทก์ก็พร้อมที่จะไปรับโอนกรรมสิทธิ์ตามวันเวลาที่จำเลยกำหนดนัด
เพียงพอที่จะถือได้ว่าโจทก์มีหนังสือตอบรับยืนยันไปยังจำเลยแล้ว
เมื่อจำเลยมิได้ไปตามกำหนดนัดจึงถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกร้องค่าเสียหายได้
การบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินในกรณีเช่นนี้ไม่มีบทกฎหมายใดบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือ
การมอบอำนาจให้บอกเลิกสัญญาจึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือเช่นกัน
การที่โจทก์ได้เบิกความยืนยันในชั้นพิจารณาว่าได้มอบหมายให้ทนายโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวและบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย
แสดงให้เห็นถึงเจตนาของโจทก์ว่าได้ยอมรับการกระทำของทนายความที่กระทำแทนโจทก์ในกรณีดังกล่าว
ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันตาม ป.พ.พ. มาตรา 823 การบอกเลิกสัญญาจึงชอบแล้ว
โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและการบอกเลิกสัญญาของโจทก์มีผลสมบูรณ์แล้ว
แม้ต่อมาจำเลยจะมีหนังสือนัดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอีกครั้งหนึ่งและโจทก์ไปที่สำนักงานที่ดินตามกำหนดนัดดังกล่าว
ก็เป็นเพียงการให้โอกาสแก่จำเลยในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาข้อพิพาทกันอีกต่อไป
แต่ปรากฏว่าฝ่ายจำเลยก็ยังผิดนัดอีก
พฤติการณ์ดังกล่าวถือไม่ได้ว่าโจทก์ไม่ติดใจที่จะเลิกสัญญากับจำเลยอีกต่อไป
เมื่อเลิกสัญญาต่อกันแล้วคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจึงต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม
ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง
ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องคืนเงินที่ได้รับให้แก่โจทก์และต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันที่รับไว้ด้วยซึ่งการคิดดอกเบี้ยในกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เป็นการคิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัด
แต่เป็นเรื่องที่จำเลยประพฤติผิดสัญญา และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแล้ว
โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ แม้ตามสัญญาจะซื้อจะขายจะไม่ได้กำหนดเรื่องดอกเบี้ยที่โจทก์จะคิดจากจำเลยในกรณีที่จำเลยผิดสัญญาไว้ก็ตาม
แต่โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ตามมาตรา 391 วรรคสอง
คำพิพากษาฎีกาที่ 1789/2532
ป.พ.พ. มาตรา 391
ป.วิ.พ. มาตรา 142
การที่โจทก์ผู้จะขายได้มอบตึกแถวและที่ดินที่จะขายให้แก่จำเลยผู้จะซื้อตั้งแต่วันทำสัญญาจะซื้อจะขายนั้นเป็นการชำระหนี้บางส่วนแก่จำเลย
ถือว่าเป็นการปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายและเป็นผลให้จำเลยได้ใช้ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญา
อันได้แก่การที่โจทก์ยอมให้ใช้ทรัพย์ตามป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคสาม
เมื่อสัญญาเลิกกันจำเลยจะต้องให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะเดิมด้วยการใช้เงินตามควรค่าแห่งการใช้ตึกแถวและที่ดินนั้นแม้โจทก์จะฟ้องเรียกเป็นค่าเสียหายแต่ตามสภาพเป็นการชดใช้ค่าที่ยอมให้ใช้ทรัพย์
ดังนี้ ศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ได้รับการชดใช้ได้.
คำพิพากษาฎีกาที่ 3399/2548
ป.พ.พ. มาตรา 350, 366 วรรคสอง, 391
สัญญาจะซื้อจะขายที่โจทก์ที่ 1 ทำกับจำเลยที่ 1 ไม่ปรากฏว่ามีลายมือชื่อของฝ่ายจำเลยในช่องผู้ขาย
มีเพียงลายมือชื่อโจทก์ที่ 1 ในช่องผู้ซื้อ
ทั้งไม่มีลายมือชื่อพยาน และไม่ได้มีการระบุวันเดือนปีไว้
ในการติดต่อสื่อสารถึงกันก็ไม่ได้มีการอ้างถึงสัญญาดังกล่าว
คงอ้างถึงแต่ใบสมัครเข้าร่วมการก่อสร้างบ้านปันส่วนซึ่งมีข้อความในข้อ 5 ระบุว่า โจทก์ที่ 1 ผู้จองจะต้องทำสัญญากับจำเลยที่ 1 เช่นนี้เป็นกรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 366 วรรคสอง
ดังนั้น สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงไม่สมบูรณ์และไม่มีผลผูกพันโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1
โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่
1 ผูกพันกันตามใบสมัครเข้าร่วมการก่อสร้างบ้านปันส่วน
เมื่อโจทก์ที่ 1 ผิดสัญญาและจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาแล้ว
คู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนว่ามิได้มีสัญญาต่อกันเลย
สิ่งใดที่ส่งมอบกันแล้วก็ต้องคืนให้แก่กันตามมาตรา 391 วรรคหนึ่ง
โจทก์ที่ 1 จึงต้องคืนห้องชุดให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็ต้องคืนค่างวดและเงินดาวน์ให้แก่โจทก์ที่
1 พร้อมดอกเบี้ย และเมื่อปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 ได้ครอบครองและใช้ประโยชน์ในห้องชุดมาตลอดเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการงานอันที่จำเลยที่
1 ได้กระทำให้และเป็นการยอมให้ใช้ทรัพย์สินนั้น โจทก์ที่ 1
จึงต้องชดใช้ด้วยเงินตามควรตามมาตรา 391 วรรคสาม
การที่โจทก์ที่ 1 ได้ขายสิทธิในการผ่อนชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 2 นั้น
ตามมาตรา 350 บัญญัติว่า
แปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้นั้นจะทำเป็นสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนใหม่ก็ได้
แต่จะทำโดยขืนใจลูกหนี้เดิมหาได้ไม่
จากข้อเท็จจริงปรากฏว่าไม่มีการทำสัญญากันระหว่างจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้กับโจทก์ที่
2 ซึ่งจะเข้าเป็นลูกหนี้คนใหม่เลย สัญญาแปลงหนี้ใหม่จึงไม่เกิดขึ้น โจทก์ที่ 1 จึงยังคงเป็นลูกหนี้อยู่เช่นเดิม
4. ผลของการบอกเลิกสัญญา
ให้พิจาณาศึกษาเพิ่มเติมจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 2568/2521
ป.พ.พ. มาตรา 215, 222, 386,
387, 391
สัญญาก่อสร้างตึกแถวมีข้อความว่า
ผู้ก่อสร้าง (จำเลย) ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการขับไล่ผู้อาศัยที่ยังเหลืออยู่อีกสองรายในที่ดิน
ส่วนที่ผู้ให้ก่อสร้าง (โจทก์) ชนะคดีแล้วนั้น
ผู้ให้ก่อสร้างรับผิดชอบขับไล่ให้โดยบังคับคดีภายใน 20 วันนับแต่วันทำสัญญาดังนี้
เมื่อโจทก์ได้ยื่นคำแถลงให้ศาลชั้นต้นดำเนินการบังคับคดีแล้ว ถือได้ว่าโจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีให้ผู้เช่าออกจากตึกแถวแล้วตามสัญญา
มิได้หมายความว่าโจทก์จะต้องขับไล่ผู้เช่าออกไปจากตึกแถวภายใน 20 วันนับแต่วันทำสัญญา ทั้งนี้
เนื่องจากเห็นได้ว่าการทำสัญญาก่อสร้างระหว่างโจทก์จำเลยมิได้มุ่งเรื่องเวลาเป็นข้อสารสำคัญ
หากแต่มีเจตนาผ่อนปรนซึ่งกันและกันตามสมควร
ในกรณีผิดสัญญา
สิทธิของคู่สัญญาที่จะบังคับเอาแก่คู่สัญญาฝ่าที่ผิดสัญญานั้นมีอยู่สองประการ คือ
บังคับให้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามมูลหนี้ประการหนึ่ง
กับบอกเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายอีกประการหนึ่ง
คดีนี้โจทก์อ้างว่าถ้าจำเลยสร้างตึกแถวเสร็จโจทก์จะได้กรรมสิทธิ์และได้ค่าเช่านั้น
เท่ากับโจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา
โจทก์จึงไม่มีสิทธิแต่การที่จำเลยผิดสัญญาทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ที่จะได้รับค่าหน้าดินตามสัญญา ค่าเสียหายที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยได้จึงควรเท่ากับจำนวนเงินดังกล่าว
คำพิพากษาฎีกาที่ 1123/2514
ป.พ.พ. มาตรา 7, 11, 132, 215,
387, 391
สัญญาที่โจทก์จำเลยทำกันไว้ให้โจทก์ก่อสร้างอาคารในที่ดินของจำเลยมีข้อความว่า
" ข้อ 6 ผู้รับสร้างรับรองจะดำเนินการก่อสร้างอาคารตามแบบแปลนท้ายสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน
1 ปี 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญาฯลฯ"
และ " ข้อ 9 หากการก่อสร้างได้ผิดแผกแตกต่างไปจากแบบแปลนท้ายสัญญานี้
และเมื่อผู้ให้สร้างได้บอกกล่าวให้แก้ไขเปลี่ยนแปลง
ผู้รับสร้างจะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามสัญญาภายในกำหนดเวลาอันสมควร
หากผู้รับสร้างมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญานี้ ให้ถือได้ว่าเป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้ให้สร้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้วัสดุภัณฑ์บรรดาที่มีอยู่และสร้างทำลงในที่ดินให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ให้สร้าง
และผู้รับสร้างจะเรียกร้องขอคืนเงินส่วนใด ๆ
บรรดาที่ได้วางชำระไว้แล้วตามสัญญานี้ไม่ ได้" ความในสัญญาดังนี้
จำเลยผู้ให้สร้างจะริบเงินของโจทก์ที่วางไว้ได้ก็เฉพาะแต่กรณีที่การก่อสร้างได้ผิดแผกแตกต่างไปจากแบบแปลนท้ายสัญญา
เมื่อผู้ให้สร้างบอกให้แก้ไขแล้ว ผู้รับสร้างไม่ปฏิบัติเท่านั้น
ส่วนกรณีที่ผู้รับสร้างก่อสร้างไม่เสร็จตามสัญญาข้อ 6 ผู้ให้สร้างจะรับเงินที่วางไว้หาได้ไม่
เพราะนอกเหนือข้อตกลงในสัญญาข้อ 9ทั้งสัญญาข้อ 6 ก็มิได้ตกลงให้ริบได้
จำเลยเป็นฝ่ายใช้สิทธิเลิกสัญญาต่อโจทก์
ซึ่งโจทก์ก็ไม่ขัดข้องสัญญาที่โจทก์จำเลยทำไว้ย่อมเป็นอันเลิกกัน
คู่สัญญาแต่ละฝ่ายย่อมกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมเสมือนดังว่ามิได้มีสัญญาต่อกันเลยและสิ่งใดที่ส่งมอบให้แก่กันไปแล้วก็ต้องคืนให้แก่กัน
แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่าเสียหาย
ในเรื่องผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
เมื่อสัญญาเลิกกันแล้ว
จำเลยก็ต้องคืนเงินที่รับไว้จากโจทก์ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันที่จำเลยได้รับเงินไว้
5. ประเด็นการลดเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ.
มาตรา 383 ให้พิจารณาศึกษาฎีกาต่อไปนี้เพิ่มเติม
คำพิพากษาฎีกาที่ 4330/2554
ป.พ.พ. มาตรา 383, 391
เมื่อสัญญาเลิกกัน
คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายได้กลับคืนฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม
ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้ ให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ
ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่งและวรรคสาม
การที่สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยในข้อ 9 ระบุให้บรรดางานที่โจทก์ได้ทำขึ้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยโจทก์จะเรียกร้องค่าเสียหายใด
ๆ ไม่ได้ เพื่อเป็นผลให้จำเลยไม่ต้องใช้ค่างานแก่โจทก์
จึงเป็นข้อตกลงที่มีลักษณะเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้า อันเป็นเบี้ยปรับ
ซึ่งหากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
หาใช่ว่าจะต้องบังคับตามข้อสัญญาโดยเด็ดขาดเป็นผลให้จำเลยไม่ต้องใช้เงินตามควรค่าแห่งงานแก่โจทก์เสมอไปไม่
คำพิพากษาฎีกาที่ 1888/2551
ป.พ.พ. มาตรา 379
ป.วิ.พ. มาตรา 55
สัญญากู้เงินกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้แน่นอนแล้วจำนวนหนึ่งมีระยะเวลาที่แน่นอนชั่วระยะเวลาหนึ่ง
แต่ยังให้สิทธิผู้ให้กู้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นได้ใหม่เมื่อใดก็ได้เมื่อผู้กู้ผิดนัดมีลักษณะเป็นค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนความเสียหายกำหนดกันไว้ล่วงหน้าเมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควร
จึงเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 เมื่อศาลเห็นว่าสูงเกินส่วนย่อมมีอำนาจลดลงได้
ตามสัญญากู้เงิน ข้อ 5 กำหนดให้ผู้กู้ต้องจัดการเอาประกันภัยทรัพย์ที่จำนองโดยผู้ให้กู้เป็นผู้รับประโยชน์
และในกรณีผู้กู้มิได้จัดทำประกันภัย แต่ผู้ให้กู้เป็นผู้จัดทำประกันภัยแทนผู้กู้
ผู้กู้ยินยอมชำระเงินค่าธรรมเนียมและเบี้ยประกันภัยคืนให้แก่ผู้ให้กู้ก่อนการชำระหนี้ตามสัญญากู้นั้น
กรณีดังกล่าวจะต้องเป็นหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยที่ผู้ให้กู้ได้ชำระแทนไปแล้ว
แต่ที่โจทก์ขอมาตามฟ้องเป็นหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยภายหลังจากวันฟ้อง
ซึ่งยังไม่ถึงกำหนดชำระอันเป็นหนี้ในอนาคตและจะถือว่าจำเลยละเลยไม่ชำระหนี้ยังไม่ได้
จึงยังไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายที่จะฟ้องให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ดังกล่าว
คำพิพากษาฎีกาที่ 3348/2542
พ.ร.บ.ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน
พ.ศ.2523 มาตรา 3, 4, 6
ป.พ.พ. มาตรา 379, 383, 654,
856
เมื่อสัญญากู้เงินฉบับพิพาทมีข้อตกลงว่า
จำเลยผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้ในอัตราร้อยละ 16.25 ต่อปี โดยผ่อนชำระให้ธนาคารโจทก์ผู้ให้กู้เป็นรายเดือนอย่างน้อยเดือนละ 29,000
บาท ภายในวันที่ 11 ของทุกเดือนหากจำเลยประพฤติผิดเงื่อนไขในสัญญา
หรือผิดนัดไม่ชำระหนี้ จำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นอัตราร้อยละ 18.5
ต่อปี ข้อสัญญาดังกล่าวจึงเป็นเรื่อง
ที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้กับจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่าหากจำเลยไม่ชำระหนี้
ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ จำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นได้ดอกเบี้ยที่โจทก์คิดเพิ่มขึ้นจากอัตราร้อยละ
16.25 ต่อปี
นับแต่วันที่จำเลยผิดนัดจึงเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่การที่จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์
เป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 เมื่อศาลเห็นว่าเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วน
ก็ย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจลดเบี้ยปรับนั้นลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตามมาตรา 383 วรรคหนึ่ง
การที่โจทก์ซึ่งเป็นสถาบันการเงินมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากลูกหนี้ในอัตราสูงสุดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยและพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน
พ.ศ. 2523 โดยไม่อยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 654 หาทำให้ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่กำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าเมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ไม่เป็นเบี้ยปรับไม่
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
ประสงค์จะให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าเบี้ยปรับตามสัญญาเหมาะสมและเป็นธรรมหรือไม่หากเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินสมควรก็อาจใช้ดุลพินิจลดจำนวนเบี้ยปรับลงได้
แต่ไม่มีบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตราใดที่ให้อำนาจศาลที่จะงดเบี้ยปรับเสียทั้งหมด
การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราปกติที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ก่อนผิดนัด
จึงมีผลเท่ากับเป็นการงดเบี้ยปรับที่จำเลยต้องรับผิดชำระให้โจทก์เสียทั้งสิ้น
ไม่ต้องด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นสมควร แก้ไขให้ถูกต้อง
คำพิพากษาฎีกาที่ 6776/2541
ป.พ.พ. มาตรา 222, 377, 380,
383
โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกันตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย
จ.1 ซึ่งในสัญญาดังกล่าวข้อ 2 ระบุว่า
คู่สัญญาได้ตกลงราคาที่จะซื้อขายกันคิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 1,750,000 บาท โดยในวันทำสัญญานี้(วันที่ 9 ธันวาคม 2537)
ผู้ซื้อได้วางมัดจำไว้จำนวน250,000 บาท
ซึ่งผู้ขายจะได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไว้ถูกต้องครบถ้วนแล้ว
และผู้ซื้อตกลงจะชำระเงินอีก800,000 บาท ภายในวันที่ 1
มิถุนายน 2538 และสัญญาข้อ 3ระบุว่า เงินส่วนที่เหลือจำนวน 700,000 บาท
คู่สัญญาตกลง จะชำระกันในวันที่ 1 ธันวาคม 2538 และผู้ขายตกลงจะไปทำการ
จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญานี้ให้แก่ผู้ซื้อ
ในวันเดียวกับที่ผู้ซื้อชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือดังกล่าว
ต่อมาปรากฏว่าโจทก์ผิดสัญญาโดยชำระเงินงวดที่ 2 ให้จำเลย
เพียง 100,000 บาท รวมเป็นเงินที่โจทก์ชำระให้จำเลย
ไปทั้งสิ้น 350,000 บาท นอกจากนี้สัญญาจะซื้อขายระหว่างโจทก์
กับจำเลยดังกล่าวมีข้อตกลงด้วยว่า
หากโจทก์ผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งให้จำเลยริบเงินค่าที่ดินที่ชำระไว้แล้วทั้งหมดด้วย
จึงเห็นได้ว่าตามสัญญาจะซื้อขายข้อ 2 และข้อ 3ดังกล่าว โจทก์กับจำเลยตกลงแบ่งชำระราคาที่ดินเป็น 3 งวดงวดแรกกำหนดชำระในวันทำสัญญาจำนวน 250,000 บาทโดยให้ถือเป็นมัดจำด้วย
ส่วนงวดที่ 2 จำนวน 800,000 บาทและงวดที่
3 จำนวน 700,000 บาท จะชำระในภายหลัง
ดังนี้ จึงถือว่ามีการวางเงินมัดจำตามสัญญาดังกล่าวเพียง250,000 บาท เท่านั้น ข้อตกลงในสัญญาจะซื้อขายฉบับพิพาทมีลักษณะเป็นเพียงข้อสัญญากำหนดจำนวนเงินค่าที่ดินที่เหลือที่โจทก์จะต้องชำระให้แก่จำเลยเป็นงวด
ๆ ตามกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า เท่านั้น
ไม่แน่ว่าเมื่อถึงกำหนดเวลาชำระเงินแต่ละงวดโจทก์จะชำระเงินให้จำเลยครบถ้วนหรือชำระมากน้อยเพียงใดดังนี้แม้จะมีข้อสัญญาว่าหากโจทก์ผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งให้จำเลยริบเงินค่าที่ดินที่ชำระไว้แล้วทั้งหมดได้แต่ก็หาได้มีลักษณะเป็นการกำหนดจำนวนเงินค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันจะถือเป็นเบี้ยปรับได้ไม่
ดังนี้เงินตามข้อตกลงในสัญญาจำนวนดังกล่าวจึงมิใช่เป็นเบี้ยปรับที่ศาลจะมีอำนาจลดลงได้
หากแต่เป็นเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งที่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยตามสัญญา
ซึ่งเมื่อข้อสัญญาให้สิทธิจำเลยริบเงินค่าที่ดินที่โจทก์ชำระไว้แล้วได้หากโจทก์ผิดสัญญาและปรากฏว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยย่อมชอบที่จะริบเงินจำนวน
100,000 บาท ได้ทั้งหมดตามข้อสัญญาที่โจทก์ตกลงกับจำเลยไว้
คำพิพากษาฎีกาที่ 2022/2545
ป.พ.พ. มาตรา 339, 383
พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 มาตรา 11 ทวิ)
แม้พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498
มาตรา 11 ทวิ
ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกำหนดให้ผู้ใช้ความถี่วิทยุต้องเสียค่าตอบแทนใช้ความถี่วิทยุ
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกำหนดให้ผู้ใช้ความถี่วิทยุที่ไม่ชำระหรือชำระค่าตอบแทนในการใช้ความถี่วิทยุเกินเวลากำหนดต้องเสียค่าตอบแทนในการใช้ความถี่วิทยุเพิ่มในอัตราร้อยละ
1 ของค่าตอบแทนในการใช้ความถี่วิทยุที่ต้องชำระต่อวันนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดจนถึงวันที่ชำระแล้วเสร็จตามประกาศกระทรวงคมนาคม
เรื่อง กำหนดให้ผู้ใช้ความถี่วิทยุต้องเสียค่าตอบแทนในการใช้ความถี่วิทยุก็ตาม
แต่คดีนี้จำเลยทำสัญญาเช่าใช้เครื่องวิทยุคมนาคมและอุปกรณ์วิทยุคมนาคมไปจากโจทก์
โดยจำเลยต้องชำระค่าเช่าภายในวันที่ 10 ของทุกเดือน
ตามที่ระบุไว้ในสัญญาเช่า จำเลยจะต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. วิทยุคมนาคม ฯ
โดยเคร่งครัดและต้องรับผิดกรณีฝ่าฝืนข้อกำหนดนั้นด้วย ดังนั้น ประกาศกระทรวงคมนาคม
ดังกล่าวจึงเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเช่าตามที่ระบุไว้ในสัญญาเช่า เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าตอบแทนในการใช้ความถี่วิทยุหรือชำระเกินกำหนดจึงต้องเสียค่าตอบแทนในการใช้ความถี่วิทยุเพิ่มในอัตราร้อยละ
1 ของค่าตอบแทนในการใช้ความถี่วิทยุที่ต้องชำระต่อวันนับถัดจากวันที่ครบกำหนดจนถึงวันที่ชำระแล้วเสร็จตามที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่า
ดังนั้น ค่าตอบแทนในการใช้ความถี่วิทยุเพิ่มดังกล่าวจึงเป็นเงินที่จำเลยสัญญาว่าจะใช้ให้แก่โจทก์เป็นเบี้ยปรับเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรตาม
ป.พ.พ. มาตรา 379 เมื่อเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5217-5218/2539
ป.พ.พ. มาตรา 369, 383
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา383วรรคแรกที่บัญญัติว่าเมื่อได้ใช้เงินตามเบี้ยปรับแล้วสิทธิเรียกร้องขอลดก็เป็นอันขาดไปหมายความว่าถ้าผู้ที่จะถูกเรียกให้ใช้เบี้ยปรับยินยอมชำระเบี้ยปรับจำนวนที่เรียกร้องให้แก่ผู้เรียกร้องแล้วย่อมหมดสิทธิที่จะขอลดเบี้ยปรับที่ได้ชำระแล้ว แม้โจทก์จะส่งมอบรถลากและรถหัวลากทั้งสองคันที่มีช่วงห่างระหว่างล้อหน้าและล้อหลังไม่ตรงตามที่ระบุไว้ในสัญญาแต่ก็เป็นไปตามประกาศประกวดราคาซื้อวัสดุและประกาศผลการประกวดราคาซื้อพัสดุของจำเลยเมื่อโจทก์ส่งมอบให้จำเลยแล้วจำเลยก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะไม่รับมอบรถลากและรถหัวลากทั้ง2คันเสียทีเดียวแต่ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคุณภาพของรถดังกล่าวซึ่งคณะกรรมการมีความเห็นว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการตรวจรับและสามารถใช้งานได้แต่เนื่องจากนิติกรของจำเลยเห็นว่าไม่อาจแก้ไขสัญญาได้จำเลยจึงแจ้งให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาแสดงให้เห็นว่าหากนิติกรของจำเลยเห็นว่าให้มีการแก้ไขสัญญาในส่วนที่เกี่ยวกับช่วงห่างระหว่างล้อหน้าและล้อหลังได้จำเลยก็คงแก้ไขสัญญาและยอมรับมอบรถลากและรถหัวลากทั้งสองคันที่โจทก์ส่งมอบให้แล้วซึ่งโจทก์ก็จะไม่ผิดสัญญาเช่นนี้ต้องถือว่าก่อนที่จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาจำเลยยังไม่ได้ปฏิเสธที่จะไม่ยอมรับมอบรถลากและรถหัวลากทั้งสองคันเท่ากับจำเลยยังไม่ถือว่าโจทก์ผิดสัญญา
ขอขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับที่มา : ทบทวนหลักกฎหมายกับอาจารย์ประยุทธ
......................................................................................................................................................
...ท่านเคยมีปัญหาเหล่านี้หรือไม่ ?
- เพิ่งจบปริญญาตรี ไม่รู้จะเริ่มต้นกับการเรียนเนติอย่างไร
- สอบมาหลายครั้งแล้วไม่ผ่านซักที 47 , 48 , 49 คะแนนอยู่นี่หลายครั้งแล้ว เมื่อไหร่จะถึง 50 คะแนนซักที
- อยู่ต่างจังหวัด ทำงานประจำไม่มีเวลาไปนั่งเรียนที่เนติฯ
- สมัครติวเนติทางไปรษณีย์ กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ทันสอบ
- สมัครรับจองคำบรรยายเนติทางไปรษณีย์ กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ทันสอบ
- เดินทางไปเรียนหรือไปติวรถก็ติด...กลับมาก็เหนื่อย
- อยู่ต่างจังหวัดอยากมาเรียนที่ กทม. หรือมาติว...แต่ไม่สามารถมาเรียนหรือมาติวได้เพราะไกลและสถาบันติวก็อยู่หน้ารามกันหมด
....ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป....
..............................................................................................................................
ขอแนะนำ !!
รวมคำบรรยายเนติฯ (ภาคปกติ /ภาคค่ำ/ภาคทบทวนวันอาทิตย์) ภาค 1/65 และ 2/65
- กลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา (ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์
พร้อมเอกสาร สรุปคำบรรยายเนติฯ 1/65 + เอกสารประกอบคำบรรยาย1/65 + บทบรรณาธิการ 1/63, 1/64 และ 1/65 + ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา (สมัยที่ 56-64) พร้อม !! เคล็ดลับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเนติฯ + ระเบียบการเรียนเนติฯ +เทคนิคและแนวการเขียนข้อสอบ, การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่วยฯ/อัยการ
ราคา 380.00 บาท (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี) ฟรี ! สมุดบันทึก
- กลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา (ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์)
พร้อมเอกสาร สรุปคำบรรยายเนติฯ 2/65 + เอกสารประกอบคำบรรยาย 2/65 + บทบรรณาธิการ 2/63, 2/64 และ 2/65 + ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา (สมัยที่ 56-64) พร้อม !! เคล็ดลับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเนติฯ + ระเบียบการเรียนเนติฯ +เทคนิคและแนวการเขียนข้อสอบ, การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่วยฯ/อัยการ
ราคา 380.00 บาท (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี) ฟรี ! สมุดบันทึก
Ø หมายเหตุ : สั่งซื้อทั้ง 2 ภาค ราคาพิเศษ 700 บาท (ส่ง EMS ให้ฟรี) ฟรี !!! สมุดบันทึก + CD แบบร่างสัญญามากกว่า 400 แบบ (file word) + แบบฟอร์มศาล, แบบฟอร์มเอกสารงานบุคคล,เอกสารงานบัญชีและภาษี
สนใจติดต่อ ตุ้ย มือถือ 085-801-0725, E-mail : siripit...@gmail.com
ไม่เก่ง..แต่พยายาม เจ๋ง ! กว่า เก่ง....แต่ขี้เกียจ
ขอให้โชคดีและประสบความสำเร็จกันทุกคนนะคับ....