หากเอกสารสรุปคำบรรยายนี้ มีข้อผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้า kankokub ขออภัยและน้อมรับแต่เพียงผู้เดียว หากจะมีประโยชน์อยู่บ้างขอมอบให้แก่ ท่านอาจารย์ เพ็ง เพ็งนิติ ผู้บรรยาย , ผู้มีน้ำใจส่ง flie เสียงที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้ฟังคำบรรยาย , บิดามารดาข้าพเจ้า ขอบคุณ. http://www.muansuen.com และคุณ admin ที่นำ flie เสียงมาลงแบ่งปันให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
วันพุธที่ 29 ก็สลับกับอาจารย์ที่สอนกฎหมายแรงงาน วันนี้ต่อเรื่องความรับผิดของผู้รับดูแลนอกจากความรับผิดตามมาตรา 429 ซึ่งเราได้ดูไปแล้วนั้น ในคราวที่แล้ว มาตรา 430 บัญญัติว่า
มาตรา 430 ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดีชั่วครั้งคราวก็ดี จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด ซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้น ๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร
อย่างที่บอกว่ามาตรานี้เป็นการเพิ่มบุคคลซึ่งต้องรับผิด จะแตกต่างไปคือมาตรา 429 คือบิดามารดา ผู้รับอนุบาล 430 เป็นหน้าที่นำสืบของผู้เสียหายว่าผู้รับดูแลตามมาตรานี้ไม่ใช่ความระมัดระวังในการดูแล ก็อาจจะแบ่งได้สามลักษณะคือ โดยกฎหมาย โดยสัญญา กับ โดยข้อเท็จจริง
ในโรงเรียนก็มีครูหลายคน ตั้งแต่ครูใหญ่ไปยันครูรอง ครูใหญ่ห่างออกไปแล้วการดูแลคงไม่ใกล้ชิดขนาดนั้น
ปกติเหตุเกิดที่โรงเรียนต้องหมายถึงว่าบิดามารดามอบให้ครูที่โรงเรียนดูแลอยู่แล้ว หน้าที่ดูแลไม่ต้องไปตามที่โรงเรียนมากนัก แต่เรื่องนี้จริงอยู่แม้เกิดเหตุ เกิดที่โรงเรียนแต่เนื่องจากมีพฤติการณ์หรือการกระทำนอกโรงเรียนมาก่อน คือที่บ้าน ว่า เด็กชอบเล่น พลุ จนมีความสามารถทำให้เพื่อนได้
หน้าที่อบรมระหว่างครูบาอาจารย์ กับบิดามารดาตรงที่ว่า ครูมีเพียงหน้าที่สอน ในขณะสอนนั้น เด็กจะจำได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องของเด็กเท่านั้น
หน้าที่ในการสั่งสอนให้เด็กมีการประพฤติดีหย่อนกว่าหน้าที่ของบิดามารดา
ในกรณีที่ลูกจ้างเป็นผู้เยาว์ คือลูกมือฝึกหัด นายจ้างก็มีหน้าที่ระวังไม่ให้เด็กไปทำความเสียหายด้วย
ความยากง่ายในการนำสืบมันจะต่างกัน
การพิสูจน์ตามมาตรา 430 นั้นแม้จะนอกเวลางานแล้ว ไปก่อความเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยละเมิด การพิสูจน์มันจะยากง่ายกว่ากัน
ประเภทที่สามคือผู้รับดูแล นิติสัมพันธ์ระหว่างผู้เยาว์ผู้ทำละเมิด และผู้รับดูแล หากเข้าประเภทที่สามทั้งหมด ความจริงคำว่าครูบาอาจารย์กับนายจ้างไม่ต้องบรรญัติไว้ บอกว่าเข้าผู้ไร้ความสามารถก็น่าจะเพียงพอ ถ้าเป็นผู้รับดูแลแล้วเข้าประเภทที่สาม เข้าผู้รับดูแลกรณีอื่นๆทั่วๆไป บิดานอกกฎหมายเป็นผู้รับดูแลด้วย กรณีที่นำบุตรไปฝาก
เพียงแต่ว่าถ้าได้ข้อเท็จจริงว่าขฯเกิดเหตุ อยู่ในการดูแลของญาติผู้ใหญ่ ก็เข้า มาตรา 429
กรณีอย่างนี้ความจริงก็ช่วยกันดูแล แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่าใครสมควรที่จะดูแลใกล้ชิดกว่ากัน เมื่อบิดาเป็นผู้ดูแลใกล้ชิด ปู่ย่าหรือตายายก็ไม่ต้องรับผิด
สิทธิไล่เบี้ยก็เช่นกัน สามารถไล่เบี้ยจากผู้ไร้ความสามารถได้
อันนี้ก็เป็นข้อสอบสองปีก่อน พอดียังไม่ได้พูดถึง พรบ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ และไม่ได้พูดเรื่องผู้แทนนิติบุคคล มาตรา 76 ข้อสอบก็ไม่ได้มีอะไร เพียงแค่มีประเด็นเยอะเท่านั้น ก็มีถึงเจ็ดประเด็น
ตามหลักคนที่ควรตอบคนแรกคือคนที่ก่อให้เกิดความเสียหายก่อน
มีหลายคนที่ไม่ตอบว่าแม้เด็กชายเบิ้มจะเป็นผู้เยาว์ก็ต้องรับผิดในการทำละเมิดของตน อันนี้ก็ได้หนึ่งคะแนนแล้ว
ต่อไปจะพูดถึงความรับผิดในการทำละเมิดของผู้แทนนิติบุคคล ต่อมาปี 2535 จึงมีการแยกนิติบุคคลกฎหมายมหาชนออกจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ในที่นี้ก็จะพูดเฉพาะนิติบุคคลตามกฎหมายเอกชน คือต้องคนเดียวหรือหลายคน ความประสงค์ย่อมแสดงออกจาก ตัวแทนนิติบุคคล ไม่อาจแสดงเจตนาได้เอง ต้องมีผู้แทนคนหนึ่งหรือหลายคน
การแสดงออกของผู้แทนนิติบุคคลคือแสดงออกในนามนิติบุคคล จึงไม่ใช่ตัวแทน หากมีการตั้งตัวแทน ก็ไม่ใช่เป็นตัวแทนช่วง ก็เป็นตัวแทนโดยตรง
ลักษณะของผู้แทนนิติบุคคลมีลักษณะเหมือนตัวแทนจึงให้นำกฎหมายเรื่องตัวแทนมาบังคับนั่นเอง โดยเฉพาะบริษัทจำกัดมีมาตรา โดยเฉพาะอยู่แล้ว
ต่อไปคือความรับผิดทางละเมิดของผู้ร่วมกระทำ มาตรา 432
มาตรา 432 ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย
อนึ่งบุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำละเมิด ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทำละเมิดร่วมกันด้วย
ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่โดยพฤติการณ์ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น
สำหรับวรรคหนึ่งบอกเป็นเรื่องของตัวการร่วมทำละเมิด ก็ทำนองเดียวกับเรื่องตัวการร่วม ตาม 83 มีได้เฉพาะเจตนา ประมาทมีไม่ได้ ในเรื่องตัวการร่วม ทำนองเดียวกับเรื่องทำละเมิดก็เช่นกัน การละเมิดก็มีได้เฉพาะจงใจ ประมาทร่วมไม่มี
ร่วมประมาททำละเมิดไม่มี ทำนองเดียวกับกฎหมายอาญาที่ไม่มีการประมาทร่วม
แต่เมื่อเป็นความเสียหายอย่างเดียวกันอาจให้ร่วมรับผิดได้ แต่มิใช่การร่วมกันละเมิด
กรณีนี้เป็นเรื่องต่างคนต่างละเมิดก็ขอให้ศาลหมายเรียกมาเป็นจำเลยร่วมได้
วรรคสอง บุคคลที่ยุยงส่งเสริมให้ทำละเมิดก็เป็นผู้ที่ต้องร่วมรับผิดด้วยแบบเดียวกับที่บัญญัติไว้ในกฎหมายอาญา
สิทธิไล่เบี้ย 432 วรรค 3 ก็บอกว่าระหว่างลูกหนี้ร่วม ต้องแบ่งส่วนรับผิดเท่าๆกันเว้นไว้แต่ศาลจะให้รับผิดเป็นอย่างอื่น
ต่อไปคือความเสียหายที่เกิดจากทรัพย์
ขอให้เข้าใจว่าทรัพย์ทำละเมิดไม่ได้ ผู้ที่ทำความเสียหายคือนิติบุคคล สิ่งที่ไม่ใช่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลไม่อาจทำละเมิดหรือถูกทำละเมิด แม้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ ต้องรับผิด มีหน้าที่ดูแลให้รับผิด
ก็มี 5 กรณี
กรณีแรก ความเสียหายที่เกิดจากสัตว์มาตรา 433
มาตรา 433 ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของ จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์ หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่น หรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น
อนึ่งบุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้
ตามมาตรา 433 ถ้าเราแยกองค์ประกอบอธิบายได้ดังนี้
1. สัตว์ นั้นก็ทุกชนิด สัตว์บกสัตว์น้ำก็ใช่ทั้งนั้น ข้อสำคัญตาม 433 ต้องเป็นเป็นสัตว์มีเจ้าของ เพราะตัวบทให้เจ้าของ ผู้รับเลี้ยง รับรักษาแทนเจ้าของต้องรับผิด
2. ผู้รับผิดก็มีสองคนคือเจ้าของคนที่สองก็คือคนที่รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของ ก็ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงว่าขณะนั้นเด็กอยู่ในการดูแลครอบครองของใคร กรณีนี้ผู้เสียหายไม่อาจจะเลือกฟ้อง ไม่เหมือนกับความเสียหาย อย่างยานพาหนะตามวรรคหนึ่ง ตามมาตรา 433 ต้องฟ้อง ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเพียงคนเดียว
การยกเว้นความรับผิดก็ยาวหน่อย ขอยกไว้เป็นวันพุธหน้า