สรุปคำบรรยาย เนติภาคกลางวัน ซื้อขายสัปดาห์ที่1สอนเมื่อ พฤ 28/05/09

527 views
Skip to first unread message

nobita kwang

unread,
Jun 4, 2009, 4:26:46 AM6/4/09
to LAWSIAM, STDศูนย์รวบรวมและสรรสร้างข้อมูลกฎหมาย -

หากเอกสารสรุปคำบรรยายนี้ มีข้อผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้า  kankokub  ขออภัยและน้อมรับแต่เพียงผู้เดียว หากจะมีประโยชน์อยู่บ้างขอมอบให้แก่ ท่านอาจารย์ ศ.ดร.วิษณุ เครืองาม ผู้บรรยาย   , ผู้มีน้ำใจส่ง flie เสียงที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้ฟังคำบรรยาย , บิดามารดาข้าพเจ้า

 

ครั้งที่ 1 . ( สัญญาซื้อขายหรือไม่ )

               

สวัสดีครับนักศึกษาทุกท่านวันนี้เป็นการพบกันเป็นครั้งแรกนะครับ วิชานี้ครอบคลุมเอกเทศสัญญาสองเรื่อง มีผู้บรรยายสองคนคืออาจารย์กับอาจารย์สุทัศน์ ได้ตกลงกันมาอย่างนี้หลายปีแล้ว ว่าอาจารย์รับผิดชอบ เรื่อง ซื้อขาย ส่วนการสอนนั้นจะคู่ขนานหรือคนละครึ่งเทอมก็ เป็นการจัดของสำนักอบรม แต่ส่วนใหญ่ก็คนละครึ่งเทอม

      วิชานี้เป็นเอกเทศสัญญาหนึ่งเป็นวิชาเดียวกัน ข้อสอบหนึ่งข้อสุดแต่ว่าปีใดหรือภาคใด กรรมการจะเลือกเรื่องใด

โดยทั่วไปก็ได้เรียนในชั้นปีสอง  ก็ขอให้สนใจไขว่ขว้ามาตลอด ก็อาจมีการแก้ไขประมวลก็เป็นได้

ในรอบสิบปีก็มีการแก้ไขสองครั้ง ปี 41 ก็มีการแก้ไขเรื่องขายฝาก ปี 48 ก็แก้เรื่องคาใจมานานคือการแก้เรื่อง มูลค่าสังหาริมทรัพย์ ก่อนปี 48 มูลค่าสังหา ห้าร้อยบาทขึ้นไป ตัวเลขนี้ดูต่ำเต็มทีที่ไม่น่าไปจุกจิกหาหลักฐานกันมากมายแต่เมื่อคิดถึงในปีที่ร่างประมวล ก็ได้ใช้ตัวเลขนี้ กลายเป็นว่าสองหมื่นบาทหรือกว่านั้นขึ้นไป แสดงว่าต่ำกว่าสองหมื่นบาท ด้วยวาจาไม่มีหลักฐาน ก็ฟ้องได้

      ก็กรุณาหาซื้อตัวบท ถ้าเปลี่ยนมากก็อย่าไปเสียดายครับซื้อเล่มใหม่ดีกว่า

สังเกตว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็เรียงตามลำดับ การใช้ชีวิต

             มีคนเคยถามว่าสัญญาเล่นแชร์เปียหวยก็ทำบ่อยทำไมไม่มีเขียน ก็สมัยที่ร่างประมวลแพ่งมันยังไม่มีหน่ะ

            ตรงกันข้ามกับสัญญาเก็บของในคลังสินค้า และสัญญาเดินสะพัด วันนี้อาจจะไม่นิยมก็ได้

รวมแล้วเอกเทศสัญญามี ในบรรพ 3 และเป็นเรื่องที่กฎหมายตั้งชื่อให้แล้ว ใครไปเรียกอย่างอื่นก็ไม่เป็นชื่อนั้น

            เช่นเดียวกับ เราจดทะเบียนชื่อสมชาย คนไม่รู้จักมาเห็นหน้าเรียก อ้วน แว่น ก็ไม่ทำให้ชื่อเราเปลี่ยนตามกฎหมาย

            ไม่เหมือนสัญญานอกบรรพ 3 ที่ปล่อยให้เรียกชื่อกันเองได้ ก็โจทก์เรียกอย่าง จำเลยเรียกอย่าง ศาลชั้นต้นเรียกอย่าง ศาลฏีกาเรียกอย่าง

            เรื่องสิทธิหน้าที่ก็ต้องตีความเทียบเคียง

            ก็เรียงลำดับเป็นเรื่องเป็นราว ซื้อขายอยู่ในบรรพสาม และถือเป็นเอกเทศสัญญาแรก คนเราอยุ่จนตายไม่เคยทำเอกเทศสัญญาอื่นอาจเป็นได้ แต่คงไม่ซื้อขายหาได้ยาก แค่ลืมตาตื่นมาจนนั่งอ่านนี้ ต้องได้ทำสัญญาซื้อขายมาแล้วทั้งนั้น

            ข้าวไม่ได้ซื้อน้ำมันก็ไม่ได้เติม มีไม๊ เราอาจจะเป็นฝ่ายซื้อ หรือ ฝ่ายขายก็ได้ ต้องมีในแต่ละวัน

            ปัญหาแรกสุดคือซื้อขายคืออะไร ขอทบทวนเร็วๆ กฎหมายอธิบายใน มาตรา 453

ซื้อขายนั้นมีคู่กรณีสองฝ่าย ไม่ได้ใช้คำว่าสองคนนะครับ

            ในกรณีที่แต่ละฝ่ายมีคนเดียวนิติกรรมก็ไม่ยุ่งยาก แต่เมื่อไหร่มีมากกว่าหนึ่งคน ก็เริ่มมีปัญหาแล้ว

            เขาก็ตั้งชื่อให้ว่าฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ขายฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ซื้อ

            ผู้ขายก็ทำอะไรก็มุ่งโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ซื้อทำอะไรก็ชำระราคา

เรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ กับ การชำระราคา เป็น สิ่งที่ต้องปฏิบัติหรือ หนี้

            ตัวบทใช้คำเท่านี้จริงๆแต่เพื่อทำความเข้าใจที่ถูกต้องแต่แรกเริ่ม ก็คือ เวลาเราพูดว่าฝ่ายผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แกผู้ซื้อ โปรดเข้าใจว่าฝ่ายผู้ขายเจตนาจะโอนกรรมสิทธิ์ คำว่าดเจตนาจะไม่มีในตัวบทหรอก แต่ เป็นเรื่องที่เราต้องเติมเขาไปเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง

            เพราะมันมีกรณีที่โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้  หรือชำระราคาไม่ได้ แต่ก็เป็นสัญญาซื้อขายแล้ว ถ้าผู้ขายเจตนาจะ โอนกรรมสิทธิ์ และผู้ซื้อเจตนาจะชำระราคาแล้ว

            ยกตัวอย่างเช่นนายดำขโมยปากกาจากนายเขียวแล้วมาบอกขายกับนาย ก ด้ามละ 100 บาท ถามว่าดำมีกรรมสิทธิ์หรือไม่ ก็ไม่มีเพราะขโมยมา แล้ว นายก มีกรรมสิทธิ์หรือไม่ ก็ไม่มีเพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิ์ดีกว่าผู้โอน

            เว้นแต่เป็นการซื้อจากพ่อค้า หรือท้องตลาดหรือมีการครอบครองปรปักษ์ก็อีกเรื่องหนึ่ง

แต่ประเด็นที่จะชี้ให้เห็นคือนายดำไม่มีทางที่จะโอนกรรมสิทธ์ให้นาย ก ได้ เลย แต่นี่เป็นสัญญาซื้อขาย แล้วเพราะนายดำ มุ่งที่จะโอนกรรมสิทธิ์ และนาย ก ก็มุ่งที่จะชำระราคา  คือทั้งสองฝ่ายมีเจตนาจะแล้ว

            เหมือนกับผมบอกว่านี่คุณท้องสนามหลวงเอาไหม ถ้าเอาผมจะขาย คุณก็ดันบอกว่าเอาครับ ก็เป็นซื้อขาย แต่มันมีผลเป็นโมฆะเพราะเป็นการซื้อขายทรัพย์นอกพาณิชย์ ก็เปรียบได้กับเด็กคลอดออกมาแล้วแต่ตาย

            หลักนี้เป็นหลักเบื้องต้นที่ต้องเข้าใจก่อน ประการต่อมา นอกจากจะต้องมีเจตนาจะแล้ว ผู้ซื้อก็ต้องมีเจตนานะด้วย แม้ต่อมาจะบิดพลิ้ว หรือภาษาชาวบ้านเรียกเบี้ยว ก็ตาม

            สัญญานี้ก็เป็นสัญญาซื้อขายหลักคิดก็เช่นเดียวกับทางฝ่ายผู้ขาย

            เพราะถ้าไม่มีเจตนาจะ ชำระราคาแต่แรกก็ไม่เกิดสัญญาซื้อขาย

            แต่ถ้าเก็บความคิดที่จะเบี้ยวหรือไม่ชำระในใจ หรือ เจตนาไม่ชำระแต่แรก แต่เก็บไว้ในใจ ก็เป็นสัญญาซื้อขาย

            คำว่าโอนกรรมสิทธิ์ กับ ชำระราคาเป็นคำที่ต้องการคำอธิบายมาก  

            การซื้อตั๋วดูภาพยนตร์ การไปเข้าแถวซื้อตั๋วหน้าโรงหนังเป็นการทำสัญญาอะไร เคยมีคนตอบว่าเป็นสัญญาซื้อขายตั๋วหนัง ก็ได้แล้วทำไมไม่กลับบ้านเล้า เว้นแต่กล้าตอบว่าซื้อหนัง  แล้วใครจะขายหนังแค่ราคาร้อยกว่าบาทเล้า

            คงไม่มีคนใช้คำว่า ผมมาขอว่าจ้างคุณบริการฉายหนังหรอกนะครับ

            เคยมีการทำข้อสอบเป็นภาษาพุดมาทำให้คุณเขว เช่น การเดินท่าพระจันทร์ ก็ไปขอเช่าไปบูชาสักหน่อย ก็กลับไปบ้านปรากฏว่าเป็นของปลอม เวลาไปฟ้องร้องจะเปิดกฎหมายอะไรตอบ

            กฎหมายเช่าทรัพย์เหรอ ครบกำหนดต้องคืนหรือไม่ จริงๆแล้ว เราทำอะไรกับจตุคาม ก็ซื้อแหละครับ

            ไอ้พวกนี้ต่างประเทศไม่ค่อยมี เรายังถูกลวงได้ง่ายในคำพูดเหล่านี้

            ซื้อตั๋วก็จ้างทำของ เช่าพระก็ ซื้อขาย อันนี้เราทราบ

            เช่นชิวเชียดกับสัญญาจ้างทำของ สำคัญมากนะครับในการเริ่มต้น หากฎหมายปรับกับข้อเท็จจริง ที่มีการพูดว่ากลัดกระดุมเม็ดแรกผิดก็ ผิดไปทั้งหมด

            เคยมีคำพิพากษาฏีกา อันหนึ่ง โรงงานทำอิฐทนไฟขาย ที่เคลือบน้ำยาพิเศษ ก็มีลูกค้ามาเห็นแล้วชอบใจก็ให้ทำเป็นกรณีพิเศษ เคลือบน้ำยาสองรอบ ให้มันทนกว่าเดิม

            แล้วเป็นเรื่องการเสียภาษี แบบซื้อขายหรือจ้างทำของครับเนี่ย

            ปรึกษาผู้รู้ก็ทราบว่าเป็นสัญญาจ้างทำของ ก็เสียมาตลอดหลายปี แต่วันหนึ่งเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ใหม่ ก็บอกว่าที่ทำๆอยู่นี้เป็นซื้อขายนะ

            เลยเกิดเป็นคดีขึ้น ศาลฏีกาบอกว่าเมื่อดูจากมูลเหตุจูงใจ ดูต่างๆ ศาลบอกว่าเป็นซื้อขาย เมื่อซื้อขายก็ต้องเสียภาษีในเรื่องซื้อขาย แล้วมันดูง่ายซะที่ไหนเนี่ย

            เมื่อปีใหม่อาจารย์ได้ผ้าสวยมาผืนหนึ่ง ก็เอาไปที่ร้าน ที่ร้านก็คิดค่าตัด 7 พัน บาท อันนี้เป็นเรื่องจ้างทำของหรือซื้อขาย อันนี้ดูง่ายว่า ผ้าของเราๆต้องการความสามารถในการตัด

            แต่ถ้าไม่มีผ้าหล่ะ ไปเลือกผ้าที่ร้าน ค่าผ้า 2000 ค่าตัด 7 พัน อันนี้ยากขึ้นแล้ว

            แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าให้ร้านเลือกผ้าเอง แล้วเราไปวัดตัวเฉยๆ นี่ความชิวเชียดระหว่างซื้อขายกับจ้างทำของ

            ไม่ต้องไปไกลถึงการตัดสูทหรอก ไปโรงอาหาร เห็นข้าวราดแกง หลายถาด ก็ชี้ๆ อันนี้ก็เป็นซื้อขาย

            แต่ถ้าไม่อิ่ม หันไปอีกร้านมีตามสั่ง บอกแม่ค้าขอผัดซีอิ๋วจาน อันนี้เป็นอะไรครับ เป็นซื้อขายหรือไม่ หรือเป็นจ้างทำของ

            ปัญหามันจะมีมากในเรื่องของเกิดวินาศภัยที่ว่าเจ้ากรรมสิทธิ์ที่ต้องรับไปซึ่งภัยพิบัติ  ถ้าเป็นซื้อขายกรรมสิทธิ์จะโอนไปทันที แต่ถ้าเป็นจ้างทำของก็ยังไม่โอน

            อันนี้ไงความฉิวเชียว คงได้เรื่องเอารถเบ๊นซ์แลกพระสมเด็จ แล้วกรณีจะเป็นประการใดที่ความที่รถเบ๊นซ์รุ่นเก่าเลยต้องแถมเงินไปอีกหนึ่งแสนบาท ตกลงเป็นซื้อขายหรือแลกเปลี่ยน หรือเอ๊ะ หรือว่าเป็นเช่าทรัพย์

            มันก็เป็นการวนเวียนคำถามเดิมคือนี่เป็นสัญญาอะไร แล้วจึงเดินหน้าต่อไป สัญญาเหล่านี้ เราเรียกว่าประเภทของข้อตกลง ประการแรกอาจตกลงในเรื่องคำมั่น ประการที่สองอาจตกลงในรูปสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ประการที่สามอาจเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข หรือ มีเงื่อนเวลา หรือประการสุดท้ายคือ จะซื้อจะขาย

            ฉะนั้นคำถามที่สองที่ต้องตอบให้ได้คือมันเป็นสัญญาซื้อขายประเภทใดกันแน่ ในห้าประเภทนี้ ถ้ากลัดกระดุมเม็ดที่สองผิด ก็ผิดตลอดไปเหมือนกัน

            คำถามที่สองนี้คือ เป็นสัญญาซื้อขายประเภทอะไร

            คือ กรรมสิทธิ์อาจยังไม่โอน ถ้าเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข ก็ยังไม่โอนจนกว่าเงื่อนไขสำเร็จ

            มีฏีกาใหม่ๆที่น่าสนใจ ประเภทที่ตอบผิด อยู่สองเรื่อง ดูเผินๆเหมือนจะง่ายแต่ความจริงยากแล้วก็มีการออกข้อสอบคล้ายฏีกา

ฎ.2496/2551 ขณะที่ผู้ร้องและจำเลยทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ของกลางกันจำเลยยังไม่ได้ส่งมอบรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้องและผู้ร้องยังค้างชำระราคาเป็นเงิน 50,000 บาท โดยจำเลยจะส่งมอบรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้องในวันที่ได้รับชำระราคาส่วนที่เหลือ จึงเป็นสัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนไขตาม ป.พ.พ. มาตรา 459 กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางยังไม่โอนไปจนกว่าผู้ร้องจะได้ชำระราคาและโอนทะเบียนกัน ผู้ร้องจึงไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางที่แท้จริง ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลางตาม ป.อ. มาตรา 36

เจ้าของรถขายรถยนต์ของตัวให้แก่เพื่อน เพื่อนก็บอกว่ายังไม่มีเงินจะชำระราคาค่ารถพูดแค่นี้เจ้าของรถก็บอกว่าถ้าไม่ชำระราคาก็ไม่โอนให้นะ เพื่อนก็รับรู้ว่าเมื่อตัวยังไม่จ่ายค่ารถเขาก็ยังไม่โอนให้  จะขอให้ส่งมอบให้ก่อนก็ไม่ส่งมอบให้ ข้อเท้จจริงเพียงเท่านี้ ถามว่าเป็นสัญญาซื้อขายประเภทอะไร

            ถามว่าชำระราคาหรือยัง ตอบว่ายัง ถามว่าส่งมอบหรือยัง ยัง โอนหรือยัง ยังไม่ได้โอนทางทะเบียน

            ถ้าถามว่ากรรมสิทธิ์ในรถตอนนี้เป็นของใคร ทั้งหมดนี้มันเริ่มจากที่ต้องตอบให้ได้ว่านี่เป็นสัญญาซื้อขายหรือเปล่า

            และตั้องตอบให้ได้ว่าเป็นสัญญาซื้อขายประเภทอะไร

            ตอบก็เป็นสัญญาซื้อขาย ก็มีเจตนาจะ โอน มีเจตนาจะชำระราคา

            คำถามเป็นสัญญาซื้อขายประเภทอะไร  กรรมสิทธิ์ที่ซื้อขายย่อมโอนจากผู้ขายไปผุ้ซื้อได้ แต่ถ้าเห็นว่าเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข ถามว่าทั้งคู่ตกลงกันเรื่องเงื่อนไขหรือไม่

            ที่จริงก็มี ว่าเงินไม่มาไม่โอนทะเบียนรถให้ กรรมสิทธิ์ไม่เกี่ยวนะ

            ถ้าพูดในทางทฤษฎี สัญญานี้เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดนะครับ ส่วนเรื่องส่งมอบ โอนทางทะเบียน เป็นเรื่องหนี้นะครับ ไม่ใช่เรื่องการโอนกรรมสิทธิ์เลย

            การจดทะเบียนรถยนต์ไม่ได้เป็นเรื่อง ทางแพ่ง เป็นเรื่องกฎหมายมหาชน ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธิ์ในตัวรถยนต์นั้นเลยเป็นเพียงเพื่อประโยชน์ในการควบคุมทะเบียนรถยนต์เท่านั้น

            แต่ศาลฏีกาวินิจฉัยว่า กรณีซื้อขายรถเป็นสัญญามีเงื่อนไข โดยกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนจนกว่าจะได้ชำระเงิน

            อ่านฏีกานี้เจ็ดตลบ ก็ไม่มีทาง เจอคำว่า โอนกรรมสิทธิ์ เมื่อชำระราคา แต่ศาลมองจากพฤติการณ์ ของคู่กรณีหรือชาวบ้านทั่วไปที่ คงจะใช้คำไม่เป็นว่าต้องการประวิงการโอนกรรมสิทธิ์ในรถ ไม่ได้ต้องการแค่ประวิงทางทะเบียน

            เรื่องอย่างนี้มันมีการออกข้อสอบแล้ว ว่าแปลว่าโอนกรรมสิทธิ์

            ฏีกานี้เป็นเรื่องที่รับรองสิทธิ

ฎ. 4643/2551 ค้นไม่พบ

เจ้าของเครื่องจักรขายเครื่องจักรให้แก่ผู้ซื้อ แต่ตกลงว่า เครื่องจักรนี้ยังเป็นสมบัติของผุ้ขายได้จนกว่าจะชำระราคาครบถ้วน ผู้ซื้อก็ยังชำระราคาไม่ครบถ้วนสักที ก็มีปัญหาโยงไปถึงผู้เป็นเจ้าของเครื่องจักร

            ศาลฏีกาบอกว่าเป็นสัญญาซื้อขาย มีเงื่อนไข คือ กรรมสิทธิ์ยังไม่โอน เพราะมีคำว่าเป็นของผู้ขายจนกว่าจะชำระราคา เป็นเงื่อนไข ของการโอนกรรมสิทธิ์ เข้าล็อค 459          ถ้าสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข หรือเงื่อนเวลาบังคับไว้ท่านว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังไม่โอนไปจนกว่าการจะได้เป็นไปตามเงื่อนไขหรือถึงกำหนดเงื่อนเวลานั้น

 ผู้ขายเท่านั้นที่จะไปติดตามเอาคืนที่จะไปทวงคืนจากผู้ร้ายไม่ใช่ผู้ซื้อ ฏีกานี้ง่าย

            แต่ถ้าเป็นฏีกาที่แล้วยาก เพราะเรารับรู้ตลอดว่า ถ้ากรรมสิทธิ์โอนหรือไม่โอน ข้อสอบจะบอกชัด

            การที่ว่ายังไม่โอนจนกว่าจะชำระราคา ก็ต้องไปอ้างว่าชาวบ้านเข้าใจว่าเป็นโอนกรรมสิทธิ์ ทั้งๆที่ในทางกฎหมายคำว่าโอนทะเบียนกับโอนกรรมสิทธิ์ อาจจะเป็นคนละเรื่องก้นก็ได้นะครับ บางทีทะเบียนผมให้คุณไปแล้วแต่ยังไม่แก้ก็ได้ ที่เรียกว่าโอนลอยนะครับ เคยได้ยินแล้วใช่ไหมครับ

            กรณีอย่างนี้เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดนะครับไม่ใช่สัญญามีเงื่อนไข

            เรามาดูด้วยความตกลงของสัญญาซื้อขายมี 5 ประเภท ซึ่งคงต้องยกยอดไปคราวหน้านะครับ ซึ่งจำไว้เลยว่า แบบไม่เหมือนกัน หลักฐานฟ้องคดีไม่เหมือนกัน บาปเคราะห์ก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งเราจะศึกษาต่อไปวันนี้พอแค่นี้ครับ

 

 

Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages