ภรรยาผู้ตายได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโอนที่ดินมรดกเป็นของตนและโอนต่อให้บุตร เหตุใดจึงถูกกำจัดมิให้รับมรดก ?

1,157 views
Skip to first unread message

arunarun chitt

unread,
Jul 7, 2013, 8:05:18 PM7/7/13
to law...@googlegroups.com

ภรรยาผู้ตายได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโอนที่ดินมรดกเป็นของตนและโอนต่อให้บุตร เหตุใดจึงถูกกำจัดมิให้รับมรดก ?

      ศึกษาวิเคราะห์จากคำพิพากษาฎีกาที่ 3901/2554
     ข้อเท็จจริง
     1. จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนาย ม. เจ้าของมรดกได้ดำเนินการแบ่งแยกที่ดินและโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 11174 ให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 และตัวจำเลยที่ 1 ในนามผู้จัดการมรดกและโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ทะเบียน 97 และ 98 ให้แก่จำเลยที่ 4 

     2. โจทก์ฟ้อง ขอให้เพิกถอนการทำนิติกรรมโอนที่ดินมรดกของเจ้ามรดกทุกประเภทที่ได้จดทะเบียนโอนไปยังจำเลยทั้งสี่ กับให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ดำเนินการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 32880, 32882 และโฉนดเลขที่ 32883 ที่แบ่งแยกออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 11174 กลับคืนเข้ากองมรดกของเจ้ามรดก.... กับให้มีคำสั่งตัดหรือกำจัดจำเลยทั้งสี่มิให้รับมรดกของเจ้ามรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605 

     3. จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 11174 ที่จำเลยทั้งสี่กระทำเมื่อ 7 มิถุนายน 2538 และ 19 กรกฎาคม 2544 และให้เพิกถอนการโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 97 และ 98 ที่จำเลยที่ 1 โอนให้แก่จำเลยที่ 1 เองแล้วโอนให้จำเลยที่ 4 เฉพาะส่วนกึ่งหนึ่งที่เป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกกับให้กำจัดจำเลยที่ 1 มิให้รับมรดกของเจ้ามรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605 วรรคหนึ่ง .......

     4. จำเลยทั้งสี่ยื่นอุทธรณ์ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่าให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินมรดกทั้งสามแปลงเฉพาะส่วนของโจทก์และทายาทอื่น 9 ใน 12 ส่วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

     5. จำเลยทั้งสี่ยื่นฎีกาซึ่งประเด็นขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเรียงตามลำดับ ดังนี้
     5.1 ที่ดินโฉนดเลขที่ 11174 เป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกเพียงคนเดียวหรือไม่ ศาลฎีกาพิจารณาปัญหานี้แล้วเห็นว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเจ้ามรดกเป็นผู้ครอบครองที่ดินมาตั้งแต่ปี 2470 ตามแบบแจ้งการครอบครอง ดังนั้น เจ้ามรดกจึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 แต่เพียงผู้เดียวมาตั้งแต่ต้นแม้จะได้ความว่าจำเลยที่ 1 มาอยู่กินกับเจ้ามรดกเมื่อปี 2497 ก่อนที่จะมีการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโฉนดที่ดินก็ตามก็ถือได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 เป็นบริวารของเจ้ามรดกผู้มีสิทธิครอบครองเท่านั้น ไม่ทำให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินร่วมกับเจ้ามรดก ทั้งที่ดินดังกล่าวก็ได้ออกโฉนดที่ดินในนามของเจ้ามรดก ดังนั้นที่ดินโฉนดเลขที่ 11174 จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้ามรดกแต่เพียงผู้เดียวหาเป็นสินสมรสระหว่างเจ้ามรดกกับจำเลยที่ 1 ไม่ ที่ดินโฉนดเลขที่ 11174 จึงเป็นทรัพย์มรดกที่จะตกทอดแก่ทายาทโดยธรรม
     5.2 ปัญหาที่ศาลฎีกาได้พิจารณาต่อไปมีว่า การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินสองแปลงตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทะเบียน 97 และ 98 ให้แก่จำเลยที่ 4 ชอบหรือไม่ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 จะเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวร่วมกับเจ้ามรดกก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 ก็ไม่อาจโอนสิทธิครอบครองส่วนของเจ้ามรดกให้แก่จำเลยที่ 4 เพียงคนเดียว ตามที่จำเลยที่ 1 และที่ 4 กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 4 ได้นำเงินจำนวน 15,000 บาทไปชำระหนี้ให้นาง ก. และไถ่ถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์กลับคืนมาฉบับหนึ่ง แล้วจำเลยที่ 1 จึงโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งสองแปลงให้จำเลยที่ 4 นั้น ศาลฎีกาเป็นว่าหากจำเลยที่ 4 ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ของเจ้ามรดกจริง จำเลยที่ 4 คงมีสิทธินำเงินที่ชำระไปนั้นมาหักกับทรัพย์มรดกในกองมรดกเท่านั้น จำเลยที่ 1 หามีสิทธิที่จะโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในส่วนที่เป็นของเจ้ามรดกให้แก่จำเลยที่ 4 เพียงคนเดียวไม่ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งสองแปลงในส่วนของเจ้ามรดกให้แก่จำเลยที่ 4 จึงเป็นการโอนโดยมิชอบต้องเพิกถอนที่ดินในส่วนของเจ้ามรดกให้กลับคืนสู่กองมรดกเพื่อแบ่งปันให้แก่ทายาทโดยธรรมตามสัดส่วนต่อไป
     5.3 ศาลฎีกาได้พิจารณาต่อไปว่า คดีนี้มีเหตุจะกำจัดจำเลยที่ 1 มิให้ได้รับมรดกของเจ้ามรดกหรือไม่ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามที่จำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกจำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ต้องจัดการแบ่งปันทรัพย์ตามสัดส่วนของทรัพย์มรดกทั้งหมดแก่ทายาทตามกฎหมาย เว้นแต่ทายาทจะตกลงยินยอมกัน การที่จำเลยที่ 1 โอนทรัพย์พิพาททั้งสามแปลงอันเป็นทรัพย์มรดกเป็นของตนทั้งหมด และภายหลังโอนยกให้โดยเสน่หาแก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรของตนเองโดยไม่ยอมแบ่งปันแก่บุตรต่างมารดาซึ่งเป็นทายาทของเจ้ามรดกอีก 9 คน ทั้งที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยาคนที่ 3 ของเจ้ามรดกทราบดีว่าเจ้ามรดกมีบุตรกี่คนแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ยักย้ายถ่ายเททรัพย์มรดกมากกว่าส่วนที่ตนจะได้จึงต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกของเจ้ามรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605 วรรคแรก
     หมายเหตุ
     1. ป.พ.พ. มาตรา 1605 วรรคแรก บัญญัติว่า ทายาทคนใดยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกเท่าส่วนที่ตนจะได้หรือมากกว่านั้นโดยฉ้อฉลหรือรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทคนอื่น ทายาทคนนั้นต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกเลย แต่ถ้ายักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกน้อยกว่าส่วนที่ตนจะได้ ทายาทคนนั้นต้องถูกกำจัดมิให้ได้มรดกเฉพาะส่วนที่ได้ยักย้ายหรือปิดบังไว้นั้น....
     2. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605 ดังกล่าว
      2.1 คำว่า ทายาทในมาตรานี้หมายถึง ทายาทโดยธรรมและผู้รับพินัยกรรมลักษณะทั่วไป เพราะมาตรา 1605 วรรคสอง ยกเว้นไม่ให้ใช้บังคับเฉพาะผู้รับพินัยกรรมเฉพาะสิ่งเฉพาะอย่าง
      2.2 คำว่า ยักย้ายหมายถึง การเปลี่ยนที่เสียหรือนำไปไว้ที่อื่น จึงแสดงว่าจะต้องมีตัวทรัพย์อยู่ ถ้าเป็นการทำลายเพื่อมิให้ทายาทอื่นได้รับมรดกนั้นไม่เป็นการยักย้ายและไม่ถูกกำจัดมิให้รับมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605 
      2.3 การยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกจะต้องเป็นไปโดยฉ้อฉล หรือโดยรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทคนอื่น
      2.4 คำว่า โดยฉ้อฉลหมายถึง ทำให้ผู้อื่นเสียเปรียบ
      2.5 คำว่า โดยรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทคนอื่นหมายถึงการกระทำนั้นทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทคนอื่นและผู้ทำต้องรู้ถึงการที่ทำให้ผู้อื่นเสื่อมประโยชน์ด้วย
      2.6 การทำให้เสื่อมประโยชน์นั้น ให้ดูว่า ถ้าได้ทรัพย์มรดกคืนจะเป็นการเสื่อมประโยชน์คนอื่นหรือไม่ ถ้าได้คืนด้วยความยากลำบากก็ถือว่าเสื่อมประโยชน์ ในกรณีที่มีการฟ้องร้องจึงได้คืนมาถือว่าเป็นการกระทำให้เกิดความยากลำบากทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทคนอื่นจึงถูกกำจัด
(บทความข้อ 2.1 ถึงข้อ 2.6 มาจากคำอธิบายกฎหมายลักษณะมรดก โดยรองศาสตราจารย์พรชัย สุนทรพันธุ์ หน้า 197 – 198)

      3. การถูกกำจัดมิให้รับมรดกตาม ป.พ.พ. มี 2 กรณี คือ
      3.1 เป็นผู้ยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก (มาตรา 1605) 
      3.2 เป็นผู้ถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร (มาตรา 1606)

     4. ศาลฎีกาได้วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกำจัดมิให้รับมรดก โดยสรุปดังนี้
     4.1 ผู้ที่ถูกกำจัดมิให้รับมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605 หมายถึง ทายาทของเจ้ามรดกขณะเจ้ามรดกถึงแก่ความตายเท่านั้น แต่ถ้าผู้สืบสิทธิของทายาทดังกล่าวเป็นผู้ยักย้าย ปิดบังทรัพย์มรดกไม่ถูกกำจัดตามมาตรา 1605
     4.2 ทรัพย์สินที่ยักย้ายหรือปิดบังนั้น ต้องเป็นทรัพย์มรดก ถ้าเป็นทรัพย์สินที่เจ้ามรดกยกให้ตนขณะเจ้ามรดกมีชีวิตอยู่จะไม่เป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก ตามมาตรา 1605
     4.3 การยื่นคำร้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ทรัพย์มรดกโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 อันเป็นเท็จ ถือว่าเป็นการยักย้ายปิดบังทรัพย์มรดก
     4.4 การยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกโดยไม่ระบุทายาทให้ครบถ้วนหรือไม่ได้ระบุทรัพย์มรดกทั้งหมดยังถือไม่ได้ว่าเป็นการปิดบังทรัพย์มรดก
     4.5 การที่ทายาทหรือผู้จัดการมรดกไปขอรับโอนทรัพย์มรดกเป็นของตนเองเพียงผู้เดียวโดยไม่แจ้งว่ามีทายาทอื่นอีกหรือไม่แจ้งให้ทายาทอื่นทราบไม่เป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก
     4.6 การขอออกที่ดินมรดกโดยเปิดเผยและโอนทรัพย์มรดกให้บุตรโดยเข้าใจว่าเป็นสิทธิของตนที่จะได้รับทรัพย์มรดกดังกล่าวไม่เป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก
     4.7 การที่ทายาทรับโอนมรดกแม้จะเกินสิทธิที่ตนจะได้รับไม่เป็นการปิดบังหรือยักย้ายทรัพย์มรดก
     4.8 ทายาทไปรับโอนมรดกแต่ผู้เดียวและโอนให้แก่บุคคลอื่นเป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก ให้พิจารณาจากฎีกา 5382/2539
     คำพิพากษาฎีกาที่ 5382-5383/2539 
     ป.พ.พ. มาตรา 1300, 1605, 1755 
     จำเลยที่2ไปรับโอนมรดกแต่ผู้เดียวและนำที่ดินทรัพย์มรดกซึ่งตกได้แก่โจทก์ทั้งสามและจ.ด้วยไปโอนให้แก่จำเลยที่1ซึ่งไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกจึงเป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกเท่าส่วนที่ตนจะได้หรือมากกว่าจำเลยที่2จึงถูกกำจัดมิให้รับมรดกเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1605ส่วนจำเลยที่1ไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกการกระทำของจำเลยที่1จึงไม่เป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยที่1รับโอนที่ดินจากจำเลยที่2โดยทราบว่าโจทก์ทั้งสามและจ.เป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกจึงเป็นการรับโอนโดยไม่สุจริตจำเลยที่3ถึงที่5เป็นบุตรของจำเลยที่1มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมโดยการยกให้โดยเสน่หาของจำเลยที่1จึงเป็นการโอนโดยไม่มีค่าตอบแทนโจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1300 จำเลยที่3ถึงที่5ขายที่ดินให้จำเลยที่6หลังจากโจทก์ที่3ได้อายัดที่ดินไว้ต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยกรรมการของจำเลยที่6ทราบเรื่องแล้วถือว่าจำเลยที่6รับโอนโดยไม่สุจริตโจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิให้เพิกถอนการโอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1300ได้เช่นกัน ผู้ที่จะยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้ก็แต่บุคคลซึ่งเป็นทายาทหรือบุคคลซึ่งชอบที่จะใช้สิทธิของทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1755จำเลยที่1และที่3ถึงที่5ไม่ใช่ทายาทหรือผู้จัดการมรดกทั้งจำเลยที่2ถูกกำจัดมิให้รับมรดกจำเลยที่2จึงไม่อยู่ในฐานะทายาทการที่จำเลยที่1รับโอนที่ดินจากจำเลยที่2แล้วให้จำเลยที่3ถึงที่5ถือกรรมสิทธิ์รวมจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่1และที่3ถึงที่5เป็นบุคคลซึ่งชอบจะใช้สิทธิของทายาทจึงไม่มีสิทธิยกอายุความมรดกขึ้นต่อสู้โจทก์ทั้งสาม
     4.9 การที่ทายาทแจ้งแก่ทายาทอื่นว่า ผู้ตายได้โอนทรัพย์มรดกไปแล้วในขณะที่มีชีวิตอยู่ซึ่งไม่เป็นความจริงแล้วโอนทรัพย์มรดกเป็นของตนเอง เป็นการปิดบังทรัพย์มรดก ให้พิจารณาจากฎีกา 2062/2492
     คำพิพากษาฎีกาที่ 2062/2492 
     ป.พ.พ. มาตรา 1605, 1755
     ทายาทคนหนึ่งบอกทายาทอีกคนหนึ่งว่าที่ดินแปลงหนึ่งผู้ตายได้โอนไปแล้วความจริงผู้ตายไม่ได้โอน แต่ทายาทคนนั้นโอนเป็นของตนเองเสียเช่นนี้ถือว่าเป็นการปิดบังทรัพย์มรดกย่อมถูกกำจัดมิให้รับมรดกในที่ดินแปลงนั้น ทายาทที่ปิดบังมรดก จะยกอายุความมรดก 1 ปีมาตัดสิทธิ์ทายาทอื่นมิได้เพราะถือว่าเป็นฝ่ายผิดและถูกตัดมิให้รับมรดก แม้ทายาทอื่นจะฟ้องทายาทที่ปิดบังมรดกเกิน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตาย ก็ยังมีสิทธิในทรัพย์มรดก
    4.10 ดอกผลของทรัพย์มรดกที่เกิดขึ้นภายหลังที่เจ้ามรดกตายแล้วไม่เป็นทรัพย์มรดก การที่ทายาทปิดบังหรือยักย้ายดอกผลดังกล่าวจึงไม่ถูกกำจัดมิให้รับมรดก ให้พิจารณาจากฎีกา 678/2535
    คำพิพากษาฎีกาที่ 678/2535 
    ป.พ.พ. มาตรา 109 เดิม, 111 เดิม, 1356, 1360, 1474, 1605
     ผู้ตายกับโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยาร่วมกันทำกิจการโรงแรมมีเจตนาเป็นเจ้าของร่วมกัน เงินที่ใช้เป็นทุนปลูกสร้างโรงแรมจะเกิดจากฝ่ายใดหามาไม่สำคัญ ต้องถือว่าโรงแรมเป็นทรัพย์สินร่วมกันระหว่างผู้ตายกับโจทก์ที่1 เมื่อผู้ตายยินยอมให้ใช้ที่ดินดังกล่าวปลูกสร้างโรงแรมเพื่อทำกิจการค้าร่วมกันกับโจทก์ที่ 1โรงแรมจึงไม่เป็นส่วนควบกับที่ดินเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 จำเลยที่ 5 จดทะเบียนสมรสกับผู้ตาย แม้จำเลยที่ 5 จะเลิกร้างกับผู้ตายไปนานแล้ว แต่เมื่อไม่ได้จดทะเบียนหย่ากัน ทรัพย์ที่ผู้ตายได้มาระหว่างที่เป็นสามีภรรยากับจำเลยที่ 5 ย่อมเป็นสินสมรส เงินรายได้จากกิจการโรงแรมรวมทั้งร้านตัดผมที่ได้มาหลังจากที่ผู้ตายถึงแก่กรรมแล้ว มิใช่ทรัพย์มรดกของผู้ตายเพราะมิใช่ทรัพย์ที่มีอยู่ก่อนหรือในขณะที่ผู้ตายถึงแก่กรรม แต่เป็นดอกผลของโรงแรมตกได้แก่ผู้ที่เป็นเจ้าของโรงแรมตามสัดส่วนแห่งความเป็นเจ้าของโรงแรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 111และมาตรา 1360 และเมื่อเงินดังกล่าวมิใช่มรดกของผู้ตาย แม้ทายาทคนหนึ่งปิดบังหรือยักย้ายเงินส่วนนี้ ทายาทคนนั้นก็ไม่ถูกกำจัดมิให้รับมรดก
    4.11 ผู้รับพินัยกรรมซึ่งผู้ตายได้ยกทรัพย์เฉพาะสิ่งให้ การที่ผู้รับพินัยกรรมปิดบังหรือยักย้ายทรัพย์ตามพินัยกรรมไม่ถูกกำจัดเพราะเป็นข้อยกเว้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605 วรรคท้าย ให้พิจารณาจากฎีกา 1239/2506
     คำพิพากษาที่ 1239/2506 
     ป.พ.พ. มาตรา 1605
     ทายาทที่จะถูกกำจัดมิให้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1605 ต้องเป็นผู้ปิดบังหรือยักย้ายทรัพย์มรดกแต่การที่ทายาทคนหนึ่งไปขอประกาศรับมรดกโดยไม่ระบุลงไปในบัญชีเครือญาติว่ายังมีบุคคลอื่นเป็นทายาทอีกด้วยนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก
เมื่อเจ้าพนักงานโอนโฉนดให้แก่ทายาทผู้ขอรับมรดกดังกล่าวแล้ว ภายหลังทายาทนั้นขอแบ่งที่ดินมรดกเพื่อจะขายและเอาเรือนที่ปลูกอยู่ในที่ดินนั้นไปประกันเงินกู้ ดังนี้ ไม่ใช่กรณียักย้ายหรือปิดบังมรดก
โจทก์และจำเลยต่างก็เป็นบุตรของผู้ตาย ผู้ตายทำพินัยกรรมยกที่ดินกับเรือนให้จำเลยและยกโคกระบือให้โจทก์ ดังนี้ จะนำเรื่องจำกัดมิให้รับมรดกตามมาตรา 1605 วรรคแรกมาใช้บังคับแก่การกระทำของจำเลยเกี่ยวกับที่ดินและเรือนมรดก หาได้ไม่
     4.12 ในเรื่องการกำจัดมิให้รับมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605 นั้น มีคำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจดังนี้
     คำพิพากษาฎีกาที่ 13505/2553
     การที่จำเลยไม่ได้ระบุในคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกของผู้ตายว่ามีทายาทอื่นอีกและเมื่อศาลได้มีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกแล้วจำเลยได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกนั้นเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้มีการโอนที่ดินพิพาทต่อไปให้บุคคลอื่นอีก จึงไม่เป็นพฤติการณ์ที่ถือว่าจำเลยได้กระทำการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกโดยฉ้อฉลหรือทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทคนอื่นอันจะเป็นเหตุให้จำเลยถูกกำจัดมิให้รับมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1605 วรรคแรก ส่วนการที่โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกและมีคำขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายกลับมาเป็นกองมรดกของผู้ตายถือว่าเป็นคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกซึ่งมีอายุความ 5 ปี นับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733 วรรคสอง จึงไม่ใช่เรื่องคดีมรดกซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. 1754
     ข้อสังเกต
ในส่วนคดีอาญานั้น ผู้จัดการมรดกอาจจะมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 354 ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
     คำพิพากษาฎีกาที่ 128/2537 
     ป.อ. มาตรา 354
    จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งของศาลและรู้ว่าทรัพย์มรดกจะต้องแบ่งให้แก่ทายาทโดยธรรมทุกคนเท่า ๆ กัน แต่จำเลยไม่ยอมแบ่งที่ดินมรดกให้โจทก์ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมคนหนึ่ง กลับโอนที่ดินดังกล่าวให้ตนเองและโอนต่อให้ ส. เช่นนี้ จึงเป็นกรณีที่จำเลยได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นตามคำสั่งศาล กระทำผิดหน้าที่ด้วยการโอนทรัพย์สินนั้นเป็นของตนเองและโอนต่อให้ผู้อื่นโดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแก่โจทก์ จำเลยมีความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคแรก,354
     คำพิพากษาฎีกาที่ 604/2537 
     ป.อ. มาตรา 354
     ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของ ย. ผู้ตายต่อมาจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกได้จดทะเบียนขายที่ดินทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่ ว. โดยไม่ได้แบ่งเงินที่ได้จากการขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของผู้ตาย ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ขายที่ดินทรัพย์มรดกของผู้ตายไปด้วยวิธีการอันไม่สุจริตหรือมีเจตนาที่จะเบียดบังเงินที่ได้จากการขายที่ดินทรัพย์มรดกไว้โดยทุจริตอย่างไร ทั้งก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ทั้งสี่ก็ไม่เคยทวงถามจำเลยให้แบ่งเงินที่ได้จากการขายที่ดินทรัพย์มรดกให้โจทก์ทั้งสี่การที่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ทำการขายที่ดินทรัพย์มรดกของผู้ตายไปนั้น จึงเป็นวิธีเกี่ยวกับการจัดการและแบ่งปันทรัพย์มรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719,1750 คดีของโจทก์จึงไม่มีมูลดังฟ้อง

                                                                          (ขอขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับที่า : ทบทวนหลักกฎหมายกับอาจารย์ประยุทธ)

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
    ขอแนะนำ !! 

    ...ระยะเวลาการศึกษาชั้นเนติบัณฑิตภาค 1/66 ผ่านพ้นไป 1 เดือนกว่าแล้วและกำลังผ่านพ้นไปเรื่อยๆ...

       สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆทุกท่าน ที่กำลังศึกษาชั้นเนติบัณฑิต ซึ่งกำลังทำงานและไม่มีเวลาเข้เรียน , ไม่ได้ลงทะเบียนมาเป็นเวลานาน อย่าเพิ่งรีบท้อถอย ครับ เพราะกว่าเราจะเรียนจบชั้นนิติาสตร์ได้ใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน การเรียนเนติบัณฑิตสมัยปัจจุบัค่อนข้างยากพอสมควร หรือสำหรับน้องๆบางท่านที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดวึ่งยังไม่มีแนวทางในการเรียน หรือยังไม่สามารถรับสื่อ หนังสือ หรือเอกสาร ซึ่งบางท่านมีความตั้งใจแต่ขาดโอกาส  และวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับท่านที่ยังอยากเรียนจบ แต่ไม่มีเวลา กำลังทำงาน หรือไม่ได้สอบมานาน ขอแนะนำ, รวบรวมข้อมูล สำหรับการเริ่มต้นใหม่ ...

รวมคำบรรยายเนติฯ (ภาคปกติ /ภาคค่ำ/ภาคทบทวนวันอาทิตย์) ภา 1/65 และ 2/65

 กลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา (ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์)

  พร้อมเอกสาร สรุปคำบรรยายเนติ 1/65 + เอกสารประกอบคำบรรยาย1/65 + ทบรรณาธิการ 1/63, 1/64 และ 1/65 + ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา (สมัยที่ 56-64) พร้อม เคล็ดลัการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเนติฯ + ระเบียบการเรีนเนติฯ +เทคนิคและแนวการเขียนข้อสอบการเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ู้ช่วยฯ/อัยการ

  ราคา 380.00 บา  (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี) ฟรี ! สมุดบันทึก

 - กลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา (ฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์) 

 พร้อมเอกสาร สรุปคำบรรยายเนติฯ 2/65 + เอกสารประกอบคำบรรยาย 2/65 + บทบรรณาธิการ 2/63, 2/64 และ 2/65 + ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา (สมัยที่ 56-64) พร้อม เคล็ดลัการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเนติฯ + ระเบียบการเรียนเนติฯ +เทคนิคและแนวการเขียนข้อสอบการเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่วยฯ/อัยการ

  ราคา  380.00 บาท  (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี) ฟรี ! สมุดบันทึก

Ø หมายเหตุ  : สั่งซื้อทั้ง 2 าค าคาพิเศษ 700 บาท (ส่ง EMS ให้ฟรี) ฟรี !!! สมุดบันทึก + CD แบบร่างสัญญามากกว่า 400 แบบ (file word) + แบบฟอร์มศาลแบบฟอร์มเอกสารงานบุคคล,เอกสารงานบัญชีและภาษี


   สนใจติดต่อ ตุ้ย มือถือ 085-801-0725,  E-mail : siripit...@gmail.com

                                                                                                                                                 

                                    

                                                             ไม่เก่ง..แต่พยายาม  เจ๋ง ! กว่า  เก่ง....แต่ขี้เกียจ

                                                                                ขอให้โชคดีและประสบความสำเร็จกันทุกคะคับ....

ตัวอย่าง..เช็ค.jpg
ตัวอย่าง..เช็ค (ผู้ถือ).jpg
ตัวอย่าง...แคชเชียร์เช็ค.jpg
ตัวอย่าง...ดร๊าฟท์.jpg
Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages