1. หลักการโต้แย้งสิทธิตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 55
2. หลักการห้ามศาลใช้อำนาจนอกเขตศาล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 15
ให้พิจารณาศึกษาการใช้
ป.วิ.พ. จากคำพิพากษาฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 18311/2555
ป.วิ.พ. มาตรา 55, 172
คำฟ้องของโจทก์อ้างว่า
โฉนดที่ดินของโจทก์ออกโดยคลาดเคลื่อนไม่ถูกต้อง โดยโฉนดที่ดินของโจทก์มีเนื้อที่น้อยกว่าความเป็นจริง ซึ่งหากโจทก์เห็นว่าการออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ของเจ้าพนักงานที่ดินทำไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยประการใดจนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
โจทก์ต้องดำเนินการฟ้องร้องเจ้าพนักงานที่ดินผู้ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์โดยตรง
แต่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยกระทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับโฉนที่ดินของโจทก์อันเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานที่ดินที่จะดำเนินการโดยที่โจทก์ไม่ได้ฟ้องเจ้าพนักงานที่ดิน
ทั้งโจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้เพิกถอนเปลี่ยนแปลงแก้ไขที่ดินโฉนดเลขที่ 12995 ของจำเลย
กรณีจึงไม่อาจพิพากษาให้ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ได้
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องจึงชอบแล้ว
หมายเหตุ
ข้อเท็จจริงคดีนี้
1. โจทก์บรรยายฟ้องว่า
โจทก์นำสำรวจแบ่งแยกที่ดินแปลงหน้สำรวจ 4281 ซึ่งมีเนื้อที่
6 ไร่ 3 งาน 25 ตารางวา
เพื่อออกเป็นโฉนดที่ดิน แต่เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 12996
มีเนื้อที่เพียง 5 ไร่ 1 งาน 4.9 ตารางวา ขาดหายไป 1 ไร่
2 งาน 20.5 ตารางวา โดยที่ดินของโจทก์ที่ขาดหายไปเป็นบริเวณที่อยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่
12995 ของจำเลยซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้
2. ในปลายปี 2551 จำเลยยื่นเรื่องราวขอรังวัดสอบแนวเขตที่ดินโจทก์จึงทราบว่าเจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์มีเนื้อที่ขาดหายไป
1 ไร่ 2 งาน 20.5 ตาราวา เนื่องจากเจ้าพนักงานที่ดินไม่นำที่ดินตามแนวเขตที่ดินอีก 2
หลักใน 8 หลักของโจทก์มาคำนวณเนื้อที่
ทำให้ที่ดินในโฉนดที่ดินของโจทก์เหลือเนื้อที่ 5 ไร่ 1
งาน 4.9 ตารางวา
ซึ่งไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงที่ได้ทำการสอบสวนสิทธิมาตั้งแต่ต้น
3. โจทก์จึงคัดค้านว่าเนื้อที่ที่ดินของจำเลยรุกล้ำและทับที่ดินของโจทก์
1 ไร่ 2 งาน 20.5 ตารางวา เจ้าพนักงานที่ดินนัดไกล่เกลี่ยแล้วแต่จำเลยไม่ยอมไปตามนัด
โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยแก้ไขหรือเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ในโฉนดที่ดินของโจทก์ให้ถูกต้องแล้ว
จำเลยเพิกเฉย
4. คดีนี้ โจทก์จึงยื่นฟ้องจำเลยขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนแก้ไขทำเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ที่ทับซ้อนที่ดินของโจทก์ที่ปรากฏในโฉนดที่ดินเลขที่
12996 จากเนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน 4.9 ตารางวา เป็นเนื้อที่ 6 ไร่ 3 งาน 25.4 ตารางวา
หากจำเลยไม่ทำการใดให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
ข้อสังเกต
1. การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เป็นความเข้าใจผิดของตัวโจทก์ที่ทำให้ผลคดีออกมาเช่นนี้และเสียเวลาทุกฝ่าย
2. ความเป็นไปได้
โจทก์ควรฟ้องทั้งตัวจำเลยและเจ้าพนักงานที่ดินไปพร้อมๆ กัน
ผลของคดีก็จะเปลี่ยน
ให้พิจารณาศึกษาเปรียบเทียบหลักการโต้แย้งสิทธิตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 55 จากคำพิพากษาศาลฎีกาดังต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 535/2551
ป.วิ.พ. มาตรา 55, 225 วรรคสอง
ภายหลังจากโจทก์ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์พิพาทมาจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี
โจทก์ได้ยื่นฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้ ส่วนจำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด
ต่อมาระหว่างคดีนี้อยู่ในการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดแล้วดำเนินการขายทอดตลาดใหม่
คดีถึงที่สุด ผลของคำสั่งเท่ากับว่าไม่ได้มีการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์
โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาท การโต้แย้งสิทธิของโจทก์จึงสิ้นสุดลง
โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
คำพิพากษาฎีกาที่ 1062/2552
ป.วิ.พ. มาตรา 55
โจทก์บรรยายคำฟ้องอ้างว่า
โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ต่อมาจำเลยได้ยื่นเรื่องราวขอรังวัดออกโฉนดที่ดินพิพาททั้งแปลง อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์
โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
สภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามคำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์
ถือว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์แล้ว
โจทก์จึงชอบที่เสนอคดีของตนต่อศาลโดยทำเป็นคำฟ้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55
คำพิพากษาฎีกาที่ 6857/2553
ป.พ.พ. มาตรา 1713, 1715, 1726,
1736 วรรคสอง
ป.วิ.พ. มาตรา 55
แม้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1715 วรรคสองบัญญัติว่า “เว้นแต่จะมีข้อกำหนดไว้ในพินัยกรรมเป็นอย่างอื่น
ถ้ามีผู้จัดการมรดกหลายคน แต่ผู้จัดการมรดกเหล่านั้นบางคนไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะจัดการ
และยังมีผู้จัดการมรดกเหลืออยู่แต่คนเดียวผู้นั้นมีสิทธิที่จะจัดการได้โดยลำพับ
แต่ถ้ามีผู้จัดการมรดกเหลืออยู่หลายคนให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า
ผู้จัดการมรดกเหล่านั้นแต่ละคนจะจัดการโดยลำพังไม่ได้” ก็มีความหมายถึงผู้จัดการมรดกที่ตั้งขึ้นโดยพินัยกรรมเท่านั้น
ไม่รวมถึงผู้จัดการมรดกที่ศาลตั้งขึ้นโดยไม่มีพินัยกรรม
การที่ศาลมีคำสั่งตั้งบุคคลหลายคนเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน
การกระทำตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดกต้องดำเนินการตามมาตรา 1726 ที่ให้กระทำการโดยถือเอาเสียงข้างมาก หากปรากฏว่าผู้จัดการมรดกร่วมคนใดคนหนึ่งถึงแก่ความตาย
ผู้จัดการมรดกที่เหลือย่อมต้องร้องขอต่อศาลให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมเมื่อการฟ้องคดีเพื่อจัดการทรัพย์มรดกเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามมารตรา
1736 วรรคสอง และมีบทบัญญัติของกฎหมายบัญญัติเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลกรณีที่มีผู้จัดการมรดกหลายคนต้องดำเนินการตามมาตรา
1726 ที่กฎหมายได้กำหนดไว้โดยเฉพาะแล้วจึงไม่อาจนำวิธีการตามมาตรา
1715 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ใช้เฉพาะผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมมาใช้บังคับได้
ดังนั้น เมื่อ ป. ผู้จัดการมรดกคนหนึ่งถึงแก่ความตาย
โดยโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกร่วมจะจัดการมรดกต่อไปเพียงสองคนโดยยังมิได้ขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ตนเป็นผู้จัดการมรดกต่อไป
ย่อมเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งศาลและไม่มีอำนาจจะจัดการได้
โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาฎีกาที่ 66/2553
ป.พ.พ. มาตรา 34
ป.วิ.พ. มาตรา 55
คำร้องขอที่ให้ศาลมีคำสั่งว่า จ.
เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความพิทักษ์ของผู้ร้องจะมีคำขอมาด้วยกันเป็นการล่วงหน้าเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้พิทักษ์เป็นผู้มีอำนาจทำการอย่างหนึ่งอย่างใดที่กล่าวไว้ใน
ป.พ.พ. มาตรา 34 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ได้ด้วยตนเองไม่ได้
เนื่องจากคำร้องขอของผู้ร้องเป็นแต่เพียงการขอล่วงหน้าโดยยังไม่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์ตามที่ขอเกิดขึ้นจริง
จึงไม่มีข้อเท็จจริงที่จะให้ศาลนำมาพิจารณาวินิจฉัยเพื่อใช้ดุลพินิจได้
ศาลจึงมีคำสั่งยกคำขอส่วนนี้ของผู้ร้อง
คำพิพากษาฎีกาที่ 3302/2553
ป.พ.พ. มาตรา 1270
ป.วิ.พ. มาตรา 55
ผู้ร้องเคยเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัท
ย. และได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีแล้ว ซึ่ง ป.พ.พ. มาตรา 1270 ให้ถือว่าเป็นที่สุดแห่งการชำระบัญชี แต่ก็มิได้หมายความว่าหากได้จดทะเบียนแล้ว
หากมีเหตุจำเป็นขัดข้องจากการชำระบัญชีกิจการของบริษัทแต่เดิมแล้วจะมีการชำระบัญชีเพิ่มเติมใหม่อีกไม่ได้
ซึ่งก็ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายกำหนดห้ามไว้ นอกจากนี้หากกรณีมีมูลเหตุข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำร้องขอของผู้ร้องว่าหลังจากจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีแล้ว
ผู้ร้องตรวจสอบพบว่ายังมีที่ดินที่บริษัท ย. ถือกรรมสิทธิ์อยู่อีก 2 แปลง กรณีจะดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าว
ซึ่งเป็นสินทรัพย์ของบริษัทที่ยังคงหลงเหลืออยู่โดยมิได้มีการชำระบัญชีด้วยวิธีการเช่นใด
ในเมื่อบริษัทมิได้ยังคงตั้งอยู่แต่สิ้นสภาพความเป็นนิติบุคคลไปแล้ว
และย่อมกระทบกับสิทธิที่จะได้รับแบ่งคืนทรัพย์สินของผู้ถือหุ้นอีกด้วย
ดังนั้น คดีมีเหตุที่ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีและแต่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัท
ย. ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55
คำพิพากษาฎีกาที่ 8429/2553
ป.วิ.พ. มาตรา 55
ที่ดินของ ป. กับที่ดินของ อ.
อยู่ติดกันโดยที่ดินของ ป. ทางด้านทิศตะวันตกติดที่ดินของ อ.
ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินให้แก่ ป. และระบุรูปแผนที่ที่ดินของ ป.
ว่าทางด้านทิศตะวันตกติดบ่อน้ำสาธารณประโยชน์ ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ
อ. และมีส่วนได้เสียในที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 94 ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถขอรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินได้
แต่ปรากฏตามทางนำสืบของโจทก์ว่า โจทก์ไปขอตรวจสอบตำแหน่งที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 94
ต่อสำนักงานจัดรูปที่ดินจังหวัดเพชรบุรี
และโจทก์ก็เบิกความตอบทนายโจทก์รับว่า โจทก์ยังไม่เคยไปยื่นคำขอรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินในที่ดิน
ส.ค.1 เลขที่ 94 ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน
ทั้งการขอแบ่งแยกโฉนดที่ดินของนางสาวปทุมก็เป็นเรื่องการแบ่งแยกโฉนดที่ดินในที่ดินของ
ป. เองโดยเฉพาะ แม้การระบุอาณาเขตที่ดินในโฉนดที่ดินที่แบ่งแยกออกมาจะคลาดเคลื่อนไป
ก็ไม่มีผลโดยตรงต่อที่ดินของ อ. กล่าวคือมิได้ออกโฉนดที่ดินรุกล้ำทับที่ดินของ
อ. หรือกระทำการอันมีลักษณะเป็นการรบกวนการครอบครองหรือแย่งสิทธิครอบครองที่ดินของ
อ. สิทธิครอบครองที่ดินของ อ. (หากมี) จะมีอยู่อย่างไรก็คงมีอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
และเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปพิสูจน์สิทธิครอบครองต่อเจ้าพนักงานที่ดินในการขอออกโฉนดที่ดินของ
อ. หากโจทก์ไม่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกับเจ้าพนักงานที่ดิน
การออกโฉนดที่ดินให้ ป. ตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องยังไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
คำพิพากษาฎีกาที่ 7188/2553
ป.วิ.พ. มาตรา 55
ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดในมูลละเมิดและประกันภัยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่
2026/2548 ของศาลจังหวัดปฐม
แต่โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีก่อนเสียเพื่อไปฟ้องเป็นคดีใหม่ต่อศาลที่อยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง
จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง
ขณะที่คดีก่อนอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ในมูลหนี้เดิมและรายเดียวกันเป็นคดีนี้ต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในคดีก่อนอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้
ดังนั้น เมื่อคดีที่โจทก์ขอถอนฟ้องในคดีก่อนยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
ต้องถือว่าคดีก่อนยังไม่ถึงที่สุด การที่โจทก์นำมูลหนี้รายเดียวกันฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอีกจึงเป็นการฟ้องซ้อนกับคดีก่อน
ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1) แม้ต่อมาศาลฎีกาจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง คดีก่อนถึงที่สุดก็ตาม ก็หาทำให้ฟ้องคดีนี้ซึ่งเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่ต้นกลายเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่
คำพิพากษาฎีกาที่ 10267/2553
ป.วิ.พ. มาตรา 55
แม้โจทก์จะเป็นบิดา ณ.
เจ้าของรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นผู้เยาว์ และเป็นผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุ
แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุ
และไม่มีกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุจะต้องรับผิดต่อ
ณ. ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในเหตุละเมิดดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าซ่อมรถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นค่าเสียหายที่เกี่ยวกับตัวรถโดยตรงจากจำเลย
นอกจากนี้ ณ. เป็นผู้ใช้รถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุขับไปเรียนหนังสือ
จึงเป็นสิทธิของ ณ. ที่จะฟ้องเรียกค่าพาหนะดังกล่าวมิใช่โจทก์
แม้โจทก์จะเป็นผู้จ่ายค่าพาหนะให้แก่ ณ. ก็ตามโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายดังกล่าวจากจำเลยเช่นเดียวกัน