สรุปคำบรรยาย วิชากฎหมายอาญา มาตรา 1-58,107-208 (ค่ำ) ครั้งที่ 2

146 views
Skip to first unread message

nobita kwang

unread,
Jun 10, 2010, 1:49:00 AM6/10/10
to LAWSIAM

<A HREF="http://www.thaijustice.com/webboard.asp?sub=0&id=1507423">สรุปคำบรรยาย วิชากฎหมายอาญา มาตรา 1-58,107-208 (ค่ำ) ครั้งที่ 1</A>

หากเอกสารสรุปคำบรรยายนี้ มีข้อผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้า  kankokub  ขออภัยและน้อมรับแต่เพียงผู้เดียว หากจะมีประโยชน์อยู่บ้างขอมอบให้แก่ ท่านอาจารย์ชาตรี สุวรรณิณ ผู้บรรยาย  , บิดามารดาข้าพเจ้าขอบคุณ. http://www.muansuen.com และคุณ admin ที่นำ flie เสียงมาลงแบ่งปันให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

ชั่วโมงที่ 2 วันเสาร์ ที่ 5 มิถุนายน 2553

            อัยการก็เปิดสอบสนามเล็กก็มีคนสงสัยว่าทำไมรับจำนวนจำกัด  เพราะมีอัตราว่างอยู่ตอนนี้ 180 คน ถ้าสนามเล็กมีคนสมัครจบปริญญาโท ปี ประมาณ 3,000 ขึ้นทำให้มีการต้องการแตกต่างไป เพราะบางครั้งต้องการได้คนที่ได้ภาษาอังกฤษ ถ้าปล่อย ให้สนามเล็กทั้งหมด สนามใหญ่คงไม่มีที่ว่างแน่นอน สนามใหญ่เปิดคงมีคนสมัคร 8,000  กว่าคน ข้อสอบเนฯไม่เหมือนสอบอัยการผู้พิพากษา

            เช่นคำถาม ถามเรื่องตำแหน่งเจ้าหน้าที่ ก็จะให้ดูว่าวินิจฉัยว่า มีความผิดต่อเจ้าหน้าที่หรือไม่ ให้วินิจฉัยว่านายดำ นายแดงมีความผิดฐานใดหรือไม่ ของเนฯจะเป็นแบบนี้คือ ระบุไปเลยว่าจะผิดอย่างไรบ้าง นี่คือแบบต่อไปว่า ให้วินิจฉัยว่า นายซิง และ นายลามีความผิดฐานใดหรือไม่และต้องรับโทษในราชอาณาจักรหรือไม่

            ถ้าเกิดว่าบังเอิญคราวที่แล้วได้ใส่ว่าผิดต่อเจ้าพนักงานหน้าที่หรือฐานใดหรือไม่ ก็ขอให้ระลึกไว้ว่าคนถามจะเขียนอย่างไร ก็ตอบเฉพาะที่เราเรียนนะครับ แต่ถ้าแนวของอัยการจะเปิดกว้างมากกว่านี้และคำถามจะกินไปสู่ส่วนอื่นๆที่ไม่ได้บรรยาย

            คำถามที่เนฯจะง่ายกว่าอัยการศาล เป็นต้นเหตุว่าสอบเนฯได้ตั้งเยอะแล้วทำไมสอบศาลหรืออัยการได้นิดเดียว

            วันนี้ก็ว่าถึงโครงสร้างกฎหมายอาญา ดูในมาตรา 2 ว่าด้วยความผิดและมีโทษ คือกฎหมายจะกำหนดความผิด ล้วนแล้วแต่เคยเป็นข้อสอบมาแล้วทั้งนั้นเป็นส่วนที่สำคัญแต่เราจะพูดถึงโครงสร้างของมัน หากกฎหมายไม่ได้กำหนดความผิด หรือกำหนดความผิดแต่ไม่มีโทษ หรือกำหนดโทษแต่ไม่ได้ระวางความผิดไว้

            ประการแรก องค์ประกอบในทางกฎหมาย เป็นสาระสำคัญในการกระทำ หรือองค์ประกอบการกระทำ สาระสำคัญทางจิตใจอันนี้เป็นหลักอยู่ ถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้หรือกฎหมายกำหนดโทษ จะถือว่าเขาทำผิดอาญาไม่ได้

            เช่นห้ามคนต่างด้าวที่มีลักษณะใดๆ ต่อไปนี้เข้าราชอาณาจักร ก็มี 12 อนุมาตรา พออ่านหมดไม่มีบทบัญญัติจะลงโทษ คงมีวิธีการอื่นๆที่ไม่ใช่โทษ ก็ลงโทษไม่ได้ อันนี้ก็เห็นชัดเจน มีหรือไม่กฎหมายที่บัญญัติการกระทำผิดไว้แต่ไม่ได้ลงโทษ จะได้หรือไม่

            การตีความกฎหมายอาญา เป็นโทษ ต้องเป็นอย่างเคร่งครัด เพราะเป็นเรื่องกระทบสิทธิขั้นพื้นฐาน และมีอยู่ในรธน มาตรา 39 รัฐธรรมนูญก็เปลี่ยนบ่อย แต่มาตรา 2 บัญญัติไว้ตลอด

            ข้อให้สังเกตว่าหลัก รธน กับ กฎหมายอาญาใช้เหมือนกันแต่บัญญัติไว้แตกต่างกัน อันนี้ก็เทียบเคียงกับ 452 /2540 คือ พรบ.สุขาภิบาลปี 95 โดยไม่มีสิทธิไม่ได้บัญญัติบทกำหนดโทษไว้ คือฟ้องว่ากระทำผิดฝ่าฝืนสิทธิเลือกตั้งกรรมการสุขาภิบาล แต่มีในมาตรา 3 ในพรบ.สุขาภิบาล มาตราที่ 3 คือว่าให้ไปใช้วิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลว่าด้วยกฎหมายด้วยการเลือกตั้ง นั่นก็คือให้ใช้วิธีการเลือกตั้งโดยอนุโลม ตรงนั้นมีเรื่องโทษด้วย ว่าได้นำมาใช้ด้วยหรือไม่

            กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งมาใช้อนุโลมไม่ได้หมายความว่าให้นำบทบัญญัติมาใช้ทั้งหมด ดังนั้นจะนำบทกำหนดโทษมาใช้ไม่ได้ หมายความว่าการกระทำจำเลยไม่ได้มีกฎหมายบังคับ เอามาอนุโลมก็จริงอยู่แต่ไม่ได้นำมาใช้ทั้งหมด แต่ต้องตีความโดยเคร่งครัด จะเอาบทกำหนดโทษมาเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดไม่ได้ โดยอ้างมาตรา 2 วรรคแรก

            608/2540 เดินตาม แสดงว่าการลงโทษใช้ไม่ได้ มันต้องตีความโดยเคร่งครัด 369/2531 ก็บัญญัติไว้ทำนองเดียวกัน จะอ้างเจตนารมณ์ก็ไม่ได้นะครับ ซึ่งอันนั้นก็อ้างเหมือนกันว่าลงโทษไม่ได้ ทั้งๆที่เขียนกฎหมายก็เพื่อความรวดเร็ว เรื่องบทการลงโทษก็ไปใช้พรบ.อีกฉบับโดยอนุโลม อันนั้นก็คือการลงโทษ พรบ.นี้ไปใช้อีกพรบ.หนึ่ง อนุโลมโทษให้ใช้กฎหมายเดียวกันจะใช้ได้หรือไม่ และถ้าลงโทษเฉพาะการกระทำ แต่ไม่ได้เขียนโทษไว้ชัดเจนตรงนี้ผลจะเป็นอย่างไร และถ้าลงโทษจะต้องบัญญัติไว้ชัดเจนหรือไม่ ในแต่ละฉบับ ยังเป็นปัญหาไม่มีฏีกา แต่อนุโลมโทษมีได้ ต้องบัญญัติไว้ชัดเจน เช่นพรบ.อาวุธปืน หรือ วัตถุระเบิด

            อันนี้คงจะเห็นว่าเป็นการอนุโลมโทษและกฎหมายให้มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่เขาบอกว่าให้จำคุก ชัดเจนถึงแม้จะกฎหมายฉบับเดียวกันก็ต้องกำหนดโทษไว้ อันนี้ก็มีพรบ.อื่นรวมทั้งบทกำหนดโทษให้ชัด เป็นลักษณะที่ต้องตีความและมีปัญหาที่ต้องตีความกัน อนุโลมโทษที่กฎหมายฉบับเดียวกัน แต่ไม่ได้บอกว่าลงโทษจำคุก เท่านั้นเท่านี้ แต่กฎหมายโรงงานมีอนุโลมแต่ไม่ได้บอกว่าเช่นนั้น อันนี้ก็คงจะเห็นได้ว่า การอนุโลมโทษเป็นอย่างไรก็กำหนดไว้สามฉบับ การอนุโลมโทษในกฎหมายฉบับเดียวกันแต่ไม่ได้ระบุไว้โดยชัดเจนในเรื่องโทษ กฎหมายของเราเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ได้กำหนดการกระทำที่เป็นความผิดได้ลงโทษไว้ กฎหมายอาญาได้บัญญัติเรื่องการกระทำหรือไม่กระทำไว้เป็นความผิด

            การกระทำคืออะไร ก็เห็นชัดเช่นลักทรัพย์เอาทรัพย์ของผู้อื่นไปตาม 334 แต่ถ้าไม่ได้กระทำความผิดเช่นการไม่ช่วยเหลือผู้อื่น ตาม 374 ที่อธิบายสองอันนี้ และตอบคำถามมีว่าผิดอย่างนี้ที่ไม่ทำผิดอะไร ก็จะนึกเรื่องการกระทำอย่างเดียว การตอบให้ติดห้าสิบคนต้องตอบเหนือคนอื่นอยู่นิดหนึ่ง เวลาใช้กฎหมายอื่นก็ต้องอ้างมาตรา 17 ไปด้วย หนึ่งคะแนนก็อาจทำให้หลุดหนึ่งในห้าสิบคนได้นะครับ

            การกระทำก็เยอะแยะไป แล้วไม่กระทำก็คิดยากขึ้นอีกนิดหนึ่ง คือปล่อยให้ผู้อื่นตกในภยันตรายถึงชีวิต ถ้าตายโดยการทำร้ายผู้อื่นก็คือ 280 การจำจำเป็นกลุ่มการกระทำหรือไม่กระทำ ก็จับเป็นกลุ่มไม่ใช่ไม่สำคัญ ต้องเอาที่สำคัญมากที่สุดให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยที่สำคัญรองลงมา โทษก็จะเห็นอยู่ในมาตรา 18 และ พรบ.ต่างๆ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษทางอาญา และต้องนำกฎหมายอาญาในส่วนทั่วไปมาใช้ บทบัญญัติในภาคหนึ่งให้ใช้ในกรณีกฎหมายอื่นด้วย เว้นแต่ได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

            ต่อไปกฎหมายอาญากับศีลธรรมก็คงจะเห็นว่า บางอน่างนี้ผิดศีลธรรมแต่ไม่ผิดกฎหมายอาญาดูแล้วมันก็น่าจะถ้ารอให้ผิดเสียก่อนก็คงไม่ฆ่ากันตาย

            เห็นตำตาการเป็นชู้ มันผิดศีลธรรม แต่ถ้าเข้าความผิดก็ เป็นมาตรา 2

            พระภิกษุร่วมประเวณีกับหญิงในกุฏิ ไม่ผิดฐานเหยียดหยามศาสนา พิจารณาแล้วผิดศีลธรรมแต่ไม่ถึงกับผิดองค์ประกอบตามมาตรา 206

            736/2525

            ถือเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งแต่จะถือเป็นการเหยียดหยามศาสนาหรือไม่ ไม่ถนัด การออกข้อสอบตรงๆมันไม่มีแล้วนะครับสมัยนี้ มันเชย

              ต่อไปก็ความผิดอาญากับละเมิด ความผิดอาญาบางประเภทไม่เป็นละเมิดและความผิดละเมิดบางประเภทก็ไม่เป็นความผิดอาญา

            ความยากอยู่ตรงที่ว่าการออกข้อสอบไปแกว่งอีกทีเพื่อทดสอบข้อ ก และ ข้อ ข การเขียนตอบสอบ เวลาส่วนใหญ่ เรียนฟังท่อง แต่เวลาได้คะแนนคือได้จากการเขียน เราได้ทดลองเขียนตอบข้อสอบแล้วหรือยัง ลองเขียนแล้วเปิดประมวล ก็เลยต้องปรับปรุงการเขียนใหม่และสปีดการเขียน

            การที่จะได้คะแนนได้โดยการเขียน ไม่ใช่ได้โดยการนั่งอ่านร้อยชั่วโมง การอ่านต้องนึกให้ได้ว่าจะออกสอบในกลุ่มไหน และต้องเกี่ยวข้องกับมาตราใดบ้าง ความผิดอาญาบางประเภทไม่เป็นละเมิด เช่นความผิดขับรถความเร็วสูงน่ากลัวจะเป็นอันตราย ไม่เป็นละเมิด แต่ผิดกฎหมายที่มีโทษทางอาญา

            หรือจะให้หนักกว่านั้นก็ได้ กบฏตามมาตรา 114 ผิดกฎหมายอาญาแต่ไม่ผิดละเมิด ความผิดละเมิดบางประเภทไม่เป็นผิดอาญา เช่นความผิดทำให้เสียทรัพย์โดยประมาท

            พอจะให้สอบได้ต้องมองให้เห็นภาพนึกมาตราให้ถูก พอนึกแล้วออก 358 ตอบอย่างนี้ได้ก็ได้คะแนนแล้วนะครับ อย่างเช่นทำให้เสียหาย ถามเรื่องทำลาย ก็ไม่ต้องตอบทำให้เสื่อมค่าไร้ประโยชน์ ถ้าไม่ได้ถามเรื่องผู้อื่นเป็นเจ้าของอยู่ด้วยก็ไม่ต้องตอบ ความผิดอาญาตามกฎหมายอื่น การที่จะเป็นความผิดได้บางครั้งก็ต้องไปดูกฎหมายอื่นด้วย เช่นกฎหมาย รธน.มาตรา 130

            เจ้าของที่ดินตัดรากไม้ที่ล้ำ ไม่มีความผิดทำให้เสียทรัพย์ 1347 กว่าจะผิดกฎหมายอาญาบางทีต้องดูกฎหมายอื่นด้วย ถ้าออกที่เนฯออกยาก แต่ถ้าออกที่อื่นต้องโยง เรื่องต่อไปก็เกี่ยวกับการฆ่าตัวตายไม่เป็นละเมิดต่อตนเองคือกฎหมายอาญา คือการฆ่าตัวตายไม่ครบองค์ประกอบตาม 288 และก็ไม่เป็นละเมิดตาม 420 ถ้าถามแค่นี้ก็ง่าย แล้วผู้ยุยงหล่ะครับ ฆ่าตัวตายไม่ละเมิดแล้วผู้ยุยง อาจจะเป็นความผิดตาม 292 หรือ 293 ได้ถ้าครบองค์ประกอบ

            เมื่อถามเรื่องฆ่าตัวเองแล้วมันมีเรื่องอื่นเกี่ยวข้อง

            ก็สรุปว่ากฎหมายอาญามาตรา 2 บุคคลได้กระทำผิดต่อเมื่อได้บัญญัติไว้ในกฎหมาย อันนี้ก็จะเห็นได้ว่า เรามองเห็นว่าประการแรกต้องมีการกระทำที่กฎหมายบัญญัติไว้

            กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด กฎหมายอาญาต้องไม่มีผลย้อนหลัง

            กฎหมายอาญาต้องมีขอบเขตพื้นที่การใช้บังคับ อันที่หนึ่งกฎหมายต้องบัญญัติไว้ แปลว่า ไม่มีต้องตีความโดยเคร่งครัด แล้วอธิบายว่ากฎหมายอาญาต้องแปลและตีความโดยเคร่งครัดแล้วตัวนี้เป็นส่วนขยาย อันนี้พยายามจะเจาะให้ได้คะแนนในส่วนที่บ่กพร่องอยู่

            ส่วนกฎหมายอาญาต้องมีขอบเขตพื้นที่การใช้อย่างมาตรา 4 แล้วนักศึกษาเวลาเถียงกันมักจะเถียงกันแล้วจบแค่เรื่องนี้มีฏีกา แล้วไม่คิดกันต่อแล้ว พอออกสอบเทียบเคียงฏีกา ก็ตอบไม่ถูก

            ฏีกาเป็นการแปลกฎหมายและฏีกาในคดีก่อนจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด

            อันนี้ก็คำพิพากษาศาลฏีกาก็จะผูกพันเฉพาะคู่ความในคดี เราใช้เพื่อให้ช่องว่างมีสภาพบังคับ กฎหมายที่ไม่ประสงค์ลงโทษผู้กระทำผิด แต่ประสงค์ที่จะใช้วิธีการอย่างอื่น

            606/2506 เป็นเรื่องพรบ.ป่าไม้ ห้ามไม่ให้แปลรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจะเป็นความผิด

            ข้อเท็จจริงคือได้รับใบอนุญาตเพื่อแปรรูปไม้ เพื่อผลิตเฟอร์นิเจอร์ แล้วไปทำผิดข้อกำหนด มาตรา 58 การกระทำในพรบ.นั้นไม่มีกำหนดโทษ มีเพียงมาตรา 59 ให้พักใบอนุญาต

            606/2506

            ฏีกาแนวอย่างนี้ก็ใช้ดูกฎหมายอื่น 

            แม้เป็นฏีกาเก่าก็มีฏีกาที่เดินตามไว้ ต่อไปเป็นเรื่องเกี่ยวกับคดีหมิ่นประมาทการโฆษณา ซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ก็มีการให้โฆษณาคำพิพากษานั้นในหนังสือพิมพ์ทั้งหมดหรือบางส่วน เพราะการโฆษณาคำพิพากษาไม่ใช่โทษ

            ศาลมีอำนาจให้โฆษณาคำพิพากษาเท่านั้น มิได้ให้ขออภัย

            ขออภัยเป็นการลุแก่โทษ ศาลสั่งไม่ได้แต่เป็นดุลพินิจในการกำหนดโทษ การอนุโลมให้ใช้กฎหมาย 60/2540 ยืนยันว่าจะต้องตีความอย่างชัดเจน แม้จะชัดเจนว่ากระทำความผิดจริง แต่ไม่มีโทษก็จะลงโทษไม่ได้

            การตีความโดยเคร่งครัดมาจากเหตุผลว่า ถ้ายอมให้ตีความกฎหมายอาญาในทางขยายความก็จะถือเป็นกรณีที่ว่ากฎหมายบัญญัติไม่ชัดแจ้ง ก็จะเป็นการขัดต่อหลักที่ว่า ไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด

            การสนิทชิดชอบกับภริยาผู้พิพากษาก็ไม่เป็นความผิดเป็นกฎหมายเก่านะครับ

            เรื่องพนักงานอัยการฟ้องว่าแหกที่คุมขัง ก็สงสัยกันว่าผู้ใดหลบหนีไประหว่างที่ถูกคุมขังของอำนาจศาล ในเรื่องของพนักงานสอบสวน ก็บอกเลย แต่ถ้าไม่บอกจะบอกคุมไปเลยว่าเป็นพนักงานสอบสวน คุมขังก็ไปอธิบายมาตรา 1 อนุ 12 แหกที่คุมขังก็เป็นวรรคสอง โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย การที่โซ่ล่ามอยู่เป็นที่คุมขังหรือไม่ จะเป็นแหกที่คุมขังหรือไม่ ศาลแปลความเคร่งครัดว่าไม่ใช่หักที่คุมขัง

Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages