ครั้งที่ 2 . ()
คราวนี้อาจารย์จะเข้าไปในตัวเนื้อหาของกฎหมาย และให้ไปดูมาตรา 194 ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิจะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ อนึ่งการชำระหนี้ด้วยงดเว้นการอันใดอันหนึ่งก็ย่อมมีได้
และสิทธิที่เกิดจากมูลหนี้นั้น เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วจะก่อให้เกิดความผูกพันระหว่างตัวบุคคลสองฝ่าย เจ้าหนี้ลูกหนี้นั้น มันเชื่อมโยงด้วยสิทธิทางหนี้หรือที่คุ้นกันในชื่อ บุคคลสิทธิ หรือ สิทธิเรียกร้อง
ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไรก็เป็นสิทธิประเภทหนึ่งที่เกิดจากบุคคลสองฝ่าย ที่เรียกให้ลูกหนี้นั้นปฏิบัติการชำระหนี้ได้ ถ้าเป็นข้อตกลงในสัญญา ถ้าเป็นโดยเรื่องของละเมิด ก็เป็นเรื่องที่เรียกให้ผู้ละเมิดชำระค่าเสียหาย ส่วนเรื่องลาภมิควรได้กฎหมายก็กำหนดให้คืนประโยชน์หรือทรัพย์สินนั้น
อันนี้ก็เป็นการยกตัวอย่างให้เห็นว่าสิทธิทางหนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการเรียกของฝ่ายผู้ทรงสิทธิ ทีนี้ในการที่เราเรียกว่าสิทธิเรียกร้องเพราะเป็นสิทธิทางหนี้ เป็นทางจำกัดโดยการใช้สิทธิ ไม่อาจบังคับได้โดยผละการ คือต้องไปใช้สิทธิทางศาล อันนี้เป็นระบบสากล คือให้ศาลเป็นผู้บังคับให้ ส่วนการบังคับการตามสิทธินั้นต้องให้ศาลบังคับให้
บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกหนี้เจ้าหนี้จะไปให้ศาลบังคับให้ไม่ได้กฏหมายเลยบอกว่าทางหนี้เป็นเพียงบุคคลสิทธิเท่านั้นเพราะมันไม่สามารถบังคับเองได้เช่น ทรัพยสิทธิ
จากการที่พวกเราไปดูข้อแตกต่างก็จะประมวลได้จากที่อาจารย์พูด คำว่าสิทธิทางหนี้อาจเป็นคำที่ไม่คุ้นเคยนัก คือสภาพบังคับไม่ได้บังคับโดยตัวลูกหนี้แต่ไปบังคับจากทรัพย์สินของลูกหนี้ การบังคับสิทธิของเจ้าหนี้ก็ไปบังคับได้ตามคำพิพากษา ศาลก็บังคับตัวเขาเองไมได้หรอก
วิแพ่งก็เป็นการขยาย สิทธิไป
อันนี้ก็เป็นการบัญญัติสิทธิในหนี้นั้นอีกชื่อหนึ่งคือสิทธิทางหนี้ สภาพตัวสิทธิทางหนี้โดยตรงเป็นการบังคับทางทรัพย์ มาตรา 214 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 733 เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย
เห็นได้ชัด
อันนี้ก็เป็นภาพรวมที่คราวที่แล้วได้ฝากไปให้ไปศึกษาเพิ่มเติม เช่นในอาทิตย์นี้จะลงในเรื่องแรกคือวัตถุแห่งหนี้ 194 – 202 เป็นส่วนแรกที่กฎหมายกำหนดไว้ อันนี้เป็นการที่นักศึกษาจะต้องเห็นภาพอันหนึ่งว่าหลักเกณฑ์ทั้งหมด เกี่ยวข้องกับการชำระหนี้ของลูกหนี้ว่าชำระอย่างไรจึงจะถูกต้อง ปัญหาที่พิจารณาแล้วตอบได้คือ การชำระหนี้สมบูรณ์หรือไม่ ไม่ว่าหนี้อะไรนะครับ ลูกหนี้ก็ต้องทำการชำระหนี้ การชำระคือหัวใจของหนี้
กฎหมายก็ต้องการแยกว่าต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะสมบูรณ์ เมื่อมีหนี้เกิดแล้ว ผลจะสมบูรณ์เมื่อได้มีการชำระ หลักเกณฑ์ตรงนี้ก็มีการวางรายละเอียด
ถามว่าถ้าได้มีการกำหนดการชำระหนี้เป็นพิเศษ เช่นในสัญญา หรือ กฎหมายเอกเทศสัญญา ก็ทำได้
เพราะมาตรา 151 การใดเป็นการแตกต่างกับบทบัญญัติของกฎหมาย ถ้ามิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนการนั้นไม่เป็นโมฆะ
วางหลักไว้ให้แล้ว ว่าการใดแตกต่าง ไม่เป็นโมฆะ
ก็ต้องทำตามข้อตกลงเว้นแต่ข้อตกลงเกิดมีปัญหา ก็อาจเป็นเรื่องข้อสัญญาไม่เป็นธรรม
หรือเขียนแล้วเชียนไม่ชัดเจน ก็อาจมีกรณ๊ที่อีกสองปีจึงจะมีผล อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในเรื่องแรกคือ กฎหมายวางหลักว่าอะไรสำคัญกฎหมายก็วางหลักก่อน คือวัตถุแห่งหนี้เราต้องรู้ก่อนว่า หนี้ที่เป็นปัญหานั้นคือหนี้อะไร
อันนี้ก็เลยเป็นกฎหมายเรื่องแรก จากตำราของท่านอาจารย์จี๊ด จะอธิบายว่าเป็นเรื่องการชำระหนี้ คำว่าวัตถุแห่งหนี้จะเป็นปัญหา ในภาษาไทยอาจทำให้เราสับสน ว่าเป็นสิ่งที่มีรูปร่าง แต่ในกฎหมายนั้นไม่ได้หมายถึงเรื่องสิ่งมีรูปร่าง แต่เป็นเรื่องเนื้อหา ที่การชำระหนี้ต้องปฏิบัติอะไร
ซึ่งตามตำราของอาจารย์จี๊ด คือ สิ่งที่ต้องชำระตามมูลหนี้ เป็นการให้ความหมาย เนื้อหาตัวสิทธิแต่ละรายนั้น ไม่ว่ามูลหนี้อะไรมีอยู่สามเรื่อง
คือหนี้กระทำการ งดเว้น กระทำการ และส่งมอบทรัพย์สิน การส่งมอบก็เป็นการกระทำการอย่างหนึ่ง คือเคลื่อนย้ายทรัพย์จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง อันนี้เป็นการกระทำการอันหนึ่ง
อันนี้ก็คือตัววัตถุแห่งหนี้ สามอย่างนั้น มีเพียงการส่งมอบทรัพย์เท่านั้นที่พอจะเห็นเป็นตัวรูปร่าง
ตรงนี้จะเห็นได้ว่าหนี้สองอันตามมาตรา 194 อีกสองอันไม่ได้เป็นรูปร่างเลย ก็อาจเรียกว่าเนื้อหาแห่งหนี้ จะเห็นภาพกว่า แต่เมื่อประมวลแพ่งแปลความไปเช่นนั้นก็ต้องใช้ตามนั้น
ทีนี้เวลาหนี้เกิดขึ้นเราต้องรู้ก่อนว่าหนี้นั้นมีวัตถุแห่งหนี้คืออะไร เช่นซื้อขายก็คือส่งมอบทรัพย์ ผู้ซื้อมีวัตถุแห่งหนี้คือกระทำการชำระราคา
เช่นสัญญาไม่มีชื่อก็คือ สัญญาแชร์เปียหวย ก็จะปิ๊งเลย ถามว่าเป็นหนี้อะไร เอกเทศสัญญาก็ไม่เข้าสักอัน ในคำพิพากษาก็ได้วินิจฉัยกรณีหนีแชร์ นั้นก็ต้องผิดตามสัญญาซึ่งกรณีนี้ก็เป็นสัญญาประเภทหนึ่ง วัตถุแห่งหนี้คืออะไรก็คือข้อตกลงว่าผู้เปียได้ก็ได้เงินตามจำนวนแล้วเสียดอกเบี้ยจำนวนหนึ่งก็เป็นวัตถุแห่งหนี้หรือหนี้อย่างหนึ่งที่เท้าแชร์ต้องปฏิบัติ
ก็ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงแต่ละสัญญา เช่นในละเมิด 420 เขียนชัดว่าก็ชดใช้ค่าเสียหาย อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราสามารถตอบได้ก่อนก่อนที่ลงไปในตัวบท
ปัญหาของหนี้คืออะไรหล่ะเพราะเราตอบได้ว่าวัตถุแห่งหนี้คืออะไรแต่ปัญหาคือ วัตถุแห่งหนี้นั้นอาจจะไม่แน่นอน อันนี้เป็นตัวปัญหาที่จะต้องศึกษาตัวหลักเกณฑ์ของกฎหมาย
เช่นการทำสัญญาซื้อขาย ข้าวสาร ปัญหาที่ตามมาก็คือก็ไม่ได้ตกลงกันว่าเป็นชนิดอะไร เกิดมันมีลิตรละแปดสิบ สองสามชนิดจะทำอย่างไร
รู้ราคาแล้ว สัญญาซื้อขายก็เกิดแล้ว แต่วัตถุแห่งหนี้ นั้นคืออะไร ชนิดแห่งตัวข้าว
ปัญหาของกฎหมายคือ สัญญามันไม่ชัดได้ พอไม่ชัดสัญญาที่ก่อหนี้ ก็ต้องเคลียร์ปัญหาก่อน ว่าวัตถุแห่งหนี้คืออะไร การชำระไม่ถูกต้อง คืออะไร
อันนี้เป็นแค่ตัวอย่าง เรื่องที่มันน่าจะมีปัญหา นักกฎหมายก็พยายามวางหลักกฎหมาย
ก็ตกตระกอนแล้วว่าน่าจะเกิดปัญหาว่าเป็นวัตถุแห่งหนี้ที่ไม่แน่นอนได้สามกรณีคือเรื่องแรก ในประมวลส่วนต้น ของประมวลแพ่งของเรา
คือตัวทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งหนี้ไม่แน่นอน ไปดูในสัญญาแล้วไม่ได้ตกลงแต่ถ้าไม่มีกำหนดแล้วก็ต้องไปดูหลักทั่วไป
มาตรา 195 เมื่อทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นได้ระบุไว้แต่เพียงเป็นประเภท และถ้าตามสภาพแห่งนิติกรรม หรือตามเจตนาของคู่กรณีไม่อาจจะกำหนดได้ว่าทรัพย์นั้นจะพึงเป็นชนิดอย่างไรไซร้ ท่านว่าลูกหนี้จะต้องส่งมอบทรัพย์ชนิดปานกลาง
ถ้าลูกหนี้ได้กระทำการอันตนจะพึงต้องทำ เพื่อส่งมอบทรัพย์สิ่งนั้นทุกประการแล้วก็ดี หรือถ้าลูกหนี้ได้เลือกกำหนดทรัพย์ที่จะส่งมอบแล้วด้วยความยินยอมของเจ้าหนี้ก็ดี ท่านว่าทรัพย์นั้นจึงเป็นวัตถุแห่งหนี้จำเดิมแต่เวลานั้นไป
หรือเอกเทศสัญญาที่โยงไปใช้กับหลักทั่วไปก็มี อันนี้คือเรื่องแรกคือในเรื่องของตัวทรัพย์ ที่ไม่แน่นอนแล้วจะทำอย่างไรให้มันแน่นอน
เรื่องทีสองก็คือ หนี้เงินที่ข้อเท็จจริงเกิดขึ้นมาก ก็เป็น มาตรา 196 ถ้าหนี้เงินได้แสดงไว้เป็นเงินต่างประเทศ ท่านว่าจะส่งใช้เป็นเงินไทยก็ได้
การเปลี่ยนเงินนี้ ให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ณ สถานที่และในเวลาที่ใช้เงิน
มาตรา 197 ถ้าหนี้เงินจะพึงส่งใช้ด้วยเงินตราชนิดหนึ่งชนิดใดโดยเฉพาะ อันเป็นชนิดที่ยกเลิกไม่ใช้กันแล้วในเวลาที่จะต้องส่งเงินใช้หนี้นั้นไซร้ การส่งใช้เงินท่านให้ถือเสมือนหนึ่งว่ามิได้ระบุไว้ให้ใช้เป็นเงินตราชนิดนั้น
ส่วนเรื่องที่สามคือกรณีชำระหนี้หลายอย่าง 198 กับ 202
ก็ต้องขอโทษนักศึกษาหน่อยที่อาจารย์เป็นรถความเร็วสูง หลักกฎหมายเรื่องแรกคือ หลักกฏหมายที่กรณีของตัวทรัพย์ ทีนี้ กรณีที่มาเกี่ยวข้องนั้นถ้าเรานึกดูว่ามีมูลหนี้อะไรที่เกี่ยวข้องกับวัตถุแห่งหนี้
ก็คือมูลหนี้เกี่ยวกับการส่งมอบทรัพย์ เพราะต้องมีหนี้กระทำการในการส่งมอบ ที่ยกตัวอย่างในการซื้อขายกับเช่าซื้อเป็นการส่งมอบในทางโอนกรรมสิทธิ์ ก็เห็นได้ว่าการส่งมอบทรัพย์ไม่ได้มีแค่การโอนกรรมสิทธิ์
อาจมีการส่งมอบในเชิงยังไม่ถึงขั้นโอนกรรมสิทธิ์เช่นการยืม อาจจะไม่แน่นอนได้อย่างไร ก็เป็นปัญหาได้ว่าคำอื่นที่ให้ยืม หรือเช่านั้น
เราก็ต้องไปกำหนดตัววัตถุแห่งหนี้ให้แน่นอนเสียก่อน ส่วนมูลหนี้อีกอันที่มีทรัพย์มาเกี่ยวข้องกับวัตถุแห่งหนี้ เช่นสัญญาจ้างก่อสร้าง
เป็นเรื่องเครื่องเตือนภัยหรือ ที่เรียกว่าเซฟทีคัท แล้วโครงการไปติดยี่ห้ออื่นเข้ามา ก็มีปัญหาว่าที่ระบุยี่ห้อไปนั้นเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งแล้วหรือยัง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เป็นการชำระหนี้ที่ไม่ถูกต้องตามวัตถุแห่งหนี้สิ
คำว่าของ ที่ว่าจ้างทำของ นี้อาจจะไม่ใช่ของก็ได้ แปลจากภาษาอังกฤษ คือต้องการความสำเร็จของงาน
อันนี้เป็นอันหนึ่งที่อยากให้สะดุดว่าอย่าไปตีความโดยไปสะดุดตามคำในภาษานั้น
ชนิดของประเภททรัพย์ก็คือคุณภาพของทรัพย์ เช่น เรารู้ประเภททรัพย์คือ ข้าวสาร แต่ยังไม่รู้คุณภาพคือ
ส่วนทรัพย์ไม่แน่นอนอีกลักษณะหนึ่งคือทรัพย์ทั่วไป ที่มีมาก อีกประเภทหนึ่งใน วรรคสองของ 195 คือเรื่องของทรัพย์ไม่แน่นอน ที่มีมากกว่าหนึ่งชิ้น คือประเภทของทรัพย์ทั่วไป ที่ยังไม่เป็นทรัพย์เฉพาะเจาะจง
มีปัญหามากเลยว่าทรัพย์ไม่แน่นอนนั้นวิเคราะห์อย่างไรว่าลูกหนี้ปฏิบัติการชำระได้ถูกต้องหรือไม่ ก็คือเอาชนิดเดียวกัน คุณภาพเท่ากันมาใช้ได้
อาจารย์จะยกคำพิพากษาฏีกา ตาม 195 วรรคสองมาให้ดู คือไปโยงกับนิติกรรม ด้วย ปัญหาในทางกฎหมายในเรื่องหนี้คือมีปัญหาอยู่สองด้าน คือถ้าเป็นทรัพย์ทั่วไปก็ไม่ค่อยมีปัญหา แต่ปัญหาอีกแง่คือการที่กำหนดเอาไว้ แม้ไม่ได้ระบุไว้เป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งแต่ถ้าได้ผ่านการกระทำบางอย่างที่ ไม่แน่นอน เป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งแล้ว ก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญในกฎหมายหนี้
กฎหมายเลยวางหลักทั่วไปไว้ใน 195 วรรคสอง
ถ้ามีอันเดียว ก็ไม่ต้องวิเคราะห์การกำหนด ทีนี้อาจตั้งปัญหาว่า การที่จำกัดทรัพย์นั้น ผลในทางกฎหมายเป็นเพียงว่าเป็นหนี้ที่แน่นอนเท่านั้นหรือ
ก็ยังมีผลจากการเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งไว้ หกเรื่องใหญ่ๆ ก็ไปดูได้จากหนังสือของอาจารย์โสภณ
ก็คือเรื่อง ผลของการโอนกรรมสิทธิ์ เพราะกฎหมายในเรื่องซื้อขายกำหนดไว้ชัดเจน เพราะ มาตรา 458 ก็กำหนดไว้ชัดเลย
กรณีถัดมาก็เรื่องการชำระหนี้เป็นพ้นวิสัย คือตราบใดที่ยังไม่เป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง การพ้นวิสัยยังไม่เกิดขึ้น
ส่วนในกรณีที่หกก็เป็นเรื่องการส่งมอบทรัพย์ เพราะถ้าไม่ใช่ก็ไปส่งมอบภูมิลำเนาเจ้าหนี้ อันนี้เป็นเรื่องมาตรา 324
เรื่องหลังๆ ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะเป็นเรื่องการตกลงกัน กรณีปัญหาวันนี้อาจารย์ก็ไปได้เรื่องเดียว ยังไม่ได้ขึ้นหนี้เงิน
ดูฏีกาประกอบ เรื่องโอนกรรมสิทธิ์ 339/2506
จำเลยตกลงขายไม้ในโรงเลื่อยให้โจทก์ โดยเจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้วัดไม้ตีตรากรรมสิทธิ์ ได้ไม่ครบตามสัญญาและชำระราคาแล้วนั้นต้องถือว่ากรรมสิทธิ์ในไม้ได้โอนเป็นของโจทก์แล้ว หากไฟไหม้ไม้นั้นเสียหายไปเพราะเหตุอันจะโทษจำเลยมิได้แล้ว การสูญหรือเสียหายก็ย่อมตกเป็นพับแก่โจทก์
หากมีเงื่อนไขระบุไว้ในสัญญาว่าจำเลยยังต้องรับผิดชอบในไม้ที่ซื้อขายอยู่จนกว่าจะได้ส่งมอบแก่โจทก์ถึงที่ตามที่ได้ตกลงกันไว้อันเป็นการยกเว้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 370 และ 460 แล้วโจทก์ก็ต้องยกข้อความในสัญญาข้อนี้ขึ้นกล่าวเป็นประเด็นในฟ้องให้ชัดแจ้ง
455/2518
จำเลยทำสัญญาขายข้าวเปลือกซึ่งเก็บไว้ในยุ้งของ ส. ให้โจทก์ร่วม และทำสัญญารับฝากข้าวเปลือกจำนวนนั้นไว้จากโจทก์ร่วมจะนำไปส่งมอบให้ภายหลังดังนี้เห็นได้ว่าข้าวเปลือกได้โอนไปเป็นของโจทก์ร่วมแล้วเมื่อจำเลยรับฝากข้าวเปลือกของโจทก์ร่วมโดยเก็บไว้ในยุ้งที่จำเลยเช่าไว้ จึงเป็นผู้ครอบครองข้าวเปลือกซึ่งเป็นของโจทก์ร่วมเมื่อจำเลยขนเอาข้าวเปลือกไปเสียและปฏิเสธฝืนพยานหลักฐานว่าไม่มีข้าวเปลือกของจำเลยอยู่ในยุ้งดังกล่าว และจำเลยไม่เคยขายและรับฝากข้าวเปลือกจากโจทก์ร่วมเช่นนี้ถือได้ว่า จำเลยได้เบียดบังเอาข้าวเปลือกของโจทก์ร่วมไปโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์แม้ข้าวเปลือกจะเป็นสังกมะทรัพย์ซึ่งอาจใช้ข้าวประเภทและชนิดเดียวกันมีปริมาณเท่ากัน แทนกันได้แต่ก็มิใช่ว่าผู้รับฝากจะเอาไปเป็นประโยชน์สำหรับตนได้ทั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิ การกระทำของจำเลยหาใช่เป็นผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นไม่
468/2532
สินค้าพิพาทเป็นสินค้าที่เสียหายเนื่องจากน้ำท่วมและกองรวมไว้ในโกดังโดยมิได้จำแนกว่าเสียหายมากน้อยเป็นจำนวนเท่าใด ในการซื้อขายสินค้าพิพาทดังกล่าวทั้งโจทก์ซึ่งเป็นผู้ขาย และจำเลยซึ่งเป็นผู้ซื้อต่างมิได้ยึดถือเอกสารที่ระบุถึงรายการสิ่งของที่ได้รับความเสียหายเป็นข้อสำคัญ หากประสงค์จะซื้อขายสินค้าทั้งหมดที่กองไว้นั้นในลักษณะขายเหมาเมื่อจำเลยประมูลซื้อได้ กรรมสิทธิ์ในสินค้าทั้งหมดตกเป็นของจำเลยโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดในกรณีที่สินค้าดังกล่าวเสียหายเพิ่มเติม จำเลยมีหน้าที่ชำระราคาสินค้าแก่โจทก์จนครบ.(ที่มา-ส่งเสริม)
เกี่ยวกับภัยพิบัติก็เป็นเรื่องที่มีฏีกาเยอะ
เรื่องพ้นวิสัยก็มีเรื่องฏีกาเกี่ยวข้อง หนี้เงินมีเยอะ จะมีประเด็นเรื่องดอกเบี้ย โต้แย้งไว้เยอะ คราวหน้าเราค่อยมาดูแล้วกันอาจารย์ขอยุติวันนี้ไว้เพียงเท่านี้