ครั้งที่ 2 . ()
ครั้งที่แล้วเราได้พบกันแล้วครั้งหนึ่งได้เริ่มต้น 453 คือว่าสัญญาซื้อขายคืออะไร เป็นมาตรา แรกสุดในบรรพสาม ก็มีนัยยะว่าเป็นสัญญาที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน
มาตราแรกมักอธิบายความหมายของเรื่องนั้นๆเสมอ การซื้อขายทำอย่างไรเรียกว่าส่งมอบก็เป็นเรื่องต่อไป ส่งเกินไปเกิดอะไรขึ้น ส่งน้อยไปเกิดอะไรขึ้น หรือแม้แต่เรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ก็เหมือนกัน กฎหมายจะอธิบายต่อไป ว่าทำอย่างไรเรียกว่าการโอนกรรมสิทธิ์
กฎหมายยังต้องอธิบายต่อว่าทำอย่างไรเรียกว่ารับมอบ แล้วอีกฝ่ายจะทำอะไร ได้บ้าง เรียกว่าส่งมอบหรือยัง ตลอดจนการชำระราคา
สิ่งแรกที่เราจะต้องตอบให้ได้คือสิ่งเหล่านั้นเป็นสัญญาซื้อขายจริงหรือไม่ ความจริงอาจเป็นเช่าทรัพย์ อาจเป็นเช่าซื้อ หรือจ้างทำของก็ได้ เพราะถ้าเป็นกฎหมายอื่นก็ต้องเอาไปใช้กับเรื่องนั้นๆ
สิ่งต่อไปคือต้องถามว่าเป็นสัญญาซื้อขายประเภทอะไร ทำไมต้องรู้ เพราะว่าแต่ละประเภทนำมาซึ่งแบบหรือหลักฐานในการทำสัญญาที่ไม่เหมือนกัน สิทธิหน้าที่ของคู่กรณีก็แตกต่างกัน รวมไปถึงอายุความในการฟ้องร้อง
ตอบแค่นี้ก็ยังไม่พอต้องไปตอบคำถามข้อต่อไปอีก ก็ได้พูดกันต่อว่าสัญญาซื้อขายมีกี่ประเภท ก็มีหลายประเภทต่อไปนี้ 1 คำมั่นในการซื้อขาย ชื่อก็บอกแล้วว่าไม่ใช่สัญญา แต่ไม่รู้ไปจัดรวมไว้ตรงไหน ก็รวมไว้ตรงนี้แต่วงเล็บไว้ด้วยว่ามันไม่ใช่สัญญา
อาจตั้งชื่อใหม่ว่า ประเภทต่างๆในการตกลงทางซื้อขาย
เริ่มที่คำมั่น นิติกรรมฝ่ายเดียว อาจมาจากฝ่ายผู้ซื้อก็ได้ หรือจากฝ่ายผู้ขายก็ได้
แต่คำมั่นจะมาทีเดียวสองฝ่ายก็ไม่ได้นะ ไม่งั้นก็เป็นสัญญาแล้ว
ถ้าต่างฝ่ายต่างปัดคำมั่น ก็คงเหลือคำมั่นเดียว
มีคำถามเชิงทฤษฎี นานแล้ว คือ คำมั่นก่อให้เกิดหนี้หรือไม่ ว่าจริงๆแล้วก่อให้เกิดหนี้เพราะผูกมัดผู้ให้คำมั่น และผูกมัดไปชั่วกาลปศาล คือ ต่อไปเลย คือเราจบเนฯไป สอบผู้ช่วยได้แล้ว เกษียณกลับมาตอบรับยังได้เลย
ยกเว้นคำมั่นที่กำหนดเวลา ก็สิ้นผลไป อันนั้นไม่ต้องไปเถียงกันแล้วว่าก่อให้เกิดหนี้หรือไม่ เพราะมันก็สิ้นผลไปแล้ว แต่ไอ้คำว่าผูกมัดตลอดไปนั่นแหละเป็นดาบสองคม คือ มันผูกพันฝ่ายเดียว
และหนี้ต่างๆนั้นมันต้องมีอายุความ ถ้าเราบอกว่าคำมั่นก่อให้เกิดหนี้มันก็ต้องมีกำหนดเวลา ตอบสนองมา มีอายุความเท่าใด ในเมื่อเรารู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่มีอายุความ แล้วมันจะเป็นหนี้ได้อย่างไร จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ก่อให้เกิดหนี้ จะได้รับกับเรื่องอายุความ
แต่ก็ไม่มีความหมายอะไรในทางปฏิบัติหรอก
เมื่อฝ่ายหนึ่งเสนอซื้อฝ่ายหนึ่งสนองขาย สิ่งที่เกิดก็เป็นสัญญาซื้อขายเช่นกัน ตรงนี้ก็ทำให้คำมั่น ใกล้ชิดกับคำเสนอมาก
โดยรูปแบบไม่ต่าง แต่ต่างตรงเนื้อหา คือ คำมั่นต้องผูกมัดรัดกุมแสดงเจตนาชัดเจน ว่าเวลาเท่าใด ราคาเท่าไหร่
คำมั่นเป็นการตกลงประการแรกในสัญญาซื้อขาย อาจยากที่จะแยกจากคำเสนอ แต่คงไม่ยากเท่าไหร่กับสัญญาประเภทอื่น
เพราะสัญญาขายฝากก็เป็นสัญญาซื้อขายแต่มีเงินจะมาไถ่คืนเมื่อใดก็ได้ภายในเวลาที่กำหนด ก็เป็นสัญญาซื้อขาย + คำมั่นที่จะขายคืน คือต้องเป็นคำมั่นทำพร้อมกันจึงเป็นสัญญาขายฝาก
สัญญาซื้อขายประเภทต่อไปที่ยุ่งยากขึ้นคือสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เรื่องแปลกแต่จริงคือตามตัวบทกฎหมายไม่มีคำนี้ มีแต่คำว่าสัญญาซื้อขายสำเร็จเสร็จบริบูรณ์ แต่ถ้าเราไปเขียนตอบกฎหมายหรือ ร่างฟ้อง ก็จะมีการงงกันได้
ความที่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดเป็นสัญญาประเภท หนึ่ง แสดงว่าแตกมาจากคำกลางๆคือสัญญาซื้อขาย มีนักศึกษาไม่น้อย ชอบเอาความหมายของสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดไปผูกกับสัญญาซื้อขาย
จริงๆเราได้อธิบายแล้วว่า ถ้าคำว่าซื้อขาย เฉยๆ ก็คือ ฝ่ายหนึ่ง ผู้ขายตั้งใจจะโอนกรรมสิทธิ์ และ อีกฝ่ายผู้ซื้อ ตั้งใจจะชำระราคา และรับโอน
แต่ถ้าถามว่าสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดคืออะไร ก็คือ สัญญาซื้อขายซึ่งคู่กรณีได้ทำทุกสิ่งที่กฎหมายกำหนดให้ทำครบถ้วนแล้วหรือได้ตัดสินใจแล้วว่าแม้กฎหมายกำหนดให้ทำ ก็จะไม่ทำ ยกเว้นการชำระหนี้ ซึ่งหากยังไม่ได้ชำระก็จะไว้ชำระกันต่อไปสัญญาใดมีลักษณะเช่นนี้สัญญานั้นเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
ถ้าอย่างนั้นมีอะไรที่กฎหมายกำหนดให้ทำ สิ่งนั้นคือจดทะเบียน กรุณาดูตัวอย่างต่อไปนี้
หนึ่ง โจทก์ซื้อแหวนเพชรจำเลยราคาหนึ่งล้านบาทยังไม่ได้ชำระราคา จำเลยก็เลยยังไม่กล้าส่งมอบแหวนเพชรให้โจทก์ ถามว่าเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดหรือไม่ วิธีวินิจฉัย ก็ ดูว่ากฎหมายมีอะไรให้กำหนดต้องทำอีกหรือไม่ นอกจากเรื่องหนี้แล้ว คำตอบก็คือไม่มี ก็หมดแล้ว ก็เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เพราะไม่มีอะไรต้องทำอีกแล้ว
ที่จริงศาลใช้คำเพราะกว่านี้ ศาลใช้คำว่า จึงเป็นอันสิ้นเชื้อเยื่อใยกันแล้ว
ตัวอย่างที่สอง โจทก์ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากจำเลยราคาหนึ่งล้านบาท ตกลงกันว่า วันที่สิบห้า กันยายนจะไปจดทะเบียนโอนกัน ก็ดูว่ามีอะไรที่กฎหมายบังคับให้ไปทำกันอีกหรือไม่ คำตอบก็คือมี ก็ไปจดทะเบียน แล้วการจดทะเบียนกฎหมายก็บังคับให้ไปทำ แสดงว่าก็ไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ไม่ใช่เพราะยังไม่จ่ายเงิน หรือ ไม่ได้ส่งมอบที่ดิน เพราะสิ่งพวกนั้นมันเป็นหนี้ แต่สิ่งนั้นคือการจดทะเบียน
ตัวอย่างที่สาม โจทก์ซื้อที่ดิน ราคาห้าแสนบาท จำเลยก็จดโอนกรรมสิทธิ์เรียบร้อยที่ที่ดิน เที่ยงนี้ เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดแล้ว เพราะไม่มีอะไรต้องไปทำกันอีกตามกฎหมายแล้ว
ตัวอย่างสุดท้ายสำคัญที่สุด คือ โจทก์ซื้อที่ดิน ราคา ห้าแสนบาท ตกลงกันว่าไม่ต้องไปจดทะเบียนกันให้มันเสียเวลา ก็จ่ายเงินให้แล้วออกไป ต่างคนต่างอยู่ไม่ต้องเกี่ยวกัน ผมก็ถือโฉนดไว้ เซ็นต์กันสักหน่อยว่าได้รับมอบที่ดินและได้มอบโฉนดแล้ว ถามว่าเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดหรือไม่ ก็ต้องถามว่ากฎหมายได้ตกลงให้ไปทำอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ตอบมี ก็จดทะเบียน แต่ทั้งสองฝ่ายบอกว่า ไม่ต้องไปทำเพราะฉะนั้นสัญญาซื้อขายนี้คือสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดเพราะตกลงกันว่าจะไม่ทำ แต่เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่เป็นโมฆะ
และก็ไม่นับการชำระหนี้เพราะหนี้อาจชำระภายหลังได้
ประเภทที่สามคือสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข ที่จริงแล้วก็คือสัญญาซื้อขาย เสร็จเด็ดขาดชนิดหนึ่ง เคยออกข้อสอบมาหลายครั้งแต่ไม่ได้รับเลือก เพียงแต่มันบวกเงื่อนไข
เงื่อนไขตามมาตรา 182 ปพพ
เกิดหรือไม่ ก็ไม่รู้ เกิดวันไหนก็ไม่รู้ อะไรก็เป็นเงื่อนไขก็ได้ จะไปผูกติดกับเรื่องอะไรก็ได้
แต่ถ้าไปผูกติดกับเรื่องอื่นไม่ใช่สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข แต่ถ้าไปผูกกับเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ อันนั้นจะเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขแล้ว
ดูตัวอย่าง เห็นว่าแนวที่ดินสวยเหลือเกิน ก็ถ้าได้ย้ายมาที่แถวนี้เมื่อไหร่จะขอซื้อที่ดินแถวนี้
ก็เป็นเงื่อนไข อย่างหนึ่ง ซึ่งก็แปลว่าถ้า ก ยังไม่ย้าย ก็ไม่ซื้อใช่หรือไม่ ก็ใช่ แต่ไม่ใช่สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข เพราะเงื่อนไขนั้นไม่ใช่เรื่อง การโอนกรรมสิทธิ์ อันนั้นเค้าเรียกว่า เงื่อนไขที่นำไปสู่การเกิดสัญญา
ตัวอย่างที่สอง ตกลงซื้อรถยนต์จากนายดำ ตกลงกันว่าเมื่อไหร่ที่นายดำเอารถไปทำสีใหม่เรียบร้อยก็จะส่งมอบรถให้อาจารย์ ก็ไม่แน่ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ก็แล้วแต่อู่ ถามว่าเป็นเงื่อนไขหรือไม่ ตอบว่าเป็น แต่ไม่ใช่สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข เพราะเอาเงื่อนไขไปผูกติดกับการส่งมอบ รถกรรมสิทธิ์อาจจะโอนก็ได้ เงินอาจจะจ่ายไปแล้วก็ได้ ตัวอย่างนี้ต่างกับตัวอย่าง
สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข ก็ผูกติดกับการโอนกรรมสิทธิ์ เช่น ให้ถือว่าแหวนเป็นของผู้ขายก่อนจนกว่าเจ้คนโต จะตาย กรรมสิทธิ์จะโอน นี่แหละถึงเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข แต่ก็อาจจะเป็นเงื่อนเวลา ( เหตุการณ์ที่แน่นอน ) ก็แล้วแต่คนจะมอง
แต่โดยมากจะถือเป็นเงื่อนไข แต่ได้บอกเมื่อคราวที่แล้วว่ามีคำพิพากษาหลายเรื่องที่วินิจฉัยกันในสังคมไทย ที่ไม่รู้กฎหมายกันบ้าง อายกันบ้าง
ก็ไปเลี่ยงใช้คำว่า จะยังไม่โอนทะเบียนจนกว่า ก็หมายถึงการโอนกรรมสิทธิ์นั่นแหละ
ใครจะไปปล่อยทรัพย์ ทั้งที่เงินยังไม่ครบ
บอกไปตั้งแต่คราวที่แล้วว่ามีข้อสอบเนฯ ที่ว่า ถ้ายังไม่ครบทุกงวด ยังไม่โอนทะเบียนนะ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยคือ เป็นสัญญาซื้อขายประเภทอะไร
มีคนพาซื่อเยอะเลยว่า ไม่ใช่เงื่อนไขการโอนกรรมสิทธิ์ แต่ธงคำตอบออกมาว่า เห็นได้ชัดว่าเป็นการตั้งเงื่อนไข ผูกไว้กับการโอน กับการชำระราคา ก็เป็นที่เข้าใจว่าหมายถึงการโอนกรรมสิทธิ์นั่นเอง จึงเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข เมื่อมีเงื่อนไขกรรมสิทธิ์จึงยังไม่โอน
4767/2549
การทำสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข ยังไม่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นผู้ขายยังไม่ต้องมีกรรมสิทธิ์ในขณะทำสัญญาก็ได้ ทีนี้ปัญหาก็คือวันนี้ที่ตกลงกัน ผู้ขายมันยังไม่มีกรรมสิทธิ์ ปรากฏว่าวันที่ตกลงกันคนขายก็ยังไม่ใช่เจ้าของรถ ตอนหลังก็มาเถียงกันว่า ก็ในเมื่อยังไม่มีกรรมสิทธิ์ จึงไม่เป็นผู้ขาย ก็เลยอย่างที่บอกคือ ถ้าเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดสิ ถึงจะมีปัญหา
บางทีตอนซื้อขายตัวทรัพย์ยังไม่มีก็เป็นได้ ตัวอย่างที่คลาสสิคมากคือ 9/2505 คือการซื้อลำไย ตอนมีฏีกานี้ออกมาใหม่ๆบทความเถียงกันมากเพราะยังไม่ชิน ปีนี้ 2552 ชินแล้วไม่เถียงแล้ว
ตามธรรมเนียมเมืองเหนือ การที่พ่อค้าจะไปซื้อลำไย ต้องไปเหมามาจากสวน ตั้งแต่มันเป็นดอก จะไปรอให้มันเป็นผล ไม่มีทางได้ เพราะจะมีคนเหมาสวนไปหมดแล้ว แต่การซื้อลำไยตั้งแต่เป็นดอกนั้น ซื้อเหมาทั้งหมดสวน มันเสี่ยงตรงนี้คือถ้าทุกดอกเป็นลูกลำไย กำไรตายเลย
แต่ก็มีที่ไม่มีสักลูกเลย เพราะศัตรู พืชลง อย่างนี้ เจ้าของก็คิดตังค์นะ
ก็มีปัญหาว่า มีมาคิดกันว่า อย่างนั้นก็เป็นการซื้อขายอสังฯ ต้องจดทะเบียน ก็เถียงให้จดทะเบียน ศาลก็บอกว่า ไม่ใช่ซื้ออสังฯ เป็นสังหา เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
การซื้อขายรถยนต์ แต่เนื่องจากชำระราคาไม่ครบถ้วนผู้ขายยังไม่โอนทะเบียนให้ แต่เพราะผู้ขายเกรงว่าตนอาจไม่สะดวกในอนาคต ผู้ขายจึงได้มอบสมุดทะเบียน ป้ายวงกลม และเซ็นชื่อในสำเนาบัตร ไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ว่าให้จ่ายเงินมาครบก่อนนะจึงค่อยไปโอน ปัญหาคือรถหาย แล้วใครไปตามเอารถ ศาลฏีกาตัดสินว่านี้คือสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข และโยงกับการโอนกรรมสิทธิ์ การมอบเอกสารไปให้นั้น ยังไม่ได้มีการโอนกันจริง
เงื่อนเวลาคือกำหนดการอันใดในอนาคตอันแน่นอน คือ สามารถนับได้ตามเวลาปฏิทินเลย ก็อาจเอาไปผูกกับเวลาได้เลย ในเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์
เช่นเดียวกัน ถ้าเอาอย่างอื่นไปผูกกับเงื่อนเวลา ก็ไม่ใช่สัญญาซื้อขายมีเงื่อนเวลา ก็ย้อนเทปไปตัวอย่างเงื่อนไขต่างๆได้เลย
สุดท้ายคือสัญญาจะซื้อจะขาย คือสัญญาซื้อขายที่คู่กรณีตกลงทำในวันนี้ ในชั้นหนึ่งก่อน แต่ยังไม่จบ คือยังไม่เสร็จยังไม่ขาด
ในอนาคต เมื่อใดเป็นการทำอนาคต วันนั้นก็เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
แต่เรียกชั้นต้น ก่อนว่า จะซื้อจะขาย
คล้ายๆกับ การมีการสมรส แล้วมีสัญญาหมั้น แต่ไม่ตรงกันเปี๊ยบ
ตัวอย่างของสัญญาจะซื้อขายมีต่อไปนี้ คือ ตกลงซื้อที่ดินแปลงหนึ่งแต่เงินไม่ครบ ผู้ขายก็กลัวเบี้ยว ก็บอกว่าวันที่สิบห้าก็ต้องมีเงินครบ แล้วจึงไปจดทะเบียนกัน ก็เลยตกลงทำหลักฐานเสียก่อนเราเรียกสิ่งนี้ทั้งหมดว่าสัญญาจะซื้อจะขาย
มีคำถามว่า ตัวอย่างนี้ทำไมไม่เป็นซื้อขายมีเงื่อนเวลา เพราะโอนวันที่สิบห้า เพราะไปผูกกับเวลา คำตอบก็คือใช่ อาจจะเป็นแบบนั้น แต่สัญญาจะซื้อจะขายนั้นจะมีได้ในอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น หรือ สังหาพิเศษ เพราะว่ายังไม่สามารถจดทะเบียนเดียวนี้ มันเป็นการชะลอการโอนกรรมสิทธิ์ ซื้อวันเสาร์ก็ยังโอนไม่ได้ต้องไปโอนวันจันทร์ ก็เลยให้การตกลงวันนี้เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย
แต่ซื้อขายมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลานั้น เป็นเรื่องของการสมัครใจเป็นใหญ่
ขายรถยนต์สองล้าน โอนกรรมสิทธิ์เดี๊ยวนี้ป้ายวงกลมค่อยไปแก้ ก็โอนเสร็จเด็ดขาด ก็ไม่ได้ตั้งสักเงื่อน แสดงว่าอยู่ที่อำเภอใจผู้ขาย
ซื้อสวนจากคุณ เดือนหน้าก็ไม่ไปจด เพราะหาเงินไม่ครบ ก็ขี้เกียจรอ ก็ขายดีกว่า ก็จะฟ้องให้รับผิดคือ ตามสัญญาจะซื้อจะขาย ที่เป็นเพราะตกลงเพื่อไปโอนทะเบียนในวันหน้า
ตัวอย่างต่อไปซื้อนา อีกสามเดือนจดทะเบียนนะ ก็บอกว่าอีกสามเดือนจะหาเงินมาจ่าย แต่ไม่ต้องไปจดหรอกไม่อยากเสียเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน ก็ตกลง สัญญาที่ทำกันนี้ เป็นสัญญาอะไร
ที่แน่ๆไม่ใช่จะซื้อจะขายแน่ๆ เพราะมันไม่ต้องการไปจดทะเบียนกันแล้ว จะเป็นสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาหรือไม่ ก็เมื่อมันไม่อาจโอนกรรมสิทธิ์ได้แน่ๆ แล้วเพราะไม่เป็นจดทะเบียน เพราะฉะนั้นคำพูดที่ว่าอีกสามเดือนเอาเงินไปจ่ายแล้วกรรมสิทธิ์จะโอน เป็นคำพูดเกี่ยวกับการชำระหนี้ ไอ้จะชำระในสามเดือนข้างหน้า อาจจะเป็นเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาเกี่ยวกับการชำระหนี้
สัญญาจะซื้อขายจึงไม่มีโอกาสจะเป็นโมฆะ ในเรื่องแบบ นะ ส่วนเรื่องวัตถุประสงค์นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วทำกับทรัพย์จดทะเบียนเท่านั้น ที่จะทำสัญญาจะซื้อจะขายได้
วันนี้แค่นี้ก่อนครับ
ขอส่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ , ประมวลกฎหมายอาญา ฉบับ ปี 2551 ล่าสุด มาให้เพื่อนๆทุกคนครับ จะได้ไม่ต้องซื้อประมวลใหม่
บุญยง