อำนาจฟ้องในคดีไม่มีข้อพิพาท
ในกรณีที่บุคคลจะใช้สิทธิทางศาลโดยทำเป็นคำร้องขอ เป็นคดีไม่มีข้อพิพาทนี้เป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติรับรองไว้ให้ใช้สิทธิทางศาลได้ เช่น ผู้ที่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินบัญญัติไว้ หรือการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1713
สำหรับกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติรับรองให้ผู้ใดใช้สิทธิทางศาลได้ ก็ไม่มีอำนายื่นคำร้องขอต่อศาลได้ เช่น เมื่อมีการทำนิติกรรมยกที่ดินให้ผู้ใดไปแล้ว ไม่มีบทบัญญัติให้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่านิติกรรมการยกให้เป็นโมฆะได้ (ฎ. 4530/41) หรื อ กรณีที่ผู้ร้องขอให้ศาลสั่งว่าตนเป็นคนๆเดียวกับนายสมศักดิ ไม่มีกฎหมายรับรองให้ทำได้ หากมีผู้ใดโต้แย้งว่าผู้ร้องไม่ใช่บุคคลคนเดียวกับนายสมศักดิ์ อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้อง ย่อมมีสิทธิฟ้องเป็นคดีมีข้อพิพาทได้ตามกฎหมายอยู่แล้ว ( ฎ. 157/25, 100/24)
ข้อสังเกต การขอให้ศาลแสดงว่าได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครอง(ปรปักษ์)นั้น กฎหมายบัญญัติรับรองให้กระทำเฉพาะการได้มาซึ่งที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์เท่านั้น (ป.พ.พ. มาตรา 1382) สำหรับที่ดินที่มีเพียงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 หรือ น.ส. 3 ก.) หรือที่ดินที่มีแบบแจ้งการครอบครอง( ส.ค.1) หรือที่ดินที่ไม่มีหลักฐานแสดงสิทธิใดๆนั้น ไม่มีกฎหมายรับรองให้ยื่นคำร้องขอให้ศาลแสดงสิทธิครอบครองได้ดังเช่นการได้มาซึ่งที่ดินมีกรรมสิทธิ์แล้ว ผู้ครอบครองที่ดินจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลแสดงว่าตนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าว (ฎ. 5389/49, 248/37) อย่างไรก็ตามก็เป็นการยื่นคำร้องขอต่อศาลเป็นกรณีที่ไม่มีการโต้แย้งสิทธิ แต่มีความจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาล ดังนี้ถ้าผู้ครอบครองโต้แย้งสิทธิเป็นจำเลย ก็เป็นคดีที่มีข้อพิพาท (ฎ. 6536/44)
โจทก์จะฟ้องให้ศาลแสดงว่าตนไม่เป็นหนี้จำเลย ไม่ได้ ได้แต่จะยกเป็นข้อต่อสู้ในเมื่อฟ้องเป็นจำเลย (ฎ. 3061/22)
อำนาจฟ้องในคดีมีข้อพิพาท
กรณีมีผู้กระทำละเมิดต่อสาธรณสมบัติของแผ่นดิน ย่อมทำให้รัฐรับความเสียหาย เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ดูแลรักษาจึงมีอำนาจฟ้องผู้ทำละเมิดได้ ส่วนประชาชนทั่งไปจะมีอำนาจฟ้อง ก็ต่อเมื่อได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ เช่นจำเลยปิดกั้นทางสาธารณะ เป็นเหตุให้โจทก์ใช้ทางเดินตามปกติไม่ได้ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนได้ ส่วนผู้ที่ไม่ได้ใช้ทางเดินดังกล่าวไม่ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ไม่มีอำนาจฟ้อง หรือกรณีจำเลยเพียงแต่ยื่นคำร้องขอออก น.ส. 3 หรือโฉนดที่ดินในที่สาธรณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งโจทก์ ใช้ประโยชน์อยู่ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยขัดขวางการใช้ประโยชน์ของโจทก์ในที่ดินนั้น ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง (ฎ. 173/41)
ผู้เช่ามีอำนาจฟ้องผู้ที่ทำละเมิดแก่ทรัพย์สินที่ให้เช่า (ฎ.2204/42) หลังจากฟ้องขับไล่ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินได้โอนที่ดินให้ผู้อื่นไป อำนาจฟ้องของโจทก์ก็ไม่เสียไป (ฎ.3574/42)
ผู้ที่จะฟ้องหรือถูกฟ้องในศาลได้นั้นจะต้องเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล รัฐบาลไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นนิติบุคคล จึงเป็นคู่ความไม่ได้ (ฎ. 724/90) นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ไม่เป็นนิติบุคคล ได้แก่ คณะบุคคล (ฎ. 495/19), กองมรดก (ฎ. 1583/21) เหล่านี้เป็นคู่ความไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามตำแหน่งหน้าที่ราชการบางตำแหน่งอาจเป็นโจทก์หรือจำเลยได้เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งหน้าที่นั้นๆ เช่น ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด ตำแหน่งนายอำเภอ ตำแหน่งอธิบดี ตำแหน่งพนักงานสอบสวน ฯ เนื่องจากเป็นการปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งราชการ ไม่ใช่กระทำในฐานะส่วนตัวของผู้ที่ดำรงตำแหน่งนั้น เพราะฉะนั้นในขณะฟ้องแม้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งจะไม่ใช่ผู้ที่ทำสัญญาอันเป็นมูลฟ้องร้อง ก็มีอำนาจฟ้อง (ฎ. 2555/24, 259/38)
โดยเหตุผลเดียวกัน หากขณะยื่นฟ้องพนักงานสอบสวนผู้ทำสัญญาประกันย้ายไปรับราชการที่อื่นแล้ว พนักงานสอบสวนผู้นั้นก็ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับตามสัญญาประกันของสถานีตำรวจนั้นได้อีก (ฎ. 2223/28)
ตามสัญญาระบุว่าหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นให้เสนอให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด โจทก์ฟ้องคดีโดยมิได้เสนอให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดก่อนไม่ได้ (ฎ. 5448/34)
แต่ถ้าภายหลังเกิดข้อพิพาทแล้ว คู่กรณีตกลงกันเองโดยไม่ได้ตั้งอนุญาโตตุลาการก่อน โจทก์มีสิทธินำคดีมาสู่ศาลได้ (ฎ. 1439/17)
การฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่ลูกหนี้โอนทรัพย์สินให้บุคคลอื่น ต้องฟ้องทั้งลูกหนี้และบุคคลภายนอกเข้ามาทั้งสองคน จะฟ้องคนใดคนหนึ่งไม่ได้ การที่เจ้าหนี้ฟ้องทั้งสองคนเข้ามาด้วยกันแล้ว แต่ภายหลังโจทก์จะทิ้งฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ ก็ถือเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้อง ดังนี้ถือว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องลูกหนี้เข้ามาในคดีเลย ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนได้ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลไม่อาจพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนได้ (ฎ. 7247/37)
เจ้าของรวมคนหนึ่งมีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ทำละเมิดได้ (ฎ. 2604/40)
ทายาทที่ถูกฟ้องให้รับผิดในหนี้ของเจ้ามรดก จะต่อสู้ว่าไม่มีทรัพย์มรดกตกทอด หรือตนไม่รับมรดกไม่ได้ (ฎ. 5279/48) เรื่องนี้เมื่อจำเลยทั้งห้าเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของ ส.ผู้ตาย ซึ่งต้องรับไปทั้งทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดของ ส. โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โดยไม่ต้องไปคำนึงว่ากองมรดกของ ส. จะมีทรัพย์สินหรือไม่ มากน้อยเพียงใด หรือจำเลยทั้งห้าจะได้รับมรดกหรือไม่
ข้อสังเกต ความรับผิดของทายาทย่อมไม่เกินทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1601 ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องโต้แย้งในชั้นบังคับคดี คดีนี้ศาลฎีกาก็ได้พิพากษาให้จำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทร่วมกันชำระเงิน แต่ทั้งนี้ไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ตนตาม ป.พ.พ.มาตรา 1601
การดำเนินคดีของผู้ไร้ความสามารถ (มาตรา 56)
ผู้ไร้ความสามารถตามมาตรา 56 หมายถึง ผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ
ผู้พิทักษ์ของผู้เสมือนไร้ความสามารถนั้น ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้เสมือนไร้ความสามารถ คงมีหน้าที่ให้ความยินยอมแก่ผู้เสมือนไร้ความสามารถให้ฟ้องคดีเองเท่านั้น (ฎ. 905/23)
สำหรับกรณีผู้เยาว์อยู่ในอำนาจปกครองของบิดามารดา บิดามารดาจึงเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม บิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งมีสิทธิฟ้องคดีแทนผู้เยาว์ได้ (ฎ. 1114/35)
ข้อสังเกต ความบกพร่องในเรื่องความสามารถของคู่ความในการฟ้องคดีไม่ใช่เรื่องอำนาจฟ้อง ดังนั้น ศาลจะยกเอาความบกพร่องในความสามารถนี้มาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้ ศาลจะต้องสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวตามมาตรา 56 วรรคสอง จึงจะถือว่าเป็นกระบวนพิจารณาที่ถูกต้องตามขั้นตอน (ฎ.1743/27)
นอกจากนี้มาตรา 56 วรรคสอง ศาลมีอำนาจสั่งแก้ไขให้บริบูรณ์ไม่ว่าเวลาใดๆก่อนมีคำพิพากษา กรณีจึงไม่ใช่เรื่องแก้ไขคำฟ้อง หรือคำให้การ จึงไม่อยู่ในบังคับว่าจะต้องทำเป็นคำร้องต่อศาลก่อนวันชี้สองสถาน หรือวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน ดังเช่นการแก้ไขคำฟ้อง หรือคำให้การตามมาตรา 180 (ฎ. 3443/24,435/17)
โดยเหตุผลเดียวกัน แม้จะสืบพยานเสร็จแล้ว ก็อาจมีการแก้ไขข้อบกพร่องได้ (ฎ. 2302/18) ยิ่งกว่านั้นแม้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว โจทก์ก็ยังแก้ไขข้อบกพร่องในชั้นศาลสูงได้ (ฎ. 2096/23, 4090/33) และคำว่า ไม่ว่าเวลาใดๆก่อนมีคำพิพากษา... นั้น มิได้หมายถึงก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา เพราะบทบัญญัติดังกล่าว เป็นบทบัญญัติทั่วไปที่ใช้ได้ในทุกชั้นศาล
ในกรณีที่บิดาไม่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องคดีแทนบุตรผู้เยาว์ไว้แล้ว ต่อมาบิดามารดาจดทะเบียนสมรสกัน ถือว่าเหตุบกพร่องในเรื่องความสามารถหมดไปแล้ว ฟ้องย่อมสมบูรณ์มาแต่ต้น (ฎ. 2741/32)
บางกรณีความสามารถของคู่ความบริบูรณ์ขึ้นในระหว่างพิจารณา ศาลก็ไม่จำต้องสั่งให้แก้ไขอีก เช่น ผู้เยาว์ฟ้องคดีเองโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ระหว่างพิจารณาผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะ (ฎ. 1638/11, 623/19)
การตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามมาตรา 56 วรรคสี่ มีข้อสังเกตว่าจะมีการตั้งผู้แทนเฉพาะคดีได้ในกรณีผู้ไร้ความสามารถไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้แทนโดยชอบธรรมทำหน้าที่ไม่ได้ ถ้าหากมีผู้แทนโดยชอบธรรมโดยผู้แทนโดยชอบธรรมนั้นยังทำหน้าที่ได้แต่ไม่ให้ความยินยอม หรือไม่เข้ามาดำเนินคดีแทน จะตั้งผู้แทนเฉพาะคดีไม่ได้ (ฎ. 1215/92)
ร้องสอด (มาตรา 57,58)
ต้องยื่นคำร้องสอดเข้ามาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา
การร้องสอดเข้าเป็นคู่ความตามมาตรา 57 ทั้งสามอนุมาตรา ต้องยื่นคำร้องสอดเข้ามาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา (เว้นแต่ร้องสอดเข้ามาในชั้นบังคับคดีตามมาตรา 57(1)) จะยื่นในระหว่างอุทธรณ์ หรือฎีกาไม่ได้ (ฎ.810-11/47)
ข้อสังเกต เรื่องนี้ กล่าวเฉพาะการร้องสอดตามมาตรา 57(1) และ(2) ว่าต้องยื่นก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา ส่วนการร้องสอดเข้ามาตามมาตรา 57(3) ซึ่งมี 2 กรณี คือกรณีคู่ความเป็นผู้ขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี ต้องยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกพร้อมกับคำฟ้อง คำให้การ หรือเวลาใดๆก่อนพิพากษา แต่มิได้บัญญัติว่าเป็นคำพิพากษาของศาลใด หรือกรณีที่ศาลเรียกบุคคลเข้ามาในคดีก็มิได้มีกำหนดเวลาไว้ อย่างไรก็ตามทั้งสองกรณีน่าจะต้องดำเนินการก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาเช่นเดียวกัน เพราะต้องเปิดโอกาสให้ฝ่ายต่างๆโต้แย้งคัดค้าน ตลอดจนสืบพยานหลักฐานต่างๆ ทั้งการพิจารณาก็น่าจะเป็นไปตามลำดับชั้นของศาล
การร้องสอดตามมาตรา 57 ทั้งสามอนุมาตรา ต้องเป็นการร้องสอดเข้าไปในคดีที่ยังมีการพิจารณาอยู่ในศาล ถ้าคดีนั้นเสร็จไปจากศาลแล้ว เช่นเมื่อมีการยอมความกันไปแล้ว หรือศาลชั้นต้นยกฟ้อง หรือจำหน่ายคดีไปแล้ว จึงไม่มีคดีที่จะร้องสอดเข้าไปเป็นคู่ความ (ฎ. 940/11, 5383/34)
การจะอนุญาตให้ร้องสอดเข้ามาในคดีหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล
ถ้าศาลเห็นว่าการร้องสอดเข้ามาทำให้เกิดความยุ่งยากในการดำเนินคดี ศาลอาจไม่อนุญาตให้ร้องสอดเข้ามาในคดีก็ได้ (ฎ. 7377/49) เรื่องนี้โจทก์ฟ้องในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายซึ่งถือเป็นการดำเนินการเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกอย่างหนึ่ง และเป็นการดำเนินการในฐานะตัวแทนของทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกทุกคนอยู่แล้ว การที่ผู้ร้องสอดซึ่งเป็นทายาทขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมอีกก็มีแต่จะก่อให้เกิดความยุ่งยากในการดำเนินคดี โดยมิได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ผู้ร้องสอดเองก็ไม่สามารถใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่โจทก์มีอยู่ จึงไม่มีความจำเป็นที่ผู้ร้องสอดจะร้องสอดเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีนี้
ผู้ร้องสอดต้องเป็นบุคคลภายนอก
คู่ความในคดีจึงไม่อาจเข้ามาเป็นผู้ร้องสอดอีกฐานะหนึ่งได้ (ฎ. 7709/44, 5463/34)
หากศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยคนใดไปแล้ว ถือว่าจำเลยคนนั้นเป็นบุคคลภายนอกไปแล้ว จำเลยคนนั้นอาจถูกหมายเรียกเข้ามาในคดีได้อีก (ฎ. 679/06)
ศาลจะพิจารณาคำร้องสอดตามสิทธิที่ถูกต้อง
แม้ผู้ร้องสอดมิได้ระบุโดยชัดแจ้งว่าขอเข้ามาเป็นคู่ความตามอนุมาตราใด ศาลก็จะพิจารณาจากเนื้อความในคำร้องว่าสิทธิของผู้ร้องสอดเข้ากรณีใด แล้วอนุญาตให้เข้าเป็นคู่ความตามอนุมาตราที่ถูกต้อง เช่น โจทก์ฟ้องให้จำเลยรื้อถอนฟ้องแถวและขนย้ายทรัพย์สินกีบบริวารและใช้ค่าเสียหาย ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่าห้องแถวเป็นของผู้ร้องสอด ซึ่งแม้คำร้องจะกล่าวว่าขอเข้าเป็นคู่ความร่วม แต่เนื้อหาคำร้องก็เป็นการขอเข้ามาตามมาตรา 57(1) แล้ว ศาลย่อมพิจารณาคำร้องสอดตามเนื้อหาที่ปรากฏนั้นได้ (ฎ. 5530/33)
หรือกรณีที่ร้องสอดเข้ามาโดยบรรยายถึงสิทธิของผู้ร้องสอดไว้แล้ว แต่มีคำขอเข้ามาโดยระบุอนุมาตราที่ไม่ตรงกับสิทธิของตน ศาลย่อมมีอำนาจอนุญาตให้เข้าเป็นคู่ความตามอนุมาตราที่ถูกต้องได้ (ฎ. 8992/42)
การร้องสอดตามมาตรา 57(1)
มีอยู่ด้วยกัน 2 กรณี
1. เป็นการร้องสอดขณะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณา ทั้งนี้เพื่อให้ได้รับการรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่
2. เป็นการร้องสอดในชั้นบังคับคดีเนื่องจากมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องกับการบังคับตามคำพิพากษา
ทั้งสองกรณี เป็นการร้องสอดโดยอาศัยสิทธิของผู้ร้องสอดเอง ผู้ร้องสอดจึงมีฐานะเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม เช่น ร้องสอดเข้ามาโดยอ้างว่าที่พิพาทมิใช่ของโจทก์ หรือจำเลย แต่เป็นของผู้ร้องสอด จึงเป็นการร้องสอดตามมาตรา 57(1)
การที่ผู้ร้องสอดจะร้องเข้ามาในคดีโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของผู้ร้องสอดเองนั้น ทรัพย์นั้นจะต้องเป็นทรัพย์ที่โจทก์และจำเลยพิพาทกันอยู่เดิม ผู้ร้องสอดจะหยิบยกเอาทรัพย์อื่นมาตั้งเป็นข้อพิพาทไม่ได้ (ฎ. 108/36,4477/29)
ผลของคดีไม่ทำให้สิทธิของผู้ร้องได้รับผลกระทบจากคำพิพากษา ไม่ต้องด้วย มาตรา 57(1)
ในคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่ จำเลยไม่ได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหรือผู้อื่น ผู้ร้องสอดจะอ้างว่าที่ดินเป็นของผู้ร้องสอด เป็นกรณีที่ผู้ร้องสอดตั้งข้อพิพาทกับโจทก์เท่านั้น สิทธิของผู้ร้องสอดมีอยู่อย่างไรก็คงมีอยู่อย่างนั้น จึงไม่มีความจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับการรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิตามมาตรา 57(1) (ฎ. 6757/40) เรื่องนี้ผู้ร้องสอดตั้งข้อพิพาทกับโจทก์ฝ่ายเดียว
กำหนดเวลายื่นคำร้องสอดตามมาตรา 57(1) แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ กรณียื่นคำร้องสอดเข้ามาในระหว่างการพิจารณา และกรณียื่นคำร้องสอดเข้ามาในชั้นบังคับคดี กรณีการยื่นคำร้องสอดเข้ามาในระหว่างพิจารณา หมายถึงระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นเท่านั้น เพราะประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาตัดสินต้องเป็นประเด็นที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น ส่วนการยื่นคำร้องเข้ามาในชั้นบังคับคดี กฎหมายมิได้กำหนดเวลาว่าให้ยื่นได้เมื่อใด แต่โดยสภาพแล้วก็น่าจะต้องยื่นคำร้องเข้ามาระหว่างการบังคับคดี แต่ต้องยื่นก่อนการบังคับคดีเสร็จสิ้นลง
การยื่นคำร้องสอดเข้ามาในระหว่างพิจารณา แสดงว่าต้องยื่นคำร้องสอดเข้ามาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดี ดังนี้ ถ้าคดีเดิมเสร็จไปจากศาลชั้นต้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา หรือคำสั่งให้จำหน่ายคดี ก็ไม่อาจร้องสอดเข้ามาในคดีได้ (ฎ. 940/11, 5383/34)
การอนุญาตให้เข้ามาในคดีอยู่ในดุลพินิจของศาล
แม้ผู้ร้องสอดตามมาตรา 57(1) จะมีสิทธิยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีได้ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ถ้าผู้ร้องสอดยื่นคำร้องเข้ามาในคดีเนิ่นช้าเกินไป ศาลอาจไม่อนุญาตให้เข้ามาในคดีก็ได้ เช่น ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องเข้ามาเพื่อสืบพยานจำเลยเสร็จแล้ว ศาลไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาในคดี (ฎ. 1113/35, 4517/40) เรื่องนี้ ผู้ร้องสอดขอเข้าเป็นคู่ความในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ระหว่างที่ศาลฎีกาพิจารณาคำร้องสอดของผู้ร้อง ปรากฏว่าในคดีเดิม ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้ขับไล่จำเลย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน คดีถึงที่สุดไปแล้ว ดังนี้หากให้ผู้ร้องเข้าเป็นคู่ความแทนที่ก็ต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ทำให้ล่าช้า ศาลฎีกาจึงเห็นควรให้ผู้ร้องสอดไปฟ้องเป็นคดีใหม่
คำร้องสอดตามมาตรา 57(1) อาจเป็นคำฟ้อง หรือคำให้การก็ได้
ผู้ร้องสอดตามมาตรา 57(1) นี้ อาจร้องสอดเข้ามาในฐานะโจทก์หรือฐานะจำเลยก็ได้ คำร้องสอดดังกล่าวจึงอาจมีสภาพเป็นคำฟ้อง หรือคำให้การก็ได้ แล้วแต่เนื้อหาของคำร้องสอด เช่น ถ้าคำร้องสอดมีลักษณะเป็นการเสนอข้อหาต่อศาลก็มีสภาพเป็นคำฟ้อง แต่ถ้าเพียงแต่ยกข้อส่อสู้โจทก์หรือจำเลยเพื่อให้ศาลยกฟ้อง มิได้บังคับโจทก์หรือจำเลย มีสภาพเป็นคำให้การ ไม่จำต้องมีคำขอบังคับ (ฎ. 6792/48)
ฎ. 6792/48 ตามคำร้องสอดของผู้ร้องสอดอ้างว่า จำเลยไม่ใช่ผู้เช่าที่ดินพิพาท แต่ผู้ร้องสอดเคยเป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ ต่อมาร้องสอดเปลี่ยนเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทเป็นของตนเองโดยแย่งการครอบครองก่อนปี พ.ศ. 2539 โจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนการครอบครองภายใน 1 ปี ผู้ร้องสอดจึงเป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาท หากศาลพิพากษาขับไล่จำเลยพร้อมบริวารออกจากที่ดินพิพาท ผู้ร้องสอดจะได้รับความเสียหายจาการถูกบังคับขับไล่โดยผลของคำพิพากษา ขอให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม ในฐานะจำเลยตามมาตรา 57(1) ดังนี้ คำร้องสอดดังกล่าวเป็นการขอเข้ามาในคดีเพื่อเป็นคู่ความฝ่ายที่สามในฐานะจำเลย หรืออ้างสิทธิตามคำร้องสอดจึงถือได้ว่าเป็นการต่อสู้คดีเพื่อให้ศาลยกฟ้อง ไม่ใช่การเสนอข้อหาต่อศาลเพื่อบังคับโจทก์ จึงไม่เป็นคำฟ้องตามบทกฎหมายดังกล่าว ไม่จำต้องมีคำขอบังคับตามมาตรา 172 วรรคสอง ประกอบมาตรา 1(3)
ศาลยังมิได้มีคำพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร ผู้ร้องสอดยังไม่ได้รับความเสียหาย จากการถูกบังคับคดีให้ออกจากที่ดินพิพาทตามคำร้องสอด ทั้งผู้ร้องสอดอาจยื่นคำร้องในชั้นบังคับคดีตามมาตรา 269 จัตวา ได้อยู่แล้ว การที่ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดเข้ามาในโอกาสดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่า เป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับการรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิที่มีอยู่ ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิร้องเข้ามาเป็นคู่ความตามมาตรา 57(1)
กรณีคำร้องสอดมีสภาพเป็นคำฟ้อง คำร้องสอดก็ต้องแสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับตามมาตรา 172 วรรคสอง ดังนี้ คำร้องสอดที่ไม่มีคำขอบังคับ เป็นคำร้องสอดที่ไม่ชอบ ศาลยกคำร้องได้เลย (ฎ. 6445/40, 1443/48)
แต่ถ้าคำร้องสอดตามมาตรา 57(1) มีสภาพเป็นคำให้การ ไม่จำต้องมีคำขอบังคับ แต่ต้องแสดงโดยชัดแจ้งว่ายอมรับหรือปฎิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้น หรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น (มาตรา 177 วรรคสอง) (ฎ. 3261/41) เช่นคำร้องสอดไม่ได้เรียกร้องอะไร เพียงแต่ขอให้ยกฟ้อง จึงไม่จำต้องมีคำขอบังคับโดยชัดแจ้งในคำร้องสอด (ฎ.43/38)
ข้อสังเกต การยื่นคำร้องสอดเข้ามาในคดีเดียวกันหลายครั้ง คำร้องสอดครั้งหลังเป็นฟ้องซ้อนได้ เรื่องนี้ผู้ร้องสอดมิได้ขอให้ศาลสั่งให้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีระหว่างผู้ร้องสอดกับจำเลย คงต้องถือว่าคดีระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอดยังอยู่ในระหว่างพิจารณา ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดเข้ามาใหม่ คำร้องสอดที่ยื่นเข้ามาใหม่นี้ จะเป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ ต้องแยกพิจารณาออกเป็นสองกรณี กรณีแรก คดีระหว่างผู้ร้องสอดกับจำเลย เมื่อศาลจำหน่ายคดีไปแล้ว คำร้องสอดใหม่จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน กรณีที่สอง คดีระหว่างผู้ร้องสอดกับโจทก์ ศาลมิได้สั่งจำหน่ายคดีด้วย คดียังอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล ดังนี้คำร้องสอดที่ยื่นใหม่จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคำร้องสอดเดิมในระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอด
การร้องสอดเข้ามาในชั้นบังคับคดีตามมาตรา 57(1) ถือว่าเป็นคำฟ้อง ถ้าคดียังไม่ถึงที่สุด ผู้ร้องสอดฟ้องขับไล่ผู้ที่ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์เป็นคดีใหม่ จึงเป็นฟ้องซ้อนตามมาตรา 173(1) (ฎ. 1935/40)
กรณีที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการร้องสอดตามมาตรา 57(1)
คดีที่ฟ้องขับไล่ จำเลยออกจากที่พิพาทโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ผู้ร้องสอดอ้างว่าที่พิพาทเป็นของผู้ร้องสอด โดนการครอบครองปรปักษ์ เป็นการอ้างสิทธิของผู้ร้องสอดเอง ย่อมมีสิทธิร้องสอดตามมาตรา 57(1) ได้ (ฎ. 2411/34) ในกรณีเช่นนี้ ถ้ามิได้ร้องสอดเข้ามาระหว่างพิจารณาคดี จนศาลมีคำพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาท ผู้ร้องสอดก็มีทางแก้โดยร้องสอดเข้ามาในชั้นบังคับคดีก็ได้ ทั้งนี้เป็นไปตามมาตรา 57(1) ตอนท้าย หรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดี (ฎ. 3776/34 ป.)
เรื่องนี้ผู้ร้องร้องเข้ามาในชั้นบังคับคดี โดยศาลออกคำบังคับให้จำเลยรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์ ผู้ร้องจึงมาร้องว่าบ้านเป็นของผู้ร้อง โดยผู้ร้องปลูกสร้างให้จำเลยได้อยู่อาศัย ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อปรากฎว่าศาลชั้นต้นพิพากษาและออกคำบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท และปรากฎต่อมาว่าศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ ดังนั้นจำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปตามคำบังคับซึ่งจะเป็นผลเสียหายแก่ผู้ร้อง หากผู้ร้องเป็นเจ้าของบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปตามคำบังคับ ซึ่งจะเป็นผลเสียในการบังคับคดีนี้ และถูกโต้แย้งสิทธิ ซึ่งชอบที่ตจะร้องขอเข้ามาในชั้นบังคับคดีตามมาตรา 57(1) ได้ เพราะหากมีการบังคับคดีไปย่อมทำให้ผู้ร้องสอดได้รับความเสียหายได้ และการจะให้ผู้ร้องสอดไปฟ้องเป็นคดีใหม่ย่อมไม่ทันการ
อย่างไรก็ตาม หากข้อเท็จจริงทำนองเดียวกันนี้ แต่ถ้าเพียงแต่ศาลพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและตึกแถวเท่านั้น ไม่ได้พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนตึกแถวไปด้วย ทั้งจำเลยก็ออกจากตึกแถวแล้ว ในชั้นนี้ผู้ร้องสอดจึงยังไม่ได้รับความเสียหายจากการบังคับคดี การอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาในคดีทำให้คดีล่าช้า ศาลฎีกาจึงให้ยกคำร้องสอด(ฎ. 1577-82/36)
โจทก์ฟ้องว่าผู้ร้องสอดเป็นตัวแทนเชิดของจำเลย ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับโจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้เชิดผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดอ้างว่าผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของที่ดินและได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์ในนามของตนเอง โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้องเป็นการร้องสอดตามมาตรา 57(1) (ฎ. 5345/40)
ในคดีที่ฟ้องแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างทายาท ทายาทอื่นที่เป็นบุคคลภายนอกคดีมีสิทธิร้องสอดขอให้แบ่งส่วนของตนได้ตามมาตรา 57(1) (ฎ. 2296/38, 3480/34)
แต่ถ้าเป็นคดีที่ผู้จัดการมรดกเป็นโจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์จากบุคคลภายนอก ถือว่าเป็นการฟ้องแทนทายาทอื่น ดังนั้น ทายาทอื่นจะร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามไม่ได้เพราะเป็นการต่อสู้กับตัวแทนของตนเอง (ฎ. 7488/41)
ที่ดินที่นำมาเป็นหลักประกันในชั้นขอทุเลาการบังคับตาม มาตรา 231 แม้จะมีคำสั่งศาลห้ามทำนิติกรรม เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นก็ยึดได้ ไม่เป็นการยึดหรืออายัดซ้ำตามมาตรา 290 และผู้ที่ซื้อที่ดินได้จากการขายทอดตลาด มีสิทธิร้องสอดเข้ามาในคดีที่มีคำสั่งห้ามมิให้ทำนิติกรรมได้ เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งที่ห้ามเจ้าพนักงานที่ดินทำนิติกรรมใดๆเกี่ยวกับที่ดินได้ ซึ่งศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว(ฎ. 3011/40)
โจทก์จำเลยสมคบกันแสดงเจตนาลวง โดยแกล้งทำสัญญากู้ยืมเงินกัน หรือแกล้วโอนทรัพย์สินให้แก่กันอันเป็นการโกงเจ้าหนี้ แล้วแกล้งให้โจทก์มาฟ้องบังคับชำระหนี้จากจำเลย เพื่อไม่ให้ผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยบังคับเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยได้ ผู้ร้องสอดมีสิทธิร้องสอดเข้ามาตามมาตรา 57(1) เพื่อไม่ให้จำเลยต้องโอนทรัพย์ไปให้โจทก์ และเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ (ฎ. 42/35, 1464/03 ป.)
ในคดีที่จำเลยเป็นบริษัท หากศาลพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี คำพิพากษาย่อมกระทบเฉพาะทรัพย์สิน สิทธิและกิจการของจำเลยนั้น ผู้ถือหุ้นของจำเลยไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว ไม่ต้องถูกบังคับด้วย จึงไม่มีสิทธิเข้ามาในคดีตามมาตรา 57(1) และไม่มีส่วนได้เสียในคดี ไม่อาจเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามมาตรา 57(2) ได้ (ฎ. 6554/44, 631/45) แม้ผู้ร้องสอดจะมีฐานะเป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยด้วยก็ตาม (ฎ. 50/43, 631/45) หรือกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นบริษัทฟ้องเรียกเงินจากจำเลย ผู้ถือหุ้นของโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินจากจำเลยด้วย จึงไม่มีสิทธิร้องสอด (ฎ. 2583/45)
ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ตามคำพิพากษาจากเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา หรือผู้ที่ซื้อสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาจากการขายทอดตลาด หรือขายโดยวิธีอื่นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับตามคำพิพากษา มีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความตามมาตรา 57(1) (ฎ. 1654/49, 1643/49,) และการยื่นคำร้องเข้ามาในชั้นบังคับคดีเนื่องจากผู้ร้องเป็นผู้รับโอนสิทธิตามคำพิพากษา มิได้เรียกร้องสิ่งใดขึ้นใหม่ หรือเกินไปกว่าสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีอยู่ตามคำพิพากษา จึงไม่จำต้องเสียค่าขึ้นศาลอีก (ฎ. 3010/49, 3316/49)
แต่ถ้าโจทก์มิได้ร้องขอบังคับคดีภายใน 10 ปี ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 271 ย่อมหมดสิทธิบังคับคดี และได้สิทธิเท่าที่โจทก์มีอยู่ ผู้ร้องสอดจึงหมดสิทธิบังคับคดีเช่นกัน ไม่มีเหตุที่ศาลจะอนุญาตให้ร้องสอดเข้ามาในคดี (ฎ. 3564/49) หรือกรณีที่โจทก์เพียงแต่ขอหมายบังคับคดีภายใน 10 ปี เท่านั้น โดยไม่ได้ดำเนินการบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์ของจำเลยภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด โจทก์ย่อมไม่อาจบังคับคดีแก่จำเลยได้ ผู้ร้องสอดก็ย่อมไม่อาจบังคับคดีเอาแก่จำเลยได้อีกเช่นกัน ศาลไม่อนุญาตให้เข้าเป็นผู้ร้องสอดโดยการสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา (ฎ. 4906/49)
การร้องสอดเข้ามาในคดีไม่มีข้อพิพาท
จากบทบัญญัติมาตรา 57 เห็นได้ว่ากฎหมายมิได้จำกัดว่าการร้องสอดเข้ามาในคดีต้องเป็นคดีมีข้อพิพาทเท่านั้น ดังนั้นคดีไม่มีข้อพิพาทก็มีการร้องสอดเข้ามาตามมาตรา 57(1) ได้ (ฎ. 774/39)
แต่ถ้าผู้ร้องสอดมิได้ยื่นคำร้องเข้ามาในระหว่างพิจารณา จนศาลได้ดำเนินกระบวนพิจารณาจนมีคำสั่งแสดงว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว ขณะผู้ร้องไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน ถือว่าอยู่ระหว่างดำเนินการบังคับคดีตามคำสั่งศาล ผู้ร้องสอดอาจยื่นคำร้องเข้ามาตอนนี้ก็ได้ ทั้งนี้อาศัยอำนาจตามมาตรา 57(1) ตอนท้าย (ฎ. 2591/45, ฎ. 1031/37)
แต่ถ้าเจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน เป็นชื่อผู้ครอบครองปรปักษ์ตามคำสั่งศาลแล้ว ก็ถือว่าการบังคับคดีตามคำสั่งศาลเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ร้องสอดไม่มีสิทธิร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีตามมาตรา 57(1) (ฎ. 4420/41)
ในคดีตั้งผู้จัดการมรดก มีประเด็นเพียงว่าสมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ เท่านั้น แม้ผู้ร้องจะระบุมาด้วยว่าทรัพย์มรดกมีอะไรบ้าง ผู้ร้องสอดก็จะขอเข้ามาในคดีโดยอ้างว่าทรัพย์นั้นเป็นของตนเองไม่ได้ (ฎ. 7910/44) จะเห็นได้ว่าในคดีร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก ศาลพิจารณาแต่เพียงว่าสมควรตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ ส่วนทรัพย์มรดกจะมีอะไรบ้าง เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายจริงหรือไม่ ศาลไม่จำต้องชี้ขาดเพราะไม่มีประเด็นไปถึง ดังนั้นผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิร้องสอดเข้ามาในคดี
การร้องสอดตามมาตรา 57(2)
การร้องสอดเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม หรือจำเลยร่วม เพราะมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้น (มาตรา 57(2))
ผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี หมายถึง ผู้ที่ถูกกระทบกระเทือนหรือถูกบังคับโดยคำพิพากษาโดยตรง หรือผลของคดีตามกฎหมายจะมีผลไปถึงตนด้วย (ฎ.1406/41)
ข้อสังเกต ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าหากจำเลยแพ้คดีจำเลยก็จะฟ้องไล่เบี้ยเรียกค่าเสียหายเอาจากผู้ร้องได้ ผลของคำพิพากษาคดีนี้จึงไม่มีผลต่อผู้ร้องโดยตรง แต่เป็นเรื่องที่จำเลยต้องว่ากล่าวเอาแก่ผู้ร้องเป็นอีกคดีหนึ่ง ผู้ร้องจึงไม่มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี จึงร้องสอดเข้ามาตามมาตรา 57(2) ไม่ได้
ข้ออ้างที่ว่าผู้ร้องอาจถูกจำเลยฟ้องไล่เบี้ย ถ้าศาลพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี เป็นไปตามมาตรา 57(3)(ก) แต่กรณีนี้เป็นเรื่องที่ให้สิทธิจำเลยเป็นผู้มีคำขอให้เรียกผู้ร้องเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงขอให้ศาลออกหมายเรียกตนเข้ามาเป็นจำเลยร่วมไม่ได้ สำหรับกรณี ตามมาตรา 57(3)(ข) เป็นดุลพินิจของศาลที่จะให้เรียกเข้ามาเป็นคู่ความหรือไม่ ซึ่งกรณีนี้ศาลฎีกาเห็นว่ายังไม่มีเหตุสมควรเพียงพอ
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งผู้ร้องอาศัยอยู่ด้วย ถือว่า ผู้ร้องมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี เพราะอาจจะต้องถูกบังคับคดีในฐานะบริวาร จึงมีสิทธิร้องขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ตามมาตรา 57(2) (ฎ.2803/37, 348/33)
ในคดีที่เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฟ้องขับไล่ซึ่งอยู่โดยละเมิด หลังจากฟ้องแล้วโจทก์ได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้ผู้อื่น ถือว่าผู้รับโอนเป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดี จึงร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ตามมาตรา 57(2) ส่วนเจ้าของเดิมก็ยังคงมีอำนาจฟ้องบริบูรณ์อยู่ (ฎ.3839/37)
หุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด จะร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมกับห้างหุ้นส่วนจำกัดที่ถูกฟ้องไม่ได้ เพราะไม่มีส่วนได้เสียโดยตรงในคดี (ฎ. 1402/18)
ในกรณีบริษัทจำกัดก็เช่นเดียวกัน ก็ถือว่าผู้ถือหุ้นไม่มีส่วนได้เสียโดยตรงในคดีที่บริษัทถูกลูกจ้างฟ้องให้รับผิด แม้ผู้ถือหุ้นนั้นจะเป็นกรรมการบริษัท และเป็นผู้เลิกจ้างก็ตาม (ฎ. 50/43)
หรือในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นไม่ได้รับผลกระทบจากผลของคำพิพากษาแต่ประการใด จึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดีตามมาตรา 57(2) จะร้องสอดเข้ามาในคดีไม่ได้ (ฎ. 2962/43)
ตัวอย่างผู้มีส่วนได้เสีย เช่น ผู้ขายร้องสอดในคดีที่ผู้อื่นฟ้องผู้ซื้อเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ขายได้ (ฎ. 2291/22)
ผู้มีสิทธิตามสัญญาจะซื้อขายที่ดิน ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องสอดเข้ามาในคดีแบ่งมรดกระหว่างโจทก์จำเลย (ฎ. 590/13)
แต่ในคดีฟ้องขับไล่ จำเลยต่อสู้ว่าผู้ร้องสอดทำสัญญาจะซื้อที่พิพาทจากเจ้าของเดิมและได้มอบการครอบครองให้ผู้ร้องสอดแล้ว จำเลยครอบครองที่พิพาทแทนผู้ร้องสอด คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องสอดด้วย ผู้ร้องสอดจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายตามมาตรา 57(2) (ฎ. 348/33) เรื่องนี้แม้ตอนแรกจำเลยจะอ้างว่าผู้ร้องสอดมีสิทธิตามสัญญาจะซื้อที่ดินและตึกแถว ตอนต่อมาเป็นที่เข้าใจว่าผู้ขายได้มอบการครอบครองที่ดินและตึกแถวให้ผู้ร้องสอดแล้ว และจำเลยครอบครองแทนผู้ร้อง ดังนั้น คดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย จึงมีผลกระทบถึงผู้ร้องสอดด้วย ผู้ร้องสอดจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา 57(2)
ตัวอย่างผู้ไม่มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี
ข้ออ้างว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย มิใช่ผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี จะขอเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีที่สามีถูกฟ้องเรียกเงินกู้ไม่ได้(ฎ.8754/44)
การร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความตามมาตรา 57(2) อาจจะเป็นการเข้าแทนที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้ แต่คู่ความเดิมที่ถูกแทนที่ก็ยังมีสิทธิและหน้าที่อยู่เช่นเดิม ดังนั้นเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว คู่ความเดิมจึงมีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาได้ (ฎ.2404/29)
กำหนดเวลาร้องสอดตามมาตรา 57(2)
จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลไม่ว่าเวลาใดๆก่อนมีคำพิพากษา หมายถึงคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเท่านั้น จะขอเข้ามาในชั้นพิจารณาของศาลสูงไม่ได้ (ฎ.610/28)
การร้องสอดโดยศาลหมายเรียกเข้ามาในคดี (มาตรา 57(3))
กรณีคู่ความขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี
คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะขอให้ศาลเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี ก็โดยทำเป็นคำร้อง คำร้องต้องแสดงเหตุผลว่าตนอาจฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตนได้เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทน ถ้าหากศาลพิจารณาให้คู่ความเช่นว่านั้นแพ้คดี
กำหนดเวลาขอให้ศาลหมายเรียกบุคคลภายนอก ต้องยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องหรือคำให้การ ถ้ายื่นหลังจากนั้นต้องขออนุญาตจากศาลโดยแสดงเป็นที่พอใจของศาลว่าไม่สามารถยื่นคำร้องได้ก่อนนั้นได้แต่ต้องยื่นก่อนมีคำพิพากษา
ตามาตรา 57(3)(ก) เป็นการร้องสอดตามคำขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดดทำเป็นคำร้องแสดงเหตุว่าตนอาจฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตนได้เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทน ถ้าหากศาลพิจารณาให้คู่ความเช่นว่านั้นแพ้คดี เช่น ผู้เช่าซื้อนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปประกันภัย ต่อมารถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อและผู้รับประกันภัยต้องรับผิดต่อผู้เช่าซื้อตามสัญญาประกันภัย ดังนี้เมื่อผู้ให้เช่าซื้อฟ้องให้ผู้เช่าซื้อรับผิด จำเลย(ผู้เช่าซื้อ) มีสิทธิขอให้เรียกให้ผู้รับประกันภัยเข้ามาเป็นจำเลยร่วมและรับผิดร่วมต่อโจทก์ได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 57(3)(ก) (ฏ.7556/47)
ผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้ร้องสอด ต้องเป็นบุคคลภายนอกคดี จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การหรือขาดนัดพิจารณายังถือว่าเป็นคู่ความ ไม่ใช่บุคคลภายนอกคดี ดังนี้ จะขอให้ศาลออกหมายเรียกจำเลยคนดังกล่าวเข้ามาเป็นผู้ร้องสอดอีกไม่ได้ (ฎ.5463/34)
แต่ถ้าศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยไปบางคนแล้ว จำเลยอื่นอาจขอให้ศาลหมายเรียกเข้ามาในคดีใหม่ได้ (ฎ. 679/06)
กรณีที่โจทก์ฟ้องผิดตัว โจทก์จะขอเรียกผู้ต้องรับผิดที่แท้จริงเข้ามาเป็นจำเลยร่วมไม่ได้ ต้องฟ้องใหม่ (ฎ.1702/25)
ตัวแทนถูกฟ้องให้รับผิดตามสัญญาที่ทำแทนตัวการ ตัวแทน(จำเลย)ขอให้ศาลเรียกตัวการเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ทั้งนี้เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ย (ฎ.9164/39) แต่กรณีตัวการถูกฟ้อง จะขอให้เรียกตัวแทนเข้ามาเป็นจำเลยร่วมไม่ได้เพราะตัวแทนไม่ต้องร่วมรับผิดกับตัวการ (ฎ.636/47)
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่าและบริวารให้ออกไปจากที่พิพาท จำเลยยื่นคำร้องอ้างว่าได้ทำสัญญาเช่าฉบับใหม่กับตัวแทนของโจทก์ โดยได้ชำระค่าเช่าให้แก่ตัวแทนโจทก์ไปแล้ว จำเลยขอให้เรียกตัวแทนเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้(ฎ.2240/38)
จำเลยถูกฟ้องให้รับผิดในฐานะผู้สั่งจ่าย จะขอให้เรียกผู้สลักหลังเข้ามาเป็นจำเลยร่วมไม่ได้ เพราะผู้สลักหลังไม่ต้องรับผิดต่อผู้สั่งจ่าย (ฎ. 5417/49)
จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์กับบุคคลภายนอกร่วมกันกระทำละเมิดต่อจำเลย จำเลยย่อมขอให้ศาลหมายเรียกบุคคลภายนอกนั้นเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมเพื่อให้รับผิดตามฟ้องแย้งได้(ฎ.1483/44)
กรณีศาลเห็นสมควรเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความ
ถ้าศาลเห็นสมควรและจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลใช้อำนาจตามมาตรา 57(3)(ข) เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความได้ (ฎ. 2412/27)
โจทก์จำเลยพิพาทกันเฉพาะทางพิพาทว่าเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่ ไม่มีข้อพิพาทในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินด้วย การที่บุคคลภายนอกคัดค้านว่าจำเลยนำชี้ทางพิพาทรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของตนบางส่วนซึ่งเป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินนอกเหนือจากเรื่องทางภาระจำยอม คู่ความจะขอให้เรียกบุคคลภายนอกนั้นเข้ามาในคดีไม่ได้ (ฎ.1114/40) เรื่องนี้โจทก์ขอให้จำเลยเปิดทางภาระจำยอม ศาลชั้นต้นสั่งให้ทำแผนที่พิพาทโดยคู่ความนำชี้ จำเลยนำชี้ว่าทางพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของจำเลยตามกรอบสีแดง ส.คัดค้านว่าทางพิพาทบางส่วนอยู่ในเขตที่ดินของตนตามกรอบสีเขียว โดยอ้างว่าจำเลยนำชี้เขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของตนบางส่วน โจทก์จึงขอเรียก ส.เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ดังนี้จะเห็นได้ว่า ส.กับจำเลยพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินไม่เกี่ยวกับในเรื่องทางภาระจำยอม โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้เรียก ส.เข้ามาเป็นจำเลยร่วม
เมื่อศาลเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมแล้ว ศาลย่อมพิพากษาให้รับผิดได้ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ (ฎ.2658/44, 2206/35)
หรือเมื่อศาลเรียกเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมย่อมไม่อาจมีคำขอใดๆได้ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ร่วมได้ (ฎ.2708/26) เรื่องนี้จำเลยอ้างว่าโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีตามหมายเรียกของศาล โดยไม่ได้มีคำขอเข้ามา ศาลจะพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อได้ความว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมได้ เพราะโจทก์ร่วมถูกเรียกเข้ามาในคดีจึงไม่อาจมีคำขอใดได้
ดังนี้ ได้หลักว่าผู้ร้องสอดที่ถูเกรียกเข้ามาตามมาตรา 57(3) โดยเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมไม่อาจมีคำขอใดๆได้ ศาลจึงพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ร่วมได้ แต่ถ้าเป็นการร้องสอดตามมาตรา 57(1) ต้องมีคำขอบังคับโดยชัดแจ้งด้วย เนื่องจากคำร้องสอดตามมาตรา 57(1) ถือเป็นคำฟ้อง ต้องอยู่ในบังคับมาตรา 172 วรรคสอง ที่ว่าคำฟ้องต้องแสดงให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ คำร้องสอดตามมาตรา 57(1) ที่ขาดคำขอบังคับโดยแจ้งชัด จึงไม่ชอบ (ฎ.6445/40 , 1447/30)
การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีโดยมิได้มอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยร่วมด้วย ผู้รับมอบอำนาจก็ไม่มีอำนาจขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีตามมาตรา 57(3) แม้คำร้องขอให้เรียกเข้ามาในคดีจะมิใช่คำฟ้องก็ตาม แต่ถ้าศาลอนุญาตจำเลยร่วมก็อาจถูกบังคับตามคำฟ้องได้ เท่ากับเป็นการฟ้องให้จำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์นั่นเอง
คำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาไม่ใช่คำคู่ความ
คำร้องสอดเข้ามาตามมาตรา 57(1) และ(2) เป็นคำคู่ความ เพราะจะต้องแสดงเหตุที่จะขอเข้ามาในคดี จึงเป็นการตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ เป็นคำคู่ความตามมาตรา 1(5) ส่วนคำขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นคู่ความตามมาตรา 57(3) ไมใช่คำคู่ความ เพราะบุคคลภายนอกยังไม่ได้ขอเข้ามาหรือแสดงเหตุเข้ามาเป็นคู่ความ ไม่เป็นการตั้งประเด็นตามมาตรา 1(5)
ถ้าบุคคลภายนอกที่ศาลหมายเรียกเข้ามาเป็นคู่ความตามมาตรา 57(3) ประสงค์จะต่อสู้คดีก็ต้องแสดงเหตุว่าเข้ามาในคดีเพราะเหตุใด ถ้าเข้ามาในฐานะจำเลยก็ต้องยื่นคำให้การ คำขอเข้ามาในคดีในกรณีนี้จึงเป็นคำคู่ความตามมาตรา 1(5)
ดังนั้น ถ้าศาลไม่รับคำร้องตามมาตรา 57(1)(2) จึงเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความ ผู้ร้องอุทธรณ์ได้ทันทีตามมาตรา 228 แต่ถ้าศาลยกคำขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีตามมาตรา 57(3) เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 (ฎ. 2588/22 )
ระวังอย่าสับสนกับหลักตามมาตรา 58 ที่ว่า ผู้ร้องสอดตามมาตรา 57(1) และ(3) มีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ แลผู้ร้องสอดตามมาตรา 5(2) จะใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่กับโจทก์หรือจำเลยเดิมไม่ได้
การที่ศาลชั้นต้นไม่รับคำร้องสอดที่ยื่นตามมาตรา 57(1)(2) และผู้ร้องสอดใช้สิทธิอุทธรณ์ในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 288(3) ถ้าศาลชั้นต้นดำเนินคดีจนมีคำพิพากษา(คดีเนื้อหา)ถึงที่สุดไปแล้ว แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องสอดก็ตาม ย่อมไม่อาจทำให้ผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดเปลี่ยนแปลงไปได้ ดังนี้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งให้ผู้ร้องสอดไปฟ้องเป็นคดีใหม่ (ฎ.7558/46)
สิทธิของผู้ร้องสอด (มาตรา 58)
ผู้ร้องสอดตามมาตรา 57(1)และ(3) มีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่(มาตรา 58 วรรคหนึ่ง) ดังนี้แม้คำฟ้องเดิม โจทก์จะไม่มีอำนาจฟ้อง ผู้ร้องสอดก็เข้ามาในคดีได้ (ฎ.148/22 ป.)
โดยเหตุผลเดียวกัน แม้โจทก์จะขอถอนฟ้อง และศาลอนุญาตสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความแล้วก็ตาม ก็มีผลเฉพาะคดีของโจทก์เท่านั้น สำหรับคดีในส่วนของผู้ร้องสอดตามมาตรา 57(1) หรือ (3) คงต้องดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป(ฎ.7483/47)
นอกจากนี้แม้จำเลยเดิมจะขาดนัดยื่นคำให้การ ผู้ร้องสอดตามมาตรา 57(1)และ(3) ก็ยังมีสิทธิร้องสอดได้ (ฎ.797/15) และยังมีสิทธิยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่ต่างจากข้อต่อสู้ของจำเลยเดิมได้(ฎ2482/33)
สำหรับกรณีการร้องสอดตามมาตรา 57(2) นั้น ผู้ร้องสอดจะใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่คู่ความที่ตนขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม หรือจำเลยร่วม ไม่ได้ และจะใช้สิทธิขัดกับสิทธิของโจทก์หรือจำเลยเดิมไม่ได้ ดังนี้ถ้าตามคำฟ้องเดิมโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ผู้ร้องจะขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมไม่ได้ (ฎ.1050/93)
หรือกรณีจำเลยเดิมขาดนัดยื่นคำให้การ หรือขาดนัดพิจารณา ผู้ร้องสอดตามมาตรา 57(2) ย่อมไม่มีสิทธิยื่นคำให้การหรือขอสืบพยานได้ เพราะเป็นการใช้สิทธินอกจากที่จำเลยมีอยู่ จึงไม่อาจร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมได้ (ฎ.996/49) กรณีดังกล่าวศาลถือเป็นเหตุยกคำร้องสอดได้เลยทีเดียว
ถ้าจำเลยเดิมมิได้ฟ้องแย้ง จำเลยร่วมตามมาตรา 57(2) ย่อมจะใช้สิทธิฟ้องแย้งไม่ได้เช่นกัน (ฎ.3665/38)
ในกรณีผู้ร้องสอดเข้าแทนที่โจทก์ตามมาตรา 57(2) ผู้ร้องสอดก็มีฐานะเสมอโจทก์ตามมาตรา 58 วรรคสอง ดังนั้นเมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้โจทก์ในเรื่องขาดอายุความ จำเลยก็จะยกข้อต่อสู้ดังกล่าวขึ้นต่อสู้ผู้ร้องสอดไม่ได้เช่นกัน (ฎ.6405/38)
สำหรับคู่ความเดิมที่ถูกเข้าแทนที่ ยังคงมีสิทธิและหน้าที่อยู่เช่นเดิม จึงมีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาได้ (ฎ.2404/29)
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาสิทธิของผู้ร้องสอดว่าจะมีเพียงใด คงต้องพิจารณาในขณะที่ร้องสอด ถ้าขณะยื่นคำร้องเข้าเป็นจำเลยร่วมปรากฏว่าจำเลยเดิมยังไม่ยื่นคำให้การ และยังไม่ครบกำหนดเวลายื่นคำให้การ ผู้ร้องสอด(จำเลยร่วม) ก็มีสิทธิยื่นคำให้การได้ ไม่เป็นการขัดสิทธิของจำเลยเดิม แม้ต่อมาจำเลยเดิมจะไม่ได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีก็ตาม (ฎ.875/37) ถ้าจำเลยเดิมยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้ ผู้ร้องสอดตามมาตรา 57(2) ไม่มีอำนาจต่อสู้คดีโดยตั้งประเด็นขึ้นใหม่นอกเหนือไปจากข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยเดิม เพราะเป็นการใช้สิทธิในทางขัดสิทธิของจำเลยเดิม (ฎ.1048/23, 4223/33)
กรณีผู้รองสอดขอเข้าเป็นจำเลยร่วมตามมาตรา57(2)ยื่นคำให้การขัดกับคำให้การของจำเลย ศาลจึงไม่รับคำให้การของผู้ร้องสอด(จำเลยร่วม) ผู้ร้องสอดก็มีสิทธินำพยานหลักฐานมานำสืบตามคำให้การที่จำเลยเดิมยื่นไว้ได้ เพราะมิใช่เป็นการใช้สิทธินอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่จำเลยเดิม และไม่เป็นการขัดกับสิทธิของจำเลยเดิม (ฎ.1131/18)
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ร้องสอดตามมาตรา 57(3) จะมีสิทธิเหมือนตนได้ฟ้องก็ตาม แต่การที่ศาลหมายเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี ไม่ถือว่าเป็นการกระทำของโจทก์ ดังนี้แม้ศาลจะหมายเรียกบิดาโจทก์เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ก็ไม่เป็นคดีอุทลุม (ฎ.2412/27)
คดีที่มีผู้ร้องสอดต้องพิจารณาพิพากษารวมกันโดยมีคู่ความทั้งสามฝ่าย จะแยกพิจารณาพิพากษา หาได้ไม่ (ฎ.4525/36)
คู่ความร่วม (มาตรา 59)
บุคคลที่มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี อาจเป็นโจทก์ร่วมหรือจำเลยร่วมกันในคดีเดียวกันได้ คำว่า “ผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี” หมายถึงมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลเหตุอันเป็นรากฐานแห่งคดีนั้น เช่นมูลละเมิดครั้งเดียวกันมีผู้ได้รับความเสียหายหลายคน ผู้เสียหายเหล่านั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี จึงเป็นโจทก์ร่วมกันได้ (ฎ.659/24,2667/44)
เมื่อได้ความว่าบุคคลหลายคนมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี บุคลเหล่านั้นก็เป็นคู่ความร่วมในคดีเดียวกันได้ แม้คดีของโจทก์บางคนทุนทรัพย์ไม่เกิน สามแสนบาทซึ่งเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงก็ตาม ก็สามารถฟ้องเป็นคดีเดียวกันต่อศาลแพ่งหรือศาลจังหวัดได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลแขวง(ฎ.7471/41)
ข้อสังเกต เรื่องนี้ โจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งโดยเกิดจากมูลละเมิดรถชนกันในคราวเดียวกัน โดยโจทก์ที่ 1 ฟ้องชำระเงิน 95,180 บาท ส่วนโจทก์ที่ 2 ฟ้องให้ชำระเงิน 5,600 บาท จะเห็นได้ว่าถ้าโจทก์ทั้งสองแยกฟ้องเป็นคนละคดี สำหรับโจทก์ที่ 2 ก็จะอยู่ในอำนาจของศาลแขวง แต่เมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องเป็นคดีเดียวกันเพราะมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี โจทก์ที่ 2 ก็มีสิทธิฟ้องต่อศาลแพ่งได้โดยไม่ต้องไปฟ้องต่อศาลแขวงทั้งนี้โดยอาศัยมาตรา 59
ที่ดินที่ถูกเวนคืนอยู่ติดต่อกันและถูกเวนคืนโดยกฎหมายฉบับเดียวกัน เจ้าของที่ดินเหล่านั้นได้รับความเสียหายจากการกำหนดค่าทดแทนที่ไม่เป็นธรรม อันเกิดจากการกระทำอันเดียวกัน เจ้าของที่ดินที่อยู่ติดกันจึงมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี จึงเป็นโจทก์ฟ้องร่วมกันมาในคดีเดียวกัน ได้ (ฎ. 6753/40)
ในคดีที่มีผู้ร้องขัดทรัพย์หลายคน โดยแต่ละคนร้องขัดทรัพย์ที่ถูกยึดคนละอย่างกัน ถือว่าไม่มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี จะร้องขัดทรัพย์เข้ามาในคำร้องฉบับเดียวกันไม่ได้ (ฎ. 4098/39)
จำเลยบุกรุกที่ดินหลายแปลงซึ่งอยู่ติดกันในเวลาเดียวกัน เจ้าของที่ดินเหล่านั้นมีส่วนได้เสียร่วมกันในมูลความแห่งคดี แม้ที่ดินเหล่านั้นจะมีหนังสือรับรองกรทำประโยชน์คนละฉบับก็ตาม (ฎ. 1699/35)
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นโจทก์ในคดีเดียวกันได้ แต่ก็ถือว่ามูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันไม่ได้ เพราะโจทก์แต่ละคนที่จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายเฉพาะส่วนที่โจทก์แต่ละคนได้รับเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกัน (ฎ.3558/30) จึงไม่ถือว่าโจทก์เหล่านี้ทำแทนซึ่งกันและกัน ดังนั้นเมื่อโจทก์คนหนึ่งยื่นบัญชีระบุพยาน ไม่ถือว่าเป็นการทำแทนโจทก์คนอื่นด้วย หากโจทก์คนอื่นไม่ยื่นบัญชีระบุพยาน ก็ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบ
การเป็นคู่ความในคดีเดียวกัน มีหลักเกณฑ์ว่าบุคคลเหล่านั้นต้องมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี ก็เป็นโจทก์ร่วมกัน หรือจำเลยร่วมกันได้ ส่วนกระบวนพิจารณาที่จะถือว่าเป็นการทำแทนซึ่งกันและกันหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาหลักเกณฑ์เพิ่มเติมว่ามูลความแห่งคดีที่ฟ้องร้องนั้นเป็นการชำระหนี้ที่แบ่งแยกจากกันได้หรือไม่ ถ้าแบ่งแยกจากกันได้ ก็ไม่ถือว่าเป็นการทำแทนซึ่งกันและกัน แต่ถ้ามูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ที่แบ่งแยกจากกันไม่ได้ เช่นเป็นเจ้าหนี้ร่วม หรือลูกหนี้ร่วม หรือลูกหนี้ชั้นต้นกับผู้ค้ำประกัน ถือว่ากระบวนพิจารณาต่างๆเป็นการทำแทนซึ่งกันและกัน เว้นแต่เป็นกระบวนพิจารณาที่เสื่อมเสียแก่คู่ความร่วมคนอื่นๆ เช่น คำรับของคู่ความคนหนึ่ง ถือเป็นกระบวนพิจารณาที่เสื่อมเสีย (ฎ. 382/06)
คำท้าก็เป็นกระบวนพิจารณาที่เสื่อมเสียแก่คู่ความอื่น (ฎ. 1713/23)
การที่จำเลยคนหนึ่งให้การรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง เป็นกระบวนพิจารณาที่เสื่อมเสียแก่จำเลยร่วมอื่น จึงไม่ถือว่าจำเลยอื่นรับข้อเท็จจริงนั้นด้วย ดังนี้ แม้จำเลยคนอื่นจะขาดนัดยื่นคำให้การก็ตาม โจทก์ก็ยังมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามฟ้อง (ฎ. 8880/47)
การที่ศาลอนุญาตให้จำเลยคนใดคนหนึ่งเลื่อนคดี ย่อมมีผลไปถึงจำเลยร่วมคนอื่นซึ่งมีมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันไม่ได้ด้วย (ฎ. 2987/25)
กรณีที่จำเลยบางคนให้การต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ ตามแนวคำพิพากษาฎีกาใหม่ วินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยคนหนึ่งยกข้อต่อสู้เรื่องอายุความ จึงมีผลถึงจำเลยอื่นด้วย ทั้งนี้โดยอาศัยหลักตามมาตรา 59 นี้ (ฎ. 5100/48, 6246/40)
แต่ถ้าโจทก์ได้ขอถอนฟ้องจำเลยที่ยกอายุความต่อสู้ไว้ ผลของการถอนฟ้องย่อมเป็นการลบล้างข้อต่อสู้นั้นด้วย จำเลยอื่นจึงไม่อาจถือเอาข้อต่อสู้เรื่องอายุความเป็นข้อต่อสู้ของตนได้อีก (ฎ. 1938/40)
ข้อสังเกต จากแนวคำพิพากษาศาลฎีการะยะหลังๆ ศาลฎีกาถือว่าในคดีที่มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันไม่ได้นั้น เมื่อจำเลยคนหนึ่งยกอายุความขึ้นต่อสู้ ถือว่าจำเลยคนอื่นได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ด้วย เช่นกัน ตามหลักเกณฑ์มาตรา 59(1) ความจริงหลักเกณฎ์ตามมาตรา นี้ไม่ขัดหรือแย้งกับ ป.พ.พ. มาตรา 193/29 เพราะตาม มาตราดังกล่าว เป็นเรื่องห้ามมิให้ศาลยกเรื่องอายุความขึ้นวินิจฉัยเองโดยจำเลยไม่ได้ต่อสู้ แต่การที่จำเลยคนหนึ่งยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้ว ป.วิ.พ. มาตรา 59 ได้ขยายความให้ถือว่าจำเลยอื่นยกข้อต่อสู้เรื่องอายุความด้วย การที่ศาลวินิจฉัยเรื่องอายุความจึงเป็นการวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ของจำเลยนั่นเอง ไม่ใช่ศาลหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองโดยพลการ
( ดู ฎ. 7499/47)
กรณีมูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ การที่จำเลยคนหนึ่งต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ถือว่าจำเลยอื่นยกข้อต่อสู้ดังกล่าวด้วย เพราะไม่ใช่กระบวนพิจารณาที่เสื่อมเสียแก่คู่ความร่วมคนอื่นๆ (ฎ. 3350/42)
ในกรณีจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ หรือขาดนัดพิจารณา เฉพาะจำเลยที่ไม่จงใจขาดนัดเท่านั้นที่มีสิทธิขอพิจารณาใหม่ได้ (ฎ. 411/04 ป.)
การอ่านคำสั่งหรือคำพิพากษาให้คู่ความฟัง เป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความแต่ละรายไป (ฎ. 1036/37)
การมอบอำนาจให้ดำเนินคดี( มาตรา 60)
การดำเนินคดีแพ่ง คู่ความอาจมอบอำนาจให้ผู้อื่นแทนได้ ผู้รับมอบอำนาจอาจเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลก็ได้ ถ้าเป็นนิติบุคคลต้องเป็นกรณีที่เรื่องที่เป็นความนั้นอยู่ในขอบวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลนั้นด้วย (ฎ.7400/40)
ผู้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทน จะว่าความอย่างทนายความไม่ได้ ตามมาตรา 60 วรรคสอง แต่ผู้รับมอบอำนาจสามารถแต่งตั้งตนเองเป็นทนายความได้ (ฎ. 615/24)
นอกจากนี้โจทก์หรือจำเลยเอง อาจแต่งตั้งผู้อื่นให้เป็นทั้งผู้รับมอบอำนาจ และแต่งตั้งให้เป็นทนายความด้วยก็ได้ (ฎ. 938//30)
พึงสังเกตว่า ตามมาตรา 60 วรรคสอง ห้ามผู้รับมอบอำนาจว่าความอย่างทนายความเท่านั้น ดังนั้น ผู้รับมอบอำนาจจึงมีอำนาจเรียง หรือแต่งคำคู่ความได้ (ฎ. 3266/27)
หนังสือมอบอำนาจไม่ใช่เอกสารที่ต้องติดไปพร้อมกับคำฟ้อง หรือคำให้การ (ฎ. 1271-3/08 ป.)
ถ้าฟ้องคดีโดยไม่ได้รับมอบอำนาจมาแต่แรก แม้ต่อมาภายหลังจะยื่นใบมอบอำนาจเข้ามาก็ไม่ทำให้ฟ้องที่ใช้ไม่ได้ เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมา (ฎ. 95/30)
ถ้าได้มอบอำนาจโดยชอบแล้ว แต่ได้ส่งสำเนาใบมอบอำนาจท้ายฟ้องผิดไปและโจทก์ได้ขอแก้ไขในภายหลังแล้ว จึงต้องฟังว่ามีการมอบอำนาจโดยชอบแล้วมาตั้งแต่ต้น (ฎ. 248/36)
แต่ถ้าโจทก์เป็นนิติบุคคล ศาลสั่งให้แก้ไขให้สมบูรณ์ได้ตามมาตรา 66 (ฎ. 2886/24)
ระหว่างการดำเนินคดี หากตัวความแต่งตั้งผู้รับมอบอำนาจคนใหม่แทนผู้รับมอบอำนาจคนเดิม ก็ย่อมกระทำได้โดยไม่ต้องแก้ไขฟ้อง และไม่ต้องอ้างหนังสือมอบอำนาจฉบับใหม่ ในบัญชีพยาน (ฎ. 1268/35)
หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ไม่จำต้องระบุชื่อผู้ถูกฟ้องโดยเฉพาะเจาะจงว่าเป็นใครในหนังสือมอบอำนาจ (ฎ. 2303/34, 2155/35) และไม่จำต้องระบุว่าให้ฟ้องที่ศาลไหนเพราะการจะฟ้องคดีที่ศาลไหนนั้น ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ (ฎ. 1202/35)
มอบอำนาจให้ดำเนินคดี ย่อมมีอำนาจทำคำให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลยได้ โดยไม่ต้องทำหนังสือมอบอำนาจใหม่
การยื่นและการส่งคำคู่ความหรือเอกสาร (มาตรา 67-83)
การยื่นคำคู่ความหรือเอกสารใดต่อศาล ให้ส่งต่อเจ้าหน้าที่ศาล หรือยื่นต่อศาลในระหว่างการพิจาณาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 69 จะนำ ป.วิ.อ.มาตรา 199 มาใช้บังคับไม่ได้ (ฎ. 159/30)
การส่งคำฟ้อง หมายเรียก และหมายอื่น คำสั่ง คำบังคับของศาล ให้เจ้าพนักงานเป็นผู้ส่งให้คู่ความ ( มาตรา 70 วรรคหนึ่ง) เฉพาะคำฟ้องให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมศาลในการส่ง ส่วนการนำส่งนั้นโจทก์จะนำส่งหรือไม่ก็ได้ เว้นแต่ศาลจะสั่งให้โจทก์มีหน้าที่จัดการนำส่ง(มาตรา 70 วรรคสอง) จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงว่าเรื่องการนำส่งคำฟ้องนั้น กฎหมายไม่ได้บังคับให้โจทก์ต้องนำส่งเสมอไป เว้นแต่ศาลจะสั่งให้โจทก์เป็นผู้จัดการนำส่ง
กรณีการส่งหมายข้ามเขต แม้ครั้งแรกศาลจะสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาคำฟ้องแต่ต่อมาศาลได้มีหนังสือให้ศาลอื่นส่งหมายแทน ถือได้ว่าเป็นการส่งหมายข้ามเขตโดยศาลเอง เมื่อส่งหมายไม่ได้ ศาลสั่งให้โจทก์แถลงโดยไม่ได้แจ้งคำสั่งให้โจทก์ทราบ การที่โจทก์มิได้ยื่นคำแถลง ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง (ฎ.5397/40)
การส่งคำคู่ความหรือเอกสารให้แก่ทนายความ ถือว่าเป็นการส่งโดยชอบตามมาตรา 75 ในคดีที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่งตั้งทนายความหลายคน การส่งหมายนัดให้ทนายความคนเดียว ก็ชอบแล้ว (ฎ. 78/40)
การส่งคำคู่ความ หรือเอกสารทางไปรษณีย์ (มาตรา 73 ทวิ)
กรณีที่ศาลสั่งให้ส่งคำคู่ความหรือเอกสารทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับคู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่นำส่งเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมไปรษณียากร โดยให้ถือว่าคำคู่ความ หรือเอกสารที่ส่งโดยเจ้าพนักงานไปรษณียากร มีผลเสมือนเจ้าพนักงานศาลเป็นผู้ส่ง
การส่งคำคู่ความหรือเอกสารทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตามคำสั่งศาล มีผลเสมือนเจ้าพนักงานศาลเป็นผู้ส่ง ดังนี้การที่บุคคลในบ้านเรือนที่มีอายุเกิน 20 ปี รับคำคู่ความหรือเอกสารไว้แทน จึงเป็นการส่งโดยชอบตามมาตรา 71 วรรคหนึ่ง การส่งจึงมีผลทันที (ฎ. 4293/47)
- เพิ่งจบปริญญาตรี ไม่รู้จะเริ่มต้นกับการเรียนเนติอย่างไร
- สอบมาหลายครั้งแล้วไม่ผ่านซักที 47 , 48 , 49 คะแนนอยู่นี่หลายครั้งแล้ว เมื่อไหร่จะถึง 50 คะแนนซักที
- อยู่ต่างจังหวัด ทำงานประจำไม่มีเวลาไปนั่งเรียนที่เนติฯ
- สมัครติวเนติทางไปรษณีย์ กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ทันสอบ
- สมัครรับจองคำบรรยายเนติทางไปรษณีย์ กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ทันสอบ
- เดินทางไปเรียนหรือไปติวรถก็ติด...กลับมาก็เหนื่อย
- อยู่ต่างจังหวัดอยากมาเรียนที่ กทม. หรือมาติว...แต่ไม่สามารถมาเรียนหรือมาติวได้เพราะไกลและสถาบันติวก็อยู่หน้ารามกันหมด