++ ทบทวน//สรุปหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง : มาตรา 172, มาตรา 173 วรรค 2, มาตรา 177++

3,290 views
Skip to first unread message

arunarun chitt

unread,
Nov 5, 2013, 11:34:13 AM11/5/13
to law...@googlegroups.com

             คำฟ้อง  ( มาตรา  172)

 ฟ้องที่ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหนักแห่งข้อหา เช่นว่านั้น  มาตรา 172  วรรคสอง เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นฟ้องเคลือบคลุม   ฟ้องเคลือบคลุมในคดีแพ่งไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน (ฎ. 101/31)   ศาลจะยกขึ้นเองไม่ได้  จำเลยจะต้องสู้เป็นประเด็นไว้ในคำให้การ  ทั้งจะต้องให้การโดยแจ้งชัดด้วยว่าเคลือบคลุมอย่างไร  มิฉะนั้นไม่เป็นประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัย (ฎ. 9594/44)

แต่ถ้าฟ้องของโจทก์ถึงขนาดขาดสาระสำคัญแห่งความรับผิดของจำเลย ทำให้ศาลไม่อาจพิพากษาให้จำเลยรับผิดตามฟ้องได้  ถือเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นวินิจฉัยได้  เช่น โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่  2 รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน แต่มิได้บรรยายฟ้องว่าใครเป็นผู้เอาประกันภัยรถคันที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัย  และมิได้บรรยายฟ้องว่า ผู้ขับรถนี้มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัย  ซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดด้วย  (ฎ. 361/2539, 7064/47)

ข้อสังเกต  แสดงว่าในปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่  ไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ถ้าฟ้องของโจทก์ถึงกับขาดสาระสำคัญในความรับผิดของจำเลย  เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้  ( แต่ถ้าเป็นฟ้องเคลือบคลุมในคดีอาญา ถือเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบฯ ศาลยกขึ้นเองได้)

คำฟ้องที่ขัดกันถือว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุม   เช่น ฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมอ้างว่าผู้ตายมิได้พิมพ์นิ้วมือ  แม้จะเป็นลายนิ้วมือของผู้ตายก็พิมพ์ในขณะถูกฉ้อฉล ข่มขู่ เมาสุรา หรือวิกลจริต  หรือพิมพ์เมื่อตายแล้ว  (ฎ. 221/01,493/95)

กรณี มาตรา  172 วรรคสาม และมาตรา 18 นั้น  จะเห็นระบบการดังนี้คือ ในชั้นตรวจคำฟ้องหรือคำคู่ความนั้นศาลกระทำได้เพียง 3 ประการ  คือ  สั่งคืนไป  สั่งไม่รับ สั่งรับ  เท่านั้น    เมือสั่งไม่รับฟ้องไว้พิจารณาแล้ว ก็จะพิพากษายกฟ้องไม่ได้    และคำว่า ให้ยกเสีย  ตามมาตรา  172  กับคำว่า มีคำสั่งไม่รับ มาตรา  18  กฎหมายประสงค์ให้มีผลเป็นอย่างเดียวกัน คือ คำสั่งไม่รับคำคู่ความ ตามมาตรา  18      เพราะ ให้ยกเสีย ตามมาตรา  172  จะถือว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดี ตามมาตรา  131 ไม่ได้    กล่าวคือยังไม่ใช่การพิพากษาคดี   เมื่อมีการฟ้องเป็นคดีใหม่จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ       

อย่างไรก็ตามในชั้นตรวจคำฟ้องนี้ ศาลมีอำนาจพิจารณาเนื้อหาแห่งคดีหรือประเด็นแห่งคดีแล้วพิพากษายกฟ้องได้ ( ซึ่งอยู่นอกเขตมาตรา 18)  เช่น ศาลตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ก็พิพากษายกฟ้อง ตามมาตรา  172 วรรคท้ายได้  (ฎ.5630/48, 996/08 ป.)

แต่ถ้าเป็นกรณีเกี่ยวกับเรื่องรูปแบบของคำคู่ความ ตามมาตรา  18   เช่น คำฟ้องอ่านไม่ออก อ่านไม่เข้าใจ หรือเขียนฟุ่มเฟือย  ไม่ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยไม่ถูกต้องครบถ้วนฯ  เมื่อโจทก์ไม่ปฎิบัติตามคำสั่งศาล ศาลก็มีอำนาจสั่งไม่รับฟ้อง จึงไม่เป็นการวินิจฉัยประเด็นแห่งคดี  และไม่ใช่เป็นการพิพากษาคดี   

       การที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องแล้วนำข้อเท็จจริงในคำฟ้องมาวินิจฉัยเกี่ยวกับคำฟ้องโจทก์ และพิพากษายกฟ้องเป็นการวินิจฉัยประเด็นแห่งคดี เป็นการวินิจฉัยประเด็นแห่งคดี ตามมาตรา  131(2)  ซึ่งมีผลเป็นการพิพากษาคดีถ้ามิใช่เรื่องที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับหรือคืนคำฟ้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  18  จึงไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมศาลแก่โจทก์ ตามมาตรา  151

            คำฟ้องอุทธรณ์และคำฟ้องฎีกา เป็นคำฟ้องอย่างหนึ่ง  จึงต้องอยู่ในบังคับมาตรา  172  วรรคสอง โดยต้องแสดงสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับ   ให้ชัดแจ้ง   โดยต้องแสดงเหตุผลในการคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ และคำขอท้ายอุทธรณ์  หรือฎีกา ให้ชัดเจน แต่ไม่ต้องระบุคำฟ้องเดิม  คำให้การและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เพราะมีอยู่ในสำนวนศาลแล้ว  (ฎ.887/42 ป.)

             คำร้องสอดตามมาตรา  51(1) ที่เข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม  ผู้ร้องสอดมีฐานะเป็นโจทก์ ส่วนโจทก์เดิมและจำเลยเดิมอยู่ในฐานะจำเลยใหม่   คำร้องสอดจึงต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับ  ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้น   หากไม่มี เป็นคำร้องสอดที่ไม่ชอบ (ฎ. 1443/48)

               คำให้การ (มาตรา   177)

             จำเลยต้องแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยยอมรับ  หรือปฎิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน  รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น  ( ถ้าไม่มีเหตุแห่งการปฎิเสธ ก็จะไม่เกิดประเด็น)

             จำเลยให้การต่อสู้เรื่องอายุความ ต้องให้การว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเมื่อใด นับแต่วันใด ถึงวันฟ้องคดีขาดอายุความไปแล้ว  (ฎ. 748/47 )  ถ้าไม่บรรยาย

             ในคดีมโนสาเร่ ถ้าจำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือ จำเลยจะต่อเรื่องอายุความ จำเลยก็ต้องให้การชัดแจ้ง (ฎ. 678/50) 

             ตอนแรกจำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย     ตอนหลังกลับให้การว่าจำเลยแย่งการครอบครอบแล้ว หรือครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแล้ว   (หมายถึงไม่ใช่ที่ดินของจำเลยแต่ต่อมาได้แย้งการครอบครองแล้ว)  ดังนี้เป็นคำให้การขัดแย้งกัน  คดีไม่มีประเด็นเรื่องการแย่งการครอบครอง หรือครอบครองปรปักษ์ (ฎ. 5332/44ล 5473/48 ป.)

              คำให้การตอนแรกปฎิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญา  ตอนหลังกลับให้การรับว่าทำสัญญาเพราะถูกบังคับขู่เข็ญ เป็นคำให้การที่ขัดแย้งกัน ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา  177 วรรคสอง  ไม่เป็นประเด็นนำสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลย  แต่ถือได้ว่าเป็นคำให้การปฎิเสธฟ้องโจทก์  คดีมีประเด็นข้อพิพาทแล้ว   โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามฟ้องจึงจะชนะคดี  (ฎ. 7714/47)

              ฟ้องซ้อน (มาตรา  173 วรรคสอง(1))

               คดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณา ห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้น ต่อศาลเดียวกันหรือศาลอื่น       

               คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา 

              คำว่า  คดีอยู่ในระหว่างพิจารณา อาจจะอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาก็ได้   และคดีที่อยู่ในระหว่างพิจารณานั้นแม้ไม่ใช่การพิจารณาในเนื้อหาในประเด็นแห่งคดี   โจทก์ก็จะนำเรื่องเดียวกันมาฟ้องใหม่ไม่ได้   เช่น  คดีอยู่ระหว่างพิจารณาคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์  หรือกรณีที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องในคดีก่อนแล้วจำเลยอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งดังกล่าว  ก็ถือว่าเป็นคดีที่อยู่ในระหว่างพิจารณา  โจทก์ก็จะฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกันอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้อน  (ฎ. 7265/44,1429/36,3346/35)    แม้ต่อมาคดีก่อนจะถึงที่สุดก็หาทำให้ฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่ต้นกลายเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาใหม่ (ฎ.3132/49, 1429/36)

             ข้อสังเกต  การพิจารณาว่าเป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ คงพิจารณาในขณะที่ยื่นฟ้องคดีหลังเท่านั้นว่า มีคดีเรื่องเดียวกันอยู่ระหว่างพิจารณาหรือไม่   เช่นในขณะที่ยื่นฟ้องคดีก่อนยังไม่ถึงที่สุดจึงเป็นฟ้องซ้อน  แม้ต่อมาคดีก่อนถึงที่สุดก็ไม่ทำให้การฟ้องคดีหลังชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาได้

          คู่ความยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ หรือฎีกา  ศาลชั้นต้นยกคำร้อง คู่ความนั้นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว  เมื่อศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ ถือว่าคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้อน  (ฎ. 7603/48)

                ฎ. 7603/48   คำร้องขอพิจารณาใหม่ถือเป็นคำฟ้อง  ตามมาตรา  1(3) เมื่อปรากฎว่าหลังจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น ที่ให้ยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลย ฉบับลงวันที่  13 ธันวาคม  2542  แล้ว  จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ คำสั่ง และศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์  ถือว่าคดีเกี่ยวกับคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยฉบับลงวันที่ 13 ธันวาคม  2542 อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์   การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ฉบับลงวันที่  22 ตุลาคม  2542  โดยอ้างเหตุเดิมอีกในระหว่างนั้น จึงเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกัน   คำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยฉบับดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นฟ้องซ้อน  ต้องห้ามตามมาตรา  173(1)

                คดีก่อนโจทก์ถอนฟ้องแล้ว ไม่อุทธรณ์ จึงไม่มีคดีอยู่ในระหว่างพิจารณา  ฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 2658/45, 5364/38)

                หรือถ้ามีการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น แต่เป็นการอุทธรณ์หลังจากคดีถึงที่สุดแล้ว ( พ้นระยะเวลาอุทธรณ์)   ไม่ถือว่าคดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาต่อไป  ฟ้องโจทก์คดีหลังจึงไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 2597/41)

                คดีอยู่ในระหว่างการไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ถือว่าคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาเช่นกัน โจทก์นำเรื่องเดียวกันมาฟ้องอีกเป็นฟ้องซ้อน (ฎ.8995/42)

                นอกจากนี้ คำว่า คดีอยู่ระหว่างพิจารณา  ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หมายความถึง ภายในกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ หรือยื่นฎีกาด้วย  หากต่อมามีการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกา  (ฎ. 2555/38)   แต่ถ้าต่อมาไม่มีการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาในกำหนดเวลาอุทธรณ์หรือฎีกา ไม่ถือว่าคดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา (ฎ. 684/48)

            ข้อสังเกต  การพิจารณาว่าเป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ ต้องดูขณะยื่นฟ้องเป็นสำคัญ แต่ตามคำวินิจฉัยฎีกาสองเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าในกรณีที่ยื่นฟ้องในระหว่างระยะเวลายื่นอุทธรณ์หรือฎีกานั้น  ต้องพิจารณาว่าฝ่ายใดได้ยื่นอุทธรณ์ หรือฎีกาในภายหลังหรือไม่  มาเป็นข้อพิจารณาประกอบด้วย

                ในคดีที่มีการฟ้องแย้ง โจทก์ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเสียทั้งหมด จำเลยอุทธรณ์เฉพาะคำสั่งจำหน่ายคดีในส่วนฟ้องแย้ง ข้อที่จำเลยอุทธรณ์จึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ จึงไม่ถือว่าคดีตามฟ้องเดิมอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล  โจทก์จึงยื่นฟ้องในเรื่องเดียวกันนั้นใหม่ได้  ไม่เป็นฟ้องซ้อน   ส่วนจำเลยฟ้องเข้ามาในคดีใหม่อีกเป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 3291/37)

               ข้อสังเกต    คดีที่มีการฟ้องแย้ง การพิจารณาว่าคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาหรือไม่ ต้องแยกพิจารณาฟ้องเดิมและฟ้องแย้งออกจากกัน เรื่องนี้คดีก่อนศาลสั่งจำหน่ายคดีทั้งตามฟ้องเดิมและฟ้องแย้ง โจทก์ไม่อุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์คำสั่งเฉพาะที่ให้จำหน่ายคดีตามฟ้องแย้ง   ดังนั้นถือว่าเฉพาะคดีตามฟ้องแย้งเท่านั้นที่อยู่ระหว่าง การพิจารณาของศาล  ส่วนคดีตามฟ้องเดิมไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอีกต่อไป  โจทก์จึงฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นใหม่ได้  ไม่เป็นฟ้องซ้อน  ปรากฏว่าในคดีหลังนี้จำเลยได้ฟ้องแย้งเรื่องเดียวกันกับฟ้องแย้งคดีก่อนเข้ามาอีก จึงต้องถือว่าฟ้องแย้งในคดีหลังนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อน

                ห้ามโจทก์ฟ้อง

              ถ้าในคดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์  และในคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกัน  ดังนี้ไม่เป็นฟ้องซ้อน  เพราะตามมาตรา  173(1) บัญญัติห้ามเฉพาะโจทก์ฟ้องเรื่องเดียวกันเท่านั้น มิได้ห้ามจำเลยฟ้องในเรื่องเดียวกันด้วย  (ฎ. 2579/25, 288/2535,3847/35)

  ฎ. 2206/48  คดีก่อนมีเพียงผู้องที่  5 เท่านั้น ที่เป็นคู่ความกับผู้คัดค้าน โดยผู้คัดค้านเป็นผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ส่วนผู้ร้องที่  5  เป็นผู้คัดค้านและเป็นผู้จัดการมรดกเช่นกัน  ปรากฎว่าคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นยกคำร้องและคำคัดค้าน  มีเพียงผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้ร้องในคดีก่อน ได้อุทธรณ์  คำสั่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนจึงถึงที่สุดสำหรับผู้ร้องที่  5 แล้ว   การที่ผู้ร้องที่  5 ยื่นคำร้องขอร่วมกับผู้ร้องที่ 1 ถึงที่  4  และที่  6  ในคดีนี้ จึงไม่เป็นคำร้องซ้อน ตาม ป.วิ.พ.มาตรา  173 วรรคสอง 

  คดีก่อนผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอจัดการมรดกของผู้ตาย อ้างว่าผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ศาลชั้นต้นยกคำร้องและคำคัดค้านให้เหตุผลว่าผู้ตายได้ตั้งผู้จัดการมรดกไว้    ไม่มีเหตุจะตั้งผู้จัดการมรดกอีก  คดีนี้ผู้ร้องที่ 5 ยื่นคำร้องขอร่วมกับจำเลยที่  1  ถึงที่ 4 และที่  6 ว่า   ผู้ตายทำพินัยกรรมตั้งผู้จัดการมรดกไว้ 2 คน  แต่การจัดการมรดกมีข้อขัดข้องเพราะผู้จัดการมรดกคนหนึ่งถึงแก่กรรมและอีกคนหนึ่งไม่ประสงค์จะจัดการมรดก เหตุที่อ้างในคดีนี้จึงเป็นคนละเหตุกับคดีก่อน อันเป็นคนละประเด็นกัน ไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน  จึงไม่เป็นคำร้องซ้ำตาม ป.วิ.พ.มาตรา  148 วรรคหนึ่ง       ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่  4 และ ที่ 6   มิได้เป็นคู่ความกับผู้คัดค้านในคดีก่อน จึงไม่ใช่คู่ความรายเดียวกัน  คำร้องขอของผู้ร้องที่  1 ถึงที่  4 และที่  6  ที่ยื่นเข้ามาร่วมกับผู้ร้องที่  5 จึงไม่เป็นคำร้องซ้อน และคำร้องซ้ำกับคดีก่อน

              อย่างไรก็ดี บุคคลที่อยู่ในฐานะอย่างเดียวกัน ต่างเป็นโจทก์ฟ้องคดีเรื่องเดียวกันก็เป็นฟ้องซ้อนได้  เช่นเจ้าของรวมด้วยกันต่างคนต่างฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากบุคคลภายนอก ( ฎ. 966/18) หรือ ผู้จัดการมรดกกับทายาทต่างฟ้องขับไล่จำเลย  เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 2588/23,702/24) 

              ค่าขาดไร้อุปการะ เป็นสิทธิเฉพาะตัวของทายาทแต่ละคนของผู้ตายที่จะได้รับ เมื่อทายาทคนหนึ่งฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากผู้ทำละเมิด คดีอยู่ในระหว่างพิจารณา ทายาทคนอื่นก็ฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะเป็นคดีใหม่ได้อีก (ฎ. 6641/48)

             ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์  โดยมีคำขอส่วนแพ่งให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ.มาตรา  43  ถือว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีส่วนแพ่งแทนผู้เสียหายด้วย ผู้เสียหายจะนำเอาคดีส่วนแพ่งมาฟ้องอีกไม่ได้  เป็นฟ้องซ้อน   ทั้งนี้ไม่ว่าในคดีอาญาผู้เสียหายจะเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วยหรือไม่ก็ตาม (ฎ.3080/44)

            คดีก่อนพนักงานอัยการยื่นคำร้องขอจัดตั้งผู้จัดการมรดกแทนทายาท  มีผู้คัดค้านจึงต้องดำเนินคดีอย่างมีข้อพิพาท  และถือว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีแทนทายาท  ดังนี้ทายาทจะนำเรื่องเดียวกันมาฟ้องผู้คัดค้านเป็นจำเลยในคดีนี้อีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 6066/46)

              คดีก่อนพนักงานอัยการในฐานะเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค เป็นโจทก์ฟ้องคดีแทนโจทก์คดีนี้แล้ว   โจทก์คดีนี้จะนำเรื่องเดียวกันนี้มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ไม่ได้  แม้โจทก์คดีก่อนจะขอแก้ไขฟ้องตัดชื่อโจทก์ออกก็ตาม

                ร้องสอดเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตาม มาตรา  57(1) อาจร้องสอดเข้ามาในฐานะโจทก์ หรือฐานะจำเลยก็ได้  ทั้งนี้แล้วแต่เนื้อหาของคำร้องสอด  ถ้าเนื้อหาคำร้องสอดนั้นมีสภาพเป็นคำฟ้อง ผู้ร้องสอดย่อมมีฐานะเป็นโจทก์ หากมีการร้องสอดเข้ามาอีกในขณะที่คดีก่อนอยู่ระหว่างพิจารณา เป็นฟ้องซ้อนได้ (ฎ. 5716/39)  และผู้ร้องสอดดังกล่าวก็ไม่สามารถฟ้องคู่ความเดิมในเรื่องเดียวกันนั้นได้อีก  เพราะเป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 1935/40) หรือกรณีกลับกันผู้ร้องสอดตามมาตรา  57(1)  จะร้องสอดเข้ามาในคดีในเรื่องเดียวกับที่ผู้ร้องสอดได้ฟ้องไว้แล้วไม่ได้ คำร้องสอดเป็นฟ้องซ้อนได้ (ฎ. 8995/42, 3129/24)

                แต่ถ้าร้องสอดเข้ามาในคดีตามมาตรา  57(3) ไม่เป็นฟ้องซ้อน เพราะเป็นการร้องเข้ามาตามหมายเรียกของศาล(ฎ.1337/19)

               โจทก์( ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อน) ได้ฟ้องแย้งเรื่องเดียวกันไว้  แต่ศาลไม่รับฟ้องแย้งอ้างว่าไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม โจทก์อุทธรณ์ คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องใหม่  เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 5773/39)   มีข้อสังเกตว่า ตามคำพิพากษาคดีนี้ได้หลักกฎหมายอีกว่าแม้คดีก่อนศาลยังไม่รับฟ้องก็เป็นฟ้องซ้อนได้ (  คดีอยู่ในระหว่างพิจารณานับตั้งแต่มีการยื่นคำฟ้องแล้ว) 

              เคยยื่นขอเป็นผู้จัดการมรดกและศาลชั้นต้นตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว  ต่อมามีผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกอีก  ผู้ร้องคดีแรกได้มาร้องคัดค้านกับขอให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกอีก เป็นร้องซ้ำ (ฎ.2214/49)  แสดงว่าถ้าคดีแรกยังอยู่ระหว่างพิจารณา ก็จะเป็นร้องซ้อนได้

                ห้ามฟ้องเรื่องเดียวกัน  

เรื่องเดียวกัน หมายถึง   ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นอย่างเดียวกัน (  ถ้าเป็นคดีอาญาให้พิจารณาว่า เป็นการกระทำอันเดียวกัน หรือไม่ ) 

             ถ้าข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแตกต่างกัน แม้คำขอจะเป็นอย่างเดียวกัน ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการฟ้องเรื่องเดียวกัน  ไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 1091-2/37, 5441/45)

             ในคดีฟ้องขับไล่โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีแก่บริวาร ภายหลังมาฟ้องบริวารคนดังกล่าวเป็นคดีต่างหาก  ดังนี้การออกหมายบังคับคดีไม่ใช่เป็นการฟ้องคดีต่อศาล  ฟ้องคดีหลังไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 819/33)

              ค่าเสียหายหรือคำขอใดที่โจทก์สามารถเรียกร้องได้อยู่แล้วในคดีก่อน ซึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณา โจทก์จะมาฟ้องเรียกร้องเพิ่มเติมเป็นคดีใหม่ไม่ได้ เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 471/41,4517/42)

              แม้ในคดีก่อนโจทก์จะได้กล่าวสงวนสิทธิว่าจะฟ้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมได้ก็ตาม ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิพิเศษแต่อย่างใด (ฎ. 2427-8/20)

            โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายทั้งสองคดี แม้จะอาศัยสัญญาเช่าคนละฉบับมาเป็นมูลฟ้อง ถ้าปรากฎว่าสัญญาเช่าที่โจทก์นำมาฟ้องในคดีหลังมีอยู่แล้วในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีก่อน โจทก์จึงสามารถอ้างเป็นเหตุในคดีก่อนได้อยู่แล้ว  ฟ้องโจทก์คดีหลังจึงเป็นฟ้องเรื่องเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อน  (ฎ. 7265/44)

               ข้อสังเกต  หลักที่ว่าค่าเสียหายที่โจทก์อาจเรียกร้องในคดีก่อนที่อยู่ในระหว่างพิจารณาได้อยู่แล้ว มาฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้อน  ดังนี้ แม้ความเสียหายดังกล่าวเพิ่มปรากฏภายหลังฟ้องก็ตาม  โจทก์ก็ชอบที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมค่าเสียหายในภายหลังได้  ฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 1803/12)       เรื่องนี้มูลเหตุเรียกค่าเสียหายเกิดขึ้นก่อนฟ้องแล้ว เพียงแต่ความเสียหายปรากฏขึ้นในภายหลังฟ้องแล้ว โจทก์นำมาฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้อน     แต่ถ้ามูลเหตุเรียกร้องค่าเสียหายเกิดขึ้นภายหลังฟ้องคดีเดิมแล้ว ดังนี้ฟ้องใหม่ได้ไม่เป็นฟ้องซ้อน เช่นคดีก่อนฟ้องอ้างเหตุว่าผิดสัญญา  ระหว่างพิจารณาสัญญาหมดอายุ  จึงฟ้องอีกได้โดยอ้างเหตุสัญญาระงับ (ฎ. 316/11) 

                ถ้าคดีแรกโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย  ส่วนคดีหลัง ฟ้องเรียกให้จำเลยรับผิดตามข้อตกลงต่างหากจากสัญญาเช่า ไม่เป็นเรื่องเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 2578/35)

            การฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกจากทายาทคนเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์มรดกอย่างเดียวกันหรือต่างชนิดกัน  ถือว่าเป็นทรัพย์มรดกรายเดียวกัน ต้องฟ้องให้เสร็จสิ้นไปในคราวเดียวกัน มิฉะนั้นถือว่าเป็นฟ้องซ้อนได้ ซึ่งถือว่าเป็นการฟ้องในเรื่องเดียวกันกับคดีฟ้องขอแบ่งมรดกคดีก่อนที่อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล (ฎ. 121/06) 

                แต่ถ้าเป็นคดีที่ทายาทฟ้องทายาทอื่นหรือผู้จัดการมรดก  ซึ่งนำที่ดินไปโอนขายโดยไม่ชอบโดยนำที่ดินไปโอนขายโดยไม่ชอบโดยนำที่ดินไปโอนขายคนละคราวกัน  จึงฟ้องขอให้เพิกถอน  มูลเหตุในการฟ้องจึงเกิดขึ้นคนละคราวกัน  แม้จะมีคำขอให้แบ่งมรดกแก่ทายาทด้วย ก็ไม่เป็นฟ้องซ้อน  (ฎ. 6344/40, 175/41)

                ทายาทฟ้องเรียกทรัพย์มรดกต่างชนิดกันจากบุคคลภายนอกคนเดียวกันหลายครั้งได้เพราะเป็นการใช้สิทธิเอาคืนทรัพย์มรดกจากผู้ไม่มีสิทธิยึด ไม่ใช่การฟ้องแบ่งมรดก  จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 11/05)

                ฟ้องขอแบ่งสินสมรสเป็นคดีหนึ่งแล้ว ฟ้องแบ่งสินสมรสอีกไม่ได้  เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 5210/40)

                คดีก่อนจำเลยฟ้องหย่าโจทก์  คดีหลังจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยขอแบ่งสินสมรส  จำเลยฟ้องแย้งขอแบ่งสินสมรสอื่นอีกไม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 3786/46)

             ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการฟ้อง  และมีคำขอส่วนแพ่งให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ.มาตรา  43  ถือว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีแทนผู้เสียหายด้วย  ถ้าคดีอาญาอยู่ในระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายจะฟ้องให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาเป็นคดีแพ่งอีกไม่ได้  เป็นการฟ้องเรื่องเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อน  ทั้งนี้ไม่ว่าในคดีอาญาผู้เสียหายจะเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย  หรือไม่ก็ตาม  (ฎ. 1330/33, 1984/36)

           ข้อสังเกต ในคดีอาญา พนักงานอัยการขอให้จำเลยคืนเงินที่ยักยอกแต่ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยด้วย   ผู้เสียหายจึงฟ้องคดีแพ่งเรียกเงินที่ยักยอกและดอกเบี้ยด้วย  ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้อนทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย   แต่ต่อมามีคำพิพากษาฎีกาที่ 12414/47 ป.  วินิจฉัยว่ากรณีเช่นนี้ เป็นฟ้องซ้อนเฉพาะต้นเงินเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยไม่เป็นฟ้องซ้อน

                คำขอที่ให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ในคดีอาญา ถือเป็นคำขอในส่วนแพ่งที่มีมูลหนี้หนี้ละเมิดเนื่องจากการกระทำผิดอาญานั้นเอง  ดังนั้น การที่ผู้เสียหายมาฟ้องเป็นคดีแพ่งให้บังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายอีก  โดยอ้างเหตุการณ์กระทำผิดในทางอาญา( มูลหนี้ละเมิด ) จึงเป็นฟ้องในเรื่องเดียวกันอีก  เป็นฟ้องซ้อน  (ฎ. 7283/41, 72/38)

                ในบางกรณีการฟ้องร้องจะอ้างอิงสัญญาฉบับเดียวกัน แต่เป็นหนี้คนละจำนวน โดยหนี้ที่ฟ้องในคดีหลังยังไม่ถึงกำหนดชำระในเวลาที่โจทก์ฟ้องคดีแรก  มูลเหตุที่ฟ้องจึงเกิดคนละคราวกัน  มิใช่ฟ้องเรื่องเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้อน   เช่นคดีก่อนฟ้องเรียกราคาสินค้าตามสัญญาซื้อขายงวดที่  1 ถึง  8   ส่วนคดีนี้ฟ้องเรียกราคาสินค้างวดที่ต้องผ่อนชำระงวดที่  9 ถึง 12  ฟ้องคดีหลังไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 5867/44)

                เช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ในมูลหนี้ใดมูลหนี้หนึ่ง  เมื่อธนาคารตามเช็คปฎิเสธการจ่ายเงิน มูลหนี้เดิมยังไม่ระงับ( ป.พ.พ.มาตรา  321 วรรคสาม)  ดังนี้ เจ้าหนี้จึงอาจฟ้องเรียกให้ลูกหนี้รับผิดตามมูลหนี้เดิมหรือมูลหนี้ ตามเช็คก็ได้   และเมื่อเจ้าหนี้เลือกฟ้องมูลหนี้ใดแล้วภายหลังอาจฟ้องให้ลูกหนี้รับผิดอีกมูลหนี้ก็ได้   ถือว่าข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแตกต่างกัน ไม่เป็นฟ้องซ้อน  (ฎ. 7738/47, 6366/47)

                ในคดีที่ถือว่าเป็นฟ้องซ้อนตามมาตรา  173 วรรคสอง(1)  แห่ง ป.วิ.พ.แล้ว แม้ต่อมาโจทก์จะถอนฟ้องคดีเดิมแล้ว  ก็ไม่ทำให้คำฟ้องซ้อนชอบด้วยกฎหมายขึ้นมา  (ฎ. 1799/30, 1429/36)   แม้ในคดีเดิมศาลจะจำหน่ายคดีไปก่อนที่คดีหลังจะพิพากษาคดีก็ตาม ก็ไม่ทำให้ฟ้องคดีใหม่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมา (ฎ. 972/32)

                ฟ้องซ้อนอาจเป็นฟ้องต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่นก็ได้ ทั้งนี้ตามบทบัญญัติ มาตรา  173 วรรคสอง (1) (ฎ. 3160/36)            

      --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

     ...คุณเคยมีปัญหาเหล่านี้หรไม่ ? 

      - เพิ่งจบปริญญาตรี ไม่รู้จะเริ่มต้นกับการเรียนเนติอย่างไร
      - 
สอบมาหลายครั้งแล้วไม่ผ่านซัที 47 , 48 , 49 คะแนนอยู่นี่หลายครั้งแล้ว เมื่อไหร่จะถึง 50 คะแนนซักที

      - สอบมาหลายครั้งแล้ว  เพื่อนๆในกลุ่มทยอยจบกันหมด..จะลงสมัครใหม่ก็เขินอายรุ่นน้อง
      - 
อยู่ต่างจังหวัด ทำงานประจำไม่มีเวลาไปนั่งเรียนที่เนติฯ 
      - 
สมัครติวเนติทางไปรษณีย์ กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ทันสอบ
      - 
สมัครรับจองคำบรรยายเนติทางไปรษณีย์ 
กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ันสอบ
      - เดินทางไปเรียนหรือไปติวรถก็ด...กลับมาก็เหนื่อย
 
     - อยู่ต่างจังหวัดอยากมาเรียนที่ กทม. หรือมาติว...แต่ไม่สามารถมาเรีนหรือมาติวได้เพราะไกลและสถาบัติวก็อยู่หน้ารามกันหมด

      - ไม่อยากคุยกันเรื่องเรียนเนติกับเพื่อนๆหรือคนที่เรียนเนติจบแล้ว..มันรู้สึกท้อ รู้สึกอาย..จะลงใหม่ก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร หรือเริ่มยังไงอีก 


    ถ้าเปรียบกับการสอบเนติบัณฑิต กับการทำศึกสงคราม มีกลยุทธ์ 3 อย่าง ดังนี้
        - ท่องตัวบท   คือ อาวุธ ที่เรา สะสมไว้ ต่อสู้ ยิ่งท่องตัวบทได้มาก ก็ มีอาวุธ เก็บไว้สำรองมาก หยิบใช้เมื่อไรก็ได้
        - จดฎีกา       คือการ ศึกษาแผนการรบว่าสถานการณ์แบบใดเราควรจะใช้อาวุธแบบใด ยิ่งจดจำฎีกาไว้มาก ก็มีแนวการตอบข้อสอบได้ตรงจุด ตรงประเด็น ได้มาก และไม่โดนข้อสอบหลอกล่อให้หลงทา
        -  ล่าข้อสอบ   คือ การหัดซ้อมรบก่อน เข้าสู้ศึกสงครามสนามสอบจริง ยิ่งหัดทำข้อสอบมากเท่าใด ก็เป็นการสั่งสมประสบการณ์การหัดทำข้อสอบมากขึ้นทำให้ จับประเด็นและเขียนตอบได้เร็วและทันเวลา
     -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------     
     ขอแนะนำ !!

     ชุดรวบรวมเอกสารคำบรรยายเนติฯ สำหรับเตรียมสอบ ภาค 1/66 และ 2/65
    ++  กลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา ++  
      - ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวน 1/66 New !!
      -  ไฟล์เอกสารสรุปคำบรรยายเนติฯ 1/66 
      -  ไฟล์เอกสารประกอบคำบรรยาย 1/66 
      -  ไฟล์บทบรรณาธิการ 1/63-1/66 
      -  ไฟล์ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและ อาญา (สมัยที่ 56-65) 
      -  ไฟล์เอกสารทบทวนสรุปประเด็นน่สนใจ 1/66
      -  ไฟล์เอกสารรวมคำพิพากษาฎีกาใหม่ (พร้อมข้อสังเกตน่าสนใจ)1/66
      -   เทคนิคการเขียนคำตอบแบบถูกต้องที่สุด ตลอดจนเทคนิคการปรับบทกฎหมายต่งๆสำหรับทุกสนามสอบ (การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่ยฯ/อัยการ)
    ..................................................................................................................................................
    ++ กลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา ++ 
      - ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์ 
      - ไฟล์เอกสารสรุปคำบรรยายเนติฯ 2/65 
      - ไฟล์เอกสารประกอบคำบรรยาย 2/65 
      - ไฟล์บทบรรณาธิการ 2/63-2/65 
      - ไฟล์ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความ อาญา (สมัยที่ 56-65) 
      - เทคนิคการเขียนคำตอบแบบถูกต้องที่สุด ตลอดจนเทคนิคการปรับบทกฎหมายต่งๆสำหรับทุกสนามสอบ (การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่ยฯ/อัยการ)  
    ..................................................................................................................................................
     ค่ารวบรวม  :   ภาคละ 350.-บาท  (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี !! + แถมฟรี !! แผ่นรองเม้าท์) 
     หมายเหตุ   :   สั่งซื้อทั้ง 2 ภาค ค่ารวมรวมพิเศษ 650.- บาท (ส่ง EMS ฟรี !! + แถมฟรี !! แผ่นรองเม้าท์ + CD แบบร่างสัญญามากกว่า 400 แบบ (file word) + แบบฟอร์มศาล, แบบฟอร์มเ อกสารงานบุคคล,เอกสารงานบัญชีและภาษี) 

   ** สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ 085-801-0725, E-mail : siripit...@gmail.com**

           


Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages