คำฟ้อง ( มาตรา
172)
ฟ้องที่ไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหนักแห่งข้อหา เช่นว่านั้น มาตรา 172 วรรคสอง เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นฟ้องเคลือบคลุม ฟ้องเคลือบคลุมในคดีแพ่งไม่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน (ฎ. 101/31) ศาลจะยกขึ้นเองไม่ได้ จำเลยจะต้องสู้เป็นประเด็นไว้ในคำให้การ ทั้งจะต้องให้การโดยแจ้งชัดด้วยว่าเคลือบคลุมอย่างไร มิฉะนั้นไม่เป็นประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัย (ฎ. 9594/44)
แต่ถ้าฟ้องของโจทก์ถึงขนาดขาดสาระสำคัญแห่งความรับผิดของจำเลย ทำให้ศาลไม่อาจพิพากษาให้จำเลยรับผิดตามฟ้องได้ ถือเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกขึ้นวินิจฉัยได้ เช่น โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน แต่มิได้บรรยายฟ้องว่าใครเป็นผู้เอาประกันภัยรถคันที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัย และมิได้บรรยายฟ้องว่า ผู้ขับรถนี้มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดด้วย (ฎ. 361/2539, 7064/47)
ข้อสังเกต แสดงว่าในปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ถ้าฟ้องของโจทก์ถึงกับขาดสาระสำคัญในความรับผิดของจำเลย เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ( แต่ถ้าเป็นฟ้องเคลือบคลุมในคดีอาญา ถือเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบฯ ศาลยกขึ้นเองได้)
คำฟ้องที่ขัดกันถือว่าเป็นฟ้องเคลือบคลุม เช่น ฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมอ้างว่าผู้ตายมิได้พิมพ์นิ้วมือ แม้จะเป็นลายนิ้วมือของผู้ตายก็พิมพ์ในขณะถูกฉ้อฉล ข่มขู่ เมาสุรา หรือวิกลจริต หรือพิมพ์เมื่อตายแล้ว (ฎ. 221/01,493/95)
กรณี มาตรา 172 วรรคสาม และมาตรา 18 นั้น จะเห็นระบบการดังนี้คือ ในชั้นตรวจคำฟ้องหรือคำคู่ความนั้นศาลกระทำได้เพียง 3 ประการ คือ สั่งคืนไป สั่งไม่รับ สั่งรับ เท่านั้น เมือสั่งไม่รับฟ้องไว้พิจารณาแล้ว ก็จะพิพากษายกฟ้องไม่ได้ และคำว่า “ให้ยกเสีย” ตามมาตรา 172 กับคำว่า “มีคำสั่งไม่รับ” มาตรา 18 กฎหมายประสงค์ให้มีผลเป็นอย่างเดียวกัน คือ “คำสั่งไม่รับคำคู่ความ” ตามมาตรา 18 เพราะ “ ให้ยกเสีย” ตามมาตรา 172 จะถือว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดี ตามมาตรา 131 ไม่ได้ กล่าวคือยังไม่ใช่การพิพากษาคดี เมื่อมีการฟ้องเป็นคดีใหม่จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
อย่างไรก็ตามในชั้นตรวจคำฟ้องนี้ ศาลมีอำนาจพิจารณาเนื้อหาแห่งคดีหรือประเด็นแห่งคดีแล้วพิพากษายกฟ้องได้ ( ซึ่งอยู่นอกเขตมาตรา 18) เช่น ศาลตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ก็พิพากษายกฟ้อง ตามมาตรา 172 วรรคท้ายได้ (ฎ.5630/48, 996/08 ป.)
แต่ถ้าเป็นกรณีเกี่ยวกับเรื่องรูปแบบของคำคู่ความ ตามมาตรา 18 เช่น คำฟ้องอ่านไม่ออก อ่านไม่เข้าใจ หรือเขียนฟุ่มเฟือย ไม่ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยไม่ถูกต้องครบถ้วนฯ เมื่อโจทก์ไม่ปฎิบัติตามคำสั่งศาล ศาลก็มีอำนาจสั่งไม่รับฟ้อง จึงไม่เป็นการวินิจฉัยประเด็นแห่งคดี และไม่ใช่เป็นการพิพากษาคดี
การที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องแล้วนำข้อเท็จจริงในคำฟ้องมาวินิจฉัยเกี่ยวกับคำฟ้องโจทก์ และพิพากษายกฟ้องเป็นการวินิจฉัยประเด็นแห่งคดี เป็นการวินิจฉัยประเด็นแห่งคดี ตามมาตรา 131(2) ซึ่งมีผลเป็นการพิพากษาคดีถ้ามิใช่เรื่องที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับหรือคืนคำฟ้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18 จึงไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมศาลแก่โจทก์ ตามมาตรา 151
คำฟ้องอุทธรณ์และคำฟ้องฎีกา เป็นคำฟ้องอย่างหนึ่ง จึงต้องอยู่ในบังคับมาตรา 172 วรรคสอง โดยต้องแสดงสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับ ให้ชัดแจ้ง โดยต้องแสดงเหตุผลในการคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ และคำขอท้ายอุทธรณ์ หรือฎีกา ให้ชัดเจน แต่ไม่ต้องระบุคำฟ้องเดิม คำให้การและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เพราะมีอยู่ในสำนวนศาลแล้ว (ฎ.887/42 ป.)
คำร้องสอดตามมาตรา 51(1) ที่เข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม ผู้ร้องสอดมีฐานะเป็นโจทก์ ส่วนโจทก์เดิมและจำเลยเดิมอยู่ในฐานะจำเลยใหม่ คำร้องสอดจึงต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้น หากไม่มี เป็นคำร้องสอดที่ไม่ชอบ (ฎ. 1443/48)
คำให้การ (มาตรา 177)
จำเลยต้องแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยยอมรับ หรือปฎิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ( ถ้าไม่มีเหตุแห่งการปฎิเสธ ก็จะไม่เกิดประเด็น)
จำเลยให้การต่อสู้เรื่องอายุความ ต้องให้การว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเมื่อใด นับแต่วันใด ถึงวันฟ้องคดีขาดอายุความไปแล้ว (ฎ. 748/47 ) ถ้าไม่บรรยาย
ในคดีมโนสาเร่ ถ้าจำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือ จำเลยจะต่อเรื่องอายุความ จำเลยก็ต้องให้การชัดแจ้ง (ฎ. 678/50)
ตอนแรกจำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ตอนหลังกลับให้การว่าจำเลยแย่งการครอบครอบแล้ว หรือครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแล้ว (หมายถึงไม่ใช่ที่ดินของจำเลยแต่ต่อมาได้แย้งการครอบครองแล้ว) ดังนี้เป็นคำให้การขัดแย้งกัน คดีไม่มีประเด็นเรื่องการแย่งการครอบครอง หรือครอบครองปรปักษ์ (ฎ. 5332/44ล 5473/48 ป.)
คำให้การตอนแรกปฎิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญา ตอนหลังกลับให้การรับว่าทำสัญญาเพราะถูกบังคับขู่เข็ญ เป็นคำให้การที่ขัดแย้งกัน ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง ไม่เป็นประเด็นนำสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลย แต่ถือได้ว่าเป็นคำให้การปฎิเสธฟ้องโจทก์ คดีมีประเด็นข้อพิพาทแล้ว โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามฟ้องจึงจะชนะคดี (ฎ. 7714/47)
ฟ้องซ้อน (มาตรา 173 วรรคสอง(1))
คดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณา ห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้น ต่อศาลเดียวกันหรือศาลอื่น
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา
คำว่า “คดีอยู่ในระหว่างพิจารณา” อาจจะอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาก็ได้ และคดีที่อยู่ในระหว่างพิจารณานั้นแม้ไม่ใช่การพิจารณาในเนื้อหาในประเด็นแห่งคดี โจทก์ก็จะนำเรื่องเดียวกันมาฟ้องใหม่ไม่ได้ เช่น คดีอยู่ระหว่างพิจารณาคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ หรือกรณีที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องในคดีก่อนแล้วจำเลยอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งดังกล่าว ก็ถือว่าเป็นคดีที่อยู่ในระหว่างพิจารณา โจทก์ก็จะฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกันอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 7265/44,1429/36,3346/35) แม้ต่อมาคดีก่อนจะถึงที่สุดก็หาทำให้ฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่ต้นกลายเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาใหม่ (ฎ.3132/49, 1429/36)
ข้อสังเกต การพิจารณาว่าเป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ คงพิจารณาในขณะที่ยื่นฟ้องคดีหลังเท่านั้นว่า มีคดีเรื่องเดียวกันอยู่ระหว่างพิจารณาหรือไม่ เช่นในขณะที่ยื่นฟ้องคดีก่อนยังไม่ถึงที่สุดจึงเป็นฟ้องซ้อน แม้ต่อมาคดีก่อนถึงที่สุดก็ไม่ทำให้การฟ้องคดีหลังชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาได้
คู่ความยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ หรือฎีกา ศาลชั้นต้นยกคำร้อง คู่ความนั้นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว เมื่อศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ ถือว่าคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 7603/48)
ฎ. 7603/48 คำร้องขอพิจารณาใหม่ถือเป็นคำฟ้อง ตามมาตรา 1(3) เมื่อปรากฎว่าหลังจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น ที่ให้ยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลย ฉบับลงวันที่ 13 ธันวาคม 2542 แล้ว จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ คำสั่ง และศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ ถือว่าคดีเกี่ยวกับคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยฉบับลงวันที่ 13 ธันวาคม 2542 อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ฉบับลงวันที่ 22 ตุลาคม 2542 โดยอ้างเหตุเดิมอีกในระหว่างนั้น จึงเป็นการยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกัน คำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยฉบับดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามมาตรา 173(1)
คดีก่อนโจทก์ถอนฟ้องแล้ว ไม่อุทธรณ์ จึงไม่มีคดีอยู่ในระหว่างพิจารณา ฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 2658/45, 5364/38)
หรือถ้ามีการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น แต่เป็นการอุทธรณ์หลังจากคดีถึงที่สุดแล้ว ( พ้นระยะเวลาอุทธรณ์) ไม่ถือว่าคดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาต่อไป ฟ้องโจทก์คดีหลังจึงไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 2597/41)
คดีอยู่ในระหว่างการไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ถือว่าคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาเช่นกัน โจทก์นำเรื่องเดียวกันมาฟ้องอีกเป็นฟ้องซ้อน (ฎ.8995/42)
นอกจากนี้ คำว่า คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หมายความถึง ภายในกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ หรือยื่นฎีกาด้วย หากต่อมามีการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกา (ฎ. 2555/38) แต่ถ้าต่อมาไม่มีการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาในกำหนดเวลาอุทธรณ์หรือฎีกา ไม่ถือว่าคดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา (ฎ. 684/48)
ข้อสังเกต การพิจารณาว่าเป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ ต้องดูขณะยื่นฟ้องเป็นสำคัญ แต่ตามคำวินิจฉัยฎีกาสองเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าในกรณีที่ยื่นฟ้องในระหว่างระยะเวลายื่นอุทธรณ์หรือฎีกานั้น ต้องพิจารณาว่าฝ่ายใดได้ยื่นอุทธรณ์ หรือฎีกาในภายหลังหรือไม่ มาเป็นข้อพิจารณาประกอบด้วย
ในคดีที่มีการฟ้องแย้ง โจทก์ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเสียทั้งหมด จำเลยอุทธรณ์เฉพาะคำสั่งจำหน่ายคดีในส่วนฟ้องแย้ง ข้อที่จำเลยอุทธรณ์จึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ จึงไม่ถือว่าคดีตามฟ้องเดิมอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล โจทก์จึงยื่นฟ้องในเรื่องเดียวกันนั้นใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้อน ส่วนจำเลยฟ้องเข้ามาในคดีใหม่อีกเป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 3291/37)
ข้อสังเกต คดีที่มีการฟ้องแย้ง การพิจารณาว่าคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาหรือไม่ ต้องแยกพิจารณาฟ้องเดิมและฟ้องแย้งออกจากกัน เรื่องนี้คดีก่อนศาลสั่งจำหน่ายคดีทั้งตามฟ้องเดิมและฟ้องแย้ง โจทก์ไม่อุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์คำสั่งเฉเพาะที่ให้จำหน่ายคดีตามฟ้องแย้ง ดังนั้นถือว่าเฉพาะคดีตามฟ้องแย้งเท่านั้นที่อยู่ระหว่าง การพิจารณาของศาล ส่วนคดีตามฟ้องเดิมไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอีกต่อไป โจทก์จึงฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้อน ปรากฏว่าในคดีหลังนี้จำเลยได้ฟ้องแย้งเรื่องเดียวกันกับฟ้องแย้งคดีก่อนเข้ามาอีก จึงต้องถือว่าฟ้องแย้งในคดีหลังนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อน
ห้ามโจทก์ฟ้อง
ถ้าในคดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์ และในคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยในเรื่องเดียวกัน ดังนี้ไม่เป็นฟ้องซ้อน เพราะตามมาตรา 173(1) บัญญัติห้ามเฉพาะโจทก์ฟ้องเรื่องเดียวกันเท่านั้น มิได้ห้ามจำเลยฟ้องในเรื่องเดียวกันด้วย (ฎ. 2579/25, 288/2535,3847/35)
ฎ. 2206/48 คดีก่อนมีเพียงผู้องที่ 5 เท่านั้น ที่เป็นคู่ความกับผู้คัดค้าน โดยผู้คัดค้านเป็นผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ส่วนผู้ร้องที่ 5 เป็นผู้คัดค้านและเป็นผู้จัดการมรดกเช่นกัน ปรากฎว่าคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นยกคำร้องและคำคัดค้าน มีเพียงผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้ร้องในคดีก่อน ได้อุทธรณ์ คำสั่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนจึงถึงที่สุดสำหรับผู้ร้องที่ 5 แล้ว การที่ผู้ร้องที่ 5 ยื่นคำร้องขอร่วมกับผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ในคดีนี้ จึงไม่เป็นคำร้องซ้อน ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 173 วรรคสอง
คดีก่อนผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอจัดการมรดกของผู้ตาย อ้างว่าผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ศาลชั้นต้นยกคำร้องและคำคัดค้านให้เหตุผลว่าผู้ตายได้ตั้งผู้จัดการมรดกไว้ ไม่มีเหตุจะตั้งผู้จัดการมรดกอีก คดีนี้ผู้ร้องที่ 5 ยื่นคำร้องขอร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ว่า ผู้ตายทำพินัยกรรมตั้งผู้จัดการมรดกไว้ 2 คน แต่การจัดการมรดกมีข้อขัดข้องเพราะผู้จัดการมรดกคนหนึ่งถึงแก่กรรมและอีกคนหนึ่งไม่ประสงค์จะจัดการมรดก เหตุที่อ้างในคดีนี้จึงเป็นคนละเหตุกับคดีก่อน อันเป็นคนละประเด็นกัน ไม่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงไม่เป็นคำร้องซ้ำตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 4 และ ที่ 6 มิได้เป็นคู่ความกับผู้คัดค้านในคดีก่อน จึงไม่ใช่คู่ความรายเดียวกัน คำร้องขอของผู้ร้องที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ที่ยื่นเข้ามาร่วมกับผู้ร้องที่ 5 จึงไม่เป็นคำร้องซ้อน และคำร้องซ้ำกับคดีก่อน
อย่างไรก็ดี บุคคลที่อยู่ในฐานะอย่างเดียวกัน ต่างเป็นโจทก์ฟ้องคดีเรื่องเดียวกันก็เป็นฟ้องซ้อนได้ เช่นเจ้าของรวมด้วยกันต่างคนต่างฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากบุคคลภายนอก ( ฎ. 966/18) หรือ ผู้จัดการมรดกกับทายาทต่างฟ้องขับไล่จำเลย เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 2588/23,702/24)
ค่าขาดไร้อุปการะ เป็นสิทธิเฉพาะตัวของทายาทแต่ละคนของผู้ตายที่จะได้รับ เมื่อทายาทคนหนึ่งฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากผู้ทำละเมิด คดีอยู่ในระหว่างพิจารณา ทายาทคนอื่นก็ฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะเป็นคดีใหม่ได้อีก (ฎ. 6641/48)
ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ โดยมีคำขอส่วนแพ่งให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ.มาตรา 43 ถือว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีส่วนแพ่งแทนผู้เสียหายด้วย ผู้เสียหายจะนำเอาคดีส่วนแพ่งมาฟ้องอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้อน ทั้งนี้ไม่ว่าในคดีอาญาผู้เสียหายจะเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วยหรือไม่ก็ตาม (ฎ.3080/44)
คดีก่อนพนักงานอัยการยื่นคำร้องขอจัดตั้งผู้จัดการมรดกแทนทายาท มีผู้คัดค้านจึงต้องดำเนินคดีอย่างมีข้อพิพาท และถือว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีแทนทายาท ดังนี้ทายาทจะนำเรื่องเดียวกันมาฟ้องผู้คัดค้านเป็นจำเลยในคดีนี้อีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 6066/46)
คดีก่อนพนักงานอัยการในฐานะเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค เป็นโจทก์ฟ้องคดีแทนโจทก์คดีนี้แล้ว โจทก์คดีนี้จะนำเรื่องเดียวกันนี้มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ไม่ได้ แม้โจทก์คดีก่อนจะขอแก้ไขฟ้องตัดชื่อโจทก์ออกก็ตาม
ร้องสอดเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตาม มาตรา 57(1) อาจร้องสอดเข้ามาในฐานะโจทก์ หรือฐานะจำเลยก็ได้ ทั้งนี้แล้วแต่เนื้อหาของคำร้องสอด ถ้าเนื้อหาคำร้องสอดนั้นมีสภาพเป็นคำฟ้อง ผู้ร้องสอดย่อมมีฐานะเป็นโจทก์ หากมีการร้องสอดเข้ามาอีกในขณะที่คดีก่อนอยู่ระหว่างพิจารณา เป็นฟ้องซ้อนได้ (ฎ. 5716/39) และผู้ร้องสอดดังกล่าวก็ไม่สามารถฟ้องคู่ความเดิมในเรื่องเดียวกันนั้นได้อีก เพราะเป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 1935/40) หรือกรณีกลับกันผู้ร้องสอดตามมาตรา 57(1) จะร้องสอดเข้ามาในคดีในเรื่องเดียวกับที่ผู้ร้องสอดได้ฟ้องไว้แล้วไม่ได้ คำร้องสอดเป็นฟ้องซ้อนได้ (ฎ. 8995/42, 3129/24)
แต่ถ้าร้องสอดเข้ามาในคดีตามมาตรา 57(3) ไม่เป็นฟ้องซ้อน เพราะเป็นการร้องเข้ามาตามหมายเรียกของศาล(ฎ.1337/19)
โจทก์( ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อน) ได้ฟ้องแย้งเรื่องเดียวกันไว้ แต่ศาลไม่รับฟ้องแย้งอ้างว่าไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม โจทก์อุทธรณ์ คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องใหม่ เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 5773/39) มีข้อสังเกตว่า ตามคำพิพากษาคดีนี้ได้หลักกฎหมายอีกว่าแม้คดีก่อนศาลยังไม่รับฟ้องก็เป็นฟ้องซ้อนได้ ( คดีอยู่ในระหว่างพิจารณานับตั้งแต่มีการยื่นคำฟ้องแล้ว)
เคยยื่นขอเป็นผู้จัดการมรดกและศาลชั้นต้นตั้งเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว ต่อมามีผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกอีก ผู้ร้องคดีแรกได้มาร้องคัดค้านกับขอให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกอีก เป็นร้องซ้ำ (ฎ.2214/49) แสดงว่าถ้าคดีแรกยังอยู่ระหว่างพิจารณา ก็จะเป็นร้องซ้อนได้
ห้ามฟ้องเรื่องเดียวกัน
เรื่องเดียวกัน หมายถึง ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นอย่างเดียวกัน ( ถ้าเป็นคดีอาญาให้พิจารณาว่า เป็นการกระทำอันเดียวกัน หรือไม่ )
ถ้าข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแตกต่างกัน แม้คำขอจะเป็นอย่างเดียวกัน ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการฟ้องเรื่องเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 1091-2/37, 5441/45)
ในคดีฟ้องขับไล่โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีแก่บริวาร ภายหลังมาฟ้องบริวารคนดังกล่าวเป็นคดีต่างหาก ดังนี้การออกหมายบังคับคดีไม่ใช่เป็นการฟ้องคดีต่อศาล ฟ้องคดีหลังไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 819/33)
ค่าเสียหายหรือคำขอใดที่โจทก์สามารถเรียกร้องได้อยู่แล้วในคดีก่อน ซึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณา โจทก์จะมาฟ้องเรียกร้องเพิ่มเติมเป็นคดีใหม่ไม่ได้ เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 471/41,4517/42)
แม้ในคดีก่อนโจทก์จะได้กล่าวสงวนสิทธิว่าจะฟ้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมได้ก็ตาม ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิพิเศษแต่อย่างใด (ฎ. 2427-8/20)
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายทั้งสองคดี แม้จะอาศัยสัญญาเช่าคนละฉบับมาเป็นมูลฟ้อง ถ้าปรากฎว่าสัญญาเช่าที่โจทก์นำมาฟ้องในคดีหลังมีอยู่แล้วในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีก่อน โจทก์จึงสามารถอ้างเป็นเหตุในคดีก่อนได้อยู่แล้ว ฟ้องโจทก์คดีหลังจึงเป็นฟ้องเรื่องเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 7265/44)
ข้อสังเกต หลักที่ว่าค่าเสียหายที่โจทก์อาจเรียกร้องในคดีก่อนที่อยู่ในระหว่างพิจารณาได้อยู่แล้ว มาฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้อน ดังนี้ แม้ความเสียหายดังกล่าวเพิ่มปรากฏภายหลังฟ้องก็ตาม โจทก์ก็ชอบที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมค่าเสียหายในภายหลังได้ ฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 1803/12) เรื่องนี้มูลเหตุเรียกค่าเสียหายเกิดขึ้นก่อนฟ้องแล้ว เพียงแต่ความเสียหายปรากฏขึ้นในภายหลังฟ้องแล้ว โจทก์นำมาฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้อน แต่ถ้ามูลเหตุเรียกร้องค่าเสียหายเกิดขึ้นภายหลังฟ้องคดีเดิมแล้ว ดังนี้ฟ้องใหม่ได้ไม่เป็นฟ้องซ้อน เช่นคดีก่อนฟ้องอ้างเหตุว่าผิดสัญญา ระหว่างพิจารณาสัญญาหมดอายุ จึงฟ้องอีกได้โดยอ้างเหตุสัญญาระงับ (ฎ. 316/11)
ถ้าคดีแรกโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย ส่วนคดีหลัง ฟ้องเรียกให้จำเลยรับผิดตามข้อตกลงต่างหากจากสัญญาเช่า ไม่เป็นเรื่องเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 2578/35)
การฟ้องขอแบ่งทรัพย์มรดกจากทายาทคนเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์มรดกอย่างเดียวกันหรือต่างชนิดกัน ถือว่าเป็นทรัพย์มรดกรายเดียวกัน ต้องฟ้องให้เสร็จสิ้นไปในคราวเดียวกัน มิฉะนั้นถือว่าเป็นฟ้องซ้อนได้ ซึ่งถือว่าเป็นการฟ้องในเรื่องเดียวกันกับคดีฟ้องขอแบ่งมรดกคดีก่อนที่อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล (ฎ. 121/06)
แต่ถ้าเป็นคดีที่ทายาทฟ้องทายาทอื่นหรือผู้จัดการมรดก ซึ่งนำที่ดินไปโอนขายโดยไม่ชอบโดยนำที่ดินไปโอนขายโดยไม่ชอบโดยนำที่ดินไปโอนขายคนละคราวกัน จึงฟ้องขอให้เพิกถอน มูลเหตุในการฟ้องจึงเกิดขึ้นคนละคราวกัน แม้จะมีคำขอให้แบ่งมรดกแก่ทายาทด้วย ก็ไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 6344/40, 175/41)
ทายาทฟ้องเรียกทรัพย์มรดกต่างชนิดกันจากบุคคลภายนอกคนเดียวกันหลายครั้งได้เพราะเป็นการใช้สิทธิเอาคืนทรัพย์มรดกจากผู้ไม่มีสิทธิยึด ไม่ใช่การฟ้องแบ่งมรดก จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 11/05)
ฟ้องขอแบ่งสินสมรสเป็นคดีหนึ่งแล้ว ฟ้องแบ่งสินสมรสอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 5210/40)
คดีก่อนจำเลยฟ้องหย่าโจทก์ คดีหลังจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยขอแบ่งสินสมรส จำเลยฟ้องแย้งขอแบ่งสินสมรสอื่นอีกไม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 3786/46)
ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการฟ้อง และมีคำขอส่วนแพ่งให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ.มาตรา 43 ถือว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีแทนผู้เสียหายด้วย ถ้าคดีอาญาอยู่ในระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายจะฟ้องให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาเป็นคดีแพ่งอีกไม่ได้ เป็นการฟ้องเรื่องเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อน ทั้งนี้ไม่ว่าในคดีอาญาผู้เสียหายจะเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย หรือไม่ก็ตาม (ฎ. 1330/33, 1984/36)
ข้อสังเกต ในคดีอาญา พนักงานอัยการขอให้จำเลยคืนเงินที่ยักยอกแต่ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยด้วย ผู้เสียหายจึงฟ้องคดีแพ่งเรียกเงินที่ยักยอกและดอกเบี้ยด้วย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้อนทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย แต่ต่อมามีคำพิพากษาฎีกาที่ 12414/47 ป. วินิจฉัยว่ากรณีเช่นนี้ เป็นฟ้องซ้อนเฉพาะต้นเงินเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยไม่เป็นฟ้องซ้อน
คำขอที่ให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ในคดีอาญา ถือเป็นคำขอในส่วนแพ่งที่มีมูลหนี้หนี้ละเมิดเนื่องจากการกระทำผิดอาญานั้นเอง ดังนั้น การที่ผู้เสียหายมาฟ้องเป็นคดีแพ่งให้บังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายอีก โดยอ้างเหตุการณ์กระทำผิดในทางอาญา( มูลหนี้ละเมิด ) จึงเป็นฟ้องในเรื่องเดียวกันอีก เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 7283/41, 72/38)
ในบางกรณีการฟ้องร้องจะอ้างอิงสัญญาฉบับเดียวกัน แต่เป็นหนี้คนละจำนวน โดยหนี้ที่ฟ้องในคดีหลังยังไม่ถึงกำหนดชำระในเวลาที่โจทก์ฟ้องคดีแรก มูลเหตุที่ฟ้องจึงเกิดคนละคราวกัน มิใช่ฟ้องเรื่องเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้อน เช่นคดีก่อนฟ้องเรียกราคาสินค้าตามสัญญาซื้อขายงวดที่ 1 ถึง 8 ส่วนคดีนี้ฟ้องเรียกราคาสินค้างวดที่ต้องผ่อนชำระงวดที่ 9 ถึง 12 ฟ้องคดีหลังไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 5867/44)
เช็คที่ออกเพื่อชำระหนี้ในมูลหนี้ใดมูลหนี้หนึ่ง เมื่อธนาคารตามเช็คปฎิเสธการจ่ายเงิน มูลหนี้เดิมยังไม่ระงับ( ป.พ.พ.มาตรา 321 วรรคสาม) ดังนี้ เจ้าหนี้จึงอาจฟ้องเรียกให้ลูกหนี้รับผิดตามมูลหนี้เดิมหรือมูลหนี้ ตามเช็คก็ได้ และเมื่อเจ้าหนี้เลือกฟ้องมูลหนี้ใดแล้วภายหลังอาจฟ้องให้ลูกหนี้รับผิดอีกมูลหนี้ก็ได้ ถือว่าข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแตกต่างกัน ไม่เป็นฟ้องซ้อน (ฎ. 7738/47, 6366/47)
ในคดีที่ถือว่าเป็นฟ้องซ้อนตามมาตรา 173 วรรคสอง(1) แห่ง ป.วิ.พ.แล้ว แม้ต่อมาโจทก์จะถอนฟ้องคดีเดิมแล้ว ก็ไม่ทำให้คำฟ้องซ้อนชอบด้วยกฎหมายขึ้นมา (ฎ. 1799/30, 1429/36) แม้ในคดีเดิมศาลจะจำหน่ายคดีไปก่อนที่คดีหลังจะพิพากษาคดีก็ตาม ก็ไม่ทำให้ฟ้องคดีใหม่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมา (ฎ. 972/32)
ฟ้องซ้อนอาจเป็นฟ้องต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่นก็ได้ ทั้งนี้ตามบทบัญญัติ มาตรา 173 วรรคสอง (1) (ฎ. 3160/36)
- เพิ่งจบปริญญาตรี ไม่รู้จะเริ่มต้นกับการเรียนเนติอย่างไร
- สอบมาหลายครั้งแล้วไม่ผ่านซักที 47 , 48 , 49 คะแนนอยู่นี่หลายครั้งแล้ว เมื่อไหร่จะถึง 50 คะแนนซักที
- สอบมาหลายครั้งแล้ว เพื่อนๆในกลุ่มทยอยจบกันหมด..จะลงสมัครใหม่ก็เขินอายรุ่นน้อง
- อยู่ต่างจังหวัด ทำงานประจำไม่มีเวลาไปนั่งเรียนที่เนติฯ
- สมัครติวเนติทางไปรษณีย์ กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ทันสอบ
- สมัครรับจองคำบรรยายเนติทางไปรษณีย์ กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ทันสอบ
- เดินทางไปเรียนหรือไปติวรถก็ติด...กลับมาก็เหนื่อย
- อยู่ต่างจังหวัดอยากมาเรียนที่ กทม. หรือมาติว...แต่ไม่สามารถมาเรียนหรือมาติวได้เพราะไกลและสถาบันติวก็อยู่หน้ารามกันหมด
- ไม่อยากคุยกันเรื่องเรียนเนติกับเพื่อนๆหรือคนที่เรียนเนติจบแล้ว..มันรู้สึกท้อ รู้สึกอาย..จะลงใหม่ก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร หรือเริ่มยังไงอีก