ศึกษาวิเคราะห์จากคำพิพากษาฎีกาที่ 1587/2555
ข้อเท็จจริง
1. เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2540 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่
4551 และบ้านเลขที่ 84 ซึ่งติดจำนองกับโจทก์ตามคำพิพากษาคดีแพ่ง
หมายเลขแดงที่ 568/2538 ปรากฏว่าจำเลยได้ซื้อบ้านเลขที่ 84
ได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2537 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 291/2536
และเมื่อจำเลยได้ซื้อบ้านเลขที่ดังกล่าวแล้วได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ศาลมีคำพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์บ้านเลขที่
84 ต่อมาวันที่ 16 พฤษภาคม 2544
จำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทได้
2. โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาว่าภาระจำนอง
สิ่งปลูกสร้างคือบ้านเลขที่ 84 บนที่ดินโฉนดเลขที่ 4551
ติดไปกับจำเลยผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด
เมื่อจำเลยรื้อไปแล้วจึงให้จำเลยชำระเงินจำนวน 488,194 บาทพร้อมดอกเบี้ยซึ่งจำเลยยื่นคำให้การขอให้ยกฟ้อง
เมื่อสืบพยานโจทก์และจำเลยเสร็จแล้วศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
3. โจทก์ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค
5 พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงินจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2544 เป็นต้นไป........
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วโจทก์และจำเลยยื่นฎีกา
4. คดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาว่า เมื่อจำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทแล้วสิทธิจำนองในบ้านพิพาทระงับไปหรือไม่
4.1 ศาลฎีกาได้พิจารณาประเด็นนี้แล้วเห็นว่า
โจทก์ได้รับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 4551พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่
84 ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินดังกล่าวไว้เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2536 ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 718 จำนองย่อมครอบไปถึงทรัพย์ทั้งปวงอันติดพันอยู่กับทรัพย์สินซึ่งจำนองและเมื่อบ้านพิพาทเป็นโรงเรือนซึ่งมีอยู่ในขณะที่จดทะเบียนจำนอง
การจำนองย่อมครอบคลุมไปถึงบ้านพิพาทด้วย
แม้จำเลยจะซื้อบ้านพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต
แต่สิทธิของจำเลยก็ได้มาภายหลังจากที่โจทก์ได้รับจำนองบ้านพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วและเหตุที่จะทำให้การจำนองระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อมีเหตุตาม
ป.พ.พ. มาตรา 744 เท่านั้น
การที่จำเลยได้รื้อถอนบ้านพิพาทไปจึงไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ในทรัพย์จำนองระงับสิ้นไปได้
การจำนองบ้านพิพาทจึงยังคงมีอยู่ไม่ระงับสิ้นไป
โจทก์จึงคงมีสิทธิจะบังคับจำนองเอาแก่บ้านพิพาทที่จำเลยซื้อได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 744 และมาตรา 702 วรรคสอง
การที่จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทภายหลังจากที่โจทก์ได้รับจำนองไว้แล้ว
แม้จะได้โดยสุจริตและได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 แต่ก็หาทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีอยู่เดิมเสียไปไม่
จำเลยจึงไม่มีสิทธิในบ้านพิพาทดีกว่าโจทก์
4.2 ศาลฎีกาได้พิจารณาต่อไปว่า
จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในหนี้จำนองที่เหลือหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า
จำเลยเป็นแต่เพียงผู้ซื้อบ้านพิพาทไปจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลมิใช่ผู้จำนองหรือคู่สัญญากับโจทก์ผู้รับจำนอง
จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในฐานะเป็นผู้จำนองต่อโจทก์
แต่การที่บ้านพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์จำนองซึ่งโจทก์มีสิทธิบังคับจำนองขายทอดตลาดบ้านพิพาทเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ก่อนตาม
ป.พ.พ. มาตรา 702 วรรคสอง จำเลยกลับรื้อบ้านพิพาทและขายให้กับบุคคลอื่นไปแม้กระทำการโดยสุจริตจำเลยต้องคืนเงินในส่วนที่เกี่ยวกับบ้านพิพาทให้แก่โจทก์
เมื่อทางนำสืบไม่ปรากฏว่าจำเลยขายบ้านพิพาทไปได้ในราคาเท่าใดแต่จำเลยซื้อบ้านพิพาทมาจากการขายทอดตลาด
300,000 บาท
จึงถือได้ว่าเป็นราคาของบ้านพิพาทที่ถูกบังคับจำนองหากไม่มีการรื้อถอนบ้านพิพาทไป
ดังนั้น จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามราคาทรัพย์ที่จำนองที่ถูกรื้อถอนไปจำนวน 300,000
บาท และเมื่อเป็นหนี้เงินที่จำเลยต้องคืนแก่โจทก์
โจทก์คงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 224 ในอัตราร้อยละ
7.5 ต่อปีนับแต่วันที่รื้อถอนบ้านพิพาท 16 พฤษภาคม 2544
หมายเหตุ
1. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 744 บัญญัติว่า อันจำนองนั้นย่อมระงับสิ้นไปเมื่อ (1) เมื่อหนี้ที่ประกันระงับสิ้นไป......(2)
เมื่อปลดจำนองให้แก่ผู้จำนอง.......(3) เมื่อผู้จำนองหลุดพ้น
(4) เมื่อถอนจำนอง (5) เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนองตามคำสั่งศาลอันเนื่องมาแต่การบังคับจำนอง......
(6) เมื่อเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองนั้นหลุด หากพิจารณาตามมาตรา 744
การรื้อถอนบ้านซึ่งจำนองนั้นย่อมไม่ทำให้จำนองระงับแน่นอน
แต่ถ้าพิจารณาตามมาตรา 703 ซึ่บัญญัติว่า อันอสังหาริมทรัพย์อาจจำนองได้ไม่ว่าประเภทใดๆ
ส่วนสังหาริมทรัพย์จะจำนองได้หรือไม่เป็นไปตามาตรา 703 วรรคสอง
บ้านพิพาทในคดีนี้ได้รื้อถอนไปแล้วย่อมไม่มีสภาพเป็นอสังหาริมทรัพย์อีกต่อไปจึงไม่มีสภาพที่จะจำนองได้อีกต่อไปหรือหากจำนองอยู่ตามสภาพจำนองน่าจะหมดสิ้นไปแล้ว
ดังนั้นแม้มาตรา 744 มิได้กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เลย
แต่เมื่อบ้านรื้อถอนไปแล้วจำนองแม้ไม่ระงับแต่น่าจะสิ้นสภาพไปโดยปริยาย
2. โดยสรุปแล้ว
ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริตย่อมได้รับการคุ้มครองตาม
ป.พ.พ. มาตรา 1330
3. ในทางปฏิบัติผู้ซื้อตามข้อ 2
ดังกล่าวข้างต้นอาจจะไม่ได้รับการคุ้มครองด้วยเหตุดังต่อไปนี้
3.1 เมื่อซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดแต่ทรัพย์นั้นติดจำนองผู้ซื้อจะไม่ได้รับการคุ้มครองตาม
มาตรา 1330 ให้พิจารณาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5218/2545
ป.พ.พ. มาตรา 702 วรรคสอง, 744, 1330
ป.วิ.พ. มาตรา 288
แม้ ด.
ซื้อที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริตและได้โอนขายให้แก่ผู้ร้องโดยสุจริต
แต่สิทธิของ ด. และผู้ร้องได้มาภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองต่อโจทก์ไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว การจำนองจึงยังคงมีอยู่ไม่ระงับสิ้นไป โจทก์มีสิทธิจะบังคับจำนองเอาแก่ที่ดินพิพาทของผู้ร้องได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 744 และมาตรา 702 วรรคสอง
การที่ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาภายหลังจากที่โจทก์ได้รับจำนองไว้แล้ว
แม้จะได้มาโดยสุจริตและได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330แต่ก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีอยู่เดิมเสียไป
ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาท
คำพิพากษาฎีกาที่ 132/2535
ป.พ.พ. มาตรา 702, 1330
ผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล
โดย สุจริตแต่ ป.พ.พ. มาตรา 1330 บัญญัติเพียงว่า
สิทธิของผู้ซื้อ ไม่เสียไป แม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลย
มิได้คุ้มครองถึงกับให้ผู้ซื้อได้สิทธิโดยปลอดจากภาระผูกพันใด ๆ หาก
โจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย การจำนองย่อมติดไปกับที่ดิน
โจทก์ มีสิทธิบังคับจำนองที่ดินพิพาทได้.
3.2 ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดนั้นไม่สุจริต
ให้พิจารณาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 1015/2527
ป.พ.พ. มาตรา 1330
ป.วิ.พ. มาตรา 86, 104
พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507,
104
ที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติซึ่งต้องห้ามมิให้ยึดถือครอบครองหากโจทก์ซื้อโดยทราบอยู่ก่อนว่าจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองทำประโยชน์
การซื้อของโจทก์ย่อมเป็นไปโดยไม่สุจริตแม้เป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโจทก์ก็ไม่ได้สิทธิในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1330นอกจากนี้ในระหว่างราษฎรด้วยกันจำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทย่อมมีสิทธิดีกว่าโจทก์การที่จำเลยแถลงรับในชั้นชี้สองสถานว่าจำเลยไม่มีน.ส.3
สำหรับที่พิพาทยังไม่เพียงพอที่ศาลจะวินิจฉัยให้จำเลยแพ้คดีคดีจึงจำต้องทำการสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปให้สิ้นกระแสความ
3.3 ถ้าทรัพย์ที่ขาดทอดตลาดเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ผู้ซื้อก็ไม่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1330 ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 112/2539
ป.พ.พ. มาตรา 525, 1304 (2),
1305, 1330
จำเลยที่1อุทิศถนนให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ทั้งหมดถนนทั้งสายจึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายทันทีที่จำเลยที่1ได้แสดงเจตนาอุทิศให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยไม่จำต้องจดทะเบียนโอนสิทธิการให้ทางโฉนดต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา525แม้ข้อความในตอนท้ายของหนังสืออุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ได้ระบุว่าจำเลยที่1จะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวณสำนักงานที่ดินต่อไปหามีผลทำให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่อุทิศยังไม่โอนไปไม่เมื่อที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินการออกโฉนดสำหรับที่ดินพิพาทหลังจากที่ดินพิพาทตกเป็นทางสาธารณประโยชน์เป็นการมิชอบดังนั้นจำเลยที่2ซึ่งซื้อที่ดินพิพาทมาตามโฉนดที่ออกโดยมิชอบแม้จะซื้อขายจากการขายทอดตลาดของศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1330ก็ตามจำเลยที่2ไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา1330จำเลยที่2จึง ไม่ได้
กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทและไม่มีอำนาจโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่3จำเลยที่3ผู้รับโอนไว้ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์เช่นเดียวกันในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1305
คำพิพากษาฎีกาที่ 2622/2522
ป.พ.พ. มาตรา 1304, 1305, 1330
ป.วิ.พ. มาตรา 55
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330
ที่บัญญัติถึงสิทธิของบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลหรือคำสั่งเจ้าพนักงานรักษาทรัพย์ในคดีล้มละลายนั้น
ใช้บังคับเฉพาะทรัพย์สินที่มิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน
โจทก์ซื้อส่วนหนึ่งของที่ดินของนิคมสร้างตนเองอันเป็น
สาธารณสมบัติของแผ่นดินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล
ซึ่งโจทก์นำยึดโดยอ้างว่าเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแม้โจทก์จะซื้อมาโดยสุจริต
โจทก์ผู้รับโอนมาก็ไม่มีสิทธิในที่ดินนั้นเพราะ
การโอนมิได้อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายหรือพระราชกฤษฎีกา
ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1305 จำเลย
ครอบครองที่ดินดังกล่าวอยู่ก่อน ย่อมมีสิทธิดีกว่าโจทก์ โจทก์
ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
3.4 หากการขายทอดตลาดมิชอบและถูกเพิกถอนในภายหลัง
ผู้ซื้อทรัพย์ตามมาตรา 1330 ก็ไม่ได้รับการคุ้มครอง
ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 26/2537
ป.พ.พ. มาตรา 1330
ป.วิ.พ. มาตรา 288, 296 วรรคสอง
ที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องไม่ใช่ของจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษา
การบังคับคดีจึงฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ลักษณะ 2
ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง
เมื่อการบังคับคดียังไม่เสร็จสิ้นลงเพราะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายังไม่ได้รับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดไป
ผู้ร้องในฐานะผู้มีส่วนได้เสียซึ่งต้องเสียหายในการบังคับคดีย่อมมีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการบังคับคดีนั้นได้
แต่ต้องไม่ช้ากว่า 8 วันนับแต่ทราบการฝ่าฝืนนั้น
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง
เมื่อศาลสั่งเพิกถอนการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ย่อมส่งผลให้การขายทอดตลาดสิ้นไป
ฉะนั้น แม้ผู้ซื้อทรัพย์จะได้ซื้อที่ดินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดก็ตาม ผู้ซื้อทรัพย์ก็ไม่มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1330
คำพิพากษาฎีกาที่ 5256/2537
ป.พ.พ. มาตรา 456, 1300, 1330
ป.วิ.พ. มาตรา 296
ป. ประมูลซื้อทรัพย์พิพาท คือ
ที่ดินพร้อมตึกแถวได้จากการขายทอดตลาดในการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาล
จำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและขณะที่คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล
ป. ได้โอนขายทรัพย์พิพาทให้ผู้ร้องโดยผู้ร้องได้รับโอนโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริต
ต่อมาศาลพิพากษาให้เพิกถอนการขายทอดตลาดต้องถือเสมือนว่าไม่มีการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทและไม่มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทให้แก่
ป. และผู้ร้อง แม้ ป. เองก็ยังไม่ได้รับความคุ้มครอง
เพราะกรณีไม่ต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1330 ผู้ร้องไม่อาจอ้างว่าผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกได้ซื้อทรัพย์พิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริตคำพิพากษาที่เพิกถอนการขายทอดตลาดไม่ผูกพันผู้ร้องได้
เมื่อ ป.ผู้โอนไม่มีสิทธิในทรัพย์สินพิพาทแล้ว ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
และอีกประการหนึ่งการที่มีการโอนทรัพย์พิพาทดังกล่าว
ก็เป็นการโอนทรัพย์พิพาทไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 แต่การเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทเป็นเรื่องการเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา
296 วรรคสอง
ซึ่งเป็นกรณีอีกเรื่องหนึ่งหาเกี่ยวข้องกันไม่ผู้ร้องจึงไม่ได้รับความคุ้มครอง
คำพิพากษาฎีกาที่ 8223/2542
ป.พ.พ. มาตรา 1330
ป.วิ.พ. มาตรา 27, 296 วรรคสอง
ป.วิ.อ. มาตรา 15
การที่ผู้ประกันนำที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์ของผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมาเป็นหลักประกันในการประกันตัวจำเลยนั้น
เป็นการไม่ชอบ เมื่อผู้ประกันผิดสัญญาประกันไม่ชำระค่าปรับ
พนักงานอัยการนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดไม่ได้ ฉะนั้น
การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดที่ดินรายนี้จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ภาค 4 ลักษณะ 2 ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง
ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ไม่ชอบนั้นเสียได้เพื่อให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามที่เห็นสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 27 และ 296 วรรคสอง
ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
การขายทอดตลาดที่เป็นการบังคับคดีที่ฝ่าฝืนกฎหมายทำให้ผู้ซื้อทรัพย์ไม่มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1330ทั้งผู้ประกันก็มิใช่ผู้ซื้อทรัพย์
จึงไม่อาจอ้างบทบัญญัติดังกล่าวมาคุ้มครองผู้ประกันได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 5746/2544
ป.พ.พ. มาตรา 703, 705, 1330
ป.วิ.พ. มาตรา 296
คำพิพากษาของศาลที่ให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดิน
น.ส.3 ก. ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายให้แก่ ว.
ต้องถือเสมือนว่าไม่มีการขายทอดตลาด
และไม่มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนสิทธิครอบครองให้แก่ ว. ทั้ง ว.
ไม่ได้รับความคุ้มครองเพราะมิใช่กรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330
ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองที่ดินดังกล่าวในระหว่างการพิจารณาคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด
จึงไม่อาจอ้างว่าผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกซึ่งรับจำนองและจดทะเบียนโดยสุจริตและไม่อาจอ้างว่าคำพิพากษาที่ให้เพิกถอนการขายทอดตลาดไม่ผูกพันผู้ร้องได้
เมื่อ ว. ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดิน จึงไม่ใช่เจ้าของที่ดินและไม่อาจนำมาจดทะเบียนจำนองแก่ผู้ร้องได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 705 ทั้งการจดทะเบียนจำนองเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา
702 แต่การเพิกถอนการขายทอดตลาดเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตา 296 วรรคสอง (เดิม)เป็นคนละกรณีไม่เกี่ยวข้องกัน
ผู้ร้องจึงไม่ได้รับความคุ้มครอง จึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะปฏิเสธไม่ส่งมอบต้นฉบับ
น.ส.3 ก ตามคำสั่งศาลชั้นต้น
4. มีคำพิพากษาฎีกาปี 2553 ที่ได้กล่าวถึงผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา
1330 ที่น่าสนใจดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 591/2553
ป.พ.พ. มาตรา 1330
ป.วิ.พ. มาตรา 249, 288, 308
แม้จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมาก่อน
ป. ซื้อที่ดินพิพาทและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาว่า
จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทในคดีที่ ป.
เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาทตามคดีแพ่งของศาลชั้นต้นก็ตามแต่เมื่อปรากฏว่าก่อนหน้านั้น
ป. นำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองแก่ ก. ในปี 2530 และถูก ก.
ฟ้องบังคับจำนองที่ดินพิพาทต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 18
เมษายน 2531 แต่ ป.
ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม ก. จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาด
และโจทก์เป็นผู้ซื้อทอดตลาดที่ดินพิพาทได้ก็ต้องถือว่า ก.
ยึดสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจาก ป.
แล้วหากจำเลยเป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
จำเลยก็ต้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทในคดีที่ ก.
เป็นโจทก์ฟ้องบังคับจำนองแก่ ป. ก่อนเอาที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดตาม ป.วิ.พ. มาตรา
288 วรรคหนึ่ง
เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทและศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ขายแล้ว
แม้ ป. ไม่ได้เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมมีอำนาจนำที่ดินออกขายทอดตลาดได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 308
เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีนำที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดและโจทก์เป็นผู้ซื้อทอดตลาดที่ดินพิพาทได้
โจทก์จึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจากการซื้อทอดตลาด
สิทธิของโจทก์ผู้ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลจึงมิเสียไป
ถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าที่ดินพิพาทนั้นมิใช่ของ ป. ลูกหนี้ตามคำพิพากษาตาม
ป.พ.พ. มาตรา 1330 อันเป็นข้อยกเว้นหลักกฎหมายที่ว่า “ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน”
เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย
การที่จำเลยปลูกห้องแถว 5 ห้อง
รุกล้ำเข้าไปในที่ดินพิพาทย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์และทำให้โจทก์เสียหาย
จำเลยจึงต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
แต่จำเลยมิได้ยกข้อโต้แย้งเกี่ยวกับจำนวนค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดให้จำเลยใช้แก่โจทก์ขึ้นอ้างไว้โดยชัดแจ้งในฎีกา
ฎีกาของจำเลยในส่วนค่าเสียหายจึงไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
และเมื่อจำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีบังคับคดีรื้อถอนห้องแถว
5 ห้อง ของจำเลยออกจากที่ดินพิพาทตามคำพิพากษา
การกระทำของโจทก์จึงไม่เป็นละเมิดต่อจำเลย
โจทก์จึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9785/2553
ป.พ.พ. มาตรา 1312, 1330
บ้านเลขที่ 6/1 ตั้งอยู่บนที่ดินซึ่งเป็นของเจ้าของคนเดียวกันคือจำเลยต่อมาเมื่อมีการแบ่งแยกขายที่ดินเฉพาะโฉนดเลขที่
13742 จึงมีโรงเรือนบางส่วนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ผู้ซื้อ
การที่จำเลยปลูกสร้างบ้านลงบนที่ดินพิพาทและบนที่ดินของจำเลยอีกแปลงที่อยู่ติดต่อกันโดยจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินทั้งสองแปลงจำเลยมีสิทธิปลูกสร้างได้ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์
ซึ่งมิใช่การปลูกโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา
1312 เมื่อต่อมาที่ดินพิพาทถูกบังคับนำออกขายทอดตลาด
กรณีย่อมต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1330 โจทก์
ผู้ซื้อที่ดินได้จากการขายทอดตลาด
อันเป็นที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาจึงถือว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริต
ส่วนบ้านและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนที่ดินพิพาทจะมีหรือไม่
หรือโจทก์จะรู้หรือไม่ว่ามีบ้านและสิ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินพิพาทก็ไม่ทำให้โจทก์มิใช่ผู้ซื้อโดยสุจริต
กรณีหาจำต้องให้ผู้เข้าประมูลซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดต้องตรวจสอบว่าที่ดินพิพาทที่ถูกนำออกขายทอดตลาดมีสภาพหรือภาระอย่างไร
เมื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อทรัพย์ที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดโดยสุจริต
สิทธิของโจทก์ที่ได้ที่ดินจากการขายทอดตลาดย่อมไม่เสียไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330
โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท และเมื่อโจทก์ไม่แสดงให้ปรากฏว่าได้ก่อให้เกิดสิทธิเหนือพื้นที่ดินเป็นคุณแก่จำเลย
โดยยอมให้จำเลยเป็นเจ้าของบ้านบนที่ดินของโจทก์ต่อไป
โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ผู้ไม่ประสงค์จะให้จำเลยปลูกบ้านและสิ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินโจทก์อีกต่อไป
แต่จำเลยเพิกเฉย จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์จึงมีสิทธิขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13846/2553
ป.พ.พ. มาตรา 1330
ธนาคาร ก. เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ย่อมได้รับความคุ้มครองสิทธิมิให้เสียไป แม้ที่ดินพิพาทมิใช่ของจำเลยหรือลูกหนี้โดยคำพิพากษา ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากธนาคาร ก. อีกทอดหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นผู้สืบสิทธิที่ได้รับความคุ้มครองสิทธิที่มีอยู่ตามมาตรา 1330 เช่นเดียวกัน แม้โจทก์ทั้งสองจะมิใช่ผู้ซื้อที่ดินดังกล่าวจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยตรง หรือโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินดังกล่าวโดยทราบมาก่อนว่าจำเลยปลูกบ้านและสิ่งปลูกสร้างอื่นในที่ดินพิพาทเป็นเวลานานแล้ว หรือการที่จำเลยครอบครองทำประโยชน์ปลูกบ้านและสิ่งปลูกสร้างอื่นอย่างถาวรในที่ดินพิพาทมาเป็นเวลาเกินกว่า 20 ปี แล้วโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน และมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เป็นหลักฐาน ก็ไม่อาจยกสิทธิดังกล่าวขึ้นใช้ยันสิทธิของโจทก์ทั้งสองได้ และเมื่อโจทก์ทั้งสองบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างอื่นกับให้ออกไปจากที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยยังคงเพิกเฉย โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทได้
...ระยะเวลาการศึกษาชั้นเนติบัณฑิตภาค 1/66 ผ่านพ้นไป 1 เดือนกว่าแล้วและกำลังผ่านพ้นไปเรื่อยๆ...
สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆทุกท่าน ที่กำลังศึกษาชั้นเนติบัณฑิต ซึ่งกำลังทำงานและไม่มีเวลาเข้าเรียน , ไม่ได้ลงทะเบียนมาเป็นเวลานาน อย่าเพิ่งรีบท้อถอย ครับ เพราะกว่าเราจะเรียนจบชั้นนิติศาสตร์ได้ใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน การเรียนเนติบัณฑิตสมัยปัจจุบันค่อนข้างยากพอสมควร หรือสำหรับน้องๆบางท่านที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดวึ่งยังไม่มีแนวทางในการเรียน หรือยังไม่สามารถรับสื่อ หนังสือ หรือเอกสาร ซึ่งบางท่านมีความตั้งใจแต่ขาดโอกาส และวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับท่านที่ยังอยากเรียนจบ แต่ไม่มีเวลา กำลังทำงาน หรือไม่ได้สอบมานาน ขอแนะนำ, รวบรวมข้อมูล สำหรับการเริ่มต้นใหม่ ...
รวมคำบรรยายเนติฯ (ภาคปกติ /ภาคค่ำ/ภาคทบทวนวันอาทิตย์) ภาค 1/65 และ 2/65
- กลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา (ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์)
พร้อมเอกสาร สรุปคำบรรยายเนติฯ 1/65 + เอกสารประกอบคำบรรยาย1/65 + บทบรรณาธิการ 1/63, 1/64 และ 1/65 + ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา (สมัยที่ 56-64) พร้อม เคล็ดลับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเนติฯ + ระเบียบการเรียนเนติฯ +เทคนิคและแนวการเขียนข้อสอบ, การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่วยฯ/อัยการ
ราคา 380.00 บาท (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี) ฟรี ! สมุดบันทึก
- กลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา (ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์)
พร้อมเอกสาร สรุปคำบรรยายเนติฯ 2/65 + เอกสารประกอบคำบรรยาย 2/65 + บทบรรณาธิการ 2/63, 2/64 และ 2/65 + ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา (สมัยที่ 56-64) พร้อม เคล็ดลับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเนติฯ + ระเบียบการเรียนเนติฯ +เทคนิคและแนวการเขียนข้อสอบ, การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่วยฯ/อัยการ
ราคา 380.00 บาท (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี) ฟรี ! สมุดบันทึก
Ø หมายเหตุ : สั่งซื้อทั้ง 2 ภาค ราคาพิเศษ 700 บาท (ส่ง EMS ให้ฟรี) ฟรี !!! สมุดบันทึก + CD แบบร่างสัญญามากกว่า 400 แบบ (file word) + แบบฟอร์มศาล, แบบฟอร์มเอกสารงานบุคคล,เอกสารงานบัญชีและภาษี
สนใจติดต่อ ตุ้ย มือถือ 085-801-0725, E-mail : siripit...@gmail.com
ไม่เก่ง..แต่พยายาม เจ๋ง ! กว่า เก่ง....แต่ขี้เกียจ
ขอให้โชคดีและประสบความสำเร็จกันทุกคนนะคับ....