หากเอกสารสรุปคำบรรยายนี้ มีข้อผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้า kankokub ขออภัยและน้อมรับแต่เพียงผู้เดียว หากจะมีประโยชน์อยู่บ้างขอมอบให้แก่ ท่านอาจารย์สุวัฒน์ วรรธนะหทัย ผู้บรรยาย , บิดามารดาข้าพเจ้า ขอบคุณ. http://www.muansuen.com และคุณ admin ที่นำ flie เสียงมาลงแบ่งปันให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
สรุปคำบรรยาย สัปดาห์ที่ 3 ชั่วโมงที่ 3 อังคาร 08/12/52
เรามาดูอีกประเทศคือฟ้องขับไล่ที่ต้องฟ้องอีกประเภทที่ไม่ใช่ศาลแขวง เพราะฉะนั้นฟ้องขับไล่จะต้องฟ้องที่ทรัพย์นั้นตั้งอยู่ คือศาลจังหวัด คราวนี้เรามาพูดถึงการเสนอคำฟ้อง ในการฟ้องคดีมโนสาเร่ทำได้สองวิธี 1 ทำเป็นหนังสือคือมีทนายความมา ก็ต้องเน้นตาม 172 และ 191 วรรคสอง คือศาลมีส่วนเข้าไปช่วยเหลือคู่ความตั้งแต่เริ่มคดีเพื่อให้คดีดำเนินได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ตัดอำนาจศาลที่สั่งตามมาตรา 18 วรรค 2 เป็นเรื่องศาลอ่านไม่ออก อ่านไม่เข้าใจ หรือ อ่านไม่เข้าใจ ศาลก็สั่งให้แก้คำฟ้องหรือให้ไปทำมาใหม่ได้ ศาลใช้ได้ทั้งสองอำนาจ อันนี้คืออำนาจตามคดีศาลแขวง หรือใช้ตามมาตรา 18 วรรคสอง อาจไม่เข้าใจเลย เขียนฟุ้มเฟือย อันนี้เป็นเรื่องศาลสั่งโดยศาลไม่ต้องสั่งว่าเพราะอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่คู่ความต้องคิดดูศาลจะไม่บอกว่าทำผิดอย่างไร อันนี้ก็เป็นเรื่องที่คู่ความไม่ฉลาดก็อาจจะไม่เข้าใจ
ทางปฏิบัติศาลก็จะให้นิติกรศาลรับเรื่องและสรุปข้อหา ในแบบ ม.1 อันนี้คือการฟ้องด้วย วาจา ถ้าเป็นพนักงานศาล ก็จะต้องรู้ในข้อหาที่ต้องการ
อีกข้อหนึ่งคือการเสียค่าขึ้นศาลอันนี้ก็เป็นเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลง 190 จัตวาวรรคหนึ่ง คือเสียตามตารางท้ายแต่ไม่เกินหนึ่งพันบาท
มาดูมาตรา 190 จัตวาวรรคสอง ก็คืออัตราร้อยละสองส่วนคดีไม่มีทุนทรัพย์ เสียสองร้อยทุกชั้นศาล คือต้องการให้ดำเนินคดีให้จบในชั้นต้น หากไปขึ้นศาลสูงก็ไม่ได้รับสิทธิ
อันนี้ก็เป็นตัวอย่างง่ายๆ เมื่อศาลชั้นต้นรับคำฟ้องแล้วสั่งให้ดำเนินคดีอย่างคดีมโนสาเร่ไปแล้ว ก็ต้องจดแจ้งจำเลย
ก็บอกรายละเอียดว่าจำเลยต้องทำการใดบ้าง ตามมาตรา 198 ทวิ นำมาบังคับใช้โดยอนุโลม ต่อมาในกระบวนพิจารณาคดีมโนสาเร่ข้อที่ 4 คือคดีที่ฟ้องแล้วไม่ใช่คดีมโนสาเร่ ก็แยกสองกรณีคือไม่ใช่คดีมโนสาเร่มาตั้งแต่ต้น แล้วมาเสนอคำฟ้อง แล้วศาลเห็น ศาลก็สั่งให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือ แต่ถ้าทำเป็นหนังสืออยู่แล้วก็จะดำเนินคดีสามัญ
กรณีที่สองคือปรากฏข้อเท็จจริงภายหลัง ที่ศาลชั้นต้นรับฟ้องแล้ว มีเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่เป็นคดีมโนสาเร่ เช่นมีการแก้ฟ้องตามมาตรา 192 วรรคสอง ทำให้จำนวนทุนทรัพย์มันมากขึ้น หรือคดีที่เพิ่มคำขอไม่มีทุนทรัพย์ขึ้นมา ก็มีปัญหาคิดเล่นๆว่าศาลให้แก้ฟ้องเป็นศาลแขวงอยู่ หรือเกินอำนาจศาลแขวงนี้ ศาลจะสั่งไม่รับคำแก้ไขคำฟ้องได้หรือไม่ ตามมาตรา 178 ก็ต้องพิจารณาว่าหลักในการพิจารณาให้อนุญาตแก้ฟ้องหรือไม่อยู่แล้ว อันนี้คือหลักเกณฑ์แม้การแก้ฟ้องมโนสาเร่ศาลก็ต้องนำหลักเกณฑ์นี้มาใช้เหมือนกัน ก็ต้องไปดู
ตัวอย่างที่ คดีมโนสาเร่ต้องนำบทบัญญัติในการแก้ไขคำให้การว่าต้องนำบท คดีสามัญมาใช้
ฎ.2444/2542
แม้ศาลชั้นต้นจะดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นคดีมโนสาเร่และยังไม่เปลี่ยนแปลงคำสั่งขณะจำเลยยื่นคำร้องแต่จำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือไว้แล้วก่อนหน้านั้นเมื่อไม่มีบทบัญญัติกฎหมายกำหนดโดยเฉพาะในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ลักษณะ 2 หมวดที่ 1ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่ จึงต้องนำบทบัญญัติในคดีสามัญมาใช้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 195 คือการแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 179(3),180 เมื่อคำร้องขอแก้ไข เพิ่มเติมคำให้การของจำเลยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ แห่งกฎหมายดังกล่าว โดยยื่นในวันเดียวกันกับวันสืบพยานโจทก์ทั้งไม่ปรากฏเหตุที่ไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อน หรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือผิดหลงเล็กน้อย คำสั่ง ศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตและยกคำร้องจึงชอบแล้ว
อันนี้ก็เป็นเรื่องยืนยันว่าการแก้ไขคำให้การมันก็ใช้กับการแก้ไขคำฟ้องเหมือนกันก็นำบทคดีสามัญมาใช้เหมือนกัน
อีกกรณีหนึ่งกรณีที่มันมีการเกิดว่าเป็นคดีที่ไม่เป็นคดีมโนสาเร่ภายหลัง คือเช่นมีการฟ้องแย้งเป็นคดีสามัญ
กรณีตามข้อ 2 หรือ 3 มาตรา 192 วรรค 4 คือให้สั่งอย่างคดีสามัญได้ คือว่ามีการสั่งให้พิจารณาอย่างคดีสามัญ เมื่อมีการรวมพิจารณาหรือรับคำฟ้องแย้งทำให้คดีนั้นไม่เป็นคดีมโนสาเร่ อย่างไรก็ตามมีข้อที่ศาลให้ยกเว้นไว้อีกว่า ถ้าศาลดังกล่าวพิจารณาอย่างคดีมีทุนทรัพย์
ถ้าพิจารณาถึงจำนวนทุนทรัพย์ลักษณะของคดี อันนี้ 192 วรรคท้าย คำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งวรรคสี่ไม่กระทบถึงค่าขึ้นศาล คือไม่ว่าจะสั่งอย่างคดีสามัญหรือคดีมโนสาเร่ ก็ไม่กระทบถึงการเสียค่าขึ้นศาลที่ได้เสียไป
กระบวนพิจารณาอันดับที่ 5 คือ วันนัดพิจารณาศาลต้องดำเนินการสามขั้นตอน
1.ไกล่เกลี่ย
2.สอบคำให้การจำเลย
หลักการของการไกล่เกลี่ยคือไม่เอาข้อตกลงที่ตกลงกันไม่ได้มารับฟัง
กรณีที่ยื่นคำให้การเป็นหนังสือในคดีมโนสาเร่ไม่มีกฎหมายบัญญัติก็ต้องไปใช้ในคดีสามัญ
3370/2541
แม้คดีนี้ศาลชั้นต้นรับฟ้องอย่างคดีมโนสาเร่ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 193 วรรคสอง บัญญัติให้จำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือ หรือจะให้การด้วยวาจาได้ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือ กรณีจึงต้องอยู่ในบังคับมาตรา 177 วรรคสอง ประกอบมาตรา 195 โดยจำเลย ต้องแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธ ข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการ ปฏิเสธนั้นด้วย แม้จำเลยไม่จำต้องอ้างตัวบทกฎหมายว่า ขาดอายุความตามมาตราใดก็ตาม แต่จำเลยก็ต้องให้การโดย แสดงเหตุแห่งการขาดอายุความให้ปรากฏจำเลยจึงต้องบรรยาย ด้วยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเมื่อใด นับแต่วันใดถึงวันฟ้อง การที่จำเลยให้การเพียงว่า คดีโจทก์ขาดอายุความโดยมิได้ กล่าวถึงเหตุแห่งการขาดอายุความให้ปรากฏ คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะคดีโจทก์ขาดอายุความการที่โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอายุความโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า คดีไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ และการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเป็นการไม่ชอบ ประกอบกับพยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว ศาลฎีกา จึงเห็นสมควรพิจารณาพิพากษาคดีไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
4156/2543
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 196 วรรคสองประกอบมาตรา 193 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสามและวรรคสี่เดิมกรณีที่จะถือว่าจำเลยในคดีไม่มีข้อยุ่งยากขาดนัดยื่นคำให้การ คือกรณีที่จำเลยมาศาลตามวันที่กำหนดในหมายเรียกแต่ไม่ยอมให้การโดยศาลไม่ต้องมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแต่ประการใดแต่คดีนี้ในวันนัดแก้ข้อหาและนัดสืบพยานโจทก์ดังกล่าว ทนายจำเลยได้มอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดี และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนคดีแล้วถือได้ว่าเป็นการเลื่อนทั้งคดีซึ่งหมายถึงการให้การแก้ข้อหาและสืบพยานโจทก์ด้วย มิใช่กรณีที่จำเลยมาศาลแต่ไม่ยอมให้การ และศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่ยอมให้เลื่อนเวลาให้จำเลยยื่นคำให้การและดำเนินการพิจารณาต่อไปตามที่กฎหมายกำหนดแต่ประการใด ศาลชั้นต้นจึงควรกำหนดวันนัดให้จำเลยแก้ข้อหาใหม่การที่ศาลชั้นต้นด่วนมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ จำเลยจึงไม่จำต้องยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การแต่อย่างใดแม้การที่จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การและศาลชั้นต้นทำการไต่สวนและมีคำสั่งยกคำร้องก็ตาม ก็หามีผลให้คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การกลับเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายไม่
สรุปคำบรรยาย สัปดาห์ที่ 4 ชั่วโมงที่ 4 อังคาร 15/12/52
ชั่วโมงนี้ก็เป็นชั่วโมงที่สี่ ก็พูดเรื่องคดีมโนสาเร่คงจะจบในชั่วโมงนี้ แล้วชั่วโมงต่อไปก็จะพูดเรื่องขาดนัด
การนัดพิจารณาก็เป็นไปตามลำดับถ้าไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จก็ สอบคำให้การจำเลย มันก็ไปติดพันในการสืบพยาน กระบวนการทั้งหมดมันอยู่ในวันนัดพิจารณา กระบวนการต่างๆ ถ้าผ่านการไกล่เกลี่ยแล้วสอบพยานไม่ได้ ก็อาจเลื่อนไปวันอื่นที่ไม่ใช่วันพิจารณาก็ได้ อันนี้คือขั้นตอนในการพิจารณา
คราวนี้เรามาดูขั้นตอนในการพิจารณาคดีขาดนัดในคดีมโนสาเร่ อยู่ในมาตรา 193 วรรค 4 และ 193 ทวิ วรรค สอง
กรณีตามมาตรา 193 วรรคสี่ บอกว่าถ้าจำเลยไม่ให้การตามวรรคสามให้ศาลใช้อำนาจ เลื่อน ได้
ก็เป็นเรื่องที่ว่ากรณีขาดนัดยื่นคำให้การ คือจำเลยมาศาลแล้วไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ จำเลยไม่ยอมให้การ แล้วจำเลยขอเลื่อน
กรณี 193 ทวิวรรคสอง กรณีขาดนัดยื่นคำให้การ
อันนี้ก็ต้องนึกออกว่าวันนัดพิจารณาจำเลยได้รับหมายเรียกให้มาศาลแล้วไม่มา อย่างนี้กรณีก็ไม่ถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ แต่พอวันนัดพิจารณาไม่มา ก็ต้องไปพิจารณาในเรื่องขาดนัดพิจารณา เพราะเดียวนี้ มีการปรับให้เหมือนกับคดีสามัญแล้ว กระบวนการต่อมาอย่างนั้นเหมือนกันแล้ว มาตรา 198 ทวิมาใช้อนุโลม
ยกเว้นกรณีเดียวคือกรณีที่โจทก์ไม่มาศาลในวันพิจารณาโดยให้ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ดำเนินคดีต่อไปจึงนำ 198 ทวิ วรรคท้ายมาใช้ไมได้ อันนี้ก็ถ้าเราเรียนบทบัญญัติเรื่องขาดนัดมันจะแตกต่างกันเพราะคดีมโนสาเร่ถือวันพิจารณาสำคัญ มันต่างจากคดีสามัญที่ถือวันสืบพยานโจทก์นัดแรกเป็นสำคัญ
ข้อสังเกตเรื่องการขาดนัดยื่นคำให้การทั้งสองกรณี ก็หมายถึงพอจำเลยได้รับหมายเรียกปุ๊ป ก็มีสิทธิยื่นคำให้การเป็นหนังสือ จนกว่าศาลจะมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ก็หมายความว่าต้องผ่านกระบวนการสอบ เป้นกระบวนการที่สอง กระบวนการที่หนึ่งคือไกล่เกลี่ย ผลมันจะมี ทางกฎหมายคือ ถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ อย่างนี้จะเข้าหลักเกณฑ์จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ในกรณีของการขาดนัดพิจารณาในคดีมโนสาเร่ กรณีที่โจทก์ขาดนัดคือ 193 วรรคหนึ่ง คือโจทก์ไม่มาศาลในวันพิจารณา
ฎ.5089/2550 - ค้นไม่พบ
ก็คือศาลชั้นต้นสั่งตามมาตรา 193 วรรคหนึ่งจำเลยก็อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฏีกา จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงว่า คดีมโนสาเร่ต่างจากคดีสามัญ
อันนี้ก็ต้องสังเกตไว้ ข้อสอบมันมีสิทธิออกได้ทุกเมื่อ เพราะบางทีเราไม่ดูคดีมโนสาเร่จนอาจจะประมาท
มาตรา 193 ทวิ วรรคสอง คือจำเลยขาดนัดพิจารณาคือจำเลยได้หมายเรียกให้มาศาลให้บังคับตามมาตรา 204 -207 อันนี้ก็เห็นได้ว่าถ้าจำเลยยื่นคำให้การไปแล้วก็เป็นเรื่องของการขาดนัดพิจารณา อันนี้ก็ต้องไปดูในเรื่องการมอบฉันทะเรื่องการมอบอำนาจให้มาศาล หรือยัง นอกจากนี้ในดคีมโนสาเร่หากมีการเลื่อนการสืบพยาน นัดต่อมาคู่ความไม่มาก็ถือว่าขาดนัดพิจารณา อาจจะไม่ใช่เรื่องการขาดนัดแล้ว
ขอให้สังเกตการณ์เลื่อนการสืบพยานคดีมโนสาเร่
การสืบพยานคดีมโนสาเร่
มาตรา 193 ตรี – เบญจ ในปี 2551 มีการแก้ไข บทบัญญัติ ในการขาดนัดให้สอดคล้องคดีแพ่งสามัญ
1. อาจสืบพยานได้โดยไม่ต้องยื่นบัญขีระบุพยาน เว้นแต่ศาลจะสั่งให้ยื่น
2. ศาลมีอำนาจกำหนดหน้าที่สืบพยานก่อนหลังได้
คดีมโนสาเร่ต้องรวดเร็วและรวบรัด ถ้าเกิดพยานหลักฐานมันมี ก็ไม่สมควรให้มันรวบรัด อย่างคดีสามัญ อันนี้ศาลก็มีการชี้สองสถานได้
คดีมโนสาเร่ส่วนใหญ่ประเด็นน้อย
529/2502 - ค้นไม่พบ
การอุทธรณ์ฏีกาก็ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับคดีสามัญ สิทธิการบังคับคดี กฏหมายบัญญัติไว้ว่าไม่ให้เวลาในการบังคับเกินสิบห้าวัน
ต่อไปคือคดีไม่มีข้อยุ่งยากมาตรา 196 คือฟ้องให้ชำระเงินจำนวนแน่นอน
อีกข้อหนึ่งคือคดีสามัญที่โจทก์ฟ้องให้บังคับเงินจำนวนแน่นอน สัญญาเป็นหนังสือหมายความว่ามีคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเซ็นชื่อ และกฎหมายไม่บังคับให้เป็นหนังสือ แต่เหมือนสัญญาต่างตอบแทนที่คู่สัญญาทำอย่างไรก็ได้
วิธีการดำเนินก็ทำได้สองคดี กระบวนการทั้งหลายก็ต้องอาศัยคดีว่าต้องทำให้ได้ด้วย แม้จะสั่งให้ดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อพิพาท ก็ต้องทำอย่างเป็นธรรรม ไม่ใช่ต้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีสามัญ
917/2509 - ค้นไม่พบ