กำหนดเวลาเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา 27 วรรคสอง ที่จะต้องยื่นก่อนศาลมีคำพิพากษานั้นใช้เฉพาะกรณีที่คู่ความฝ่ายที่เสียหายทราบข้อผิดระเบียบก่อนศาลมีคำพิพากษาแล้วเท่านั้น
กรณีทราบข้อผิดระเบียบภายหลังศาลพิพากษาแล้ว ก็มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบหลังศาลมีคำพิพากษาได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น (ฎ. 5876/45, 7991/44, 3476/38)
***ฎ. 5186/48 กรณีมาตรา 27 วรรคสอง ที่กำหนดให้คู่ความฝ่ายที่เสียหายยกข้อคัดค้านเรื่องผิดระเบียบขึ้นกล่าวได้ไม่ว่าเวลาใดๆก่อนมีคำพิพากษา แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่ได้รับทราบข้อความ... ซึ่งระยะเวลาดังกล่าว ใช้บังคับแก่การยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบทุกกรณี ไม่ว่าจะอยู่ในระหว่างพิจารณา หรือหลังจากศาลพิพากษา หาใช่ใช้บังคับเฉพาะกรณีก่อนศาลมีคำพิพากษาเท่านั้น
ข้อสังเกต มาตรา 27 วรรคสอง เป็นข้อจำกัดอำนาจของคู่ความที่ต้องขอเพิกถอนข้อผิดระเบียบภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น แต่กรณีที่ศาลเห็นสมควรให้เพิกถอนข้อผิดระเบียบนั้นเสียเอง ไม่มีกำหนดเวลาจำกัดไว้ ดังนั้นศาลจึงมีอำนาเพิกถอนเมื่อใดก็ได้ แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาแล้ว ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา เห็นสมควรก็มีอำนาเพิกถอนได้ (ฎ.615/24)
กรณีการร้องขอให้เพิกถอนต้องประกอบไปด้วย 1. เมื่อศาลเห็นสมควร และ 2. คู่ความฝ่ายที่เสียหายร้องขอ
ฎ. 5188/48 การที่ศาลชั้นต้นไม่แจ้งวันนัดฟังประเด็นกลับให้จำเลยที่ 2 ทราบ เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ แต่เมื่อได้ความว่าไม่มีการสืบพยานประเด็นโจทก์ การที่จำเลยที่ 2 ฟังประเด็นกลับหรือไม่ ไม่เป็นผลเสียแก่จำเลยที่ 2 เพราะหลังจากนั้นศาลชั้นต้นได้แจ้งวันนัดสืบพยานจำเลยที่ 2 ทราบอีก จำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่คู่ความที่เสียหายอันจะยกการพิจารณาที่ผิดระเบียบขึ้นว่ากล่าวได้ตาม มาตรา 27 วรรคสอง
หลักกฎหมายตามแนวคำพิพากษาฎีกา
- ผู้ที่ไม่ได้เป็นทนายความหรือทนายความที่ขาดต่อใบอนุญาต ผู้นั้นย่อมไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณา กรณีเช่นนี้ ถือว่าเป็นกรณีที่มิได้ปฎิบัติตาม ป.วิ.พ. ในข้อที่ยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามมาตรา 27 ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลไม่อาจสั่งให้แก้ไขได้ ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ (ฎ. 1049/38, 2904/37)
- เมื่อมีการเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบแล้ว กระบวนพิจารณาต้องเริ่มต้นใหม่ จึงต้องให้จำเลยยื่นใบแต่งทนายความและคำให้การใหม่ แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป จะถือว่าคำให้การจำเลยที่ยื่นไว้แต่เดิมไม่ชอบ และถือว่าจำเลยขาดนัดขาดนัดยื่นคำให้การไม่ได้
ข้อสังเกต การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา 27 นี้ มีอยู่หลายกรณีด้วยกัน บางกรณีไม่ใช่เรื่องร้ายแรงนัก ศาลก็อาจสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องได้ บางกรณีเป็นเรื่องสำคัญ เช่นกรณีผู้ที่ไม่ได้เป็นทนายความ หรือขาดต่อใบอนุญาตทนายความเข้ามาดำเนินคดีในฐานะทนายความ ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นกรณีไม่ได้ปฎิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม (ฎ. 2908-9/37) ไม่อาจแก้ไขข้อบกพร่องได้ จึงต้องเพิกถอนการะบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น ดังนั้นแม้ภายหลังจะได้รับอนุญาตให้เป็นทนายความ ก็ไม่ทำให้กระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นกลับเป็นถูกกฎหมายขึ้นมาได้ ต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
การเพิกถอนข้อผิดระเบียบตามมาตรา 27 ต้องเป็นการเพิกถอนการพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ ไม่ใช่การเพิกถอนคำพิพากษา (ฎ. 2450/25) หากคู่ความเห็นว่าคำพิพากษาไม่ถูกต้องอย่างไรก็ต้องอุทธรณ์ ฎีกา เพื่อให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาพิพากษาเปลี่ยนแปลงแก้ไข จะใช้วิธีการขอให้เพิกถอนกระวนพิจารณาตามมาตรา 27 ไม่ได้
บางกรณีผลที่เกิดจาการเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบจะทำให้คำพิพากษาตกไปในตัวก็ตาม กรณีเช่นนี้ไม่ใช่การเพิกถอนคำพิพากษา แต่เป็นผลที่เกิดขึ้นจากคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาก่อนมีคำพิพากษานั่นเอง
คำสั่งจำหน่ายคดีไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยคดี หรือประเด็นข้อใดแห่งคดี จึงร้องขอเพิกถอนได้ (ฎ. 1692/16) และแม้ศาลยกคำร้องไปครั้งหนึ่งแล้วก็ตาม ก็มีสิทธิยื่นคำร้องใหม่ได้ ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ (ฎ. 2662/25)
โจทก์อ้างว่าจำเลยนำบุคคลอื่นมาแสดงตัวเป็นโจทก์ แล้วสมคบกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ไม่รู้เห็นยินยอม จนศาลหลงเชื่อจึงได้พิพากษาตามยอมไป เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ โจทก์ชอบที่จะขอเพิกถอนได้ตามมาตรา 27 โดยต้องขอเพิกถอนในคดีเดิม จะฟ้องขอให้เพิกถอนเป็นคดีใหม่ไม่ได้ (ฎ. 5394-5/45)
สำหรับคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณา ซึ่งอ้างว่าผิดระเบียบในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกา เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา สั่งคำร้องดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่ง (คร. 5346/47)
คู่ความตกลงให้นำคำเบิกความพยานในคดีอื่นมาเป็นพยานในคดีได้ ไม่ผิดกฎหมายหรือขัดต่อความสงบฯ มิใช่เป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ จึงขอเพิกถอนไม่ได้ (ฎ. 5779/48)
การที่คู่ความจดจำวันนัดผิดพลาดไปเอง ไม่ใช่กรณีที่ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดระเบียบแต่อย่างใด (ฎ. 1271/30, 3233/27)
การที่ศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีเพราะเชื่อว่าทนายจำเลยป่วย เป็นกระบวนพิจารณาโดยชอบ มิได้เป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา 27 ดังนั้น แม้ความปรากฎต่อมาว่าใบรับรองแพทย์ที่จำเลยส่งต่อศาลไม่ตรงต่อความเป็นจริง ศาลก็เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวภายหลังไม่ได้ (ฎ. 1401-2/32)
ละเมิดอำนาจศาล (มาตรา 30-33)
การที่ศาลจะออกข้อกำหนดใดๆตามมาตรา 30 จะต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล และเพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปโดยเที่ยงธรรมและรวดเร็ว ดังนั้นข้อกำหนดไม่ให้บุคคลใดเข้ามาในบริเวณศาลในเวลาเปิดทำการ จึงเป็นกรณีที่เกินจำเป็น การออกข้อกำหนดดังกล่าวเป็นการไม่ชอบ (ฎ. 57/20, 7183/44)
การเขียนอุทธรณ์เสียดสีศาล ถือว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล แล้ว (ฎ. 1116/91) ต่อมาศาลสั่งให้แก้ไขแล้วไม่แก้ ก็ย่อมเป็นการไม่ปฎิบัติตามข้อกำหนดของศาลอีกด้วย (ฎ. 72/91)
การยื่นคำร้องขอถอนหลักประกันคืนโดยอ้างเหตุขอคืนอันเป็นเท็จ เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล (ฎ. 2126/33)
การถอนคำร้องที่มีข้อความเป็นการละเมิดอำนาจศาลก็ยังคงเป็นความผิด (ฎ. 1130/33)
ข้อสังเกต กรณีจะเป็นการละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 31(1) มี 2 กรณีคือ ขัดขืนไม่ปฎิบัติตามข้อกำหนดตามมาตรา 30 และประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ทั้ง 2 กรณีแยกจากกัน กรณีประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ก็เป็นละเมิดอำนาจศาลในตัวโดยศาลไม่ต้องออกข้อกำหนดก่อน (ฎ. 1130/33)
กรณีอื่นๆที่ถือว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เช่น นายประกันเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย (ฎ. 1055/29) และคนที่สมอ้างว่าเป็นตัวจำเลยก็เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเช่นกัน (ฎ. 4681/28) การปลอมลายมือชื่อในคำร้องขอประกันตัว (ฎ. 1159/26) พกปืนขึ้นศาล (ฎ. 5100/43) ใช้รองเท้าตีกันบริเวณศาลขณะที่ศาลเปิดทำการแล้ว (ฎ. 256/96) เรียกเงินหรือรับสินบนในบริเวณศาล ไม่ว่าจะเป็นที่ห้องพักทนายความ หรืออัยการ หรือที่หน้าห้องควบคุมและร้านอาหารที่อยู่ภายในรั้วเดียวกันกับศาล (ฎ. 271/28,824/37)
การเรียกเงินอ้างว่าจะนำไปให้ผู้พิพากษาเพื่อให้ช่วยเหลือคดี แม้จะกระทำนอกบริเวณศาล แต่เป็นการกระทำที่มุ่งหมายให้มีผลในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ถือว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล(ฎ.5462/39)
แต่ถ้าการเรียกเงินเพื่อไปวิ่งเต้นพนักงานอัยการ และเจ้าพนักงานตำรวจ แม้จะทำให้เกิดผลแก่คดีในศาล แต่มิได้กระทำในบริเวณศาลแล้ว จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ไม่เป็นละเมิดอำนาจศาล (ฎ. 3227/42)
การปลอมคำสั่งศาลที่มิได้กระทำในบริเวณศาล ยังไม่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ไม่เป็นละเมิดอำนาจศาล (ฎ. 4498/46 ป.)
การเปลี่ยนตัวผู้ต้องหา จะกระทำตั้งแต่ในชั้นสอบสวน แต่ทำให้กระบวนพิจารณาในศาลไม่อาจดำเนินไปโดยเที่ยงธรรมได้ เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามมาตรา 31 (ฎ. 7-8/43)
การหลีกเลี่ยงไม่รับคำคู่ความหรือเอกสารของศาลเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 31(3) แต่ถ้าเป็นเพียงการถ่วงเวลาพูดโยกโย้เท่านั้น ไม่ใช่การหลีกเลี่ยง ไม่เป็นการละเมิดอำนาจศาล (ฎ. 1018/10)
ทนายความพูดยุยงเสี้ยมสอนให้ตัวความหลบเลี่ยงไม่รับหมายของศาลก็มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา 31(3) (ฎ.102/07 ป.)
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลนี้ ถ้าได้กระทำต่อหน้าศาล ศาลย่อมลงโทษได้ทันทีเพราะข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลแล้ว แต่ถ้ามิได้กระทำต่อหน้าศาล ศาลชอบที่จะไต่สวนหาความจริงในภายหลังได้ โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลยดังเช่นการพิจารณาคดีทั่วไป เพราะถือว่าเป็นกฎหมายพิเศษที่ศาลมีอำนาค้นหาความจริงได้ (ฎ. 2059/32, 1159/26) แต่พยานที่ให้ปากคำในการไต่สวนของศาล ต้องสาบานตนหรือกล่าวคำปฎิญาณว่าจะให้การตามสัตย์จริง ตามมาตรา 112 ก่อน มิฉะนั้นจะรับฟังเป็นความจริงยังไม่ได้ (ฎ. 2962/47)
การลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล เป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะ ผู้อื่นจะฟ้องไม่ได้(ฎ. 1142/16, 1248/35)
คำสั่งศาลให้ลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จึงอุทธรณ์ได้ทันทีตามมาตรา 228(1) (ฎ. 66/16)
คู่ความมรณะ (มาตรา 42-44)
เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมรณะ ศาลต้องเลื่อนการนั่งพิจารณาออกไป และศาลต้องดำเนินการจัดให้มีผู้เข้าเป็นคู่ความแทนที่ก่อนจึงจะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้
การชี้สองสถานเป็นการนั่งพิจารณาอย่างหนึ่ง ตามมาตรา 1(9) เมื่อคู่ความมรณะศาลชั้นต้นต้องเลื่อนการนัดชี้สองสถานไว้ก่อน (ฎ. 1010/39)
การเลื่อนการพิจารณาออกไป เพื่อให้มีการเข้าเป็นคู่ความแทนที่หรือไม่นั้น ต้องปรากฎต่อศาลที่จะพิจารณาคดีอยู่ว่าคู่ความมรณะ ดังนั้นแม้คู่ความได้มรณะระหว่างการพิจารณาของศาลแต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงต่อศาล ศาลจึงได้ดำเนินการะบวนพิจารณาไปโดยไม่มีผู้เข้าเป็นคู่ความแทนจนมีคำพิพากษา จะถือว่าเป็นการดำเนินคดีที่ไม่ชอบไม่ได้ (ฎ. 4376/40) ในคดีแพ่ง แม้คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตายก่อนศาลพิพากษา แต่ปรากฏต่อศาลเมื่ออ่านคำพิพากษาแล้ว คำพิพากษาก็คงสมบูรณ์ (ฎ. 8989/47)
ต้องเป็นคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาล
คำว่า “คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลได้มรณะ...” โดยทั่วไปคดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลใด ก็ถือว่าเป็นคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลนั้น ซึ่งอาจเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ก็ได้ ทั้งนี้นับแต่เวลายื่นคำฟ้อง ยื่นอุทธรณ์ หรือยื่นฎีกา แล้วแต่กรณี ไปจนถึงเวลาที่ศาลนั้นๆมีคำพิพากษา
สำหรับในระหว่างเวลาอุทธรณ์หรือฎีกา ซึ่งเป็นช่วงเวลาตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จนถึงเวลายื่นอุทธรณ์หรือฎีกา หรือจนกว่าคดีจะถึงที่สุด (ครบกำหนด 1 เดือน กรณีที่ไม่มีการอุทธรณ์ หรือฎีกา) ถือว่าเป็นกรณีที่คดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลระหว่างรอการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาเช่นกัน เช่นหลังจากอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วยังไม่ครบ 1 เดือน โจทก์ตาย แม้จะยังไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ก็ถือว่าเป็นคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลระหว่างรอยื่นอุทธรณ์ หรือกรณีศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยังไม่ครบ 1 เดือน โจทก์ตาย แม้ยังไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ก็ถือว่าเป็นคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลในระหว่างรอยื่นฎีกา ทายาทของโจทก์จึงสิทธิขอเข้าเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์เพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ หรือฎีกาได้ (ฎ. 1575/38, 1890/36)
คู่ความมรณะในชั้นบังคับคดี
ในชั้นบังคับคดีไม่ใช่กรณีคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาล เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตายในชั้นบังคับคดี ไม่อยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 42-44 จึงไม่ต้องพิจารณาถึงหลักเกณฑ์ดังกล่าว เช่น ไม่ต้องขอเข้ารับมรดกความใน 1 ปี ตามมาตรา 42 วรรคแรก แต่ถือว่าสิทธิในการบังคับคดีเป็นมรดกตกทอด ตามมาตรา 1559,1600
ดังนั้น ถ้าโจทก์ตาย ทายาทหรือผู้จัดการมรดกของโจทก์ร้องขอบังคับคดีต่อไปได้โดยไม่ต้องร้องขอเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ตามมาตรา 42 ก่อน แม้จะยื่นคำร้องขอรับมรดกความภายหลังคดีถึงที่สุดแล้วก็ยื่นได้ (ฎ. 604/49, 2761/30)
ถ้าจำเลยตาย โจทก์ก็ขอบังคับคดีแก่ทายาทหรือผู้จัดการมรดกของจำเลยได้โดยไม่ต้องเรียกทายาทหรือผู้จัดการมรดกของจำเลยเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยก่อน (ฎ. 2532/23, 2376/45)
ดังนั้นในชั้นบังคับคดี แม้ทายาทจะขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะไม่ถูกต้องแต่ก็หาทำให้คำร้องของ ผู้ร้องเสียไปไม่ ศาลมีอำนาจสั่งให้เข้าเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ได้ (ฎ. 1390/06, 2761/30)
ในชั้นบังคับคดี กรณีโจทก์ตายแม้ผู้จัดการมรดกหรือทายาทไม่ได้ขอเข้าเป็นคู่ความแทน ก็มีสิทธิขอดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ (ฎ. 3034/31)
ในบางกรณี แม้จะอยู่ในชั้นบังคับคดีก็ตาม ถ้ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับการบังคับคดีและมีการพิจารณาข้อโต้แย้งดังกล่าว ถือว่าเป็นกรณีคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ดังนี้ระหว่างพิจารณาข้อโต้แย้ง ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย ก็ถือว่าเป็นกรณีที่คู่ความมรณะในคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาล จึงต้องมีการรับมรดกความ ตามมาตรา 42 เช่นกัน เช่นโจทก์โต้แย้งว่าศาลชั้นต้นออกคำบังคับไม่ถูกต้อง ศาลชั้นต้นยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยถึงแก่ความตาย ก็ต้องจัดให้มีผู้เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยเสียก่อน จึงจะพิจารณาข้อโต้แย้งนั้นต่อไป (ฎ. 1995/24)
บุคคลที่จะเข้ามาเป็นคู่ความแทน ได้แก่
1. ทายาทของผู้มรณะ
2. ผู้จัดการทรัพย์มรดกของผู้มรณะ
3. ผู้ปกครองทรัพย์มรดก
เมื่อได้ความว่าเป็นทายาทก็เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะได้ โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาทผู้เข้าเป็นคู่ความนั้นหรือไม่ (ฎ. 365/09) เรื่องนี้บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ย่อมเป็นผู้สืบสันดานเหมือนบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีสิทธิเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะได้ และจะปฎิเสธว่าตนไม่ได้รับมรดกเพื่อจะไม่เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ไม่ได้
อย่างไรก็ตามทายาทที่จะเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ได้นั้น ต้องเป็นทายาทที่สิทธิได้รับมรดกด้วย ทายาทที่ไม่มีสิทธิรับมรดกไม่มีสิทธิเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ (ฎ. 7474/47)
กรณีที่ทายาทปฎิเสธไม่ยอมเข้ามาเป็นคู่ความแทนที ศาลก็มีคำสั่งแต่งตั้งทายาทคนนั้นให้เป็นคู่ความแทนได้ (ฎ. 610/99)
ข้อสังเกต ผู้เข้ามาเป็นคู่ความผู้มรณะตามมาตรา 42 ได้แก่ ทายาทของผู้มรณะ ผู้จัดการมรดก และผู้ปกครองทรัพย์มรดก บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเช่นเดียวกันกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ.มาตรา 1627 มีสิทธิได้รับมรดก จึงเป็นทายาทที่จะเข้าเป็นคู่ความแทนที่ได้ (ฎ.661/14) แต่เฉพาะผู้ปกครองทรัพย์มรดกเพียงบางส่วน เข้าเป็นคู่ความแทนที่ไม่ได้ (คร. 260/12)
การที่ภริยาเป็นโจทก์ฟ้องสามี แล้วภริยาถึงแก่ความตาย บุตรของโจทก์จำเลย จะเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ไม่ได้ เพราะมีผลเป็นการฟ้องบิดาของตนอันเป็นคดีอุทลุม ต้องห้ามตาม ป.พ.พ.มาตรา 1562 (ฎ. 2139/17)
ถ้าคู่ความที่มรณะได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ถึงแม้ผู้ที่เข้าเป็นคู่ความแทนที่จะมีทรัพย์สิน ก็มีสิทธิดำเนินคดีอย่างคนอนาถาต่อไปได้ (คร. 60/03 ป)
กรณีที่ศาลอนุญาตให้มีการเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยศาลจะพิพากษาให้ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนที่นั้นชำระหนี้ให้โจทก์ไม่ได้ ต้องพิพากษาให้จำเลยชำระ แม้จำเลยจะตายไปแล้วก็ตาม (ฎ. 61/30, 3508/45)
การอนุญาตให้บุคคลเข้าเป็นคู่ความแทนผู้มรณะ เป็นดุลพินิจของศาลที่จะอนุญาตหรือไม่ก็ได้ (ฎ. 387/33)
คดีที่พิพาทเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่เฉพาะตัว รับมรดกความไม่ได้ เช่น คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก การคัดค้านการขอตั้งผู้จัดการมรดก ร้องขอตั้งผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ คดีที่ผู้จัดการมรดกฟ้องขอแบ่งมรดก คดีฟ้องเกี่ยวกับสัญญาเช่า เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความผู้มรณะ จึงไม่อาจขอรับมรดกความได้ กรณีเช่นนี้ศาลต้องสั่งจำหน่ายคดี (ฎ. 1200/41, 8229/40)
ผู้ถือหุ้นเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะกรรมการของบริษัท ขอให้ศาลเพิกถอนมติที่ประชุมของบริษัท ไม่มีลักษณะเป็นการเฉพาะตัวของโจทก์ เมื่อโจทก์มรณะ ทายาทของโจทก์ย่อมมีสิทธิได้กรรมสิทธิ์ในหุ้นและเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ได้ (ฎ. 7700/49)
ในกรณีที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้มรณะเช่นนี้ หากคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมรณะศาลต้องสั่งจำหน่ายคดีตามมาตรา 132(3) ที่ว่าความมรณะของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำให้ไม่มีประโยชน์ต่อไป ทั้งนี้ศาลสั่งจำหน่ายคดีได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ครบ 1 ปี ก่อน
สิทธิในการบอกล้าง สัญญาระหว่างสมรสตาม ป.พ.พ.มาตรา 1469 เป็นสิทธิเฉพาะตัวของคู่สมรส แต่เมื่อมีการบอกล้างสัญญาดังกล่าวแล้วก็ไม่เป็นสิทธิเฉพาะตัวอีกต่อไปและสิทธิย่อมตกทอดแก่ทายาท จึงรับมรดกความได้ (ฎ. 5485/37)
สิทธิอาศัยก็เป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อผู้ทรงสิทธิอาศัยถึงแก่ความตาย สิทธิอาศัยย่อมระงับ แต่ถ้าศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ทรงสิทธิอาศัยได้รับค่าเสียหายด้วย ในส่วนของค่าเสียหายตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น มีลักษณะเป็นทรัพย์สิน มิใช่สิทธิเฉพาะตัว ย่อมรับมรดกความกันได้ (ฎ. 1180/38)
ถ้าการรับมรดกความมีผลทำให้เป็นคดีอุทลุม ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1562 จึงรับมรดกความไม่ได้ (ฎ. 1551/94 ป.)
ในกรณีนิติบุคคลฟ้องคดี ต่อมาผู้แทนของนิติบุคคลตาย กรณีไม่ใช่เรื่องคู่ความมรณะ นิติบุคคลนั้นดำเนินคดีต่อไปได้ (ฎ. 809/87)
ทนายความอยู่ในฐานะตัวแทนของคู่ความ เมื่อคู่ความตาย สัญญาตัวแทนระงับลงแต่ทนายความยังคงมีอำนาจกระทำการอันสมควรเพื่อปกปักษ์รักษาประโยชน์ของคู่ความจนกว่าทายาทหรือผู้จัดการมรดกจะเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 828 ถ้าคู่ความตายในระหว่างเวลายื่นอุทธรณ์หรือฎีกา ทนายความมีอำนายื่นอุทธรณ์หรือฎีกาได้ แต่เมื่อครบกำหนด 1 ปี แล้วไม่มีการขอเข้าเป็นคู่ความแทนผู้มรณะ ศาลต้องจำหน่ายคดี (ฎ. 5241/37, 3297/47)
แต่เมื่อตัวความถึงแก่ความตายเป็นเวลานาน ก็อาจถือว่าเป็นการล่วงพ้นระยะเวลาที่ทนายความจะดำเนินคดีต่อไปได้ (ฎ. 5919/33)
การจำหน่ายคดีหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล
ถ้าทายาทของผู้มรณะ ผู้จัดการทรัพย์มรดก หรือผู้ปกครองทรัพย์มรดก ไม่ได้เข้ามาเป็นคู่ความแทนหรือคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ขอให้เรียกบุคคลดังกล่าวเข้ามาเป็นคู่ความแทนภายใน 1 ปี นับแต่วันที่คู่ความมรณะให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ(ตามมาตรา 42 ประกอบมาตรา 132ผ3))
อย่างไรก็ตามแม้จะเกิน 1 ปี แล้ว ก็อยู่ในดุลพินิจที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ก็ได้ (คร. 32/16 ป.)
ข้อสังเกต กรณีที่คู่ความมรณะเกิน 1 ปี จึงมีผู้ขอเข้ามาเป็นคู่ความแทน หรือมีการขอให้เรียกบุคคลที่กำหนดเข้ามา ศาลมีดุลพินิจว่าจะจำหน่ายคดีหรืออนุญาตให้เข้ามาเป็นคู่ความแทน แต่ถ้าไม่มีผู้ใดร้องขอเข้ามาเลย ศาลก็ต้องจำหน่ายคดี (ฎ. 2704-2705/32)
ศาลที่มีอำนาจสั่ง
1. กรณีคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลใดศาลหนึ่ง โดยหลักคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลใดศาลนั้นเป็นศาลที่มีอำนาจสั่ง (ฎ. 3320/43, 5051/43, 465/48)
- แต่เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกาสั่งคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความมรณะได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์สั่ง (ฎ. 465/48) แต่ถ้าคดีนั้นอยู่ระหว่างระยะเวลายื่นฎีกาก็เป็นอำนาจของศาลชั้นต้นมีคำสั่ง (ฎ. 8989/47)
2. กรณีคู่คามมรณะระหว่างกำหนดเวลาอุทธรณ์ ฎีกา แบ่งเป็น 2 กรณี
2.1 กรณีก่อนศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์หรือฎีกา
- สำหรับในระหว่างกำหนดเวลาอุทธรณ์ หรือฎีกา นับแต่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น หรือคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไปจนถึงเวลาก่อนศาลชั้นต้น ให้อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะสั่งเรื่องการรับมรดกความ เพราะยังไม่มีคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือฎีกา (คร.162/26, 279/21)
2.2 กรณีศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ หรือฎีกาแล้ว และยังไม่ส่งสำนวนไปศาลสูง
ถ้าศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์หรือฎีกาแล้ว แม้จะยังไม่ได้ส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาพิจารณา ก็ถือว่าคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาแล้ว ศาล ชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ไม่ว่าจะเป็นการอนุญาตหรือไม่ อนุญาตให้เข้าเป็นคู่ความแทน แต่เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาแล้วแต่กรณี ที่จะพิจารณาสั่ง (ฎ. 6345/45)
ข้อสังเกต กรณีคู่ความมรณะระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาซึ่งเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ที่จะพิจารณามีคำสั่ง ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ จึงเป็นการทำแทนศาลฎีกา คู่ความจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น ที่เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าว (ฎ. 2951/48)
คำสั่งอนุญาตให้เข้าเป็นคู่ความแทนที่ตามมาตรา 42 เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 (ฎ. 4670/29) แต่ถ้าเป็นคำสั่งไม่อนุญาต ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งของศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ (ฎ. 1423/ 36)
- เพิ่งจบปริญญาตรี ไม่รู้จะเริ่มต้นกับการเรียนเนติอย่างไร
- สอบมาหลายครั้งแล้วไม่ผ่านซักที 47 , 48 , 49 คะแนนอยู่นี่หลายครั้งแล้ว เมื่อไหร่จะถึง 50 คะแนนซักที
- อยู่ต่างจังหวัด ทำงานประจำไม่มีเวลาไปนั่งเรียนที่เนติฯ
- สมัครติวเนติทางไปรษณีย์ กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ทันสอบ
- สมัครรับจองคำบรรยายเนติทางไปรษณีย์ กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ทันสอบ
- เดินทางไปเรียนหรือไปติวรถก็ติด...กลับมาก็เหนื่อย
- อยู่ต่างจังหวัดอยากมาเรียนที่ กทม. หรือมาติว...แต่ไม่สามารถมาเรียนหรือมาติวได้เพราะไกลและสถาบันติวก็อยู่หน้ารามกันหมด