++ ทบทวน//สรุปหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง : มาตรา 27,มาตรา 30-33, มาตรา 42-44) ++

2,564 views
Skip to first unread message

arunarun chitt

unread,
Oct 30, 2013, 1:44:41 PM10/30/13
to law...@googlegroups.com
            การเพิกถอนกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ (มาตรา  27) 

กำหนดเวลาเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา  27 วรรคสอง ที่จะต้องยื่นก่อนศาลมีคำพิพากษานั้นใช้เฉพาะกรณีที่คู่ความฝ่ายที่เสียหายทราบข้อผิดระเบียบก่อนศาลมีคำพิพากษาแล้วเท่านั้น  

กรณีทราบข้อผิดระเบียบภายหลังศาลพิพากษาแล้ว ก็มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบหลังศาลมีคำพิพากษาได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น (ฎ. 5876/45,  7991/44,  3476/38) 

***ฎ. 5186/48   กรณีมาตรา  27 วรรคสอง ที่กำหนดให้คู่ความฝ่ายที่เสียหายยกข้อคัดค้านเรื่องผิดระเบียบขึ้นกล่าวได้ไม่ว่าเวลาใดๆก่อนมีคำพิพากษา แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่ได้รับทราบข้อความ... ซึ่งระยะเวลาดังกล่าว ใช้บังคับแก่การยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบทุกกรณี ไม่ว่าจะอยู่ในระหว่างพิจารณา หรือหลังจากศาลพิพากษา    หาใช่ใช้บังคับเฉพาะกรณีก่อนศาลมีคำพิพากษาเท่านั้น 

ข้อสังเกต มาตรา 27 วรรคสอง เป็นข้อจำกัดอำนาจของคู่ความที่ต้องขอเพิกถอนข้อผิดระเบียบภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น แต่กรณีที่ศาลเห็นสมควรให้เพิกถอนข้อผิดระเบียบนั้นเสียเอง ไม่มีกำหนดเวลาจำกัดไว้   ดังนั้นศาลจึงมีอำนาเพิกถอนเมื่อใดก็ได้  แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาแล้ว ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา เห็นสมควรก็มีอำนาเพิกถอนได้ (ฎ.615/24)

กรณีการร้องขอให้เพิกถอนต้องประกอบไปด้วย   1.  เมื่อศาลเห็นสมควร และ 2.  คู่ความฝ่ายที่เสียหายร้องขอ 

ฎ. 5188/48 การที่ศาลชั้นต้นไม่แจ้งวันนัดฟังประเด็นกลับให้จำเลยที่  2 ทราบ เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ แต่เมื่อได้ความว่าไม่มีการสืบพยานประเด็นโจทก์ การที่จำเลยที่  2 ฟังประเด็นกลับหรือไม่ ไม่เป็นผลเสียแก่จำเลยที่ 2  เพราะหลังจากนั้นศาลชั้นต้นได้แจ้งวันนัดสืบพยานจำเลยที่ 2  ทราบอีก  จำเลยที่  2 จึงไม่ใช่คู่ความที่เสียหายอันจะยกการพิจารณาที่ผิดระเบียบขึ้นว่ากล่าวได้ตาม มาตรา  27 วรรคสอง 

หลักกฎหมายตามแนวคำพิพากษาฎีกา

-  ผู้ที่ไม่ได้เป็นทนายความหรือทนายความที่ขาดต่อใบอนุญาต ผู้นั้นย่อมไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณา  กรณีเช่นนี้ ถือว่าเป็นกรณีที่มิได้ปฎิบัติตาม ป.วิ.พ. ในข้อที่ยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามมาตรา  27 ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลไม่อาจสั่งให้แก้ไขได้ ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ (ฎ. 1049/38, 2904/37)

- เมื่อมีการเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบแล้ว กระบวนพิจารณาต้องเริ่มต้นใหม่ จึงต้องให้จำเลยยื่นใบแต่งทนายความและคำให้การใหม่ แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป  จะถือว่าคำให้การจำเลยที่ยื่นไว้แต่เดิมไม่ชอบ และถือว่าจำเลยขาดนัดขาดนัดยื่นคำให้การไม่ได้

ข้อสังเกต  การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา  27  นี้ มีอยู่หลายกรณีด้วยกัน  บางกรณีไม่ใช่เรื่องร้ายแรงนัก ศาลก็อาจสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องได้  บางกรณีเป็นเรื่องสำคัญ เช่นกรณีผู้ที่ไม่ได้เป็นทนายความ หรือขาดต่อใบอนุญาตทนายความเข้ามาดำเนินคดีในฐานะทนายความ ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นกรณีไม่ได้ปฎิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม (ฎ. 2908-9/37)  ไม่อาจแก้ไขข้อบกพร่องได้ จึงต้องเพิกถอนการะบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น   ดังนั้นแม้ภายหลังจะได้รับอนุญาตให้เป็นทนายความ ก็ไม่ทำให้กระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นกลับเป็นถูกกฎหมายขึ้นมาได้  ต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่

การเพิกถอนข้อผิดระเบียบตามมาตรา  27 ต้องเป็นการเพิกถอนการพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ ไม่ใช่การเพิกถอนคำพิพากษา  (ฎ. 2450/25)   หากคู่ความเห็นว่าคำพิพากษาไม่ถูกต้องอย่างไรก็ต้องอุทธรณ์ ฎีกา เพื่อให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาพิพากษาเปลี่ยนแปลงแก้ไข จะใช้วิธีการขอให้เพิกถอนกระวนพิจารณาตามมาตรา  27 ไม่ได้

บางกรณีผลที่เกิดจาการเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบจะทำให้คำพิพากษาตกไปในตัวก็ตาม กรณีเช่นนี้ไม่ใช่การเพิกถอนคำพิพากษา แต่เป็นผลที่เกิดขึ้นจากคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาก่อนมีคำพิพากษานั่นเอง

คำสั่งจำหน่ายคดีไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยคดี หรือประเด็นข้อใดแห่งคดี  จึงร้องขอเพิกถอนได้ (ฎ. 1692/16)   และแม้ศาลยกคำร้องไปครั้งหนึ่งแล้วก็ตาม ก็มีสิทธิยื่นคำร้องใหม่ได้ ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ (ฎ. 2662/25)

โจทก์อ้างว่าจำเลยนำบุคคลอื่นมาแสดงตัวเป็นโจทก์ แล้วสมคบกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยโจทก์ไม่รู้เห็นยินยอม จนศาลหลงเชื่อจึงได้พิพากษาตามยอมไป  เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ โจทก์ชอบที่จะขอเพิกถอนได้ตามมาตรา  27  โดยต้องขอเพิกถอนในคดีเดิม จะฟ้องขอให้เพิกถอนเป็นคดีใหม่ไม่ได้ (ฎ. 5394-5/45)

สำหรับคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณา ซึ่งอ้างว่าผิดระเบียบในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกา เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา สั่งคำร้องดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่ง (คร. 5346/47)

คู่ความตกลงให้นำคำเบิกความพยานในคดีอื่นมาเป็นพยานในคดีได้ ไม่ผิดกฎหมายหรือขัดต่อความสงบฯ  มิใช่เป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ จึงขอเพิกถอนไม่ได้ (ฎ.  5779/48)

การที่คู่ความจดจำวันนัดผิดพลาดไปเอง ไม่ใช่กรณีที่ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดระเบียบแต่อย่างใด (ฎ. 1271/30, 3233/27)

การที่ศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีเพราะเชื่อว่าทนายจำเลยป่วย เป็นกระบวนพิจารณาโดยชอบ  มิได้เป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา  27  ดังนั้น แม้ความปรากฎต่อมาว่าใบรับรองแพทย์ที่จำเลยส่งต่อศาลไม่ตรงต่อความเป็นจริง  ศาลก็เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวภายหลังไม่ได้ (ฎ. 1401-2/32) 

ละเมิดอำนาจศาล (มาตรา  30-33) 

การที่ศาลจะออกข้อกำหนดใดๆตามมาตรา  30  จะต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาล และเพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปโดยเที่ยงธรรมและรวดเร็ว ดังนั้นข้อกำหนดไม่ให้บุคคลใดเข้ามาในบริเวณศาลในเวลาเปิดทำการ จึงเป็นกรณีที่เกินจำเป็น  การออกข้อกำหนดดังกล่าวเป็นการไม่ชอบ (ฎ. 57/20, 7183/44)

การเขียนอุทธรณ์เสียดสีศาล ถือว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล แล้ว (ฎ. 1116/91)  ต่อมาศาลสั่งให้แก้ไขแล้วไม่แก้ ก็ย่อมเป็นการไม่ปฎิบัติตามข้อกำหนดของศาลอีกด้วย (ฎ.  72/91)

การยื่นคำร้องขอถอนหลักประกันคืนโดยอ้างเหตุขอคืนอันเป็นเท็จ เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล (ฎ. 2126/33)

การถอนคำร้องที่มีข้อความเป็นการละเมิดอำนาจศาลก็ยังคงเป็นความผิด (ฎ. 1130/33)

ข้อสังเกต กรณีจะเป็นการละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา  31(1) มี 2 กรณีคือ ขัดขืนไม่ปฎิบัติตามข้อกำหนดตามมาตรา  30 และประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ทั้ง 2 กรณีแยกจากกัน กรณีประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ก็เป็นละเมิดอำนาจศาลในตัวโดยศาลไม่ต้องออกข้อกำหนดก่อน (ฎ.  1130/33) 

กรณีอื่นๆที่ถือว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เช่น นายประกันเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย  (ฎ. 1055/29)  และคนที่สมอ้างว่าเป็นตัวจำเลยก็เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเช่นกัน (ฎ. 4681/28)  การปลอมลายมือชื่อในคำร้องขอประกันตัว (ฎ. 1159/26)  พกปืนขึ้นศาล (ฎ.  5100/43) ใช้รองเท้าตีกันบริเวณศาลขณะที่ศาลเปิดทำการแล้ว (ฎ.  256/96)  เรียกเงินหรือรับสินบนในบริเวณศาล ไม่ว่าจะเป็นที่ห้องพักทนายความ หรืออัยการ หรือที่หน้าห้องควบคุมและร้านอาหารที่อยู่ภายในรั้วเดียวกันกับศาล (ฎ. 271/28,824/37)

การเรียกเงินอ้างว่าจะนำไปให้ผู้พิพากษาเพื่อให้ช่วยเหลือคดี แม้จะกระทำนอกบริเวณศาล แต่เป็นการกระทำที่มุ่งหมายให้มีผลในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล ถือว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล(ฎ.5462/39)

แต่ถ้าการเรียกเงินเพื่อไปวิ่งเต้นพนักงานอัยการ และเจ้าพนักงานตำรวจ แม้จะทำให้เกิดผลแก่คดีในศาล แต่มิได้กระทำในบริเวณศาลแล้ว จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ไม่เป็นละเมิดอำนาจศาล (ฎ. 3227/42)

การปลอมคำสั่งศาลที่มิได้กระทำในบริเวณศาล ยังไม่เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ไม่เป็นละเมิดอำนาจศาล (ฎ. 4498/46 ป.) 

การเปลี่ยนตัวผู้ต้องหา จะกระทำตั้งแต่ในชั้นสอบสวน แต่ทำให้กระบวนพิจารณาในศาลไม่อาจดำเนินไปโดยเที่ยงธรรมได้ เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามมาตรา  31  (ฎ.  7-8/43)

การหลีกเลี่ยงไม่รับคำคู่ความหรือเอกสารของศาลเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา  31(3) แต่ถ้าเป็นเพียงการถ่วงเวลาพูดโยกโย้เท่านั้น ไม่ใช่การหลีกเลี่ยง ไม่เป็นการละเมิดอำนาจศาล (ฎ. 1018/10)

ทนายความพูดยุยงเสี้ยมสอนให้ตัวความหลบเลี่ยงไม่รับหมายของศาลก็มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามมาตรา  31(3) (ฎ.102/07 ป.)

ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลนี้ ถ้าได้กระทำต่อหน้าศาล ศาลย่อมลงโทษได้ทันทีเพราะข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลแล้ว  แต่ถ้ามิได้กระทำต่อหน้าศาล ศาลชอบที่จะไต่สวนหาความจริงในภายหลังได้ โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลยดังเช่นการพิจารณาคดีทั่วไป เพราะถือว่าเป็นกฎหมายพิเศษที่ศาลมีอำนาค้นหาความจริงได้ (ฎ.  2059/32, 1159/26) แต่พยานที่ให้ปากคำในการไต่สวนของศาล ต้องสาบานตนหรือกล่าวคำปฎิญาณว่าจะให้การตามสัตย์จริง ตามมาตรา  112 ก่อน  มิฉะนั้นจะรับฟังเป็นความจริงยังไม่ได้ (ฎ. 2962/47)

การลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล เป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะ ผู้อื่นจะฟ้องไม่ได้(ฎ. 1142/16, 1248/35)

คำสั่งศาลให้ลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จึงอุทธรณ์ได้ทันทีตามมาตรา  228(1)  (ฎ. 66/16) 

คู่ความมรณะ  (มาตรา  42-44) 

เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมรณะ ศาลต้องเลื่อนการนั่งพิจารณาออกไป  และศาลต้องดำเนินการจัดให้มีผู้เข้าเป็นคู่ความแทนที่ก่อนจึงจะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ 

การชี้สองสถานเป็นการนั่งพิจารณาอย่างหนึ่ง ตามมาตรา  1(9) เมื่อคู่ความมรณะศาลชั้นต้นต้องเลื่อนการนัดชี้สองสถานไว้ก่อน (ฎ.  1010/39)          

การเลื่อนการพิจารณาออกไป เพื่อให้มีการเข้าเป็นคู่ความแทนที่หรือไม่นั้น ต้องปรากฎต่อศาลที่จะพิจารณาคดีอยู่ว่าคู่ความมรณะ ดังนั้นแม้คู่ความได้มรณะระหว่างการพิจารณาของศาลแต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงต่อศาล ศาลจึงได้ดำเนินการะบวนพิจารณาไปโดยไม่มีผู้เข้าเป็นคู่ความแทนจนมีคำพิพากษา จะถือว่าเป็นการดำเนินคดีที่ไม่ชอบไม่ได้ (ฎ. 4376/40)   ในคดีแพ่ง แม้คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตายก่อนศาลพิพากษา แต่ปรากฏต่อศาลเมื่ออ่านคำพิพากษาแล้ว คำพิพากษาก็คงสมบูรณ์  (ฎ. 8989/47)

ต้องเป็นคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาล

คำว่า คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลได้มรณะ... โดยทั่วไปคดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลใด ก็ถือว่าเป็นคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลนั้น ซึ่งอาจเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ก็ได้ ทั้งนี้นับแต่เวลายื่นคำฟ้อง ยื่นอุทธรณ์ หรือยื่นฎีกา แล้วแต่กรณี ไปจนถึงเวลาที่ศาลนั้นๆมีคำพิพากษา

สำหรับในระหว่างเวลาอุทธรณ์หรือฎีกา ซึ่งเป็นช่วงเวลาตั้งแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จนถึงเวลายื่นอุทธรณ์หรือฎีกา หรือจนกว่าคดีจะถึงที่สุด (ครบกำหนด 1 เดือน กรณีที่ไม่มีการอุทธรณ์  หรือฎีกา)  ถือว่าเป็นกรณีที่คดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลระหว่างรอการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาเช่นกัน  เช่นหลังจากอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วยังไม่ครบ 1 เดือน โจทก์ตาย แม้จะยังไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ก็ถือว่าเป็นคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลระหว่างรอยื่นอุทธรณ์  หรือกรณีศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยังไม่ครบ 1 เดือน โจทก์ตาย  แม้ยังไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา   ก็ถือว่าเป็นคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลในระหว่างรอยื่นฎีกา  ทายาทของโจทก์จึงสิทธิขอเข้าเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์เพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์ หรือฎีกาได้ (ฎ. 1575/38, 1890/36)

คู่ความมรณะในชั้นบังคับคดี

ในชั้นบังคับคดีไม่ใช่กรณีคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาล เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตายในชั้นบังคับคดี ไม่อยู่ภายใต้บังคับของมาตรา  42-44 จึงไม่ต้องพิจารณาถึงหลักเกณฑ์ดังกล่าว เช่น ไม่ต้องขอเข้ารับมรดกความใน 1 ปี ตามมาตรา  42 วรรคแรก  แต่ถือว่าสิทธิในการบังคับคดีเป็นมรดกตกทอด ตามมาตรา  1559,1600 

ดังนั้น ถ้าโจทก์ตาย ทายาทหรือผู้จัดการมรดกของโจทก์ร้องขอบังคับคดีต่อไปได้โดยไม่ต้องร้องขอเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ตามมาตรา  42 ก่อน แม้จะยื่นคำร้องขอรับมรดกความภายหลังคดีถึงที่สุดแล้วก็ยื่นได้ (ฎ.  604/49,  2761/30) 

ถ้าจำเลยตาย โจทก์ก็ขอบังคับคดีแก่ทายาทหรือผู้จัดการมรดกของจำเลยได้โดยไม่ต้องเรียกทายาทหรือผู้จัดการมรดกของจำเลยเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยก่อน (ฎ.  2532/23, 2376/45) 

ดังนั้นในชั้นบังคับคดี แม้ทายาทจะขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะไม่ถูกต้องแต่ก็หาทำให้คำร้องของ     ผู้ร้องเสียไปไม่ ศาลมีอำนาจสั่งให้เข้าเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ได้ (ฎ. 1390/06, 2761/30)

ในชั้นบังคับคดี  กรณีโจทก์ตายแม้ผู้จัดการมรดกหรือทายาทไม่ได้ขอเข้าเป็นคู่ความแทน ก็มีสิทธิขอดำเนินการบังคับคดีต่อไปได้ (ฎ. 3034/31)

ในบางกรณี แม้จะอยู่ในชั้นบังคับคดีก็ตาม ถ้ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับการบังคับคดีและมีการพิจารณาข้อโต้แย้งดังกล่าว ถือว่าเป็นกรณีคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ดังนี้ระหว่างพิจารณาข้อโต้แย้ง ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย ก็ถือว่าเป็นกรณีที่คู่ความมรณะในคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาล จึงต้องมีการรับมรดกความ ตามมาตรา 42 เช่นกัน  เช่นโจทก์โต้แย้งว่าศาลชั้นต้นออกคำบังคับไม่ถูกต้อง ศาลชั้นต้นยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยถึงแก่ความตาย ก็ต้องจัดให้มีผู้เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยเสียก่อน จึงจะพิจารณาข้อโต้แย้งนั้นต่อไป  (ฎ. 1995/24)

บุคคลที่จะเข้ามาเป็นคู่ความแทน ได้แก่

1. ทายาทของผู้มรณะ

2. ผู้จัดการทรัพย์มรดกของผู้มรณะ

3. ผู้ปกครองทรัพย์มรดก

เมื่อได้ความว่าเป็นทายาทก็เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะได้ โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาทผู้เข้าเป็นคู่ความนั้นหรือไม่  (ฎ.  365/09) เรื่องนี้บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ย่อมเป็นผู้สืบสันดานเหมือนบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีสิทธิเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะได้  และจะปฎิเสธว่าตนไม่ได้รับมรดกเพื่อจะไม่เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ไม่ได้ 

อย่างไรก็ตามทายาทที่จะเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ได้นั้น ต้องเป็นทายาทที่สิทธิได้รับมรดกด้วย  ทายาทที่ไม่มีสิทธิรับมรดกไม่มีสิทธิเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ (ฎ.  7474/47) 

กรณีที่ทายาทปฎิเสธไม่ยอมเข้ามาเป็นคู่ความแทนที  ศาลก็มีคำสั่งแต่งตั้งทายาทคนนั้นให้เป็นคู่ความแทนได้ (ฎ.  610/99) 

ข้อสังเกต  ผู้เข้ามาเป็นคู่ความผู้มรณะตามมาตรา  42 ได้แก่ ทายาทของผู้มรณะ ผู้จัดการมรดก และผู้ปกครองทรัพย์มรดก บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเช่นเดียวกันกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ.มาตรา  1627 มีสิทธิได้รับมรดก จึงเป็นทายาทที่จะเข้าเป็นคู่ความแทนที่ได้ (ฎ.661/14) แต่เฉพาะผู้ปกครองทรัพย์มรดกเพียงบางส่วน เข้าเป็นคู่ความแทนที่ไม่ได้ (คร. 260/12)

การที่ภริยาเป็นโจทก์ฟ้องสามี แล้วภริยาถึงแก่ความตาย บุตรของโจทก์จำเลย จะเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ไม่ได้ เพราะมีผลเป็นการฟ้องบิดาของตนอันเป็นคดีอุทลุม ต้องห้ามตาม ป.พ.พ.มาตรา  1562 (ฎ.  2139/17) 

ถ้าคู่ความที่มรณะได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ถึงแม้ผู้ที่เข้าเป็นคู่ความแทนที่จะมีทรัพย์สิน ก็มีสิทธิดำเนินคดีอย่างคนอนาถาต่อไปได้  (คร. 60/03 ป)

กรณีที่ศาลอนุญาตให้มีการเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยศาลจะพิพากษาให้ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนที่นั้นชำระหนี้ให้โจทก์ไม่ได้ ต้องพิพากษาให้จำเลยชำระ แม้จำเลยจะตายไปแล้วก็ตาม (ฎ. 61/30, 3508/45)

การอนุญาตให้บุคคลเข้าเป็นคู่ความแทนผู้มรณะ เป็นดุลพินิจของศาลที่จะอนุญาตหรือไม่ก็ได้ (ฎ. 387/33)

คดีที่พิพาทเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่เฉพาะตัว รับมรดกความไม่ได้ เช่น คดีร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก การคัดค้านการขอตั้งผู้จัดการมรดก ร้องขอตั้งผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์  คดีที่ผู้จัดการมรดกฟ้องขอแบ่งมรดก  คดีฟ้องเกี่ยวกับสัญญาเช่า  เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความผู้มรณะ จึงไม่อาจขอรับมรดกความได้ กรณีเช่นนี้ศาลต้องสั่งจำหน่ายคดี (ฎ. 1200/41, 8229/40) 

ผู้ถือหุ้นเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะกรรมการของบริษัท ขอให้ศาลเพิกถอนมติที่ประชุมของบริษัท ไม่มีลักษณะเป็นการเฉพาะตัวของโจทก์ เมื่อโจทก์มรณะ ทายาทของโจทก์ย่อมมีสิทธิได้กรรมสิทธิ์ในหุ้นและเข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ได้ (ฎ. 7700/49)

ในกรณีที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้มรณะเช่นนี้ หากคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมรณะศาลต้องสั่งจำหน่ายคดีตามมาตรา  132(3) ที่ว่าความมรณะของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำให้ไม่มีประโยชน์ต่อไป  ทั้งนี้ศาลสั่งจำหน่ายคดีได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ครบ 1 ปี ก่อน

สิทธิในการบอกล้าง สัญญาระหว่างสมรสตาม ป.พ.พ.มาตรา  1469 เป็นสิทธิเฉพาะตัวของคู่สมรส แต่เมื่อมีการบอกล้างสัญญาดังกล่าวแล้วก็ไม่เป็นสิทธิเฉพาะตัวอีกต่อไปและสิทธิย่อมตกทอดแก่ทายาท   จึงรับมรดกความได้ (ฎ. 5485/37)

สิทธิอาศัยก็เป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อผู้ทรงสิทธิอาศัยถึงแก่ความตาย สิทธิอาศัยย่อมระงับ แต่ถ้าศาลชั้นต้นพิพากษาให้ผู้ทรงสิทธิอาศัยได้รับค่าเสียหายด้วย ในส่วนของค่าเสียหายตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น มีลักษณะเป็นทรัพย์สิน มิใช่สิทธิเฉพาะตัว ย่อมรับมรดกความกันได้ (ฎ.  1180/38) 

ถ้าการรับมรดกความมีผลทำให้เป็นคดีอุทลุม ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา  1562 จึงรับมรดกความไม่ได้ (ฎ. 1551/94 ป.) 

ในกรณีนิติบุคคลฟ้องคดี ต่อมาผู้แทนของนิติบุคคลตาย  กรณีไม่ใช่เรื่องคู่ความมรณะ นิติบุคคลนั้นดำเนินคดีต่อไปได้ (ฎ. 809/87)

ทนายความอยู่ในฐานะตัวแทนของคู่ความ  เมื่อคู่ความตาย สัญญาตัวแทนระงับลงแต่ทนายความยังคงมีอำนาจกระทำการอันสมควรเพื่อปกปักษ์รักษาประโยชน์ของคู่ความจนกว่าทายาทหรือผู้จัดการมรดกจะเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ตาม ป.พ.พ.มาตรา  828  ถ้าคู่ความตายในระหว่างเวลายื่นอุทธรณ์หรือฎีกา  ทนายความมีอำนายื่นอุทธรณ์หรือฎีกาได้ แต่เมื่อครบกำหนด 1 ปี แล้วไม่มีการขอเข้าเป็นคู่ความแทนผู้มรณะ ศาลต้องจำหน่ายคดี (ฎ. 5241/37, 3297/47)

แต่เมื่อตัวความถึงแก่ความตายเป็นเวลานาน  ก็อาจถือว่าเป็นการล่วงพ้นระยะเวลาที่ทนายความจะดำเนินคดีต่อไปได้ (ฎ. 5919/33)

การจำหน่ายคดีหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล

ถ้าทายาทของผู้มรณะ ผู้จัดการทรัพย์มรดก หรือผู้ปกครองทรัพย์มรดก ไม่ได้เข้ามาเป็นคู่ความแทนหรือคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ขอให้เรียกบุคคลดังกล่าวเข้ามาเป็นคู่ความแทนภายใน  1 ปี นับแต่วันที่คู่ความมรณะให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ(ตามมาตรา  42 ประกอบมาตรา  132ผ3)) 

อย่างไรก็ตามแม้จะเกิน 1 ปี แล้ว ก็อยู่ในดุลพินิจที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ก็ได้ (คร. 32/16 ป.) 

ข้อสังเกต  กรณีที่คู่ความมรณะเกิน 1 ปี  จึงมีผู้ขอเข้ามาเป็นคู่ความแทน หรือมีการขอให้เรียกบุคคลที่กำหนดเข้ามา ศาลมีดุลพินิจว่าจะจำหน่ายคดีหรืออนุญาตให้เข้ามาเป็นคู่ความแทน  แต่ถ้าไม่มีผู้ใดร้องขอเข้ามาเลย  ศาลก็ต้องจำหน่ายคดี (ฎ. 2704-2705/32) 

ศาลที่มีอำนาจสั่ง

1.  กรณีคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลใดศาลหนึ่ง    โดยหลักคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลใดศาลนั้นเป็นศาลที่มีอำนาจสั่ง (ฎ. 3320/43, 5051/43, 465/48)

     - แต่เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกาสั่งคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความมรณะได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์สั่ง (ฎ.  465/48)  แต่ถ้าคดีนั้นอยู่ระหว่างระยะเวลายื่นฎีกาก็เป็นอำนาจของศาลชั้นต้นมีคำสั่ง (ฎ.  8989/47) 

2.  กรณีคู่คามมรณะระหว่างกำหนดเวลาอุทธรณ์ ฎีกา  แบ่งเป็น 2 กรณี

    2.1  กรณีก่อนศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์หรือฎีกา 

        - สำหรับในระหว่างกำหนดเวลาอุทธรณ์ หรือฎีกา   นับแต่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น หรือคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  ไปจนถึงเวลาก่อนศาลชั้นต้น ให้อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะสั่งเรื่องการรับมรดกความ เพราะยังไม่มีคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือฎีกา  (คร.162/26, 279/21)

   2.2 กรณีศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ หรือฎีกาแล้ว  และยังไม่ส่งสำนวนไปศาลสูง

       ถ้าศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์หรือฎีกาแล้ว  แม้จะยังไม่ได้ส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาพิจารณา ก็ถือว่าคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาแล้ว ศาล ชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ไม่ว่าจะเป็นการอนุญาตหรือไม่ อนุญาตให้เข้าเป็นคู่ความแทน  แต่เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์  หรือศาลฎีกาแล้วแต่กรณี ที่จะพิจารณาสั่ง (ฎ. 6345/45)

ข้อสังเกต กรณีคู่ความมรณะระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาซึ่งเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา ที่จะพิจารณามีคำสั่ง  ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ จึงเป็นการทำแทนศาลฎีกา  คู่ความจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น ที่เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าว   (ฎ. 2951/48)

คำสั่งอนุญาตให้เข้าเป็นคู่ความแทนที่ตามมาตรา  42  เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา  226  (ฎ.  4670/29)     แต่ถ้าเป็นคำสั่งไม่อนุญาต ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งของศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์  (ฎ. 1423/ 36)  

     --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ...คุณเคยมีปัญหาเหล่านี้หรไม่ ? 

      - เพิ่งจบปริญญาตรี ไม่รู้จะเริ่มต้นกับการเรียนเนติอย่างไร
      - 
สอบมาหลายครั้งแล้วไม่ผ่านซัที 47 , 48 , 49 คะแนนอยู่นี่หลายครั้งแล้ว เมื่อไหร่จะถึง 50 คะแนนซักที
      - 
อยู่ต่างจังหวัด ทำงานประจำไม่มีเวลาไปนั่งเรียนที่เนติฯ 
      - 
สมัครติวเนติทางไปรษณีย์ กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ทันสอบ
      - 
สมัครรับจองคำบรรยายเนติทางไปรษณีย์ 
กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ันสอบ
      - เดินทางไปเรียนหรือไปติวรถก็ด...กลับมาก็เหนื่อย
 
     - อยู่ต่างจังหวัดอยากมาเรียนที่ กทม. หรือมาติว...แต่ไม่สามารถมาเรีนหรือมาติวได้เพราะไกลและสถาบัติวก็อยู่หน้ารามกันหมด

    ถ้าเปรียบกับการสอบเนติบัณฑิต กับการทำศึกสงคราม มีกลยุทธ์ 3 อย่าง ดังนี้
        - ท่องตัวบท   คือ อาวุธ ที่เรา สะสมไว้ ต่อสู้ ยิ่งท่องตัวบทได้มาก ก็ มีอาวุธ เก็บไว้สำรองมาก หยิบใช้เมื่อไรก็ได้
        - จดฎีกา       คือการ ศึกษาแผนการรบว่าสถานการณ์แบบใดเราควรจะใช้อาวุธแบบใด ยิ่งจดจำฎีกาไว้มาก ก็มีแนวการตอบข้อสอบได้ตรงจุด ตรงประเด็น ได้มาก และไม่โดนข้อสอบหลอกล่อให้หลงทา
        -  ล่าข้อสอบ   คือ การหัดซ้อมรบก่อน เข้าสู้ศึกสงครามสนามสอบจริง ยิ่งหัดทำข้อสอบมากเท่าใด ก็เป็นการสั่งสมประสบการณ์การหัดทำข้อสอบมากขึ้นทำให้ จับประเด็นและเขียนตอบได้เร็วและทันเวลา
     -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------     
     ขอแนะนำ !!

     ชุดรวบรวมเอกสารคำบรรยายเนติฯ สำหรับเตรียมสอบ ภาค 1/66 และ 2/65
    ++  กลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา ++  
      - ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวน 1/66 New !!
      -  ไฟล์เอกสารสรุปคำบรรยายเนติฯ 1/66 
      -  ไฟล์เอกสารประกอบคำบรรยาย 1/66 
      -  ไฟล์บทบรรณาธิการ 1/63-1/66 
      -  ไฟล์ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและ อาญา (สมัยที่ 56-65) 
      -  ไฟล์เอกสารทบทวนสรุปประเด็นน่สนใจ 1/66
      -  ไฟล์เอกสารรวมคำพิพากษาฎีกาใหม่ (พร้อมข้อสังเกตน่าสนใจ)1/66
      -   เทคนิคการเขียนคำตอบแบบถูกต้องที่สุด ตลอดจนเทคนิคการปรับบทกฎหมายต่งๆสำหรับทุกสนามสอบ (การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่ยฯ/อัยการ)
    ..................................................................................................................................................
    ++ กลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา ++ 
      - ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์ 
      - ไฟล์เอกสารสรุปคำบรรยายเนติฯ 2/65 
      - ไฟล์เอกสารประกอบคำบรรยาย 2/65 
      - ไฟล์บทบรรณาธิการ 2/63-2/65 
      - ไฟล์ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความ อาญา (สมัยที่ 56-65) 
      - เทคนิคการเขียนคำตอบแบบถูกต้องที่สุด ตลอดจนเทคนิคการปรับบทกฎหมายต่งๆสำหรับทุกสนามสอบ (การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่ยฯ/อัยการ)  
    ..................................................................................................................................................
     ค่ารวบรวม  ภาคละ 350.-บาท  (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี !! + แถมฟรี !! แผ่นรองเม้าท์) 
     หมายเหตุ    :  สั่งซื้อทั้ง 2 ภาค ค่ารวมรวมพิเศษ 650.- บาท (ส่ง EMS ฟรี !! + แถมฟรี !! แผ่นรองเม้าท์ + CD แบบร่างสัญญามากกว่า 400 แบบ (file word) + แบบฟอร์มศาล, แบบฟอร์มเ อกสารงานบุคคล,เอกสารงานบัญชีและภาษี) 

   ** สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ 085-801-0725, E-mail :  siripit...@gmail.com **

     
Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages