++ ทบทวน//สรุปหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง : มาตรา 10,มาตรา 18,มาตรา 23,มาตรา 24++

2,077 views
Skip to first unread message

arunarun chitt

unread,
Oct 29, 2013, 10:29:34 AM10/29/13
to law...@googlegroups.com
            การดำเนินกระบวนพิจารณาที่ศาลอื่น( มาตรา 10)

จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นที่ตนมีภูมิลำเนา หรือต่อศาลที่ตนอยู่ในขณะนั้น โดยต้องระบุเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถเดินทางไปดำเนินกระบวนพิจารณาต่อศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจได้  มิฉะนั้นเป็นการไม่ชอบ (ฎ. 7443/44)

การยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีต่อศาลชั้นต้น มาตรา  10  โดยอ้างเหตุสุดวิสัยในคำร้องขอเลื่อนก็ได้  ไม่จำต้องยื่นคำร้องแยกเป็นอีกฉบับหนึ่ง  และเป็นอำนาจศาลที่รับคำร้องตามมาตรา  10  ที่จะสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี (ฎ. 1643/45) 

การยื่นคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นตามที่ระบุไว้ในมาตรา 10 ก็เป็นอำนาจของศาลชั้นต้นดังกล่าวพิจารณาสั่งรับฟ้องหรือไม่  อย่างไรก็ดี การที่ศาลสั่งรับเฉพาะคำร้อง ส่วนคำฟ้องได้ส่งไปให้ศาลที่มีอำนาจเหนือคดีพิจารณา  ก็ถือว่าศาลชั้นต้นนั้นยอมรับคำฟ้องแล้ว (ฎ.1374/46) 

การตรวจคำคู่ความ (มาตรา  18)         

อำนาจในการตรวจคำคู่ความ เป็นอำนาจของศาล ไม่ใช่อำนาจของพนักงานรับฟ้อง (ฎ. 179/18, 1673/23)  และอำนาจในการตรวจคำคู่ความ ไม่ได้จำกัดเฉพาะขณะที่ยื่นคำคู่ความเท่านั้น (ฎ. 47/19)  ต่อมามีคำพิพากษาวินิจฉัยว่า  เมื่อศาลรับฟ้องไว้แล้ว พบว่าโจทก์เสียค่าธรรมเนียมไม่ถูกต้อง  จึงกำหนดเวลาให้โจทก์เสียให้ถูกต้อง เป็นคำสั่งตามมาตรา  174(2) ไม่ใช่มาตรา  18 วรรคสอง  เมื่อโจทก์ไม่ปฎิบัติตาม จึงเป็นการทิ้งฟ้องไม่เข้าเหตุที่ศาลจะสั่งคืนค่าธรรมเนียมตามมาตรา  151 (ฎ. 3601/30) 

ข้อสำคัญ   คือกรณีตามมาตรา 18 วรรคสอง  เมื่อศาลเห็นว่าคำคู่ความที่ยื่นต่อศาลอ่านไม่ออก อ่านไม่เข้าใจ เขียนฟุ่มเฟือยเกินไป หรือไม่มีรายการ ไม่มีลายมือชื่อ ไม่แนบเอกสารต่างๆตามที่กฎหมายต้องการ หรือมิได้ชำระค่าธรรมเนียมให้ถูกต้อง  ศาลจะสั่งคืนคำคู่ความให้ไปทำมาใหม่ แก้ไขเพิ่มเติมหรือชำระค่าธรรมเนียมให้ถูกต้องภายในเวลาที่ดำหนดเสียก่อน หากคู่ความไม่ปฎิบัติ ศาลจึงจะสั่งไม่รับคำคู่ความได้  ศาลจะสั่งไม่รับคำคู่ความโดยไม่กำหนดเวลาให้คู่ความแก้ไขหรือปฎิบัติให้ถูกต้องเสียก่อน เป็นการผิดขั้นตอน ศาลจะสั่งไม่รับฟ้องหรือไม่รับคำร้องทันทีไม่ได้ ( คร. 1500/46, ฎ. 3480/34,4201/34)

แต่ถ้าเป็นเรื่องเงินค่าธรรมเนียมที่ผู้อุทธรณ์ต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งและต้องนำมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตามมาตรา  229  หากผู้อุทธรณ์ไม่นำมาวาง  ศาลสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้เลย  กรณีไม่ใช่เรื่องของการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมให้ถูกต้องครบถ้วนตามมาตรา  18  ศาลไม่จำต้องกำหนดเวลาตามมาตรา  18  ให้ชำระก่อนที่จะสั่งไม่รับคำคู่ความ (ฎ. 3/48, 5776/44, 4052/28)

กรณีที่โจทก์เสียค่าธรรมเนียมไม่ครบถ้วน  แม้ศาลไม่สั่งให้เสียเพิ่ม  คำฟ้องโจทก์ก็ไม่เสียไป และถือว่าเป็นเรื่องของโจทก์กับศาล  จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกา  (ฎ. 380/37) 

คำคู่ความไม่มีลายมือชื่อ

คำคู่ความที่ไม่มีลายมือชื่อของผู้ยื่น ศาลอาจสั่งให้ทำมาใหม่หรือสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวได้ตามมาตรา  18 วรรคสอง  เพราะเป็นเพียงคำฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามมาตรา  67(5)  (ฎ. 5556/43, ฎ.5622/48)

โจทก์แต่งทนายความโดยลงลายพิมพ์นิ้วมือมีผู้รับรองเพียงคนเดียว ทนายความไม่มีอำนาจทำการแทนโจทก์  เมื่อไม่ได้ลงชื่อในคำฟ้องจึงเท่ากับคำฟ้องไม่มีลายมือชื่อโจทก์ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งให้ทำมาใหม่ หรือแก้ไขเพิ่มเติมได้ตามมาตรา 18 วรรคสอง  (ฎ. 4422/45, 3381/42)

หรือกรณีทนายความยื่นอุทธรณ์โดยไม่มีอำนาจ ศาลชั้นต้นสั่งให้แก้ไขอำนาจทนายความ หรือสั่งไม่รับอุทธรณ์ตามมาตรา  18 ก็ได้ การที่ผู้อุทธรณ์ยื่นใบแต่งทนายความที่ให้อำนาจทนายความโจทก์ยื่นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์สั่งให้รับอุทธรณ์ไว้  ถือว่าศาลอุทธรณ์อนุญาตให้อุทธรณ์แล้ว (ฎ.  432/42) 

ในกรณีที่คู่ความใช้แบบพิมพ์ศาลไม่ถูกต้อง ศาลก็มีหน้าที่สั่งให้ผู้ยื่นแก้ไขให้ถูกต้อง  แต่ถ้าศาลมิได้สั่งให้แก้ไขให้ถูกต้องก่อนชี้ขาดตัดสินคดี ก็ไม่ถึงกับจะทำให้คู่ความนั้นเสียไป (ฎ. 4071/34)  และอนุโลมเป็นคำฟ้องที่ชอบ (ฎ.  2243-5/23)

กรณีไม่แนบเอกสารต่างๆที่กฎหมายต้องการ   ได้แก่  หนังสืออนุญาต หรือให้ความยินยอมในการฟ้องคดีของผู้ไร้ความสามารถตามมาตรา  56   , ใบแต่งทนายความ มาตรา  61,  ใบมอบฉันทะ ตามมาตรา  64 

แต่ถ้าฟ้องบังคับให้รับผิดตามสัญญา  ไม่จำต้องแนบเอกสารสัญญานั้นๆ  มาพร้อมกับคำฟ้องด้วย (ฎ. 1577/20, 944/15,3303/32)

หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีก็ไม่ใช่เอกสารที่กฎหมายต้องการ  ไม่ต้องแนบมาท้ายฟ้อง (ฎ. 18/44, 3243/40,392/35)

โดยสรุป เมื่อศาลตรวจคำคู่ความแล้วเห็นว่าไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นไปตามเงื่อนไขตามกฎหมาย ศาลอาจสั่งให้แก้ไขเพิ่มเติม สั่งให้ชำระเงินค่าธรรมเนียม ให้ครบถ้วน สั่งให้คืนคำคู่ความไปทำมาใหม่ หรือสั่งไม่รับคำคู่ความเสียทีเดียว แต่การสั่งไม่รับคำคู่ความตามมาตรา 18 ต้องเป็นกรณีที่ศาลมิได้วินิจฉัยเนื้อหาแห่งคำคู่ความนั้น 

ถ้าศาลวินิจฉัยเนื้อหาแห่งคำคู่ความแล้ว  ศาลจะสั่งไม่รับคำคู่ความตามมาตรา  18 ไม่ได้ ศาลต้องยกฟ้องตามมาตรา  172  เช่นศาลตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่าตามคำฟ้องไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง  ชอบที่จะยกฟ้องเสียได้โดยไม่จำต้องสั่งรับฟ้องโจทก์ก่อน และศาลจะสั่งไม่รับฟ้องไม่ได้   ทั้งกรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นการวินิจฉัยเนื้อหาแห่งงคดีหรือประเด็นแห่งคดีแล้ว  ไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมศาลตามมาตรา 151 (ฎ. 424/44, 1733/43, 3267/48)   เมื่อเป็นการวินิจเนื้อหาแห่งคดีแล้ว ศาลชอบที่จะยกฟ้อง จะสั่งไม่รับฟ้องไม่ได้ (ฎ. 5630/48) 

คำสั่งศาลที่สั่งไม่รับ หรือคืนคำคู่ความตามมาตรา  18  อุทธรณ์ฎีกาได้ตามมาตรา  227, 228 และ 247  (มาตรา 18 วรรคท้าย)  แต่การที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของจำเลยที่ขออนุญาตยื่นคำให้การไม่ใช่คำสั่งไม่รับหรือคืนคำคู่ความ (ฎ. 2196/33) 

คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้คืนคำคู่ความไปทำมาใหม่  แต่ผู้ยื่นคำคู่ความไม่ปฎิบัติตามภายในกำหนดเวลา  ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับคำคู่ความนั้นอีก  ดังนี้แม้จะมีการอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ( แต่ศาลชั้นต้นไม่รับ) มาแล้ว ก็ยังมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งให้คืนคำคู่ความได้ ทั้งนี้ถือเป็นการอุทธรณ์ตามมาตรา  18  วรรคท้ายประกอบมาตรา  227 และ 228 (3) ซึ่งอุทธรณ์ได้ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง (ฎ.  9219/47) 

การสั่งไม่รับฟ้องตามมาตรา  18  ยังไม่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี ผู้พิพากษาคนเดียวจึงมีอำนาจสั่งได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา  24(2)  (ฎ. 5458/34)   

กรณีฟ้องโจทก์ต้องห้ามตามบทบัญญัติเรื่องเขตอำนาจศาล ตามมาตรา  18 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลไม่รับหรือคืนคำฟ้อง เพื่อให้ไปยื่นฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจ  อย่างไรก็ตาม หากปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลกลายเป็นประเด็นข้อพิพาท อันศาลจะต้องรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคดีไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น ศาลก็พิพากษายกฟ้องได้  และเมื่อฟังว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีแล้ว กรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา  151 วรรคหนึ่ง อันศาลจะคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ได้ (ฎ. 8947/47) 

การขยายหรือย่นระยะเวลา (มาตรา  23)

ระยะเวลาการขอให้บังคับคดีตามมาตรา  271 ก็ขอขยายได้ (ฎ. 2278/26)

ฎ. 4340-41/45 ป.  การขออนุญาตยื่นคำให้การเมื่อพ้นกำหนดยื่นคำให้การซึ่งหากจะถือว่าเป็นการขอขยายระยะเวลานั้น จำเลยทั้งสองจะต้องอ้างทั้งพฤติการณ์พิเศษ ที่ไม่อาจยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย  และอ้างเหตุสุดวิสัยที่ไม่อาจยื่นคำขอขยายระยะเวลานั้นก่อนสิ้นระยะเวลายื่นคำให้การด้วย

การขอขยายเวลาต้องมีพฤติการณ์พิเศษ  เช่น การขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เนื่องจากเหตุขัดข้องจากเจ้าหน้าที่ศาล ทำให้เพิ่งได้รับสำเนาคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในเวลากระชั้นชิดกับวันครบกำหนดอุทธรณ์ ถือว่ามีพฤติการณ์พิเศษ (ฎ. 2679/44, 5736/45) 

กรณีทนายความไม่ยื่นอุทธรณ์ในกำหนด เป็นเรื่องระหว่างจำเลยและทนายความที่จะไปว่ากล่าวกันเอง  (ฎ.  2773/46)  กรณีความบกพร่องของจำเลยเอง เช่น ไม่ได้เตรียมเงินค่าฤชาธรรมเนียมในการยื่นอุทธรณ์ไว้ (ฎ. 2860/29)  ถือว่าไม่มีพฤติการณ์พิเศษหรือเหตุสุดวิสัยที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ตามมาตรา  23

ข้อสังเกต เกี่ยวกับการนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาล  หากอ้างว่ามีฐานะยากน ไม่สามารถหาค่าธรรมเนียมมาวางศาลได้ เป็นพฤติการณ์พิเศษ แต่ข้ออ้างที่ว่าทนายความติดต่อตัวความนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลไม่ได้ (ฎ.23/22) หรือตัวความไม่นำเงินมาให้ (ฎ. 255/17) หรือเงินค่าธรรมเนียมมากยังหาไม่ครบ (ฎ. 2355/23) หรือตัวความต้องเดินทางไปทำธุระสำคัญต่างประเทศจึงไม่ได้เบิกเงินค่าธรรมเนียมไว้ก่อน(ฎ.  2188/30)    เหล่านี้ เป็นความบกพร่องของคู่ความเอง ไม่ใช่พฤติการณ์พิเศษ

คำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์อ้างว่าที่ประชุมกรรมการบริษัทโจทก์เพิ่งมีมติให้ยื่นอุทธรณ์ เวลาที่เหลือยื่นอุทธรณ์ไม่ทัน เป็นพฤติการณ์พิเศษ เพราะโจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด(มหาชน)  การดำเนินการใดๆ ในเรื่องสำคัญย่อมต้องกระทำในรูปมติของกรรมการบริษัทซึ่งอาจไม่คล่องตัวหรือล่าช้าไปบ้าง ส่วนคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ฉบับที่สองอ้างว่าเจ้าหน้าที่ห้องสำนวนหาสำนวนไม่พบโจทก์ยังไม่ทราบคำสั่งศาลตามคำร้องขอขยายระเวลาฉบับแรกถือว่ามีพฤติการณ์พิเศษ (ฎ. 3356/45)

การขอขยายระยะเวลาต้องยื่นก่อนสิ้นระยะเวลานั้น แต่ถ้าวันครบกำหนดตรงกับวันหยุดราชการ คู่ความก็มีสิทธิขอขยายระยะเวลาในวันแรกที่เปิดทำการได้ เช่นวันครบยื่นฎีกาตรงกับวันเสาร์ ผู้ฎีกาก็มีสิทธิ ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาได้ในวันจันทร์ซึ่งเป็นวันแรกที่เปิดทำการได้ (ฎ. 8735/42) 

ข้อสังเกต เมื่อวันครบกำหนดยื่นฎีกาตรงกับวันเสาร์ โจทก์จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาได้ในวันจันทร์ แต่การเริ่มนับเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยายได้ก็ต้องเริ่มนับต่อจากวันที่ครบกำหนดเดิม คือต้องเริ่มนับหนึ่งในวันอาทิตย์ ไม่ใช่เริ่มนับจากวันที่ยื่นคำร้อง (ฎ. 316/46, 2981/45,567/41)

การขอขยายเวลาต้องร้องขอต่อศาลก่อนสิ้นระยะเวลานั้นเว้นแต่มีเหตุสุดวิสัย คำว่า เหตุสุดวิสัย หมายถึง มีพฤติการณ์นอกเหนือที่ทำให้ศาลไม่อาจจะมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลาก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายหรือศาลกำหนดได้  หรือเหตุที่คู่ความไม่สามารถมีคำขอขืนมาก่อนกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายหรือศาลกำหนดได้ (ฎ.5923/45,2569/35,695/09) หรือเห

การยื่นอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 1 เดือน ดังนั้นข้ออ้างที่ว่าไม่อาจยื่นอุทธรณ์ในวันสุดท้ายได้เนื่องจากการจราจรติดขัดเกินความคามดหมาย หรือทนายความเจ็บป่วย จึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัย (ฎ.  1775/30, 3535/33)

ศาลชั้นต้นอาจขยายระยะเวลาได้โดยใช้อำนาจทั่วไป ซึ่งเป็นดุลพินิจเป็นเรื่องๆไป  โดยไม่จำต้องมีพฤติการณ์พิเศษตามมาตรา  23 (ฎ.  3045/43, ฎ. 9213/39)

กรณีที่คู่ความไม่ดำเนินคดีภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด และศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีไปแล้ว  คู่ความอาจยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนว่ามีพฤติการณ์พิเศษและมีเหตุสุดวิสัยที่ไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาภายในกำหนดนั้นได้ (ฎ.  1288/32 ป.) 

 การชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมาย (มาตรา  24) 

คำสั่งชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา (มาตรา  227,228)  คู่ความอุทธรณ์ฎีกาได้โดยไม่ต้องโต้แย้งไว้  (ฎ.  3425/32)

การชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา  24  ต้องเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมาย ถ้าปัญหาที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ก็ไม่ใช่การชี้ขาดตามมาตรานี้  และเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา  226 (ฎ.3520/24, 1282/35)

ข้อสังเกต   ในทางปฎิบัติ ก่อนศาลจะมีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้น ศาลจะมีคำสั่งให้งดสืบพยานก่อน แล้วจึงมีคำพิพากษา ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าคำสั่งงดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหรือไม่  การวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา  24  เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมาย และถือว่าคำสั่งงดสืบพยานไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตามมาตรา  227,228   อุทธรณ์ได้ทันที   หรืออุทธรณ์ได้ภายหลังมีคำพิพากษาโดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ก่อน  แต่ถ้าศาลวินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริง ก็ไม่ต้องด้วยมาตรา 24  ไม่เข้าข้อยกเว้นว่าไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตามมาตรา  227,228  แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา  226 

บางกรณีมีความยุ่งยากพอสมควรที่จะแบ่งแยกว่า กรณีใดเป็นการชี้ขาดข้อกฎหมายตามมาตรา  24  หรือวินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริง  แต่ก็พอจะแบ่งแยกได้ว่า  ถ้าศาลเพียงแต่พิเคราะห์จากคำฟ้องและคำให้การแล้วมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและวินิจฉัยข้อกฎหมาย  ดังนี้เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายมาตรา  24 (ฎ.  3833/28,956/36,6902/43)

แต่ถ้ามีการสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความ หรือเมื่อมีการสืบพยานไปบ้างแล้ว จึงสั่งให้งดสืบพยาน ต่อมามีคำพิพากษาโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบคู่ความหรือจากพยานที่ได้สืบไปแล้ว  มิใช่การวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา  24  จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา (ฎ. 2308/20, 2158/37)

ตามมาตรา  24  บัญญัติว่า ต้องเป็นกรณีหากวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่ฝ่ายที่ขอให้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย  จึงเป็นหลักสำคัญประการหนึ่งของการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลต้องสั่งเป็นไปในทางเป็นคุณแก่ผู้ขอ เช่น ฟังว่าคดีขาดอายุความ หรือฟ้องโจทก์เคลือบคลุม พิพากษาให้ยกฟ้อง

ถ้าคำชี้ขาดเบื้องต้นนั้นไม่เป็นคุณแก่ผู้ขอ  ก็ไม่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา  24 แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา (ฎ.  3933/48, 226/04)

ถ้าหากศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นแล้ว (เป็นคุณแก่ผู้ขอ) แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์ยก คำสั่งชี้ขาดเบื้องต้นของศาลชั้นต้น (ไม่เป็นคุณ)  ดังนี้ คู่ความฎีกาได้  (ฎ. 268/91 ป.)  ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเช่นนั้นแล้ว คดีก็ย่อมกลับมาสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นอีก  และเสร็จจากศาลอุทธรณ์  จึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์

นอกจากนี้กรณีที่ศาลยังไม่ได้สั่งในเนื้อหาคำขอ  แต่สั่งให้รวมวินิจฉัยคำร้องในคำพิพากษา (ฎ.  462/08)   หรือคำสั่งไม่รับวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้น  (ฎ. 1032/94) ซึ่งไม่เป็นคุณแก่ผู้ขอ ก็เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา  เช่นกัน

เมื่อมีคำขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย  เป็นดุลพินิจของศาลที่จะวินิจฉัยชี้ขาดในระหว่างนั้น หรือจะรอไว้วินิจฉัยพร้อมคำพิพากษาก็ได้ (ฎ.  1254/17) 

การขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา  24 นี้ ขอได้เฉพาะคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จะมาขอในชั้นอุทธรณ์ หรือฎีกาไม่ได้ (คร. 1346/28,ฎ.  945/36)

การขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย หากศาลไม่วินิจฉัยให้ ย่อมมีสิทธิยื่นคำขอนั้นได้อีก ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ (ฎ.  3574/36)

การวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา  24 นี้ ศาลอาจเห็นสมควรชี้ขาดเบื้องต้นเองหรือคู่ความมีคำขอให้ชี้ขาด ดังนั้นในกรณีที่คู่ความขอให้ศาลชี้ขาดโดยอ้างเหตุหนึ่ง ศาลก็อาจชี้ขาดโดยอ้างอีกเหตุหนึ่งได้ (ฎ.1102/06)

 


    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ...คุณเคยมีปัญหาเหล่านี้หรไม่ ? 

      - เพิ่งจบปริญญาตรี ไม่รู้จะเริ่มต้นกับการเรียนเนติอย่างไร
      - 
สอบมาหลายครั้งแล้วไม่ผ่านซัที 47 , 48 , 49 คะแนนอยู่นี่หลายครั้งแล้ว เมื่อไหร่จะถึง 50 คะแนนซักที
      - 
อยู่ต่างจังหวัด ทำงานประจำไม่มีเวลาไปนั่งเรียนที่เนติฯ 
      - 
สมัครติวเนติทางไปรษณีย์ กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ทันสอบ
      - 
สมัครรับจองคำบรรยายเนติทางไปรษณีย์ 
กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ันสอบ
      - เดินทางไปเรียนหรือไปติวรถก็ด...กลับมาก็เหนื่อย
 
     - อยู่ต่างจังหวัดอยากมาเรียนที่ กทม. หรือมาติว...แต่ไม่สามารถมาเรีนหรือมาติวได้เพราะไกลและสถาบัติวก็อยู่หน้ารามกันหมด

    ถ้าเปรียบกับการสอบเนติบัณฑิต กับการทำศึกสงคราม มีกลยุทธ์ 3 อย่าง ดังนี้
        - ท่องตัวบท   คือ อาวุธ ที่เรา สะสมไว้ ต่อสู้ ยิ่งท่องตัวบทได้มาก ก็ มีอาวุธ เก็บไว้สำรองมาก หยิบใช้เมื่อไรก็ได้
        - จดฎีกา       คือการ ศึกษาแผนการรบว่าสถานการณ์แบบใดเราควรจะใช้อาวุธแบบใด ยิ่งจดจำฎีกาไว้มาก ก็มีแนวการตอบข้อสอบได้ตรงจุด ตรงประเด็น ได้มาก และไม่โดนข้อสอบหลอกล่อให้หลงทา
        -  ล่าข้อสอบ   คือ การหัดซ้อมรบก่อน เข้าสู้ศึกสงครามสนามสอบจริง ยิ่งหัดทำข้อสอบมากเท่าใด ก็เป็นการสั่งสมประสบการณ์การหัดทำข้อสอบมากขึ้นทำให้ จับประเด็นและเขียนตอบได้เร็วและทันเวลา
     -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------     
     ขอแนะนำ !!

     ชุดรวบรวมเอกสารคำบรรยายเนติฯ สำหรับเตรียมสอบ ภาค 1/66 และ 2/65
    ++  กลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและอาญา ++  
      - ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวน 1/66 New !!
      -  ไฟล์เอกสารสรุปคำบรรยายเนติฯ 1/66 
      -  ไฟล์เอกสารประกอบคำบรรยาย 1/66 
      -  ไฟล์บทบรรณาธิการ 1/63-1/66 
      -  ไฟล์ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายแพ่งและ อาญา (สมัยที่ 56-65) 
      -  ไฟล์เอกสารทบทวนสรุปประเด็นน่สนใจ 1/66
      -  ไฟล์เอกสารรวมคำพิพากษาฎีกาใหม่ (พร้อมข้อสังเกตน่าสนใจ)1/66
      -   เทคนิคการเขียนคำตอบแบบถูกต้องที่สุด ตลอดจนเทคนิคการปรับบทกฎหมายต่งๆสำหรับทุกสนามสอบ (การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่ยฯ/อัยการ)
    ..................................................................................................................................................
    ++ กลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความอาญา ++ 
      - ไฟล์เสียงคำบรรยายภาคปกติ, ภาคค่ำ และภาคทบทวนวันอาทิตย์ 
      - ไฟล์เอกสารสรุปคำบรรยายเนติฯ 2/65 
      - ไฟล์เอกสารประกอบคำบรรยาย 2/65 
      - ไฟล์บทบรรณาธิการ 2/63-2/65 
      - ไฟล์ธงคำตอบกลุ่มวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและวิธีพิจารณาความ อาญา (สมัยที่ 56-65) 
      - เทคนิคการเขียนคำตอบแบบถูกต้องที่สุด ตลอดจนเทคนิคการปรับบทกฎหมายต่งๆสำหรับทุกสนามสอบ (การเตรียมพร้อมสอบเนติฯ/ผู้ช่ยฯ/อัยการ)  
    ..................................................................................................................................................
     ค่ารวบรวม   : ภาคละ 350.-บาท  (DVD 4 แผ่น) (ส่ง EMS ฟรี !! + แถมฟรี !! แผ่นรองเม้าท์) 
     หมายเหตุ     :  สั่งซื้อทั้ง 2 ภาค ค่ารวมรวมพิเศษ 650.- บาท (ส่ง EMS ฟรี !! + แถมฟรี !! แผ่นรองเม้าท์ + CD แบบร่างสัญญามากกว่า 400 แบบ (file word) + แบบฟอร์มศาล, แบบฟอร์มเ อกสารงานบุคคล,เอกสารงานบัญชีและภาษี) 

           ** สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ 085-801-0725, E-mail :siripit...@gmail.com **

 
Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages