จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นที่ตนมีภูมิลำเนา หรือต่อศาลที่ตนอยู่ในขณะนั้น โดยต้องระบุเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถเดินทางไปดำเนินกระบวนพิจารณาต่อศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจได้ มิฉะนั้นเป็นการไม่ชอบ (ฎ. 7443/44)
การยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีต่อศาลชั้นต้น มาตรา 10 โดยอ้างเหตุสุดวิสัยในคำร้องขอเลื่อนก็ได้ ไม่จำต้องยื่นคำร้องแยกเป็นอีกฉบับหนึ่ง และเป็นอำนาจศาลที่รับคำร้องตามมาตรา 10 ที่จะสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี (ฎ. 1643/45)
การยื่นคำฟ้องต่อศาลชั้นต้นตามที่ระบุไว้ในมาตรา 10 ก็เป็นอำนาจของศาลชั้นต้นดังกล่าวพิจารณาสั่งรับฟ้องหรือไม่ อย่างไรก็ดี การที่ศาลสั่งรับเฉพาะคำร้อง ส่วนคำฟ้องได้ส่งไปให้ศาลที่มีอำนาจเหนือคดีพิจารณา ก็ถือว่าศาลชั้นต้นนั้นยอมรับคำฟ้องแล้ว (ฎ.1374/46)
การตรวจคำคู่ความ (มาตรา 18)
อำนาจในการตรวจคำคู่ความ เป็นอำนาจของศาล ไม่ใช่อำนาจของพนักงานรับฟ้อง (ฎ. 179/18, 1673/23) และอำนาจในการตรวจคำคู่ความ ไม่ได้จำกัดเฉพาะขณะที่ยื่นคำคู่ความเท่านั้น (ฎ. 47/19) ต่อมามีคำพิพากษาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลรับฟ้องไว้แล้ว พบว่าโจทก์เสียค่าธรรมเนียมไม่ถูกต้อง จึงกำหนดเวลาให้โจทก์เสียให้ถูกต้อง เป็นคำสั่งตามมาตรา 174(2) ไม่ใช่มาตรา 18 วรรคสอง เมื่อโจทก์ไม่ปฎิบัติตาม จึงเป็นการทิ้งฟ้องไม่เข้าเหตุที่ศาลจะสั่งคืนค่าธรรมเนียมตามมาตรา 151 (ฎ. 3601/30)
ข้อสำคัญ คือกรณีตามมาตรา 18 วรรคสอง เมื่อศาลเห็นว่าคำคู่ความที่ยื่นต่อศาลอ่านไม่ออก อ่านไม่เข้าใจ เขียนฟุ่มเฟือยเกินไป หรือไม่มีรายการ ไม่มีลายมือชื่อ ไม่แนบเอกสารต่างๆตามที่กฎหมายต้องการ หรือมิได้ชำระค่าธรรมเนียมให้ถูกต้อง ศาลจะสั่งคืนคำคู่ความให้ไปทำมาใหม่ แก้ไขเพิ่มเติมหรือชำระค่าธรรมเนียมให้ถูกต้องภายในเวลาที่ดำหนดเสียก่อน หากคู่ความไม่ปฎิบัติ ศาลจึงจะสั่งไม่รับคำคู่ความได้ ศาลจะสั่งไม่รับคำคู่ความโดยไม่กำหนดเวลาให้คู่ความแก้ไขหรือปฎิบัติให้ถูกต้องเสียก่อน เป็นการผิดขั้นตอน ศาลจะสั่งไม่รับฟ้องหรือไม่รับคำร้องทันทีไม่ได้ ( คร. 1500/46, ฎ. 3480/34,4201/34)
แต่ถ้าเป็นเรื่องเงินค่าธรรมเนียมที่ผู้อุทธรณ์ต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งและต้องนำมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ตามมาตรา 229 หากผู้อุทธรณ์ไม่นำมาวาง ศาลสั่งไม่รับอุทธรณ์ได้เลย กรณีไม่ใช่เรื่องของการมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมให้ถูกต้องครบถ้วนตามมาตรา 18 ศาลไม่จำต้องกำหนดเวลาตามมาตรา 18 ให้ชำระก่อนที่จะสั่งไม่รับคำคู่ความ (ฎ. 3/48, 5776/44, 4052/28)
กรณีที่โจทก์เสียค่าธรรมเนียมไม่ครบถ้วน แม้ศาลไม่สั่งให้เสียเพิ่ม คำฟ้องโจทก์ก็ไม่เสียไป และถือว่าเป็นเรื่องของโจทก์กับศาล จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกา (ฎ. 380/37)
คำคู่ความไม่มีลายมือชื่อ
คำคู่ความที่ไม่มีลายมือชื่อของผู้ยื่น ศาลอาจสั่งให้ทำมาใหม่หรือสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวได้ตามมาตรา 18 วรรคสอง เพราะเป็นเพียงคำฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 67(5) (ฎ. 5556/43, ฎ.5622/48)
โจทก์แต่งทนายความโดยลงลายพิมพ์นิ้วมือมีผู้รับรองเพียงคนเดียว ทนายความไม่มีอำนาจทำการแทนโจทก์ เมื่อไม่ได้ลงชื่อในคำฟ้องจึงเท่ากับคำฟ้องไม่มีลายมือชื่อโจทก์ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งให้ทำมาใหม่ หรือแก้ไขเพิ่มเติมได้ตามมาตรา 18 วรรคสอง (ฎ. 4422/45, 3381/42)
หรือกรณีทนายความยื่นอุทธรณ์โดยไม่มีอำนาจ ศาลชั้นต้นสั่งให้แก้ไขอำนาจทนายความ หรือสั่งไม่รับอุทธรณ์ตามมาตรา 18 ก็ได้ การที่ผู้อุทธรณ์ยื่นใบแต่งทนายความที่ให้อำนาจทนายความโจทก์ยื่นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์สั่งให้รับอุทธรณ์ไว้ ถือว่าศาลอุทธรณ์อนุญาตให้อุทธรณ์แล้ว (ฎ. 432/42)
ในกรณีที่คู่ความใช้แบบพิมพ์ศาลไม่ถูกต้อง ศาลก็มีหน้าที่สั่งให้ผู้ยื่นแก้ไขให้ถูกต้อง แต่ถ้าศาลมิได้สั่งให้แก้ไขให้ถูกต้องก่อนชี้ขาดตัดสินคดี ก็ไม่ถึงกับจะทำให้คู่ความนั้นเสียไป (ฎ. 4071/34) และอนุโลมเป็นคำฟ้องที่ชอบ (ฎ. 2243-5/23)
กรณีไม่แนบเอกสารต่างๆที่กฎหมายต้องการ ได้แก่ หนังสืออนุญาต หรือให้ความยินยอมในการฟ้องคดีของผู้ไร้ความสามารถตามมาตรา 56 , ใบแต่งทนายความ มาตรา 61, ใบมอบฉันทะ ตามมาตรา 64
แต่ถ้าฟ้องบังคับให้รับผิดตามสัญญา ไม่จำต้องแนบเอกสารสัญญานั้นๆ มาพร้อมกับคำฟ้องด้วย (ฎ. 1577/20, 944/15,3303/32)
หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีก็ไม่ใช่เอกสารที่กฎหมายต้องการ ไม่ต้องแนบมาท้ายฟ้อง (ฎ. 18/44, 3243/40,392/35)
โดยสรุป เมื่อศาลตรวจคำคู่ความแล้วเห็นว่าไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นไปตามเงื่อนไขตามกฎหมาย ศาลอาจสั่งให้แก้ไขเพิ่มเติม สั่งให้ชำระเงินค่าธรรมเนียม ให้ครบถ้วน สั่งให้คืนคำคู่ความไปทำมาใหม่ หรือสั่งไม่รับคำคู่ความเสียทีเดียว แต่การสั่งไม่รับคำคู่ความตามมาตรา 18 ต้องเป็นกรณีที่ศาลมิได้วินิจฉัยเนื้อหาแห่งคำคู่ความนั้น
ถ้าศาลวินิจฉัยเนื้อหาแห่งคำคู่ความแล้ว ศาลจะสั่งไม่รับคำคู่ความตามมาตรา 18 ไม่ได้ ศาลต้องยกฟ้องตามมาตรา 172 เช่นศาลตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่าตามคำฟ้องไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ชอบที่จะยกฟ้องเสียได้โดยไม่จำต้องสั่งรับฟ้องโจทก์ก่อน และศาลจะสั่งไม่รับฟ้องไม่ได้ ทั้งกรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นการวินิจฉัยเนื้อหาแห่งงคดีหรือประเด็นแห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมศาลตามมาตรา 151 (ฎ. 424/44, 1733/43, 3267/48) เมื่อเป็นการวินิจเนื้อหาแห่งคดีแล้ว ศาลชอบที่จะยกฟ้อง จะสั่งไม่รับฟ้องไม่ได้ (ฎ. 5630/48)
คำสั่งศาลที่สั่งไม่รับ หรือคืนคำคู่ความตามมาตรา 18 อุทธรณ์ฎีกาได้ตามมาตรา 227, 228 และ 247 (มาตรา 18 วรรคท้าย) แต่การที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของจำเลยที่ขออนุญาตยื่นคำให้การไม่ใช่คำสั่งไม่รับหรือคืนคำคู่ความ (ฎ. 2196/33)
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้คืนคำคู่ความไปทำมาใหม่ แต่ผู้ยื่นคำคู่ความไม่ปฎิบัติตามภายในกำหนดเวลา ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับคำคู่ความนั้นอีก ดังนี้แม้จะมีการอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ( แต่ศาลชั้นต้นไม่รับ) มาแล้ว ก็ยังมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งให้คืนคำคู่ความได้ ทั้งนี้ถือเป็นการอุทธรณ์ตามมาตรา 18 วรรคท้ายประกอบมาตรา 227 และ 228 (3) ซึ่งอุทธรณ์ได้ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง (ฎ. 9219/47)
การสั่งไม่รับฟ้องตามมาตรา 18 ยังไม่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี ผู้พิพากษาคนเดียวจึงมีอำนาจสั่งได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 24(2) (ฎ. 5458/34)
กรณีฟ้องโจทก์ต้องห้ามตามบทบัญญัติเรื่องเขตอำนาจศาล ตามมาตรา 18 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลไม่รับหรือคืนคำฟ้อง เพื่อให้ไปยื่นฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจ อย่างไรก็ตาม หากปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลกลายเป็นประเด็นข้อพิพาท อันศาลจะต้องรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคดีไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น ศาลก็พิพากษายกฟ้องได้ และเมื่อฟังว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีแล้ว กรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 151 วรรคหนึ่ง อันศาลจะคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ได้ (ฎ. 8947/47)
การขยายหรือย่นระยะเวลา (มาตรา 23)
ระยะเวลาการขอให้บังคับคดีตามมาตรา 271 ก็ขอขยายได้ (ฎ. 2278/26)
ฎ. 4340-41/45 ป. การขออนุญาตยื่นคำให้การเมื่อพ้นกำหนดยื่นคำให้การซึ่งหากจะถือว่าเป็นการขอขยายระยะเวลานั้น จำเลยทั้งสองจะต้องอ้างทั้งพฤติการณ์พิเศษ ที่ไม่อาจยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย และอ้างเหตุสุดวิสัยที่ไม่อาจยื่นคำขอขยายระยะเวลานั้นก่อนสิ้นระยะเวลายื่นคำให้การด้วย
การขอขยายเวลาต้องมีพฤติการณ์พิเศษ เช่น การขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เนื่องจากเหตุขัดข้องจากเจ้าหน้าที่ศาล ทำให้เพิ่งได้รับสำเนาคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในเวลากระชั้นชิดกับวันครบกำหนดอุทธรณ์ ถือว่ามีพฤติการณ์พิเศษ (ฎ. 2679/44, 5736/45)
กรณีทนายความไม่ยื่นอุทธรณ์ในกำหนด เป็นเรื่องระหว่างจำเลยและทนายความที่จะไปว่ากล่าวกันเอง (ฎ. 2773/46) กรณีความบกพร่องของจำเลยเอง เช่น ไม่ได้เตรียมเงินค่าฤชาธรรมเนียมในการยื่นอุทธรณ์ไว้ (ฎ. 2860/29) ถือว่าไม่มีพฤติการณ์พิเศษหรือเหตุสุดวิสัยที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ตามมาตรา 23
ข้อสังเกต เกี่ยวกับการนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาล หากอ้างว่ามีฐานะยากน ไม่สามารถหาค่าธรรมเนียมมาวางศาลได้ เป็นพฤติการณ์พิเศษ แต่ข้ออ้างที่ว่าทนายความติดต่อตัวความนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลไม่ได้ (ฎ.23/22) หรือตัวความไม่นำเงินมาให้ (ฎ. 255/17) หรือเงินค่าธรรมเนียมมากยังหาไม่ครบ (ฎ. 2355/23) หรือตัวความต้องเดินทางไปทำธุระสำคัญต่างประเทศจึงไม่ได้เบิกเงินค่าธรรมเนียมไว้ก่อน(ฎ. 2188/30) เหล่านี้ เป็นความบกพร่องของคู่ความเอง ไม่ใช่พฤติการณ์พิเศษ
คำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์อ้างว่าที่ประชุมกรรมการบริษัทโจทก์เพิ่งมีมติให้ยื่นอุทธรณ์ เวลาที่เหลือยื่นอุทธรณ์ไม่ทัน เป็นพฤติการณ์พิเศษ เพราะโจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด(มหาชน) การดำเนินการใดๆ ในเรื่องสำคัญย่อมต้องกระทำในรูปมติของกรรมการบริษัทซึ่งอาจไม่คล่องตัวหรือล่าช้าไปบ้าง ส่วนคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ฉบับที่สองอ้างว่าเจ้าหน้าที่ห้องสำนวนหาสำนวนไม่พบโจทก์ยังไม่ทราบคำสั่งศาลตามคำร้องขอขยายระเวลาฉบับแรกถือว่ามีพฤติการณ์พิเศษ (ฎ. 3356/45)
การขอขยายระยะเวลาต้องยื่นก่อนสิ้นระยะเวลานั้น แต่ถ้าวันครบกำหนดตรงกับวันหยุดราชการ คู่ความก็มีสิทธิขอขยายระยะเวลาในวันแรกที่เปิดทำการได้ เช่นวันครบยื่นฎีกาตรงกับวันเสาร์ ผู้ฎีกาก็มีสิทธิ ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาได้ในวันจันทร์ซึ่งเป็นวันแรกที่เปิดทำการได้ (ฎ. 8735/42)
ข้อสังเกต เมื่อวันครบกำหนดยื่นฎีกาตรงกับวันเสาร์ โจทก์จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาได้ในวันจันทร์ แต่การเริ่มนับเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยายได้ก็ต้องเริ่มนับต่อจากวันที่ครบกำหนดเดิม คือต้องเริ่มนับหนึ่งในวันอาทิตย์ ไม่ใช่เริ่มนับจากวันที่ยื่นคำร้อง (ฎ. 316/46, 2981/45,567/41)
การขอขยายเวลาต้องร้องขอต่อศาลก่อนสิ้นระยะเวลานั้นเว้นแต่มีเหตุสุดวิสัย คำว่า เหตุสุดวิสัย หมายถึง มีพฤติการณ์นอกเหนือที่ทำให้ศาลไม่อาจจะมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลาก่อนสิ้นระยะเวลาที่กฎหมายหรือศาลกำหนดได้ หรือเหตุที่คู่ความไม่สามารถมีคำขอขืนมาก่อนกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายหรือศาลกำหนดได้ (ฎ.5923/45,2569/35,695/09) หรือเห
การยื่นอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 1 เดือน ดังนั้นข้ออ้างที่ว่าไม่อาจยื่นอุทธรณ์ในวันสุดท้ายได้เนื่องจากการจราจรติดขัดเกินความคามดหมาย หรือทนายความเจ็บป่วย จึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัย (ฎ. 1775/30, 3535/33)
ศาลชั้นต้นอาจขยายระยะเวลาได้โดยใช้อำนาจทั่วไป ซึ่งเป็นดุลพินิจเป็นเรื่องๆไป โดยไม่จำต้องมีพฤติการณ์พิเศษตามมาตรา 23 (ฎ. 3045/43, ฎ. 9213/39)
กรณีที่คู่ความไม่ดำเนินคดีภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด และศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีไปแล้ว คู่ความอาจยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนว่ามีพฤติการณ์พิเศษและมีเหตุสุดวิสัยที่ไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาภายในกำหนดนั้นได้ (ฎ. 1288/32 ป.)
การชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมาย (มาตรา 24)
คำสั่งชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา (มาตรา 227,228) คู่ความอุทธรณ์ฎีกาได้โดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ (ฎ. 3425/32)
การชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 ต้องเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมาย ถ้าปัญหาที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ก็ไม่ใช่การชี้ขาดตามมาตรานี้ และเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 (ฎ.3520/24, 1282/35)
ข้อสังเกต ในทางปฎิบัติ ก่อนศาลจะมีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้น ศาลจะมีคำสั่งให้งดสืบพยานก่อน แล้วจึงมีคำพิพากษา ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าคำสั่งงดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาหรือไม่ การวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา 24 เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมาย และถือว่าคำสั่งงดสืบพยานไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตามมาตรา 227,228 อุทธรณ์ได้ทันที หรืออุทธรณ์ได้ภายหลังมีคำพิพากษาโดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ก่อน แต่ถ้าศาลวินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริง ก็ไม่ต้องด้วยมาตรา 24 ไม่เข้าข้อยกเว้นว่าไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตามมาตรา 227,228 แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226
บางกรณีมีความยุ่งยากพอสมควรที่จะแบ่งแยกว่า กรณีใดเป็นการชี้ขาดข้อกฎหมายตามมาตรา 24 หรือวินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริง แต่ก็พอจะแบ่งแยกได้ว่า ถ้าศาลเพียงแต่พิเคราะห์จากคำฟ้องและคำให้การแล้วมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและวินิจฉัยข้อกฎหมาย ดังนี้เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายมาตรา 24 (ฎ. 3833/28,956/36,6902/43)
แต่ถ้ามีการสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความ หรือเมื่อมีการสืบพยานไปบ้างแล้ว จึงสั่งให้งดสืบพยาน ต่อมามีคำพิพากษาโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบคู่ความหรือจากพยานที่ได้สืบไปแล้ว มิใช่การวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา 24 จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา (ฎ. 2308/20, 2158/37)
ตามมาตรา 24 บัญญัติว่า ต้องเป็นกรณีหากวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่ฝ่ายที่ขอให้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นหลักสำคัญประการหนึ่งของการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลต้องสั่งเป็นไปในทางเป็นคุณแก่ผู้ขอ เช่น ฟังว่าคดีขาดอายุความ หรือฟ้องโจทก์เคลือบคลุม พิพากษาให้ยกฟ้อง
ถ้าคำชี้ขาดเบื้องต้นนั้นไม่เป็นคุณแก่ผู้ขอ ก็ไม่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา 24 แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา (ฎ. 3933/48, 226/04)
ถ้าหากศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นแล้ว (เป็นคุณแก่ผู้ขอ) แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์ยก คำสั่งชี้ขาดเบื้องต้นของศาลชั้นต้น (ไม่เป็นคุณ) ดังนี้ คู่ความฎีกาได้ (ฎ. 268/91 ป.) ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเช่นนั้นแล้ว คดีก็ย่อมกลับมาสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นอีก และเสร็จจากศาลอุทธรณ์ จึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์
นอกจากนี้กรณีที่ศาลยังไม่ได้สั่งในเนื้อหาคำขอ แต่สั่งให้รวมวินิจฉัยคำร้องในคำพิพากษา (ฎ. 462/08) หรือคำสั่งไม่รับวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้น (ฎ. 1032/94) ซึ่งไม่เป็นคุณแก่ผู้ขอ ก็เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เช่นกัน
เมื่อมีคำขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย เป็นดุลพินิจของศาลที่จะวินิจฉัยชี้ขาดในระหว่างนั้น หรือจะรอไว้วินิจฉัยพร้อมคำพิพากษาก็ได้ (ฎ. 1254/17)
การขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา 24 นี้ ขอได้เฉพาะคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จะมาขอในชั้นอุทธรณ์ หรือฎีกาไม่ได้ (คร. 1346/28,ฎ. 945/36)
การขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย หากศาลไม่วินิจฉัยให้ ย่อมมีสิทธิยื่นคำขอนั้นได้อีก ไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ (ฎ. 3574/36)
การวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามมาตรา 24 นี้ ศาลอาจเห็นสมควรชี้ขาดเบื้องต้นเองหรือคู่ความมีคำขอให้ชี้ขาด ดังนั้นในกรณีที่คู่ความขอให้ศาลชี้ขาดโดยอ้างเหตุหนึ่ง ศาลก็อาจชี้ขาดโดยอ้างอีกเหตุหนึ่งได้ (ฎ.1102/06)
- เพิ่งจบปริญญาตรี ไม่รู้จะเริ่มต้นกับการเรียนเนติอย่างไร
- สอบมาหลายครั้งแล้วไม่ผ่านซักที 47 , 48 , 49 คะแนนอยู่นี่หลายครั้งแล้ว เมื่อไหร่จะถึง 50 คะแนนซักที
- อยู่ต่างจังหวัด ทำงานประจำไม่มีเวลาไปนั่งเรียนที่เนติฯ
- สมัครติวเนติทางไปรษณีย์ กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ทันสอบ
- สมัครรับจองคำบรรยายเนติทางไปรษณีย์ กว่าจดหมายจะมาถึงก็ไม่ทันสอบ
- เดินทางไปเรียนหรือไปติวรถก็ติด...กลับมาก็เหนื่อย
- อยู่ต่างจังหวัดอยากมาเรียนที่ กทม. หรือมาติว...แต่ไม่สามารถมาเรียนหรือมาติวได้เพราะไกลและสถาบันติวก็อยู่หน้ารามกันหมด