สรุปคำบรรยาย มรดกกลางวัน ครั้งที่ 5 . w7(06-07-09)

1,052 views
Skip to first unread message

nobita kwang

unread,
Jul 13, 2009, 2:04:32 AM7/13/09
to LAWSIAM

หากเอกสารสรุปคำบรรยายนี้ มีข้อผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้า  kankokub  ขออภัยและน้อมรับแต่เพียงผู้เดียว หากจะมีประโยชน์อยู่บ้างขอมอบให้แก่ ท่านอาจารย์ ม.ล.เฉลิมชัย เกษมสันต์ผู้บรรยาย   , ผู้มีน้ำใจส่ง flie เสียงที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้ฟังคำบรรยาย , บิดามารดาข้าพเจ้า

ครั้งที่ 5 . w7(06-07-09)

สวัสดีครับ พบกันเป็นครั้งที่ 6 มีประกาศ ฟังให้ดี มีข้อผิดพลาด

ข้อที่ 1. มาตรา 1640  เมื่อบุคคลใดต้องถือว่าถึงแก่ความตายตามความในมาตรา 65 แห่งประมวลกฎหมายนี้ให้มีการรับมรดกแทนที่กันได้ ตอนเรียนธรรมศาสตร์ ท่านอาจารย์ ประมล บอกว่า ที่สอนมาทั้งหมด ผิดทั้งสิ้น  เป็นการให้จำ

1640 ได้บรรยายว่าความตายนั้นหมายถึงการตายโดยธรรมชาติเท่านั้น ใช้ไหม ดูตัวบทจะเห็นว่าไม่ใช่ เพราะความตาย นั้นมีทั้งตาย โดยธรรมชาติ และโดยการศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ

ถามต่อว่าเป็นเหตุฟ้องหย่าเท่านั้นใช่หรือไม่ เปิดตามมาตรา 1516  เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

                                (1)สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้*(แก้ไข 12 กันยายน 2550)                       

                            (2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง

                           (ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง

                           (ข) ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป หรือ

                           (ค) ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

                            (3) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

                            (4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

                                            (4/1) สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปีในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดหรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้นด้วยและการเป็นสามีภริยากันต่อไปจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหายหรือเดือนร้อนเกินควรอีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

                                (4/2) สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีหรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

               (5) สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลาเกินสามปีโดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

                            (6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

           (7) สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้ กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

                            (8) สามีหรือภริยาผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

                            (9) สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงอันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่ายหนึ่งและโรคมีลักษณะเรื้อรังไม่มีทางที่จะหายได้ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

                            (10) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกาย ทำให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้                  

คือเป็นเหตุฟ้องหย่าเท่านั้น หากยังไม่ได้ร้องขอให้เป็นคนสาบสูญ ก็ไม่ตาย

ต่อไป มาตรา 1607  การถูกกำจัดมิให้รับมรดกนั้นเป็นการเฉพาะตัว ผู้สืบสันดานของทายาทที่ถูกกำจัดสืบมรดกต่อไปเหมือนหนึ่งว่าทายาทนั้นตายแล้ว แต่ในส่วนทรัพย์สินซึ่งผู้สืบสันดานได้รับมรดกมาเช่นนี้ ทายาทที่ว่านั้นไม่มีสิทธิที่จะจัดการและใช้ดั่งที่ระบุไว้ในบรรพ 5 ลักษณะ 2 หมวด 3 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ในกรณีเช่นนั้นให้ใช้มาตรา 1548 บังคับโดยอนุโลม เกี่ยวกับการจำกัดไม่ให้รับมรดกภายหลังเจ้ามรดกตาย เคย ออกสมัย 51 แล้วมาแล้ว

478/2539

โจทก์เป็นบุคคลภายนอกไม่ใช่คู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่154/2527ของศาลชั้นต้นดังนั้นโจทก์สามารถพิสูจน์ได้ว่าที่ดินส่วนของบ. ในโฉนดเลขที่2505ดังกล่าวเป็นมรดกของบ. จำเลยมิได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา10ปีคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145(2) ที่ดินพิพาทเป็นมรดกของบ. โดยบ. มีบุตร4คนคือโจทก์ทั้งสองจำเลยและจ.แต่จ.ถึงแก่ความตายก่อนบ. โดยจ. มีบุตร3คนบ.ถึงแก่ความตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมจำเลยจึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของบ. เพียงหนึ่งในสี่สวนเท่านั้นเมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนของบ.ทั้งหมดโดยการครอบครองทั้งๆที่จำเลยมิได้ครองครองที่ดินพิพาทโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาถึง10ปีก่อนจำเลยยื่นคำร้องขอเช่นนั้นแล้วจำเลยนำพยานหลักฐานมาไต่สวนในคดีดังกล่าวจนศาลชั้นต้นหลงเชื่อและมีคำสั่งว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทส่วนของบ. ในโฉนดที่ดินเลขที่2505โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382แล้วจำเลยนำคำสั่งศาลชั้นต้นนั้นไปจดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจึงถือได้ว่าจำเลยได้ยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกมากว่าส่วนที่ตนจะได้โดยฉ้อฉลหรือรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทคนอื่นจำเลยจึงต้องถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดกเลยตามมาตรา1605วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ที่1เบิกความเป็นพยานในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่154/2527ของศาลชั้นต้นยืนยันว่าจำเลยครอบครองที่ดินของบ. โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า10ปีโดยเจตนาให้หลานและทายาทอื่นของบ. ไม่ได้รับมรดกด้วยโจทก์ที่1ย่อมต้องได้รับผลในลักษณะคดีในฐานพยานเท็จไม่ได้รับมรดกที่ดินในกรณีพิพาทนี้ด้วยเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามไม่ให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองโดยไม่ได้วินิจฉัยปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ทั้งสองขาดอายุความไม่เมื่อโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ทั้งสองอุทธรณ์จำเลยก็ไม่ได้ยกปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ทั้งสองขาดอายุความตั้งเป็นประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์จึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความในชั้นอุทธรณ์ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ทั้งสองขาดอายุความจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ทั้งไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามมาตรา249วรรคหนึ่งเช่นกัน แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1639บัญญัติให้ผู้สืบสันดานของทายาทที่ถูกกำจัดมิให้รับมรดกแทนที่ทายาทนั้นได้ในกรณีที่ทายาทนั้นถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตายเท่านั้นก็ตามแต่มาตรา1607บัญญัติว่าการถูกกำจัดมิให้รับมรดกนั้นเป็นการเฉพาะตัวผู้สืบสันดานของทายาทที่ถูกกำจัดสืบมรดกต่อไปเหมือนหนึ่งว่าทายาทนั้นตายแล้วโดยมิได้บัญญัติว่าผู้สืบสันดานของทายาทที่ถูกกำจัดมิให้รับมรดกสืบมรดกต่อไปได้เฉพาะในกรณีที่ทายาทนั้นถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตายเท่านั้นดังนั้นแม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกของบ. เจ้ามรดกมากกว่าส่วนที่ตนจะได้และต้องถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดกของบ. เลยอันเป็นการถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดกหลังเจ้ามรดกตายก็ตามบุตรของจำเลยซึ่งเป็นผู้สืบสันดานของจำเลยทายาทผู้ถูกกำจัดมิให้รับมรดกของนายบุญช่วยย่อมสืบมรดกของบ.ต่อไปได้เหมือนหนึ่งว่าจำเลยตายแล้วตามบทบัญญัติแห่งมาตรา1607และบทบัญญัติมาตรา1607หาได้อยู่ภายใต้บังคับของมาตรา1639ไม่

 

ประเด็นคือ กรณีกำจัดไม่ให้รับมรดกภายหลังเจ้ามรดกตาย จึงใช้มาตรา 1639  ถ้าบุคคลใดซึ่งจะเป็นทายาทตามมาตรา 1629(1)(3)(4) หรือ (6) ถึงแก่ความตาย หรือ ถูกกำจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ถ้าบุคคลนั้นมีผู้สืบสันดานก็ให้ผู้สืบสันดานรับมรดกแทนที่ ถ้าผู้ สืบสันดานคนใดของบุคคลนั้นถึงแก่ความตายหรือถูกกำจัดมิให้รับมรดกเช่นเดียวกัน ก็ให้ผู้สืบสันดานของผู้สืบสันดานนั้นรับมรดกแทนที่ และให้มีการรับมรดกแทนที่กันเฉพาะส่วนแบ่งของบุคคลเป็นรายๆสืบต่อกันเช่นนี้ไปจนหมดสาย ไม่ได้ เพราะ เป็นกรณีต้องตายหรือเกิดเหตุก่อนเจ้ามรดกตาย ฏีกานี้บอกให้ใช้         มาตรา 1607  การถูกกำจัดมิให้รับมรดกนั้นเป็นการเฉพาะตัว ผู้สืบสันดานของทายาทที่ถูกกำจัดสืบมรดกต่อไปเหมือนหนึ่งว่าทายาทนั้นตายแล้ว แต่ในส่วนทรัพย์สินซึ่งผู้สืบสันดานได้รับมรดกมาเช่นนี้ ทายาทที่ว่านั้นไม่มีสิทธิที่จะจัดการและใช้ดั่งที่ระบุไว้ในบรรพ 5 ลักษณะ 2 หมวด 3 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ในกรณีเช่นนั้นให้ใช้มาตรา 1548 บังคับโดยอนุโลม เพื่อปรับกับปัญหาที่ว่ามีการกำจัดหลังเจ้ามรดกตาย ย้ำว่าเป็นการกำจัดเฉพาะตัว

ที่สำคัญ 1607 ไม่อยู่ในบังคับ 1639 ใช่หรือไม่  ฏีกาเป็นอย่างนั้น นั่นคือมีการสืบมรดกได้

อธิบาย 1615 วรรค  2 ผิด ย้ำใช้ตอนไหน ใช้เกี่ยวกับกรณีทายาทโดยธรรม สละมรดก ย้ำ ถ้าเป็นทายาทในฐานะผู้รับพินัยกรรม สละแล้ว 1617 +1618  โดยเฉพาะ กาดอกจันทร์ 1618 สวยมาก ผู้รับพินัยกรรมสละมรดก ถามว่ามีการสืบมรดกได้หรือไม่ คำตอบ 1618 บอกว่าไม่ได้

คือคำตอบ และถ้าดูตรงนี้ ผู้รับพินัยกรรมสละมรดกถามว่าเงินจำนวนนี้ไปไหน คำตอบ 1618 เข้าสู่การแบ่งของทายาทโดยธรรมใช่หรือไม่ ฟังช้าๆ ที่พูดมามีมาตรา อะไรบ้างที่วิ่งไปสู่ทายาทโดยธรรม เพราะ ไม่ว่าใครได้รับเลือกข้อสอบก็ต้องมีเกี่ยวกับเรื่องนี้

ที่พูดบ่อยคือ 1620 ***** เคยให้ทำ *** แล้ว พินัยกรรมไม่ได้ทำหรือไม่มีผล ก็มีอยู่สองวรรค ต้องท่องให้ได้ กาดอกจันทร์หนักๆไป

และมาตราอะไรที่ให้จำเป็นพิเศษ มาตรา 1699 ใช่หรือไม่ เคยให้จดให้ขีดเส้นด้วย ไร้ผลมีอะไรบ้างคงไม่พูดเสียเวลาวันนี้

ประการที่สามคือมาตรา 1615 ผู้รับพินัยกรรมสละทรัพย์ตามพินัยกรรม ทรัพย์ดังกล่าวต้องแบ่งให้สู้ทายาทโดยธรรม

ต้องจำให้ดี ตอบธงถูกใช้หลักกฎหมายผิดคือผิดนะครับ

ข้อที่สาม ผู้สืบสันดานโดยตรงมีฏีกาเด่น

1773/2528 - ค้นไม่พบ ให้จดไว้แล้ว และ

 

290/2494

บุตรบุญธรรมตายก่อนผู้รับบุตรบุญธรรม บุตรของบุตรบุญธรรมย่อมมีสิทธิรับมรดกแทนที่กันได้ตามสิทธิที่กฎหมายให้ไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1639

 

 ได้วินิจฉัยคำว่าผู้สืบสันดานโดยตรง ข้อที่สี่ เกือบเสียมวย ตั้งปัญหามาแล้ว เงอะๆงะๆ ตอนนั้นร้อนและเหนื่อยแล้ว

ตั้งใจฟังและจดไว้ใหม่ สิ่งเล็กๆน้อยเหมือนง่ายแต่เป็นจุดตาย

ไล่ตามลำดับไป เพราะไม่ได้ลงในคำบรรยาย

ก + ข จดทะเบียนสมรสชอบด้วยกฎหมาย = 1457

ถามคำถามแรก ข เป็นทายาทโดยธรรมของก หรือไม่ ตอบ เป็นตามมาตรา 1629 วรรค 2 เพราะเป็นคู่สมรส

ข ตาย ก่อน ก สามี หรือ ถูกำจัดไม่ให้รับมรดกก่อน ก ตาย ถามว่า 1. ซึ่งเป็นบุตรของ ก และ ข รับมรดกแทนที่ ข ผู้เป็นมารดาได้หรือไม่ ตอบ ไม่ได้ เพราะการรับมรดกแทนที่ มีได้แต่ ทายาทโดยธรรม ประเภท ญาติ ลำดับที่ 1  3 4 6 เท่านั้น

ใบ้ ที่น่าตอบมีอยู่สองมาตรา คือ 1639 กับ 1643

       เปิดตัวบทลองพิจารณาดูสิว่าอะไรคืออะไร

            ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ข ภริยาเป็นบุคคลซึ่งจะเป็นทายาทตามมาตรา 1639 ใช่หรือไม่ คำตอบคือ สั้นแต่ได้คะแนน บุคคล ตามมาตรา 1639 นั้นบอกชัดว่ามีใครบ้าง อนุมาตรา 1 3 4 6 ใช่หรือไม่ อนุมาตรา 2 กับ 5 ไม่มี วรรคสอง คู่สมรสมีหรือไม่ ตอบว่า ไม่มี

            ก็ตอบได้เลยว่าการที่จะมีการรับมรดกแทนที่นั้น กฎหมายวางหลักมีใจความว่า บุคคลผู้จะเป็นทายาทตามมาตรา 1629 อนุ มาตรา 1  3 4 6 เท่านั้น จึงไม่มีการรับมรดกแทนที่ได้

            ไม่จำต้องวินิจฉัยในเรื่อง ผู้สืบสันดานโดยตรงตามมาตรา 1643 อีกต่อไป

            ตัวอย่างที่สอง  ก มีบุตร โดยชอบคือ 1. ตอบ 1629 อนุมาตรา 1 เพราะเป็นผู้สืบสันดานใช่หรือไม่

            ผุ้สืบสันดานก็คือบุคคลซึ่งจะเป็นทายามใช่หรือไม่ นั่นคือผ่านกระบวนการ 1639 แล้ว จะไปกระบวนการ 1643 แล้ว ข้อเท็จจริงต่อไปว่า ถามว่า กรณีนี้ นาง ข . ยังมีชีวิตอยู่ จะรับมรดกแทนที่ นาย 1. ได้หรือไม่

            ตอบว่า มารดาของหนึ่งเป็นผู้สืบสันดานโดยตรง ตามมาตรา 1643 หรือไม่ คำตอบไม่ใช่ เพราะนางขอ เป็นผู้บุพการีไม่ใช่ผู้สืบสันดาน โดยตรง

            ถ้าเปลี่ยนอีก นาง 2. ภริยาของหนึ่ง จะรับมรดกแทนที่ นาย 1. ได้หรือไม่ ก็ตอบว่าไม่ใช่ตามมาตรา 1643 อีก นาง 2 เป็นภริยา เป็นคู่สมรส ไม่ใช่ ผู้สืบสันดานโดยตรง

            ข้อสุดท้าย 1083/2540 

โจทก์และช.ซึ่่งสมรสกันก่อนปี2476ต่างตกลงยินยอมให้แต่่ละฝ่ายทำนิติกรรมยกที่ดินสินสมรสส่วนของตนให้บุคคลอื่นในการทำพินัยกรรมที่เกี่ยวกับสินสมรสระหว่างโจทก์และช. นี้ต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1481แม้โจทก์ตกลงยินยอมให้ช.ทำพินัยกรรมดังกล่าวข้อตกลงยินยอมนั้นย่อมฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายข้างต้นและยังขัดต่อความมุ่งหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1646ที่กำหนดให้บุคคลใดๆมีสิทธิทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้บุคคลอื่นได้ก็แต่เฉพาะทรัพย์สินที่เป็นของตนเท่านั้นเหตุนี้ข้อตกลงยินยอมดังกล่าวจึงไม่ทำให้พินัยกรรมที่ช. จัดทำมีผลผูกพันไปถึงที่ดินสินสมรสที่เป็นส่วนของโจทก์ด้วยโจทก์ย่อมฟ้องขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าพินัยกรรมไม่มีผลผูกพันสินสมรสที่เป็นส่วนส่วนของโจทก์ได้ ที่ดินโฉนดเลขที่4837ในส่วนที่พ.ยกให้ช. ตามสารบาญแก้ทะเบียนท้ายโฉนดดังกล่าวพ. ยกที่ดินส่วนนี้ให้ช. เมื่อวันที่9ตุลาคม2476ก่อนที่่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ5พ.ศ.2477ว่าด้วยเรื่องครอบครัวประกาศใช้จึงต้องนำกฎหมายลักษณะผัวเมียมาใช้บังคับซึ่งในกฎหมายดังกล่าวบทที่72ว่าด้วยทรัพย์สินระหว่างผัวเมียบัญญัติว่า"ทรัพย์ที่บิดามารดาหรือญาติฝ่ายหญิงหรือชายให้ในวันที่แขก(วันแต่งงาน)ให้เป็นสินเดิมถ้าให้เมื่ออยู่กินเป็นผัวเมียกันแล้วให้เป็นสินสมรส"ซึ่งไม่ได้บัญญัติว่าให้เป็นสินส่วนตัวเลยพ.ได้ยกที่ดินส่วนดังกล่าวให้ช.ภายหลังการแต่งงานที่ดินส่วนนี้จึงเป็นสินสมรสระหว่างช.กับโจทก์เมื่อไม่ปรากฎว่าช.และโจทก์มีสินเดิมการแบ่งสินสมรสจึงเป็นไปตามกฎหมายลักษณะผัวเมียบทที่68คือชายหาบหญิงคอนช.จึงมีส่วนเป็นเจ้าของ2ส่วนและโจทก์มี1ส่วน

 

เรื่องอะไร เรื่องการทำพินัยกรรมสินสมรสเกินส่วนของตนไม่ได้  ข้อเท็จจริงสั้นๆว่า นายก มีเงิน สองแสน ก่อนสมรสก็เป็นสินส่วนตัวและเงินสองแสนบาทนี้เมื่อแต่งงานกับ ข แล้ว ก็มีดอกเบี้ยสองหมื่น เมื่อตายจากกันมาตรา 1533 วินิจฉํยชัดว่าต้องแบ่งสินสมรสคนละกึ่งส่วน ดังนั้น มรดกจึงมี สองแสนหนึ่งหมื่นบาท

            คือตกลงได้แต่ทำเกินส่วนไม่ได้ เปิดตัวบท มาตรา 1646 คือคำตอบ อย่าตอบว่าโมฆะเด็ดขาด เพราะพินัยกรรมยังมีอยู่ได้เท่าที่บังคับได้

            ครั้งที่แล้วค้างที่ 1629  

            2742/2545

การเป็นทายาทโดยธรรมในฐานะพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629(4) นั้น นอกจากกฎหมายมิได้กำหนดว่าพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน จะต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาเดียวกันแล้ว การที่จะตีความบทกฎหมายดังกล่าวว่าพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันจะต้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของบิดาเดียวกันผลก็จะกลายเป็นว่าพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันจะมีได้แต่เฉพาะเมื่อการสมรสระหว่างบิดากับมารดาคนก่อนสิ้นสุดลงแล้วเท่านั้น ซึ่งเป็นการตีความที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวแคบเกินกว่าบทบัญญัติตามตัวอักษรของกฎหมายและมิใช่ความมุ่งหมายของบทบัญญัติที่ให้ทายาทโดยธรรมซึ่งอยู่ในฐานะเป็นญาติสนิทที่ใกล้ชิดที่สุดอยู่ในลำดับมีสิทธิรับมรดกก่อนหลังและตัดญาติห่างซึ่งอยู่ในลำดับถัดลงไปไม่ให้มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1630 ทั้งการเป็นพี่น้องด้วยกันนี้ก็หามีบทบัญญัติให้เกิดสิทธิหน้าที่ต่อกันเหมือนเช่นการเกิดสิทธิหน้าที่ระหว่างบิดากับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายไม่ ฉะนั้น การเป็นทายาทโดยธรรมในฐานะพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันจึงต้องถือตามความเป็นจริง เมื่อผู้ร้องและผู้ตายต่างมีบิดาคนเดียวกัน แม้จะเป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาก็ถือว่าผู้ร้องกับผู้ตายเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะทายาทโดยธรรมตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629(4) เมื่อผู้ตายไม่มีทายาทโดยธรรมในลำดับอื่นที่สูงกว่าผู้ร้อง ผู้ร้องจึงมีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตาย ส่วนผู้คัดค้านที่เข้ารับมรดกแทนที่บิดาซึ่งเป็นลุงของผู้ตายถือเป็นทายาทในลำดับถัดลงไปไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายตามมาตรา 1630 จึงไม่มีส่วนได้เสียที่จะยื่นคำร้องคัดค้านการที่ผู้ร้องขอจัดการมรดกของผู้ตาย

 

ที่ถือความเป็นพี่น้องตามความเป็นจริงคล้าย อนุมาตรา 3 ไม่ได้กระทบกับเรื่องมรดกเลยในฏีกา เรื่องคือผู้ตาย เป็นเจ้ามรดก ผู้ร้องเป็นน้องผู้ตาย สองคนเป็นพี่น้องกันแต่ต่างบิดามารดาเดียวกันแต่ที่สำคัญคือ เป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งคู่

            ปรากฏว่าบิดามารดาของผุ้ตายและผู้ร้องตายหมด ถามว่าจะรับมรดกได้หรือไม่ คำตอบมันต้องได้อยู่แล้วเพราะถือตามความเป็นจริง

            แต่ถามว่ารับของพ่อได้หรือไม่ นั่นแหละคือปัญหา

            เป็นการรับมรดกแทนที่ตามมาตรา 1644 ต่อไป จะรับมรดกแทนที่ต่อเมื่อมีสิทธิบริบูรณ์ หมายความว่าพร้อมทุกสิ่งอย่างที่จะเข้าไปรับมรดก

            รวบรวมฏีกาได้ดังนี้

คือต้องไม่ถูกกำจัดไม่ให้รับมรดก  1605 1606 ไม่ถูกตัดมิให้รับมรดก  1608 1609 และต้องมีสภาพบุคคลในขณะที่เข้ารับมรดกแทนที่

            1645 ********  อ่านแล้วเข้าใจยาก เน้น สละมรดก ภาพต้องเริ่มนี้ เน้นไม่ตัดสิทธิ์ ของผู้สละที่จะรับมรดกแทนที่ ของอีกคนหนึ่ง ในการที่จะสืบมรดก

            ตัวอย่างเช่น ก มีบุตรชอบด้วยกฎหมายคือ 1. นั้นคือ 1629 ( 1 ) มีบุตรคือ 2 ก็คือ 2 เป็นหลานของ ก นั่นเอง

1.      ตายก่อน ก . 2 สละมรดกไม่รับมรดก 1 ได้หรือไม่ก็ทำได้ ตามมาตรา 1612 1613 ดังนั้นถ้าสละชอบ 2 ก็รับมรดก 1 ไม่ได้

1 ตายก่อน ก ถามว่า 2 ที่สละไปแล้วนั้น 2 จะรับมรดกแทนที่ได้หรือไม่ ตอบ รับแทนที่ของ 1.ได้

เข้าใจภาพนะครับ จดไปอีกนิด มาตราที่น่าสนใจ มาตรา 1607 ใช้กรณีทายาทถูกกำจัดหลังเจ้ามรดกตาย 1615 วรรค สอง ใช้กับกรณีสละมรดก สองกรณีนี้ใช้คำว่าผู้สืบสันดานเฉยๆ ไม่ต้องใช้กับผู้สืบสันดานโดยตรง

            ต่อมาคือ 1639 ดูประกอบ 1643 ด้วย คือต้องเป็นทายาทโดยธรรมลำดับที่ 1 3 4 6 ที่ตายก่อน และผู้ที่จะรับมรดกแทนที่ต้องเป็นผู้สืบสันดานโดยตรง

            ต่อไปเป็นเรื่องการแบ่งปันทรัพย์มรดก สิ่งแรกเลยดูว่าทำพินัยกรรมหรือไม่ พิจารณามาตรา 1620 คือไม่ได้ทำเลย หรือทำแล้วไร้ผล หรือจำหน่ายทรัพยืตามพินัยกรรมไปหมด

            1699 พินัยกรรมไร้ผล

            และมาตรา 1618  ผู้รับพินัยกรรมสละมรดก

            เข้าห้องสอบนึกถึงสามมาตรานี้เป็นขั้นแรก เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเจตนาอันแท้จริงของเจ้ามรดกเสียก่อน ถามว่า ถ้ามีหลงเหลือทรัพย์มรดกเสียก่อน ดูเจ้ามรดกมีคู่สมรสหรือไม่ การจะดู ดูอย่างไร คือดูตามข้อเท็จจริง ว่า นาย ก เจ้ามรดกมีทรัพย์สิน ใช้คำนี้เราต้องดูทันทีว่านาย ก มีคู่สมรสหรือไม่ ถ้ามี ต้อง แบ่งสินส่วนตัวสินสมรสเสียก่อน หาทรัพย์มรดกเสียก่อน

            แต่ดูให้ดีถ้าข้อสอบ บอกว่านาย ก เจ้ามรดกมีทรัพย์มรดกสองแสนบาท นั่นแสดงว่าต้องการตัดให้สั้นแล้ว แบ่งได้ทันที

            แต่ถ้าไม่ได้จดทะเบียนสมรส จะต้องแบ่งอย่างไร คำตอบ ตัวบท 1547 ก็ได้ ถ้าเป็นคู่สมรสไม่ชอบด้วยกฎหมายใช้ฏีกาเหล่านี้

524/2506

ผู้ตายมีภริยาชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้วคนหนึ่งต่อมาได้ภริยาน้อยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาอยู่ร่วมด้วยอีกคนหนึ่งดังนี้ ถือว่าภริยาน้อยเข้ามาอยู่ในครอบครัวของผู้ตายในฐานะเป็นบริวารหรือนางบำเรอเท่านั้นจึงหามีสิทธิที่จะเข้ามามีส่วนเป็นเจ้าของรวมในกองทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างผู้ตายกับภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายไม่

การที่สามีเอาที่ดินอันเป็นสินบริคณห์โอนยกให้แก่บุตรโดยเสน่หานั้นเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดี ภริยาจะขอให้เพิกถอนไม่ได้

 

303//2499

ระหว่างเป็นผู้เยาว์โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมในห้องพิพาทร่วมกับจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 ได้ขายห้องพิพาทนี้โดยจำเลยที่ 2 มิได้แสดงกรรมสิทธิรวมแต่ประการใดโจทก์ก็ได้ลงนามรับรองในหนังสือซื้อขายนั้นด้วย ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องขับไล่บุคคลภายนอกออกจากห้องพิพาทจนได้คืนห้องพิพาทมาโจทก์มิได้คัดค้าน แสดงว่าโจทก์ได้จงใจและละเลยให้จำเลยที่ 1 แสดงตนเป็นเจ้าของห้องพิพาทมาตั้งแต่ต้น กระทำให้จำเลยที่ 1 หลงผิดว่าห้องพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 ดังนั้น โจทก์จะอ้างสิทธิแห่งความเป็นผู้เยาว์ทำเพิกถอนการซื้อขายห้องพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง และขอให้ศาลสั่งว่าโจทก์มีกรรมสิทธิคนละครึ่งกับจำเลยที่ 2 ย่อมไม่ได้

 

จดลงใน 1356  และ 1357 และ 1364

            กรณีแรก ต้องเรียงลำดับทายาท ทั้งหกลำดับก่อน และ ลำดับแรกมีแล้วลำดับต่อไปก็รับไม่ได้

            และ 1629 อนุมาตรา 1 ดูตัวบท 1636  เคยออกข้อสอบแล้ว เป็นเรื่อง สามีมีภริยาหลายคนเท่านั้น ถ้าภริยามีสามี หลายคนก็ไม่เข้า

            เวลาแบ่งมรดกเรื่องนี้ทำอย่างไร คำตอบก็เอาภริยาไปแบ่งตามมาตรา 1635 แล้วไม่ต้องท่องให้ยาก 1635 ภริยามีสิทธิรับมรดกทุกกรณีเลย ยิ่งมีทายาทห่างชั้นไป ก็ยิ่งได้มาก

            ส่วนการแบ่ง ต้องเอายอดทั้งหมด มารวมก่อน แล้วเอามาแบ่งส่วนกัน

            ข้อสอบ คงไม่ออกแล้วหล่ะ 1636 แทบจะกากบาททิ้งไปได้เลย

จดฏีกา เผื่อใครสนใจ 489/2486

เป็นสามีภรรยาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5แต่ตายจากกันเมื่อใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 แล้วต้องแบ่งสมรสตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย แต่แบ่งมรดกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6

ในชั้นฎีกาผู้ฎีกาต้องเสียค่าขึ้นศาลเฉพาะในทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในชั้นฎีกา ไม่ต้องเสียในทุนทรัพย์ที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้โจทก์แล้ว

 

821/2491

การแบ่งทรัพย์มรดก เมื่อเจ้ามรดกตายเมื่อใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 แล้ว ต้องแบ่งตาม มาตรา 1635 และ 1636

โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดก ศาลต้องแบ่งให้เพียงเท่าที่โจทก์มีสิทธิควรจะได้

คำว่า "กันส่วนไว้เพื่อทายาทอื่น" ตามที่มาตรา 1749 ห้ามไว้นั้น หมายความว่า กันไว้เพื่อทายาทนั้นมารับเอาไปได้ทีเดียว โดยมิต้องฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ดังเช่นที่เคยปฏิบัติกันมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 การแบ่งให้โจทก์เพียงเท่าที่โจทก์มีสิทธิควรจะได้ตามกฎหมายนั้น หาใช่เป็นการกันส่วนไว้เพื่อทายาทอื่นไม่

 

413/2506

มรดกหรือการแบ่งมรดกจะมีขึ้นได้ต่อเมื่อบุคคลถึงแก่ความตายฉะนั้นเมื่อบุคคลใดถึงแก่ความตายในขณะใช้กฎหมายใด ก็ต้องตกอยู่ในบังคับแห่งกฎหมายซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้น

เป็นสามีภริยากันมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5-6แต่ตายจากกันภายหลังใช้ บรรพ 5-6 แล้ว ต้องแบ่งมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6

 

มีสามฏีกาวินิจฉัยโดยตรง

            ต่อมาไม่ออกสอบนานแล้ว ฟังให้ดีเกี่ยวกับพระภิกษุ มีสามมาตราเท่านั้น ไม่ยาก 1622 24 แต่สอดแทรกออกสอบได้

            สามมาตรานี้เพื่อความสะดวกในการอ่านหนังสือ ว่าพระภิกษุหมายถึงอะไรมีฏีกา บอกว่า นิกาย หินยาน ก็ไม่ทราบว่าแตกต่างกับนิกายอื่นตรงไหน

            ก็ไปหาตำราเกี่ยวกับพระมา 504/2461

            ข้อสอบออกมาเท่าที่เคยปรากฏก็มัดข้อเท็จจริงคือพระภิกษุในศาสนา

ก็แยกเป็นสองหัวข้อ

            ดูมาตรา 1622 เป็นกรณีที่พระภิกษุเป็นเจ้ามรดก ใช้เฉพาะทายาทโดยธรรมมีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมไม่ใช่ในฐานะผู้รับพินัยกรรม เขาต้องการให้พระสงบ ไม่ให้ไปเรียกร้อง คือไม่ฟ้อง ภาพมันน่าเกลียด เดินจีวรปลิวไปขึ้นศาล

            แต่ถ้าอยากได้ก็สึกภายในหนึ่งปี ย้ำ มาตรา 1754

            อะไรคือมรดกที่พระไม่มีสิทธิฟ้อง

            จดไว้ที่มาตรา 1754  เพราะคดีมรดกต้องฟ้อง 1 ปี

3849/2541

บทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูลพ.ศ. 2489 นั้น หมายความว่าคดีแพ่งที่เกี่ยวด้วยเรื่องครอบครัวและมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยครอบครัวและมรดกของผู้นับถือศาสนาอิสลามอันเกิดขึ้นในศาล ของสี่จังหวัดดังกล่าว ให้ศาลใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกบังคับแทน ดังนั้น กรณีที่จะเป็นคดีต้องด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงต้องเป็นคดีมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เสียก่อน คดีนี้เป็นเรื่องเจ้ามรดกยกที่ดินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นสิทธิแก่จำเลยและจำเลยร่วมตั้งแต่เจ้ามรดกยังไม่ถึงแก่ความตาย การยกที่ดินพิพาทให้ดังกล่าวแม้จะทำตามหลักกฎหมายอิสลาม ที่เรียกว่าพิธีแฮร์เบอะ โดยทำพิธีอย่างถูกต้องที่บ้านโต๊ะอิหม่ามก็ตาม กรณีก็ไม่ใช่เรื่องมรดกเพราะเป็นเรื่องให้ระหว่างมีชีวิตอยู่ บทกฎหมายในเรื่องนี้จึงต้องใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บังคับแก่คดี

 

3316/2542

คดีมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 หมายความว่า คดีที่พิพาทกันระหว่างทายาทที่มีสิทธิในทรัพย์มรดก ด้วยกัน ด้วยเรื่องสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งทรัพย์มรดก จำเลยมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิในทรัพย์มรดก และโจทก์ฟ้องคดี เพื่อเรียกทรัพย์มรดกจากจำเลยผู้ครอบครองแทน กรณีจึงมิใช่ เรื่องโจทก์เรียกร้องส่วนแบ่งในทรัพย์มรดก จำเลยย่อมไม่อาจอ้างอายุความมรดกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 มาตัดฟ้องโจทก์ได้

 

4095/2549

ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย..." คำว่า คดีมรดก ตามบทบัญญัติดังกล่าวหมายความว่า คดีที่พิพาทกันระหว่างทายาทที่มีสิทธิในทรัพย์มรดกด้วยกันด้วยเรื่องสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งทรัพย์มรดก ฉะนั้น จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาของทายาทคือจำเลยที่ 1 จึงมิใช่ทายาทผู้มีสิทธิในทรัพย์มรดกของ บ. และโจทก์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของ บ. ฟ้องคดีนี้เพื่อเรียกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินจากจำเลยทั้งสองเพื่อนำมาแบ่งปันแก่ทายาทของ บ. กรณีมิใช่เรื่องเรียกร้องส่วนแบ่งในทรัพย์มรดก จำเลยที่ 2 ไม่อาจยกอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคหนึ่ง ขึ้นกล่าวอ้างได้

 

            ศาลฏีกาต้องมาแปลว่าอะไรคือคดีมรดก สรุปศาลฏีกาวินิจฉัยคดีมรดกดังนี้หมายถึงคดีที่วินิจฉัยว่าผู้นั้นมีสิทธิรับมรดกหรือไม่

            ผู้จัดการมรดกแบ่งไม่ถูก ควรได้อย่างนั้นอย่างนี้ ก็คือ การฟ้องส่วนแบ่งมรดก ฉะนั้นถ้าแน่จริงต้องบวกด้วย มาตรา 1600 ด้วยเพราะอะไรคือ มรดก 1622 +1754+1600

            ข้อสอบนี้เคยออกแต่นานแล้ว คือ พระ ก ได้รับมรดก ที่ดินแปลงหนึ่ง มีทายาทอีกคนมาบุกรุกจึงฟ้องขับไล่ อย่างนี้เข้า 1622 หรือไม่

            เราก็ต้องย่อหน้า ว่า ปัญหาเบื้องต้น นั้น พระภิกษุฟ้องต้องการอะไร

เห็นว่าการฟ้องเพื่อขับไล่ออกจากที่พิพาท กรณีไม่ใช่การฟ้องเรียกทรัพย์มรดกหรือเรียกให้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้ถูกต้อง จึงไม่ใช่คดีมรดก สามารถฟ้องได้

            พระภิกษุมีสิทธิรับพินัยกรรม เหมือนกัน 1622 วรรค ท้ายคือคำตอบ

                ตรงนี้ ที่มีปัญหาคือ กรณีพระภิกษุเป็นเจ้ามรดก ดูมาตรา 1623 ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาระหว่างอยู่ในสมณะเพศนั้นให้ตกเป็นสมบัติของวัดนั้นที่เป็นภูมิลำเนา มีข้อยกเว้นคือได้จำหน่ายระหว่างมีชีวิต หรือโดยพินัยกรรม

            1624 ทรัพย์ใดเป็นของบุคคลก่อน อุปสมบท ทรัพย์สินนั้นหาตกเป็นของวัดไม่  ให้ตกแก่ทายาทโดยธรรมหรือจะจำหน่ายก็ได้

            สรุปสั้นๆ อะไรที่พระมีก่อนบวช ก็ตกแก่ทายาทโดยธรรม  หลังบวชตกแก่วัด

สิ่งที่ยากคือจุดตัดการได้มาว่าวัดกันว่า ได้มาเมื่อไหร่

            สังเกตฏีกาทหารขาดรัก ที่ส่งที่ดินมา ตลอด พอแต่งงาน จึงส่งครบ แล้วค่อยได้รับโอนที่ดินดังกล่าว จึงเป็นสินสมรส

            อย่าสับสนกับฏีกาที่จะกล่าวต่อไปนี้

            ฎ.903/2536 ********

แม้พระภิกษุช.จะได้จดทะเบียนรับโอนที่ดินที่เช่าซื้อมาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศก็ตาม แต่พระภิกษุ ช.ได้เช่าซื้อและชำระค่าเช่าซื้อจนครบถ้วนแล้วก่อนที่จะมาบวชเป็นพระภิกษุซึ่งหากผู้ให้เช่าซื้อไม่จดทะเบียนโอนที่ดินให้ พระภิกษุ ช.ก็ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ให้เช่าซื้อโอนที่ดินได้อันเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งที่พระภิกษุ ช.มีก่อนที่จะมาบวชเป็นพระภิกษุจึงต้องถือว่าพระภิกษุ ช.ได้ที่ดินมาแล้วก่อนที่จะบวชเป็นพระภิกษุการจดทะเบียนการได้มาในภายหลังเป็นแต่เพียงทำให้การได้มาบริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคแรก เท่านั้นฉะนั้นเมื่อที่ดินมิใช่ทรัพย์สินที่พระภิกษุ ช.ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศจึงไม่ตกเป็นสมบัติของวัด ตามมาตรา 1623 หากแต่เป็นทรัพย์มรดกตกได้แก่บรรดาทายาทของพระภิกษุ ช.

 

พิจารณาเป็นพิเศษ  จะขัดกับข้อสอบเนฯสมัยที่ 61 หรือไม่

            ให้ไปไหว้พระ ทำบุญ บ้างด้วยนะครับ เพราะความฉลาดของคนเดียวกัน ในแต่ละวันต่างกัน

            503/2536

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่น มีและพาอาวุธปืนยกฟ้องในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ แม้จำเลยจะอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ได้เป็นคนร้ายที่กระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ ก็ไม่มีประเด็นข้อโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ได้วินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่นั้นไม่ถูกต้องอย่างไร ข้อหาดังกล่าวย่อมยุติ ไม่มีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยซ้ำอีก คำให้การพยานโจทก์ซึ่งให้การไว้ในชั้นสอบสวนใกล้เวลาเกิดเหตุไม่ทันได้คิดเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงย่อมมีน้ำหนักรับฟังได้ กฎหมายหาได้จำกัดให้รับฟังเฉพาะคำให้การพยานโจทก์ในชั้นศาลเท่านั้นไม่เมื่อคำให้การพยานโจทก์ในชั้นสอบสวนมิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจมีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือมิชอบประการอื่น ศาลย่อมรับฟังมาประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ว่าจำเลยกระทำความผิดได้

 

            อ่าน การ ที่ ฃ เฃ่าซื้อที่พิพาทแล้วชำระค่าเช่าซื้อครบก่อนบวช เป็นพระภิกษุ , ผู้ให้เช่าซื้อโอนตอนพระภิกษุบวชแล้ว ศาลฏีกาวินิจฉันว่า ที่ดินที่เช่าซื้อนี้ได้มาต่อน ไหน ศาลวินิจฉัยว่า ช ได้ที่พิพาทมาแล้วก่อนที่จะบวช ย้ำตรงนี้เพราะการจดทะเบียนการให้การได้มาภายหลังเป็นเพียงได้มาให้สมบูรณ์ตามมาตรา 1299 วรรค 1

            แม้ ช จะถึงแก่กรรมระหว่างที่อยู่ในสมเพศ ที่พิพาทดังกล่าวก็ไม่ตกเป็นของวัด ก็แบ่งให้แก่ทายาทของ ช ต่อไป

            1064/2532

บิดามารดายกที่นาให้แก่พระภิกษุ ข. ภายหลังที่พระภิกษุข.บวชเป็นพระภิกษุ การที่พระภิกษุข.ขายที่นาแปลงดังกล่าวและนำเงินที่ขายได้ไปฝากธนาคาร เงินที่นำไปฝากธนาคารรวมทั้งดอกเบี้ยที่ได้รับถือว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาในระหว่างที่อยู่ในสมณเพศ เมื่อพระภิกษุข.ถึงแก่มรณภาพ เงินฝากดังกล่าวย่อมตกเป็นของวัดโจทก์ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุข.

 

            บิดามารดายกที่ดินให้พระภิกษุ ข ภายหลังที่ได้บวชแล้ว ขายที่นาแปลงดังกล่าวแล้วนำเงินดังกล่าวฝากธนาคารเงินที่นำไปฝากรวมทั้งดอกเบี้ยเป็นของพระหรือของวัด ถ้าพระภิกษุ ข ตาย

            ได้ที่ดินมาระหว่างบวช และเอาที่ดินไปขาย ได้เงินมา ไปฝากได้ดอกเบี้ยด้วย

            ถามว่า เงินฝาก กับ ดอกเบี้ย ยังเป็นของ ข ใช่หรือไม่แล้วเป็นก่อนหรือหลังบวช

            คำตอบ การเปลี่ยนสภาพทรัพย์ เป็นการเปลี่ยนหลังอยู่ในสมณะเพศดังนั้นเงินฝากและดอกเบี้ยตกแก่วัด

            สรุปการเปลี่ยนสภาพไม่ทำให้ ทรัพย์เปลี่ยนไป ยังคงเป็นของ ผู้เดิม

            997/2540

พระครูน.ผู้มรณภาพมีบัญชีเงินฝากที่ธนาคารรวม 2 บัญชีบัญชีแรกเป็นมูลนิธิวัดต.ของวัดโจทก์ ผู้มีสิทธิถอนเงินได้แก่ผู้มรณภาพร่วมกับกรรมการวัดอีก 2 คน ส่วนอีกบัญชีฝากในนามส่วนตัวผู้มรณภาพเป็นผู้ลงนามถอนเงินได้เอง เงินที่ยกให้นี้ถอนจากบัญชีเงินฝากส่วนตัว เมื่อเป็นเงินส่วนตัวของผู้มรณภาพผู้มรณภาพย่อมจะยกให้แก่ผู้ใดก็ได้ เมื่อพระครูน.ผู้มรณภาพได้ยกเงินจำนวนตามฟ้องให้แก่จำเลยโดยเสน่หา กรรมสิทธิ์ในเงินย่อมตกเป็นของจำเลยนับแต่วันรับการยกให้ เงินจำนวนนี้ไม่ใช่ของผู้มรณภาพอีกต่อไปจึงไม่เป็นมรดกตกแก่โจทก์ซึ่งเป็นวัดในพระพุทธศาสนาแม้จำเลยจะมิได้ออกเงินช่วยค่าพยาบาลรักษาผู้มรณภาพ โจทก์ก็ฟ้องเรียกเงินคืนไม่ได้

 

            ฏีกาอันนี้เป็นการวินิจฉัยคำว่าจำหน่าย จดไว้ที่หน้าตัวบท ว่าคำว่าจำหน่ายคือการให้นั่นเอง

            6354/2541  - ค้นไม่พบ

            พระภิกษุทำสัญญาจะซื้อจะขายให้แก่ผู้ซื้อ ชำระเงินครบถ้วน แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนการซื้อขาย ถามว่า ถ้าพระภิกษุถึงแก่มรณะ ที่ดินแปลงนี้ เป็นของผู้ใด ลองวินิจฉัยดู คำตอบ การชำระเงินครบ ที่ดินแปลงนี้ที่ดินมีโฉนด เวลาอ่านฏีกาดูให้ดี ว่าที่ดินอะไร มีโฉนด ต้องจดทะเบียนไม่เช่นนั้นเป็นโมฆะ กรรมสิทธิ์ยังไม่โอน เป็นของพระอยู่ตายก็ต้องตกเป็นของพระ แต่ถ้าข้อสอบออกมา เป็นพระภิกษุขายที่ดิน สค 1. และผู้ซื้อได้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวแล้ว คำตอบจะเปลี่ยนเป็นผู้ครอบครองได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินแล้ว

            ต่อไปเป็นเรื่องแผ่นดิน มาตรา 1753 เป็นข้อสอบปีที่แล้ว มาตรา 1753 ภายใต้สิทธิเจ้าหนี้กองมรดก เมื่อบุคคลใดถึงแก่ความตายไม่มีทายาทโดยธรรม และไม่มีผู้รับพินัยกรรมและไม่มีการตั้งมูลนิธิ ก็ตกแก่แผ่นดิน

            มีประเด็นคือ ที่ว่าภายใต้บังคับเรื่องเจ้าหนี้กองมรดก หมายความว่าต้องนำทรัพย์ในกองมรดก ไปชำระหนี้ แก่เจ้าหนี้เสียก่อนจึงตกแก่แผ่นดิน

            ถามไปว่า ปีที่แล้วออกข้อสอบเพราะอะไร ก็คือเจ้าหนี้ของแผ่นดินร้องขอจัดการมรดกได้หรือไม่ คำตอบโยง 1713 คือคำตอบ

            มาตราที่น่าสนใจ คือ 1711 ผู้จัดการมรดกได้แก่ใครบ้าง

            ผู้ที่ร้องขอจัดการมรดกคือใคร ทายาท อัยการ ผู้มีส่วนได้เสียใช่หรือไม่ครับ

            เจ้าหนี้ของเจ้ามรดกร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ตามมาตรา 1711 ได้หรือไม่ ถ้าดูตามตัวบทก็ง่ายแล้วครับ มันหายไป สอง คนที่น่าจะเป็นแล้ว

            ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยคือ เจ้าหนี้ของเจ้ามรดก เป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือไม่ และ มาตรา 1753 ตอบเลยว่าภายใต้บังคับของเจ้าหนี้นี้ ร้องขอจัดการมรดกได้ ในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้เสีย

            ต่อไปเกิดขึ้นโดยผลกฎหมายคือมาตรา 1605 เพราะ ทายาทยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก ขีดเส้นหน้าตัวบทไว้ ว่าทายาทในที่นี้ หมายถึงแค่ไหนเพียงใด หมายถึงทายาทโดยธรรมก็ได้ และหมายถึงผู้รับพินัยกรรมลักษณะทั่วไป

            ดูมาตรา 1651 ประกอบ กาดอกจันทร์ในเรื่องนี้เพราะอาจไปเกี่ยวในเรื่องพินัยกรรมได้อีก

            พินัยกรรมมีสองลักษณะคือลักษณะทั่วไปและ ลํกษณะเฉพาะสิ่งเฉพาะอย่าง

ลักษณะทั่วไปเช่น ยกทรัพย์มรดกทั้งหมด คือยังไม่รู้จริงๆมีเน็ดๆเท่าไหร่ ครั้งที่ 8 จะย้ำพวกนี้หนักๆเลย

            หรือตามเศษส่วน คือมีเท่าไหร่ ให้ หนึ่งในสามของทรัพย์มรดกทั้งหมด

            หรือ ตัวอย่างที่สาม คือให้ส่วนที่เหลือ เช่น ทำพินัยกรรมว่า ยกที่ดินให้ ก รถยนต์ให้ ข ส่วนอะไรที่เหลือทั้งหมด ให้นาย ค

            อันนี้แหละที่ถูกกำจัดได้ เพราะเป็นทายาทโดยธรรมประเภท ผู้รับพินัยกรรมลักษณะทั่วไป

            ต่อไปคือผู้รับพินัยกรรมลักษณะเฉพาะ เช่น ยกที่ดินแปลง จังหวัดเชียงใหม่ เลขที่ 530 ให้แก่นาย ก

            ข้อยากจึงอยู่ที่ว่า ปัญหาที่วินิจฉัยเบื้องตน คือพินัยกรรมลักษณะทั่วไปหรือ ลักษณะเฉพาะ

            หลักๆมีแค่นี้ ทำไม 1605 จึงบัญญิตเช่นนี้ก็เพื่อว่า ไม่ต้องการให้มีการ ทุจริตกันระหว่างทายาทด้วยกัน

            ยักย้ายและปิดบัง ฏีกามีเยอะแยะมากมาย

            เช่น ไปขอรับมรดกมีทายาท เจ็ดคน ไปสำนักงานที่ดินไม่บอกจำนวน ทายาทผู้มีสิทธิทั้งหมด คำตอบ ศาลฏีกาบอกไม่ใช่หน้าที่ของเขา ที่จะต้องไปบอกว่าใคร เป็นทายาท พยายามเขียนให้ได้คะแนนเพราะมันเป็น ข้อเท็จจริง  ต้องอธิบายเหตุผลโน้มน้าวให้ได้

            การยักย้ายการปิดบังต้องเท่าส่วน หรือ เกินส่วนที่ตนได้รับจึงเป็น 1605

เท่ากับถาม 1629 กับ 1635 ในตัว ว่าเขามีสิทธิได้รับเพียงใด

            ตรงนี้พอมีปัญหาที่อาจารย์แต่ละท่านเห้นต่าง

            นาย ก มีมรดกเก้าพันลูกมีสามคน สรุป 1629 ( 1 ) คนละสามส่วนได้คนละ สามพัน ลูกสามคนนิสัยใจคอไม่เหมือนกัน 1 ยักย้าย สี่พัน  2 ยักย้าย สองพัน  3 ไม่ยักย้ายเลย

1.      ยักย้ายเกินส่วนตน ต้องถุกกำจัด

2.      ยักย้ายน้อยส่วนตย ต้องถูกกำจัดเหมือนกัน

3.      ไม่ถูกกำจัด

ตรงนี้แหละ ที่มีหลายท่านมีความเห็นต่างกัน บางท่านเห็นว่า โยนส่วนที่มีการยักย้ายให้แก่สามไปทั้งหมดเลย

ให้ไปดูในคำบรรยาย ไปดูล่วงหน้า ในประเด็น 1605 มีแค่นี้ มีการคิดไม่เหมือนกัน แต่ละทาง ดังนั้นตรงนี้จึงไม่มีการออกข้อสอบเลย  ดังนั้นอย่าไปบ้ากับมันมาก ควรกลุ้มในส่วนที่ควรกลุ้ม

เตือนไว้นิดหนึ่ง วันที่ 13 กับวันที่ 20 ควรมา  ปิดคอร์สวันที่ 20 กรกฏาคมนะครับ

 

           

Reply all
Reply to author
Forward
0 new messages